Chapter 49
บ้านของไผทสร้างจากไม้ซุงท่อนใหญ่ทั้งหลัง รูปแบบเหมือนล็อกเคบินในป่า หลังคาใหญ่ถูกยกสูงให้อากาศหมุนเวียน มีระเบียงรอบทิศให้ชมวิวของไร่องุ่นท่ามกลางแนวภูเขาที่ทอดตัวเป็นฉากหลัง ตัดกับท้องฟ้าสีสดกระจ่างตา
ห้องอาหารที่ไผทเชิญทุกคนมาทานข้าว เป็นเทอเรซที่สร้างยื่นจากตัวบ้าน ระเบียงเปิดโล่งจนลมโกรก มองเห็นทิวทัศน์ของชายป่าที่อยู่ใกล้กับแนวเขา เวลาหน้าร้อนที่นี่จะไม่ร้อนจัดนัก แต่หน้าหนาวจะค่อนข้างเย็นจนต้องก่อไฟ
“บ้านสวยมากครับคุณไท” กนธีออกปากชม
“ถ้าชอบก็มาบ่อยๆสิครับ”
อินทัชที่กำลังประคองยายนั่งถึงกับหันขวับมามอง คิ้วเข้มขมวดมุ่น
“เอาไว้ถ้ามีโอกาสนะครับ แต่คงจะหนีมาเที่ยวเองบ่อยๆไม่ได้” กนธียิ้ม “เพราะผมต้องมีเวลาให้ ‘ครอบครัวของผม’ ด้วย”
ไผทนิ่งไป สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้ารับ เขาเอาเก้าอี้ตัวสูงมาให้เด็กๆ จะได้เอื้อมตักอาหารถึง แม่ครัวทำทั้งอาหารไทยและอาหารฝรั่ง เลือกได้ตามสบาย
“อ้นอุ้มนั่งตรงนั้นเนอะ พี่กุนต์ขอนั่งกับคุณยายกับพี่โอ๊ตตรงนี้นะครับ” กนธีบอกน้อง มีเจ้าไผ่ช่วยดูน้องอุ้ม สนช่วยดูน้องอ้น เขาก็เบาใจ
อินทัชเหลือบมองคนที่นั่งข้างเขา อารมณ์กรุ่นๆก่อนนี้ พอได้ยิน ‘แฟน’ พูดหักหน้าคุณไผทแบบไม่เหลือเยื่อใยก็ทำให้เขายิ้มได้ทันที
“ทำหน้าตลก” กนธีเตะขาเด็ก “แล้วก็เลิกมองพี่ได้แล้ว โจ่งแจ้งนะเรา”
“อยากมอง หวงหน้าตัวเองหรือครับ” เขาถามยียวน
“นี่บ้านคนอื่น จะมองก็กลับไปมองที่บ้านเราสิ”
อินทัชรู้สึกหัวใจพองโต แต่บ้านที่จะกลับคืนนี้เป็นบ้านคุณไผ่ ไม่ใช่ ‘บ้านเรา’ ที่อยู่กรุงเทพสักหน่อย ไม่อย่างนั้นล่ะก็..เขาจะฟัดให้แก้มช้ำ
“คุณยายพอจะทานได้ไหมครับ” ไผทนั่งตรงหัวโต๊ะ เขาถามไถ่หญิงชราด้วยความสุภาพ “ทราบมาจากคุณกุนต์ว่าต้องระวังเรื่องรส เลยจะจืดๆหน่อย”
“กินได้จ้ะพ่อคุณ” ยายยิ้มให้ “แต่อาหารฝรั่งนี่คงไม่ไหว”
ชายหนุ่มช่วยรินน้ำให้ กนธีเห็นก็รีบจัดการเอง พวกเขามาเป็นแขก จะให้เจ้าบ้านบริการทุกอย่างคงไม่เหมาะ ไผทเลยเป็นฝ่ายตักข้าวให้แทน
“กินเยอะๆหน่อยคุณกุนต์ พักนี้ดูผอมไป หรือว่าคุณพสิษฐ์ดูแลไม่ดี”
คนที่ถูกพาดพิงเงยหน้ามอง..เกี่ยวอะไรกับเขาวะเนี่ย
อินทัชรู้สึกกรุ่นในหัวขึ้นมาอีกรอบ ไอ้หมอนี่จงใจไม่รับรู้ว่าคนที่เป็นฝ่ายดูแลพี่กุนต์ทุกอย่างคือเขาต่างหาก มันจะมากไปแล้วไอ้ลุงคนนี้!
“ไม่ผอมหรอกครับ โอ๊ตยังบอกว่าผมอ้วนขึ้นเลย” กนธีพูดยิ้มๆ
ปาลินที่ดูแลน้องอ้นอยู่สัมผัสได้เหมือนกันว่าคุณไผทเข้าหาพี่กุนต์อย่างเห็นได้ชัด และโอ๊ตเองก็ดูจะสติขาดได้ทุกนาที เด็กหนุ่มเลยรีบแทรก
“คุณไผทบอกว่าที่นี่มีคอกม้าด้วยหรือครับ”
“อ้อ..สนใจหรือเรา” ไผทกลับมานั่งที่
“ผมอยากขี่ม้ามานานแล้วแต่ขอแค่แตะนิดๆหน่อยๆก็ได้ครับ” ปาลินหัวเราะแหะ หน้าที่ของเพื่อนก็คือคอยกันท่าคนนอกไม่ให้ทำคะแนนได้
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จะสอนให้ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าแล้วกันนะ”
“ขอบคุณมากครับ!” ปาลินก้มหน้ากินข้าวต่อเมื่อดึงความสนใจมาได้
อินทัชเหลือบมองเพื่อนสนิท แอบชูนิ้วโป้งให้จากข้างโต๊ะ ปาลินอมยิ้มแก้มป่อง ไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ทั้งคู่มีให้กันอย่างชัดเจน
“เราน่ะ..” ไผททักปาลินตอนที่แม่บ้านเอาของหวานมาเสิร์ฟ “ก่อนหน้าที่จะมาทำงานกับพวกพี่ เคยทำที่ไหนมาบ้างแล้วล่ะ”
ปาลินเคี้ยวน้ำแข็งกรุบๆ กำลังช่วยน้องอ้นกินลูกตาลเชื่อมเพราะเด็กน้อยกินไม่หมด “อ่า..เคยทำอยู่ที่ Vin Santo ครับ เป็นร้านนั่งดื่มของแขกวีไอพี”
“ที่เดียวกับโอ๊ตนี่นา” ไผทพยักหน้ารับ “สนิทกันมานานหรือยัง”
กนธีหยิบผ้าเช็ดปากให้คุณยาย แกรับมาแล้วยิ้มให้ ส่วนน้องอุ้มเองก็เกาะหนึบกับอาไผ่ด้วยการแย่งลูกตาลคุณอากินจนหมดถ้วย
“ก็ตั้งแต่เข้าไปทำงานที่ร้านเลยครับ”
“ทำถึงปีไหม” ไผทชวนเด็กคุยเรื่อย
“เอ..ผมเข้างานวันที่ยี่สิบแปดเมษา..” ปาลินนับนิ้ว “ลาออกวันที่..”
กนธีที่ช่วยเช็ดมือให้คุณยายชะงักไปครู่
..อะไรนะ..ที่มันติดอยู่ในใจ..
..ยี่สิบแปดเมษา..ทำไมเขารู้สึกคุ้นๆอย่างบอกไม่ถูก..
“โอ๊ะ..” เสียงร้องเบาๆดังขึ้น น้องอุ้มทำปากยู่เพราะทำถ้วยของหวานหก น้ำเชื่อมที่ปนน้ำแข็งไหลเจิ่งนองบนโต๊ะ ดึงความสนใจจากพวกผู้ใหญ่
“ไม่เป็นไรครับ” ไผทยิ้มให้ ปลอบเด็กน้อยที่คิ้วตก ทำท่าห่อเหี่ยวเพราะกลัวถูกดุ “เช็ดแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว เสื้อเปียกหรือเปล่าล่ะนั่น”
“หนูขอโทษฮะ” น้องอุ้มงุบงิบ ดึงเสื้อขึ้น “เสื้อหนูแห้ง แต่เสื้อคุณอา..”
พสิษฐ์โยกหัวน้องอย่างเอ็นดู เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ที่เสื้ออุ้มไม่เปียก เพราะว่าน้ำในถ้วยหกมากองรวมกันที่เขาหมดเลยต่างหาก
ไผทยิ้มขัน “ห้องน้ำอยู่ทางขวามือครับ” จากนั้นก็หันไปบอกแม่บ้าน ให้หยิบเสื้อตัวใหม่มาให้แขกของเขาใส่ก่อน “ผมเพิ่งซื้อมา ยังไม่ได้ใช้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่เช็ดให้หายเหนียวก็พอ เดี๋ยวก็แห้ง”
กนธีถูกเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆตรงหน้าเบนความสนใจออกห่าง เขากลับมาพูดคุยกับคนอื่นตามปกติกระทั่งจบมื้ออาหาร
พสิษฐ์ขอปลีกตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อและจะรออยู่ที่บ้านเลย น้องอุ้มขอตามคุณอาไปด้วย ส่วนน้องอ้นขออยู่กับพี่สน อินทัชเองก็ตั้งใจจะพายายกลับไปพักผ่อนก่อน เพราะให้แกฝืนมากไปจะเพลียเสียเปล่าๆ
“เดี๋ยวผมขอไปส่งยายก่อนแล้วจะรีบกลับมารับนะ” เขาเดินมาบอกพี่กุนต์หลังจากพายายไปนั่งรอที่รถกอล์ฟพร้อมกับคุณไผ่และเจ้าอุ้มแล้ว
“ไม่เป็นไร” กนธียิ้มบาง “พี่ว่าจะอยู่ดูคุณไททำคลอดวัว”
เขามุ่นหัวคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ให้สน...” เขาอยากพูดว่าให้ปาลินอยู่ด้วย แต่ก็เกรงว่าพี่กุนต์จะเห็นเขาจุ้นจ้านวุ่นวายกับชีวิตเกินไป “สนก็อยากดูวัวตกลูกเหมือนกัน” บุ้ยใบ้ไปที่เพื่อนสนิท เจ้านั่นทำตาโตอยู่เสี้ยววินาทีถึงจะเข้าใจ
เขาไม่ไว้ใจคุณไผท ใครกันออกห่างจากพี่กุนต์ได้ เขาก็ไหว้วานทั้งนั้น
กนธีหันไปมองปาลินที่ยืนยิ้มแหย กอดคอน้องอ้นอยู่ด้วยกันแล้วพยักหน้ารับ “ได้สิ..เดี๋ยวเราไปพร้อมกันเลย ว่าแต่น้องสนไม่กลัวเลือดหรือ”
“ดู..ดูได้ครับ” เพื่อนโอ๊ตไม่ถามความสมัครใจกันเลยสักคำ
กนธีหัวเราะเบาๆ พอดีคุณไผทเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและตามออกมาสมทบหน้าบ้าน ชายหนุ่มเอารองเท้าบูทและถุงมือยางมาให้เขาอย่างละคู่
“ไปกันเลยไหมครับ อยากดูด้วยไหมปาลิน” ไผทถาม “เราล่ะเจ้าตัวจ้อย” เขายิ้ม ก้มลงถามน้องอ้นที่ทำหน้าตาตื่นเมื่อรู้ว่าจะได้ดูวัวออกลูก
“อยากดูครับ~”
อินทัชมองคนทั้งคู่อยู่อึดใจแล้วพูดขึ้นเสียงเรียบ “ผมขอตัวก่อนนะครับคุณไผท พายายไปพักแล้วจะกลับมารับทุกคนอีกที”
“ไม่ต้องรีบก็ได้ น่าจะใช้เวลาประมาณสองสามชั่วโมง” ไผทตอบ แกะนาฬิกาข้อมือแล้วฝากคุณกุนต์เก็บไว้ “อย่าจิ๊กของผมล่ะ”
“ขโมยไปขายเลยดีไหม หวงนัก” กนธียิ้มขัน เดินตามไผทออกไป
อินทัชมุ่นหัวคิ้ว ก่อนจะไปขึ้นรถ เขาเข้ามาแตะข้อศอกปาลิน สบตาโดยไม่พูดอะไรเป็นเชิงกำชับให้ช่วยกันท่าไอ้หมอนั่นออกจากพี่กุนต์ด้วย
ปาลินพยักหน้าหงึก ขยิบตาให้แล้วชูนิ้วโป้งเป็นสัญลักษณ์
“น้องสน น้องอ้น มาเร็วครับ” กนธีหันมาเรียก ทันเห็นท่าทางเด็กสองคน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา..รู้ดีว่าตัวเองเป็นคนไร้สาระ ถึงได้ไม่อยากคิดต่อ
..หยุดมันให้ทัน..ความคิดที่ไม่สมเหตุสมผลทั้งหลาย..
..ถ้าอยากมีความสุข ก็อย่าทำตัวเป็นคนคิดมากไปหน่อยเลย..
“ทางนี้เลยคุณกุนต์” เสียงเรียกของไผทดึงใจคนฟังให้กลับมา
กนธีเงยหน้ามอง เห็นรอยยิ้มสว่างไสวของผู้ชายที่ดูมีพลังเหลือเฟือ ทางนั้นบุ้ยใบ้ไปทางโรงเลี้ยงวัว พวกคนงานแยกแม่วัวท้องแก่ที่ใกล้จะคลอดมาไว้ในซองเพื่อความปลอดภัย ตอนที่ช่วยมันจะได้ไม่อันตราย
“นี่เป็นท้องแรกของเนื้ออุ่นครับ” ไผทไม่ได้สวมถุงมือ มีแค่รองเท้าบูทข้างเดียว เขาชี้ให้ดูว่ามีน้ำเมือกไหลออกมาจากปากช่องคลอดของวัว
กนธีใส่ถุงมือยาง ก้าวเข้าไปยืนด้านข้าง ส่วนปาลินกับน้องอ้นคอยดูอยู่ห่างๆ “แม่จะไม่เตะผมใช่ไหม” เขาก้มมองราวเหล็กอย่างหวั่นใจนิดๆ
“ถึงเตะก็ไม่โดนครับ” ไผทหัวเราะ อธิบายให้ฟัง “ส่วนใหญ่วัวคลอดได้เองผมก็แค่คอยดูห่างๆ แต่นี่ท้องแรกเลยช่วยเขาหน่อย”
ชายหนุ่มพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น ชี้ให้ดูว่าเนื้ออุ่นกำลังเบ่งลูกออกมา กนธีมองอย่างสนใจปนตื่นเต้น เขาเห็นกีบเท้าของมันโผล่มาข้างหนึ่ง
“แม่อุ่น..ขอพ่อตรวจดูนิด” ไผทยิ้มบาง สอดมือผ่านเมือกและของเหลวลื่นที่ไหลย้อยเข้าไปคลำทิศทางการออกของลูกวัว “โอเค..สวยมาก”
กนธีขยับเข้าใกล้ “อะไรสวยครับ”
“ท่าออกถูกต้องดี” เขายิ้ม “ปกติต้องเอาสองเท้าหน้าออกมาก่อน ตามด้วยหัวของมัน ถ้าผิดท่านี้ไปก็ต้องลำบากกันหน่อย”
ร่างสูงถอยออกมา คอยเอาใจช่วยกระทั่งเท้าโผล่สองข้าง
“เอาล่ะ” เขายกแขนขึ้นกันคุณกุนต์ “ระวังนะครับ เดี๋ยวเปื้อน”
กนธีพยักหน้า หันไปมองเด็กสองคนที่ยืนลุ้น น้องๆตาเป็นประกาย ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นแม่วัวตกลูกก็คราวนี้
มันคือความสวยงามของการให้กำเนิด สิ่งมีชีวิตที่ไร้เดียงสาค่อยๆโผล่ช่วงขาออกมามากขึ้น ไผทก้าวเข้าไปใกล้ จับข้อเท้าลูกวัวทั้งสองข้างไว้
“จะทำอะไรครับ” กนธีถาม จับหางตัวแม่แต่ไม่ถนัดเลยถอดถุงมือออก
“ช่วยดึง” เขาบอก “แต่ต้องดึงตอนเขาเบ่งและดึงโค้งลงนะ”
จังหวะที่แม่เนื้ออุ่นเบ่ง ไผทก็ช่วยดึงขาลูกวัวลงมาเบาๆ เจ้าตัวเล็กเริ่มโผล่ช่วงหน้า เห็นจมูกกับลิ้นนำมาก่อนเพื่อน กนธียิ้มอย่างดีใจ
“มาแล้วๆ” เขาหันไปหัวเราะให้ไผท
ร่างสูงยิ้มกลับ ทำหน้าที่ดึงขา พอช่วงตัวไหลตาม กนธีก็รีบเข้าไปช่วยประคอง ใช้แขนสองข้างโอบตัวที่เปื้อนน้ำคร่ำ เลอะเทอะไปด้วยเลือดกับเมือกเหนียวอย่างไม่นึกรังเกียจ กระทั่งลูกวัวคลอดออกมาทั้งตัวได้สำเร็จ
พวกเขาช่วยกันวางมันลงกับกองฟางที่ใช้รองพื้นเพื่อความสะอาด ไผทล้วงเอาเมือกในปากกับจมูกออกไม่ให้อุดกั้นจนสำลัก ส่วนกนธีใช้ฟางเช็ดตัวตรงซี่โครงไปยังด้านท้ายเป็นการกระตุ้นการหายใจตามคำบอกของอีกฝ่าย
“หยอดทิงเจอร์ใส่สายสะดือก็เสร็จ เขาบอกว่ามันช่วยกันการติดเชื้อ” ไผทยิ้ม ลงมือทำให้ดูระหว่างที่คุณกุนต์เช็ดเนื้อตัวเด็กน้อยให้สะอาด “ปล่อยไว้สักพัก เดี๋ยวเขาก็ลุกขึ้นกินนมแม่ได้ แต่ถ้าหลายชั่วโมงยังไม่มีทีท่าก็ต้องรีดนมเหลืองจากแม่มาป้อน อันนี้สำคัญมากครับ ทิ้งไม่ได้”
กนธีนั่งทับเข่า มองลูกวัวที่พยายามยันตัวขึ้นเพื่อไปกินนมแม่ เขาอดห่วงไม่ได้เลยช่วยพยุง ไผทเห็นก็ยิ้มตาม เข้าไปช่วยอีกแรง
เจ้าหนูล้มลุกคลุกคลานหลายครั้ง ทรงตัวไม่อยู่นักแต่ก็ตะเกียกตะกายไปได้สำเร็จ ความน่ารักใสซื่อ ลูกตากลมโตของมัน กับวินาทีที่ลูกน้อยได้ดูดนมจากแม่ครั้งแรก ทำให้กนธีรู้สึกอบอุ่นในใจเหลือเกิน
ไผทมองนัยน์ตาที่เป็นประกายของคนด้านข้างอย่างพอใจ ตอนนี้เสื้อแบรนด์เนมของกนธีเปรอะเปื้อนไปหมด ซักแล้วคงยับเยินเกินจะใส่ต่อ แต่ไม่เห็นเจ้าตัวจะโวยวายอะไร ตรงข้าม..กลับยืนมองด้วยความสนอกสนใจ จับจ้องด้วยดวงตาตื่นเต้นยินดี เหมือนเด็กๆที่เพิ่งรู้ว่าลูกอ๊อดสามารถโตไปเป็นกบได้
..เป็นคนที่น่ารักที่สุด..
“คุณคงไม่ฆ่ามันทำสเต็กใช่ไหม” จู่ๆ กนธีก็ถามขึ้น สีหน้าขึงขังจริงจัง “ถ้าคุณคิดจะฆ่า ผมขอซื้อต่อ ตัวนี้ผมช่วยทำคลอด ผมก็จะขอเลี้ยงเอง”
ไผทฟังสักครู่ก็หัวเราะชอบใจ “ไม่ฆ่าหรอกคุณ..นี่วัวนม ไม่ใช่วัวเนื้อ”
กนธีชะงักไปนิดหน่อย “แล้ว..แล้วถ้าลูกมันเป็นตัวผู้ล่ะ” ตัวนี้ออกมาเป็นตัวเมีย เลี้ยงไว้รีดนมต่อได้เหมือนตัวอื่นในคอก แต่เขาเคยดูสารคดีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมโคนมที่มีการยิงหัวลูกวัวทิ้งเพียงเพราะมันเป็นตัวผู้เลยหวั่นใจ
“ผมก็เลี้ยง” ไผทพูดยิ้มๆ “ฟาร์มของผมไม่มีการฆ่า..ที่นี่ไม่ได้ทำเป็นอุตสาหกรรมอะไรทั้งนั้น แค่ทำเป็นงานอดิเรก ไม่ได้รีดนมบรรจุกล่องขาย ผมมีวัวอยู่ห้าตัว มีชื่อทุกตัว ถ้าคิดฆ่า ผมไม่ตั้งชื่อให้หรอก พวกนี้น่ะลูกๆผมทั้งนั้น”
กนธีมองด้วยดวงตาวาววับ “คุณเป็นคนใจดีมาก”
“แต่ถ้าลูกไก่ในฟาร์มเป็นตัวผู้ ผมจะเอาไปบดทำนักเก็ต”
“ห๋า?!” ตั้งแต่เดินมา เขายังไม่เห็นไก่สักตัวเลย
“ผมล้อเล่น” ไผทหัวเราะ “ถ้าลูกวัวเป็นตัวผู้ ผมก็เลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์ต่อ แต่บางครั้งถ้าจำเป็น ผมก็ขายให้คนที่รับซื้อ เขาจะเอาไปขุนหรือทำอะไร อันนั้นขึ้นอยู่กับเขาแล้วครับ หากมีหลายตัวคงแบกค่าใช้จ่ายตลอดไปไม่ไหว”
กนธีเป็นมังสวิรัติ เขาไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่ก็พยายามมองตาม
“คุณไม่ฆ่าผมก็ดีใจแล้ว” เขายิ้มให้ลูกวัวตัวน้อยที่ยังดูดนมแม่ “ว่าแต่..เจ้าตัวนี้จะมีชื่อไหมครับ แม่ชื่อเนื้ออุ่น แล้วลูกจะชื่ออะไร..”
น้องอ้นที่ดูอยู่นานชูมือหรา “ชื่ออ้นครับ วัวชื่ออ้น~”
ไผทหัวเราะร่า “เอาจริงหรือเรา ให้เรียกว่าเจ้าอ้นเลยหรือ”
กนธีกลั้นขำ น้องอ้นดูตื่นเต้น “ถ้าเรียกอ้น ไม่หันทั้งคนทั้งวัวหรือครับ”
ปาลินยิ้ม ลูบหัวชื้นเหงื่อของน้อง “ให้พี่กุนต์กับคุณไทตั้งให้ดีไหมครับ”
ไผทไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว “ให้ชื่ออ้นก็ได้..ถ้าเราฟังแล้วไม่สับสน”
“เย้~” ไม่สับสนหรอก น้องอ้นกับเจ้าอ้น คนละแบบกันเลย
พวกเขาคอยเฝ้าเจ้าอ้นกินนมแม่อยู่สักพักก็ปล่อยพวกมันไว้ตามลำพัง ไผทเดินออกมา เนื้อตัวเลอะเทอะพอๆกับกนธี เขาหันมองแล้วส่ายหัว
“ผมพาคุณมาเปื้อนชัดๆ ขอโทษด้วยนะ”
กนธีหัวเราะ รองน้ำจากสายยางที่คุณไทเปิดให้ “ไม่เลยครับ สนุกดี” เขาล้างคราบเลือดที่ติดตามนิ้วจนสะอาด “แต่สงสัยคงต้องกลับไปอาบน้ำแล้ว”
“ถ้าคุณไม่รังเกียจ..” ไผทหลุบตามองคนที่ก้มๆเงยๆล้างรองเท้าบูทให้ทั้งที่เขาบอกแล้วว่าไม่ต้อง “เย็นนี้มาทานข้าวกับผมได้นะ”
กนธีล้างหน้าตัวเองด้วยน้ำจากสายยางอย่างไม่ถือตัว “โอ้..คงต้องขอผ่านล่ะครับ ขอบคุณมาก พอดีว่าเย็นนี้ไผ่ให้แม่บ้านทำกับข้าวไว้รอแล้ว”
ไผทไม่ได้ว่าอะไร เขาเพียงแต่เปิดน้ำให้เงียบๆ กระทั่งกนธีล้างเสร็จ
“ขอโทษนะ” เขาเอื้อมมือไปแถวใบหน้า ใช้ปลายนิ้วเช็ดคราบเลือดที่ติดตรงข้างแก้มออกให้ “ผมว่าคุณควรอาบน้ำหลายๆรอบ”
กนธีหัวเราะ มีเศษฟางขึ้นไปติดบนหัวด้วย คุณไทช่วยหยิบทิ้ง ไม่ได้หันไปมองเลยว่าปาลินยืนกระสับกระส่าย จะเข้ามาแทรกก็ทำไม่ถนัด
“ขอบคุณครับ” เขายิ้มบาง “ผมผึ่งรองเท้าไว้ตรงนี้นะ”
ไผทพยักหน้า มองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน เขาจ้องแก้มคุณกุนต์จนเจ้าตัวสงสัย ถามว่ามีอะไรติดอยู่อีก “ไม่มีหรอกครับ”
..ก็แค่อยากรู้..ว่าทำอย่างไร..ถึงจะได้สัมผัสโดยไม่ต้องมีข้ออ้าง..
“คุณรู้ตัวไหม..ว่าคุณน่ะแตกต่างกว่าคนทุกคนที่ผมรู้จักมา”
กนธีเลิกคิ้ว ชี้หน้าตัวเอง “ผมหรือ..ก็มีสองตา สองมือ ไม่ใช่สับปะรด”
ไผทส่ายหัว “คุณก็รู้ดีว่าผมหมายถึงอะไร” เขาปิดก๊อกน้ำ
คนฟังนิ่งไป ไม่ได้โต้ตอบอย่างอื่น ทำได้แค่ยิ้มรับ
ร่างสูงใหญ่คว้าผ้าสะอาดตรงระเบียงบ้านมา เช็ดมือให้กนธีโดยไม่สัมผัสแตะต้องเนื้อตัว ท่าทางนั้นไม่ได้คุกคาม เป็นเพียงการช่วยเหลือแบบพื้นๆเท่าที่ชาวไร่บ้านนอก..คนเถื่อนอย่างเขาจะดูแลคนกรุงได้
กนธีชะงักไป “คุณไท..ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“เป็นผมไม่ได้หรือไง” ชายหนุ่มพึมพำ ละมือออกมาเพื่อเว้นช่องว่างให้
“อะไรนะครับ”
“ให้ผมอยู่ข้างๆคุณ..ไม่ได้หรือ” ไผทถามอย่างตรงไปตรงมา
“คุณ..” ชัดเจนแบบนี้ เขาพูดไม่ออกเลย “คุณก็รู้..ผมมีโอ๊ตอยู่แล้ว” เขาเบาเสียงลง ไม่หวังให้ปาลินที่ยืนเมียงมองอยู่ด้านหลังได้ยิน
“นั่นสินะ” ไผทยกสองมือยอมแพ้ “เอาเป็นว่าผมจะไม่ตื๊อก็แล้วกัน”
กนธีลอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก
“แต่ถ้าวันไหนรู้สึกว่าเด็กนั่น..ทำให้คุณเสียใจ” เสียงทุ้มต่ำพูดเรียบง่าย มองลึกลงในแววตาคู่เดิม “ขอให้รู้ไว้ว่าคุณยังมีผมเป็น ‘เพื่อน’ อยู่ทั้งคน”
ใครอีกคนนิ่งเงียบ เสหลบไปทางอื่น ไม่กล้าสบดวงตาที่คอยจับจ้องกันอย่างมีความหมาย..บางที คุณไผทอาจมองอะไรออกเหมือนที่เขากำลังมองอยู่
..และคำพูดนั่น..ก็คล้ายจะสั่นคลอนความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาลง..
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]