บทที่ ๑๙
ถ่านไฟเก่า
“ภวัต...” ปภารัชเรียกเสียงเบา “คุณมาที่นี่ทำไม”
“พรุ่งนี้จะปีใหม่แล้ว ผมเลยอยากมาหา” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม แม้รอยยิ้มนั้นจะดูไร้เรี่ยวแรงก็ตาม
“ภวัตเราไม่ควรเจอกัน” ปราชญ์ทำหน้าอ่อนใจระคนสงสารขึ้นมา
“ผมรู้... แต่ผมอยากมาแค่อวยพรให้คุณ”
ชายหนุ่มส่ายหน้าและยกมือห้าม “อย่าเลยครับ มันไม่ใช่เรื่องที่ดี”
“ผม...” คนที่กักเก็บอารมณ์ดีมาตลอดเริ่มมีน้ำตาคลอ “ผมคิดถึงคุณ ไม่เคยคลาย”
ปราชญ์นิ่งไปทันตามือที่ยกห้ามค่อย ๆ ทิ้งลงอย่างอ่อนแรง ใบหน้าอันคุ้นเคยที่กำลังเศร้าหมองแลดูโทรมกว่าที่เคย
ทั้ง ๆ ที่วันนี้ไปหาพี่ต้นอ้อเพื่อคุยเรื่องที่จะจัดงานปีใหม่แท้ ๆ เพราะพี่ต้นอ้อบอกว่าต้นสนชอบลืมเสมอเลยว่าจะให้ของขวัญ วันนี้ควรจะเป็นวันดี ๆ ก่อนเริ่มปีใหม่ ทำไมกันนะ ทำไมถึงมาในช่วงเวลานี้
“ภวัต”
“ผมทราบดีว่าไม่ควร แต่ว่า... จนถึงเที่ยงคืนของปีใหม่วันพรุ่งนี้ ปราชญ์มาหาผมได้ไหม”
“ผมอยู่กับคุณในวันปีใหม่ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น ขอแค่สักชั่วโมงก็ได้” ภวัตรีบพูดเสริม “ผมรู้ครับว่าคุณไม่มีทางกลับมาแล้ว แต่ว่า... อย่างน้อยก็อยากพบหน้าคุณสักครั้ง” ดวงตาชายหนุ่มสะท้อนไปด้วยความโหยหาระคนทุกข์ระทม
ปราชญ์หลบหลีกสายตานั้น “ผมขอโทษนะภวัต แต่คงจะดีกว่าถ้าเราไม่พบกันอีก”
ใจคนฟังกระตุกวาบ “ขอโทษครับ”
ทั้งสองเงียบใส่กัน ต่างก็จมอยู่แต่กับความคิดของตัวเอง ปราชญ์ยกนาฬิกาขึ้นดูก็พบว่าใกล้เวลาที่จะต้องไปสอนแล้ว “ผมขอตัวไปสอนก่อนนะ ยังไงก็ยินดีที่ได้พบนะครับ”
ภวัตรีบเดินไปจับแขน “ปราชญ์ครับ” ถึงแม้อยากจะดึงเข้ามากอดแต่ก็ต้องห้ามตัวเองไว้และปล่อยแขนไป “เลิกงานแล้วคุยกับผมได้ไหมครับ”
ชายหนุ่มคิดหนักเพราะวันนี้ต้นสนจะต้องมารับ แต่ก็อยากคุยให้เข้าใจ “พรุ่งนี้ก็ได้ครับ”
ภวัตเปรยยิ้มอย่างดีใจ “ได้ครับ ให้ผมมารับนะ”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไปผมหยุด เดี๋ยวผมโทรศัพท์จองโต๊ะร้านอาหารให้ พรุ่งนี้ผมมีธุระช่วงเช้าคงได้ไปช่วงค่ำ ๆ”
“กี่โมงหรือครับ”
“คงจะหนึ่งทุ่ม”
“ได้ครับ”
“คุณพักที่ไหนผมจะได้โทรศัพท์บอก หากจองโต๊ะร้านอาหารได้แล้ว”
“ครับ” ภวัตรีบยื่นเบอร์ให้เป็นเบอร์ของทางโรงแรมที่เขาเป็นเจ้าของ “ผมจะรอนะครับ”
ปราชญ์ผงกหัว เห็นใบหน้าอีกฝ่ายสดใสมากขึ้น หากรู้ว่าพรุ่งนี้ต้องเป็นการคุยครั้งสุดท้าย ใบหน้านั้นคงจะไม่สดใสอีกเช่นเคย
ถึงจะมีความรู้สึกเห็นใจและสงสาร แต่ก็อยากให้ต้นสนเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่ลังเล เพราะตอนนี้เขาเป็นของต้นสนทั้งใจ เขากับภวัตจบกันไปนานแล้ว การเริ่มต้นใหม่มันยากเขาเข้าใจภวัตดี แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะยอมให้ภวัตกลับเข้ามาวนเวียนในชีวิต เพราะมันจะไม่ดีต่อต้นสน
การเรียนการสอนดำเนินไปอย่างราบรื่น ปราชญ์ไม่เอาเรื่องส่วนตัวมาใส่กับงาน ยังคงยิ้มแย้มและให้คำปรึกษากับนักศึกษา คลาสต่อไปก็ต้องฟังนักศึกษาพรีเซนต์และติชมตามฉบับ
จนเวลาล่วงเลยมาถึงเวลาเลิกงาน ปภารัชรีบเก็บของเพราะกลัวว่าต้นสนจะรอนาน แล้วก็เป็นดั่งที่คาด รถของต้นสนจอดรออยู่หน้าทางเข้า
“รอนานไหมครับ” ปราชญ์ก้มถามก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งด้านใน “ขอโทษนะครับพอดีมีคุณครูท่านหนึ่งให้ช่วยเรียงเอกสารเพราะเขาติดพันกับอีกงานอยู่”
“ไม่นานหรอกครับ” ผู้หมวดหนุ่มคลี่ยิ้มตาหยีแล้วยื่นน้ำที่ซื้อมาให้ “ดื่มไหมครับ”
“ขอบคุณครับ” ปภารัชรับมาดื่มพอให้แก้กระหายเนื่องจากรีบจ้ำอ้าวจนเหนื่อยหอบ
พอเห็นว่าคนข้างกายเลิกดื่มน้ำแล้วต้นสนจึงเริ่มออกรถ เพราะหากรีบขับรถออกไป น้ำคงได้หกใส่พี่ปราชญ์แน่นอน
ตลอดทางนั้นค่อนข้างเงียบพอตัว ปราชญ์หันมองคนข้างกายที่ต่อให้เราไม่พูดคุยอะไรกันเลย แต่ใบหน้าของต้นสนก็ยังมีรอยยิ้ม หากเขาพูดเรื่องภวัตรอยยิ้มนั้นคงจะหายไปสินะ
“ต้นสน”
“ครับผม” ดวงตานั้นเป็นประกายเสียงอ่อนนุ่มขึ้นหลายส่วน
ปภารัชได้แต่ขอโทษในใจกับสิ่งที่จะพูดไม่ใช่เรื่องดีเลย “ภวัตมาหาพี่”
รถยนต์กระตุกเล็กน้อยเพราะต้นสนเกือบเหยียบเบรก รอยยิ้มที่ว่าหายไปเหลือเพียงแต่ใบหน้าตื่นตกใจ ดวงตาที่ส่องประกายดับวูบพร้อมกับความตื่นกลัวที่สะท้อนออกมา "มาทำไมหรือครับ แล้วคุยอะไรกัน”
คล้ายถูกมือที่มองไม่เห็นบีบที่หัวใจ ต้นสนดูคงจะกลัวกับสิ่งที่คิดขึ้นในหัว กลัวว่าเขาจะกลับไปหาภวัต... “ภวัตต้องการคุยกับพี่น่ะ พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคุยเรื่องอะไร แต่พี่ก็ต้องการคุยกับเขาเหมือนกัน พรุ่งนี้ช่วงหนึ่งทุ่มพี่นัดเขา”
ต้นสนรีบตีไฟเลี้ยวจอดข้างทาง “จะไปหรือครับ”
ภาพสะท้อนใบหน้าที่เริ่มเศร้า คล้ายจะร้องไห้ได้ทุกเวลา “พี่จะไปคุยกับเขาครั้งสุดท้าย” เมื่อเห็นว่าต้นสนยังดูเศร้า เขาจึงลูบหัวอีกฝ่าย “ไม่ต้องห่วงนะ พี่มีแค่ต้นสน พี่ไม่กลับไปหาเขาหรอก”
“ผม” ชลันคล้ายน้ำท่วมปาก
“เชื่อใจพี่ไหม”
ต้นสนจดจ้องดวงตาที่ไม่ไหวสั่น ทำให้มั่นใจขึ้นอีกเปราะ ความตึงเครียดนั้นค่อย ๆ มลายหายไป “เชื่อใจครับ”
“ขอบคุณนะครับ” เลื่อนมือลงมาเกลี่ยแก้ม “ต้นสนจะไปกับพี่หรือเปล่า”
“ไปได้หรือครับ”
“ไปได้... แต่เราต้องรอพี่ที่รถนะ”
ต้นสนพยักหน้า “ครับ เพราะยังไงเรื่องนี้เป็นเรื่องของพี่กับคุณภวัต คุยกันเพียงสองคนดีกว่า”
“ครับ ขอบคุณที่เข้าใจนะ”
เมื่อตกลงกันเสร็จเรียบร้อยต้นสนก็ขับรถออกไปอีกครั้ง คราวนี้ความเงียบนั้นมีความคิดของคนสองคนที่รู้แค่ตัวเอง ไม่มีใครยิ้ม แต่ปราชญ์สังเกตได้ว่าต้นสนขับรถช้ากว่าปกติจึงชิดเลนซ้ายไว้
“ที่จริงผมลองคิดดูว่า หากผมเป็นคุณภวัตผมจะทำยังไง” ชลันพูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ “ผมรู้สึกเจ็บปวดและคงคิดถึงพี่ปราชญ์มาก คนที่อยู่ด้วยกันมาหลายปีหมดรักกันแล้ว มันดั่งกับโลกถล่มเลยครับ”
ปราชญ์ไม่ตอบอะไรนอกจากฟังอย่างเงียบ ๆ
“ผมสงสารเขาแต่ผมก็กลัว ผมเคยอยู่ในจุดที่แอบรักและคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้เพราะพี่ปราชญ์มีเจ้าของอยู่แล้ว ผมเจ็บเหมือนตัวเองกำลังจะจมน้ำ หายใจไม่ออก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตา และผมคิดว่าเมื่อเขาได้รับความรักจากพี่ปราชญ์แต่กลับต้องหมดลง เขาอาจจะเจ็บปวดกว่าผมก็ได้”
“ทุกคนต่างมีสิ่งที่เจ็บปวด จะมากจะน้อยมันก็คือความเจ็บปวด” ชายหนุ่มเหม่อมองท้องฟ้านอกรถ "พี่ที่ทำให้คนสนสองคนต้องมาเจ็บปวด พี่เองก็รู้สึกแย่”
“มันไม่ใช่ความผิดพี่ปราชญ์หรอกนะครับ เรื่องที่ผมแอบรักนั่นก็เป็นเพราะผมคนเดียว พี่ปราชญ์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกยังไง พี่ปราชญ์เองก็ไม่เคยให้ความหวังผมด้วย ตอนนั้นพี่ปราชญ์ไม่ได้คิดกับผมในแง่อื่นด้วยซ้ำ มีแต่ผมที่เริ่มรักเองแล้วก็เจ็บเองคนเดียว” ผู้หมวดหนุ่มเริ่มยิ้มขึ้นได้เพราะมองจากหลาย ๆ มุม
“ส่วนทางคุณภวัต ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากมาย แต่จากที่ฟังธันเล่าผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาดีต่อพี่ปราชญ์แค่ไหน ถึงผมจะกลัวการที่พี่กับคุณภวัตมาเจอกันแต่ผมคิดว่าการคุยกันคงจะดีกว่า”
ปราชญ์ยิ้มบาง “คิดบวกเสมอเลยนะ”
“ไม่หรอกครับ บางครั้งผมก็คิดลบแถมยังคิดไปเองด้วย”
“พี่ก็เหมือนกัน” เขาถอนหายใจ “ที่จริงตอนเลิกกับภวัตก็ดูคลุมเครือ พี่บอกเขาว่าเลิกรักแล้ว ชีวิตคู่ของเรามันอยู่ในจุดอิ่มตัว แต่เขาคงไม่เข้าใจ เพราะเขายังรักพี่ ส่วนพี่เข้าใจแค่คนเดียวเพราะไม่ได้รักเขาแล้ว”
“ผมขอโทษที่ถามแบบนี้ แต่ว่า... ทำไมถึงพูดว่าเลิกรักแล้วได้ง่ายขนาดนี้ล่ะครับ”
ปราชญ์ไม่นึกโกรธที่ถูกถามแบบนี้ “ช่วงแรกที่เราคบกันเป็นการคบเพื่อแลกเปลี่ยนความสุขทางกาย พี่ยังไม่รู้สึกรักเขา ส่วนเขาก็ยังนอนกับคนอื่นด้วยเพราะไม่ได้รักพี่เหมือนกัน”
เขาเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ “มันเหมือนการนอกใจ แต่มันเรียกว่าการนอกใจได้หรือเปล่านะ ในเมื่อเราไม่ได้รักกัน ภวัตดีกับพี่มาก ประมาณปีกว่าที่ได้อยู่กับเขาพี่เริ่มรู้สึกดีและเริ่มไม่อยากเห็นเขาไปกับคนอื่น เป็นครั้งแรกที่รู้จักกับคำว่าหึงหวง ภวัตยอมหยุดแล้วเราก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาพี่มีความสุขที่ได้อยู่กับเขา พี่สามารถบอกเขาว่ารักได้เต็มปากเพราะพี่รักเขาจริง ๆ”
แม้จะเจ็บปวดที่ได้ฟัง แต่เขาก็อยากฟัง อยากรับรู้ พี่ปราชญ์ไม่ลืมอดีตที่ได้อยู่กับคุณภวัตเลย... ตอนนั้นคงรักกันมากจริง ๆ
“เราก็ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะนะ ต่างคนต่างเป็นคนแรกในชีวิต เป็นรักแรกที่คงลืมไม่ลง ต่อให้พี่เลิกรักเขาแล้ว พี่ก็ยังเป็นห่วงเขาอยู่”
“พูดตรงดีครับ” ต้นสนหัวเราะในลำคอ ปวดแปลบ ๆ ที่อก
“พี่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกของตัวเองได้ ก่อนที่จะเลิกพี่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นตั้งแต่ตอนไหน พี่เคยบอกรักเขาแต่กลับเริ่มรู้สึกอึดอัดที่จะพูด ไม่แปลกหากจะบอกว่าพี่เลิกรักเขาได้ง่ายดาย เพราะบทจะหมดรักมันก็หมดอย่างไร้เยื่อใย พี่ก็ทึ่งกับตัวเองเหมือนกันนะ ยังคิดอยู่เลยว่าที่ผ่านมาพี่รักเขาจริงหรือเปล่า แต่ความทรงจำดี ๆ ที่ผ่านมา มันก็ทำให้พี่มั่นใจว่าพี่เคยรักเขามาก ๆ มากจนไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเราจะเลิกกัน แต่มันก็เป็นไปแล้ว”
ภวัตมักจะชอบบอกว่าเขาใช้ความคิดเยอะ บางทีก็คิดไปก่อนทั้งที่ยังไม่ได้ถาม ส่วนภวัตเป็นคนที่มีอะไรก็พูดออกมาเลย คิดอะไรอยู่ก็พูด เราเหมือนขั้วบวกขั้วลบที่มาเจอกัน ตอนนั้นพวกเรายังไม่เป็นผู้ใหญ่กันมากพอ ชอบลองผิดลองถูก
และภวัตก็เป็นคนที่ขี้เล่น พูดจาหวานหู ทว่า ก็มีความจริงจัง สุขุมในเวลาที่มีปัญหา เป็นคนที่อ่อนโยน ดูแลเขาดียิ่งกว่ากกไข่ในหิน ทุกเทศกาล ทุกความทรงจำมันยังคงอยู่ในหัวเขา ข้างกายมักจะมีภวัตอยู่เสมอ
ในเวลาที่ไปสอบปริญญาโท หรือปริญญาเอก ไปเป็นผู้ช่วยครูก็มีภวัตที่คอยให้กำลังใจ เรียกได้ว่าครึ่งชีวิตนี้ที่ผ่านมาเขามีภวัตเป็นส่วนหนึ่ง
แต่แล้วเขาก็ทำลายส่วนหนึ่งในชีวิต เด็ดขาดจนมิอาจต่อกลับอย่างเดิม
“หากวันหนึ่งพี่คิดถึงหรือกลับไปรักคุณภวัตแล้ว พี่จะกลับไปหาเขาไหม”
คำถามนั้นทำให้ปราชญ์นิ่งไป “พี่ไม่รู้อนาคตหรอกครับ แต่พี่มั่นใจว่าตอนนี้ เวลานี้ ปัจจุบันที่อยู่ตอนนี้พี่รักต้นสน และพี่ก็ไม่คิดจะไปไหนเลย”
ต้นสนเข้าใจดี เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้อนาคตเหมือนกันว่าจะยังรักพี่ปราชญ์อยู่อย่างนี้ต่อไปหรือเลิกรักในวันข้างหน้า แต่เขาก็มั่นใจเหมือนกันว่าทุกช่วงเวลาของปัจจุบันนี้เขารักพี่ปราชญ์สุดหัวใจและมิอาจรักใครได้อีก
“ที่จริงเรายังไม่พูดว่าคบกันอย่างเป็นทางการเลย ผมเองก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก”
“อย่างนั้นหรือ พี่คิดว่าต้นสนเป็นคนรักของพี่มาตลอด”
“ผมก็คิด แต่ผมอยากขอให้มันเป็นพิธีน่ะครับ” ว่าแล้วก็ใช้นิ้วเคาะพวงมาลัยด้วยความประหม่า
“อืม” ปราชญ์พยักหน้าพลางคิดอะไรในหัว แต่ต้นสนดันรู้สึกผิดไปแล้ว
“ขอโทษนะครับที่พูดอย่างนั้น ผมแค่อยากให้เราพูดว่าคบกันแล้วได้เต็มปาก”
“ครับ พี่เข้าใจ บางทีแค่การกระทำมันก็พอบอกได้ แต่กับบางคนเขาต้องการคำพูดด้วย”
“นั่นแหละครับ” ต้นสนชี้นิ้วก่อนจะพรูลมหายใจ “จากเรื่องนั้นมาเรื่องนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้สิครับ”
“พี่เองก็ขอโทษนะหากพูดอะไรกระทบจิตใจไปเกี่ยวกับเรื่องภวัตน่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าหากพี่ยังเป็นห่วงเขาอยู่ผมเองก็ไม่ว่าหรอกเพราะยังไงก็คบกันมานาน แต่ผมไม่ยอมแน่หากเขาจะขอคืนดีพี่ปราชญ์” ชลันพูดด้วยดวงตาแน่วแน่ไม่หวั่นเกรง “ตอนนี้พี่เป็นคนรักของผม”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม “ครับ พี่เป็นของต้นสนคนเดียว”
เป็นอีกครั้งที่ความเงียบกัดกินเราทั้งสองคน แต่มีเพียงต้นสนที่ลุกลี้ลุกลน อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จนจะถึงที่หมายอยู่แล้ว เขาเหล่มองคนข้างกาย พลางคิดว่าหากพูดไปตอนนี้มันจะดีหรือเปล่า “พี่ปราชญ์”
“หื้อ” คนถูกเรียกหันมอง
ต้นสนเอ่ยสิ่งในใจโดยที่ไม่มองหน้าคนข้างกาย “คบกับผมนะครับ” ต้องขอบคุณตัวเองที่ขับรถอยู่ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าพูดต่อหน้า ที่จริงเขาอยากจะพาพี่ปราชญ์ไปเที่ยวที่ไหนสักที่เพียงแค่สองคนแล้วขอคบ แต่เพราะว่ามีเรื่องคุณภวัตเข้ามา เขาก็อยากจะเป็นคนรักเต็มตัวให้พี่ปราชญ์พูดกับคุณภวัตได้ว่ามีคนในดวงใจแล้ว
แต่เสียงเงียบนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มใจแป้ว ทำไมพี่ปราชญ์ไม่ตอบอะไรเลย สุดท้ายก็ถึงหน้าวัง อยากจะตีหน้าผากที่ตัวเองดันมาขอคบบนรถและมาขอตอนที่มาถึงหน้าบ้านอีกฝ่ายพอดี
พี่ปราชญ์ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มหวั่นใจว่าจะขอคบเร็วเกินไปหรือเปล่า ผู้ใหญ่ส่วนมากจะคุยกันก่อนใช่ไหม เขาทำอะไรรวดเร็วเกินไปแน่ ๆ เลย
ต้นสนที่คิดลบไปแล้วก็ตกใจเมื่อคนข้างกายพูดขึ้นมา
“หันมาหาพี่หน่อยครับคนดี”
“ครับ” ต้นสนเม้มปากประหม่าจนเห็นได้ชัด
“ขออีกรอบได้ไหมครับ”
ชลันหายใจติดขัดขึ้นทันตา ดวงใจเต้นระรัว ทั้งใบหน้าและใบหูร้อนขึ้นมาดื้อ ๆ “คือ...”
“พี่อยากให้ต้นสนพูดกับพี่ตอนเราหันหน้าเข้าหากัน”
“ผม” ผู้หมวดหนุ่มหลับตาและปลอบตัวเอง เมื่อลืมตาขึ้นก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง “เราคบกันนะครับ” เสียงกลองที่ไหนกัน ลั่นอยู่ในหูไม่หยุดเลย ใจเต้นแรงขนาดนี้เขาจะตายหรือเปล่านะ
ปราชญ์เองก็หูแดง ทว่า ยังเก็บสีหน้าได้ดี เขานึกขันเมื่อเห็นต้นสนทำหน้าคล้ายกลั้นยิ้ม หน้าแดงจัด ทำปากมุบมิบจนน่ามันเขี้ยว “ครับคนดี”
คนถูกตอบรับนิ่งไปเล็กน้อย ดั่งกับหินมีชีวิต แข็งค้างราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อกปราชญ์หันไปทางเสียงเคาะก็พบกับสาวใช้ที่มาเคาะกระจกรถ “ครับ?”
“กลับมาพอดีเชียวเลยค่ะคุณชายใหญ่ ท่านชายนนท์ประสงค์ขอพบค่ะ”
เขาผงกหัว “ครับ เดี๋ยวผมไป” เมื่อเห็นเธอเดินเข้าไปแล้วก็หันมามองคนข้างกายที่ยังคงดูตื่นตกใจ ไม่ยอมพูดอะไรเลย
“พี่ไปก่อนนะครับ”
ชลันพยักหน้าเชื่องช้านั่งมองอีกฝ่ายเดินเข้าไปในวังแล้วจึงขับรถกลับไปจอดที่บ้านตนเอง ไม่ว่าใครทักทายอะไรก็ไม่ยอมตอบ
“พี่ต้นสนเป็นอะไรน่ะแม่” ฟ้าใสถามผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“ไม่รู้สิ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ลองไปถาม—”
“วู้วววววววว” สองแม่ลูกตกใจจนทำผักตกพื้น อยู่ ๆ ต้นสนก็ตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน ดังจนพ่อเฟื้องที่อยู่โรงสีก่นด่าลูกตัวเองว่ามันเป็นอะไรของมัน
“โอ๊ย แสบหู อะไรของพี่เนี่ย” ฟ้าใสปิดหูตัวเอง
“แม่ ๆ ฟ้าใสสสส” ต้นสนยิ้มกว้างทำหน้าเบิกบาน
“อะไรกัน หื้อ! โธ่เด็กคนนี้ แม่ตกใจหมด”
ต้นสนเดินไปนั่งกับพื้นแล้วเอนหัวซบตักผู้เป็นแม่ “ผมได้คบกับพี่ปราชญ์แล้วแม่”
“ห๊ะ” ฟ้าใสตาโต
“อ่าว ไม่ได้คบกันอยู่แล้วรึ” ต้นอ้องุนงง
“ก็เพิ่งขอเป็นพิธีวันนี้” พูดเสร็จก็ยิ้มจนตาหยี
“พี่ปราชญ์น่าจะตาถั่ว”
“อะไร ๆ เดี๋ยวเถอะ พี่ชายเธอออกจะหล่อและนิสัยดีขนาดนี้”
ฟ้าใสกลอกตาแล้วหันไปเด็ดผักต่อ
“แม่ก็คิดว่าแกสองคนคบกันไปแล้ว วันนั้นก็พูดซะดิบดีว่าให้ดูแลชีวิตคู่”
“ก็คบนั่นแหละแม่ แค่ยังไม่ได้พูดให้ชัดเจนกับสถานะ”
ต้นอ้อส่ายหัวพลางยิ้มเหนื่อยอ่อน “แล้วนี่ ศึกษาดูใจกันพอรู้นิสัยแล้วใช่ไหมถึงคบกันน่ะ”
คนเป็นลูกเงียบไป พลางคิดทบทวน “หลังจากรู้ว่าใครรู้สึกอย่างไรเราก็ทำตัวดั่งคนรักมาตลอดเลย ผม...”
“เอาเถอะ อยู่กันไปก่อนเดี๋ยวก็รู้เองว่าชีวิตคู่รอดหรือไม่รอด จะเป็นยังไงก็ให้มันเป็นไปตามอนาคต แต่ต้นสนอายุน้อยกว่าพี่เขาเยอะเลย อาจจะไม่เข้าใจผู้ใหญ่ในบางเรื่อง มีอะไรก็คุยกันนะ ปรึกษากัน”
ต้นสนพยักหน้า นึกถึงตอนที่พี่ปราชญ์พูดเรื่องคุณภวัตแล้ว ลองมองมุมตัวเองว่าหากเป็นเขาเอง คงจะต้องปิดเงียบเพราะไม่กล้าพูด แต่พี่ปราชญ์ก็พูดมันออกมา เขาเองก็ต้องปรับเปลี่ยนเรื่องความคิดบ้าง บางคนอาจจะบอกว่าถ้าใครรักเรา เราก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอะไรเลย ทว่า มันก็ต้องมีบางเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนกันบ้าง
ที่อยากจะเปลี่ยนในเรื่องความคิด เพราะเราจะได้เข้าใจกันและกันมากขึ้น
เฝ้าคำนึง
“เออแม่ ว่าจะถาม... จัดงานอะไรน่ะ” ต้นสนที่กำลังอยู่ในชุดตำรวจเอ่ยถามพลางมองรอบ ๆ รวมถึงนอกบ้าน
“จนป่านนี้ก็ยังไม่รู้อีกเรอะ” ต้นอ้อส่ายหน้า
“เอ้า ถ้ารู้จะถามไหมล่ะ” ผู้เป็นแม่ที่กวาดบ้านเตรียมยกไม้ทำท่าจะฟาด ต้นสนเลยรีบวิ่งลงไปข้างล่าง “จะตีผมทำไมเนี่ย”
ต้นอ้อเอาไม้กวาดชี้ “เดี๋ยวเถอะ แล้วกลับกี่โมง คนที่ทำงานไม่บอกเลยหรือไง ที่นั่นเขาไม่หยุดกันหรือ”
“อืม... ก็เห็นหยุดล่ะมั้ง แต่ผมไม่ได้ฟังว่าหยุดกันทำไม”
ได้ยินอย่างนั้นต้นอ้อก็ถอนหายใจ “เที่ยงคืนนี้ก็จะวันปีใหม่แล้ว พุธโธลูกฉัน” บ่นเงียบ ๆ คนเดียวแล้วเดินหนีไปกวาดบ้านต่อส่วนต้นสนนั้นเบิกตาโตเป็นไข่ห่านไปเสียแล้ว
“แม่!!!”
“โอ๊ย อะไร!”
“ทำไมไม่บอก!!”
“แกไม่เคยเขียนวันที่เวลาทำงานหรือไง”
“ไม่! ...เขียนก็ได้! แต่ผมจำไม่ได้” ต้นสนโหวกเหวกโวยวาย “ผมยังไม่เตรียมของขวัญให้พี่ปราชญ์เลย!”
“จะไปรู้แกเรอะ” ต้นอ้อตะโกนตอบ สองแม่ลูกเถียงกันเสียงดังจนคนเดินผ่านไปมาได้ยินหมด
“แม่อะ!!!”
“ไปทำงานเลยไปไอ้ลูกคนนี้” ต้นอ้อเดินมาไล่ก่อนจะกลับไปทำอย่างอื่นต่อ
ชลันทำหน้าบึ้งตึง สัมผัสมือที่โดนไหล่ทำให้ต้องหันไปบ่นใส่คนทัก “อะไรเล่า อุ๊ย” ผู้หมวดหนุ่มตกใจก่อนจะยิ้มแหย “พี่ปราชญ์”
“ตะโกนอะไรเสียงดังไปถึงวังเลย”
“ขอโทษครับ” ชายหนุ่มผงกหัว ก่อนจะจับสังเกตได้ว่าวันนี้พี่ปราชญ์อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นกับกางเกงขายาวที่ไม่ใช่ชุดสูทไปสอนอย่างทุกวัน “วันนี้ไม่ไปทำงานหรือครับ”
“หยุดน่ะครับ แล้วต้นสนไม่หยุดหรือ”
“คงหยุดพรุ่งนี้ครับ” ปากหนายิ้มแป้น “แล้วพี่ปราชญ์มาที่นี่ทำไมหรือครับ”
“ว่าจะมาขอส่งต้นสนไปทำงาน เดี๋ยวตอนเย็นพี่ไปรับ”
ต้นสนกำลังดีใจทว่าพอรู้ว่าทำไมถึงทำอย่างนี้ก็ค่อย ๆ หุบยิ้ม “ได้ครับ”
“โธ่คนดี” ปราชญ์ลูบผม “พี่สัญญาจะรีบกลับมาฉลองปีใหม่ด้วยกัน”
“ครับ”
“ยิ้มเร็ว”
ไม่ต้องพูดให้มากความแค่เพียงเห็นรอยยิ้มคนตรงหน้าต้นสนก็ลืมความหม่นหมองในใจไปหมด อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“ไปครับ พี่ไปส่ง” ปราชญ์เดินนำไปอีกทางเพื่อเอารถตนเองไป
ต้นสนยังคงพูดเจื้อยแจ้ว พอไม่ใช่คนที่ขับรถก็เอาแต่รุ่มร่ามจนโดนเอ็ดไปหลายที เอาหัวซบบ่าบ้างล่ะ จูบไหล่บ้างล่ะ หอมตามลำคอบ้างล่ะ ซนเสียจริง น่าตีให้เข็ด
“อือ อย่า” คนอายุมากกว่าเอียงหัวหลบให้วุ่น
“ตัวพี่ปราชญ์หอม ต้นสนอยากจูบ”
อยู่ ๆ ความร้อนก็กระทบใบหน้า ปราชญ์ตาพร่า หัวใจฟูฟ่อง วาบหวามไปกับคำพูดนั้น “หลังจากขอคบเมื่อวานก็เอาใหญ่เชียว”
“ฮี่” ต้นสนหัวเราะเสียงใส ดั่งกับเด็กน้อยได้ของขวัญชิ้นงาม “ผมดีใจนี่หน่า”
“ไว้ดีใจตอนที่พี่ไม่ได้ขับรถไม่ได้หรือครับ เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุ”
“ขอโทษครับ” หูลู่หางตกเป็นอย่างไรก็คงได้เห็นวันนี้
ปราชญ์หันมองน้องสลับกับถนน เห็นท่าทางหงอย ๆ เลยยื่นมือไปเกลี่ยใบหู “คนดีไม่งอนพี่นะครับ”
คนงอนที่ว่าหันหน้าหนี ปราชญ์หันมองทันทีเมื่อถนนว่างกลัวว่าต้นสนจะแง่งอนใส่ ทว่า พอเห็นปลายหูแดงก็ส่ายหน้า
ที่แท้ก็เขินนี่เอง
“พี่ปราชญ์” ตำรวจหนุ่มเรียกเสียงอ่อนเสียงค่อย
“หื้อ” เขาตอบรับและวางมือลงบนต้นขาข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็บังคับพวงมาลัย หากใครมาเห็นเข้าคงหลงเสน่ห์ให้วุ่น
“ผมเหมือนจะตายเลย” ต้นสนเอนหลังพิงกับเบาะพร้อมกับทาบมือลงที่กลางอก “หัวใจผมเต้นเร็วเกินไปแล้ว”
ปราชญ์นิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง เด็กหนอเด็ก “อะไรกัน ไม่ชินอีกหรือ”
“ทีพี่ปราชญ์ยังเขินผมเลย”
คนถูกย้อนกัดปาก แก้มนูนเพราะกลั้นยิ้ม “พี่เปล่า...” เขาว่าเสียงค่อย
ต้นสนหรี่ตามอง ตนเองแก้มแดงขนาดนั้นแต่ก็ยังไปแกล้งคนข้างกาย และแล้วความสนุกก็หมดลงเมื่อมาถึงที่ทำงาน
อยากนั่งรถสักครึ่งวันเสียจริง ผู้หมวดหนุ่มคิดในใจ
“ตั้งใจทำงานนะ”
ชลันผงกหัวก่อนจะเอียงหน้าพลางใช้นิ้วแตะแก้ม รอสักพักก็มีเสียง ‘ฟอด’ ดังแว่วเข้าหู “วันนี้ผมเลิกประมาณหกโมงนะ”
“ครับ เดี๋ยวมารับ”
รอจนต้นสนเข้าไปแล้วปราชญ์ถึงค่อยตีรถออกไป
วันนี้เกิดปรากฏการณ์น่าแปลกที่ผู้หมวดชลันที่เคร่งขรึมเสมอนั่งยิ้มทั้งวัน เท่านั้นยังไม่พอ น้ำเสียงยังอ่อนลงหลายส่วน ลูกน้องในทีมพากันขนลุกเกรียว กลัวฝนจะตกกะทันหัน รวมถึงหัวหน้าในอีกทีมที่ดูจะตกใจและคิดว่าคงจะมีพายุเข้าในอีกไม่ช้านี้ ใครคุยด้วยก็ยิ้มไปคุยไป อารมณ์ดีเป็นที่หนึ่ง
ถึงเวลาเลิกงานต้นสนก็ออกไปที่หน้าสน.เห็นรถคันคุ้นเคยจอดอยู่เลยเดินเข้าไปเคาะกระจกเป็นการขออนุญาตเพื่อขึ้นไปนั่ง
“รอนานไหมครับ”
“ไม่เลย”
ชลันพยักหน้าแล้วยกนาฬิกาขึ้นดู “กว่าจะหนึ่งทุ่ม ก็อีกครึ่งชั่วโมงเลยนี่ครับ”
“พอดีครับ เราก็ไปทานอาหารเย็นด้วยกันเลย” ปราชญ์ว่าพลางมองกระจกเพื่อถอยรถ
“พี่ปราชญ์หิวหรือครับ”
“พี่รอทานอาหารเย็นกับต้นสนน่ะ แล้วต้นสนก็เพิ่งเลิกงานด้วยเลยจะพาไปทานพอดี” พูดเสร็จก็ขับรถออกจากสน.
ต้นสนเม้มปาก “ที่เดียวกับที่นัดคุณภวัตหรือเปล่าครับ”
“ครับ”
หลังจากคำพูดนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรกันอีก จวบจนมาถึงร้านอาหาร ปราชญ์ก็เดินนำเข้าไปนั่งในห้องส่วนตัว สั่งอาหารมาสามสี่อย่าง
“แล้วพี่ปราชญ์จะไม่อิ่มก่อนหรือครับ หากต้องนั่งคุย”
“ตอนนั่งคุยจะสั่งพวกของทานเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ เอาครับ จะได้ไม่อยู่นานเกินไป”
เพียงแค่คำพูดธรรมดาแต่ก็ใส่ใจคนฟัง ชลันอุ่นใจมากขึ้น เพราะเขาไม่อยากให้สองคนนี้อยู่ด้วยกันนานเลย
เขากลัว...
ไม่นานนักกับข้าวก็เสร็จ ทั้งคู่กินไปคุยไป หากอยู่ที่วังคนโดนดุไปแล้ว เพราะควรพูดหรือถามกันเล็กน้อย ถือเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหารที่ไม่พูดคุยมากมาย แต่เพราะตอนนี้อยู่กับต้นสนแถมห้องนี้ยังเป็นห้องส่วนตัวเลยปล่อยตัวตามสบาย
“คุณชายครับ มีแขกมาพบครับ เห็นว่าชื่อคุณภวัต”
ทั้งคู่นิ่งไป ปราชญ์หันมองต้นสนที่ทานไปได้เพียงครึ่งเดียว “คือ”
“ไปเรียกเขาเข้ามาเลย” ชลันคลี่ยิ้มให้พนักงาน พอเห็นพนักงานออกไปแล้วก็ลุกขึ้น ทว่า พอเห็น ‘คนรัก’ มีสีหน้าหนักใจก็ยิ้มให้ “ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะครับ ผมไม่เป็นไรจริง ๆ”
“พี่จะรีบคุยนะ”
ต้นสนใจอ่อนความกลัวลดลง ชายหนุ่มลูบแก้มคนที่ยังนั่งอยู่ “คุยให้เข้าใจเลยครับ ผมรอได้ ดีกว่าค้างคากันนะ”
ปภารัชหลับตาพริ้มเอียงหน้าซบกับฝ่ามืออุ่นร้อน “ขอบคุณครับ”
ผู้หมวดหนุ่มยิ้มบางแล้วก้มลงจูบหน้าผาก “มาครับ เอากุญแจรถมา” ว่าพลางยื่นมือเพื่อขอกุญแจ
ปราชญ์เอากุญแจให้ “หรือจะให้พี่บอกพนักงานเปิดอีกห้องแล้วเอาอาหารไปทาน”
“พอเลยครับ ไว้เรากลับไปกินที่บ้านก็ได้ คืนนี้คงมีอาหารเยอะแยะ”
“จริงด้วยสิ”
“งั้นผมไปนะ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพยักหน้าแล้ว ใบหน้ายังดูหนักใจเลยก้มลงจูบกลีบปากนั้นเบา ๆ ทว่า ตอนผละออกนั้นก็พอดีกับใครคนหนึ่งที่เดินเข้ามา
“ภวัต”
จบบทที่ ๑๙
-----------------------------------------------------------
ภวัตรอบที่สองก็แล้วยังไม่ได้คุยสักที คือมันยาวมากเลย ตอนแรกจะลงตอนนี้ทีเดียวแต่พอแต่งไป มันยาวเป็น24หน้ากระดาษเวิร์ด คิดว่ามันยาวเกินไปเลยว่าจะใส่ช่วงที่คุยกับภวัตไปตอนต่อไปค่ะ เพราะแค่ตอนคุยกับภวัตก็เกือบจบบทนึงได้ คิดว่าเอาใส่ตอนที่20ดีกว่า คาดว่าจะมาลงพรุ่งนี้ช่วงเย็น ๆ หรือค่ำ ๆ
แล้วก็เตรียมทิชชูไว้ก่อนอ่านตอนที่20เลยนะคะ555555555