Dear Sunshine 5 : New friend
เพ้นท์เริ่มสังเกตว่าช่วงนี้เฮียขี้หงุดหงิดมากขึ้น สาเหตุน่าจะมาจากปลายทางโทรศัพท์ในตอนนี้ แม้เขาจะไม่ได้ยินว่าเฮียคุยอะไรกับคนปลายสายบ้างเพราะเฮียซันมักจะออกไปคุยตรงระเบียง ปิดประตูมิดชิดไม่ให้เสียงเล็ดลอด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเห็นท่าทางว่าคนตรงหน้าอารมณ์เสียแค่ไหน
ใจหนึ่งอยากช่วยรับฟังปัญหา แต่อีกใจก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนสมควรรับรู้
ที่ทำได้อยู่ทุกวันนี้ก็แค่บอกคนขี้หงุดหงิดว่ามีอะไรก็ให้บอกกกันได้ เฮียทำเพียงรับคำ แต่ไม่เคยมีเรื่องราวใดๆออกจากปาก
เวลาผ่านไปเร็วยิ่งกว่าโกหก เขาใกล้จะสอบมิดเทอมแล้ว ยิ่งตอนนี้ก็ดึกมากแล้วยิ่งหมายถึงเวลาในการอ่านของเขาลดน้อยลงทุกที คิดได้ดังนั้นคนมีสอบจึงต้องก้มหน้าอ่านหนังสือเรียนต่อไป ประจวบกับที่เจ้าของห้องเปิดประตูระเบียงกลับเข้าห้องนอน
ปุ
“สัดเอ้ย...”
คนโมโหบ่นอุบหลังจากทิ้งตัวลงบนเตียงนอน โยนทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้ข้างกาย เด็กน้อยใคร่อยากเอ่ยถามคำถามแต่ไม่เคยกล้าพอ
“เฮีย...ไม่เป็นไรนะ..”
“...อือ”
“...มีอะไรก็บอกได้นะ รู้ใช่ไหม”
“อือ”
“...”
“เพ้นท์...มากอดหน่อยดิ๊”
“หือ..”
ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรต่อ ร่างโปร่งก็ถูกมือแกร่งคว้าให้ล้มตัวลงบนเตียงใหญ่ ท่อนแขนของเจ้าของห้องพาดระหว่างตัวเด็กน้อยพร้อมกระชับให้คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น
คนหงุดหงิดซุกหน้าคงบนไหล่เล็กพร้อมถอนหายใจเบาๆ
คนโดนกอดไม่ได้ตั้งตัวจึงทำอะไรไม่ถูก ไม่ได้เตรียมตัวโดนกอดกะทันหันเช่นนี้จึงได้แต่นอนนิ่งหน้าแดง เหลือบมองเจ้าของอ้อมกอดเป็นระยะ
ดูท่าเฮียน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจหนักจริงๆนั่นแหละ
คิดดังนั้นจึงพลิกตัวขยับเข้าหาอ้อมกอดอุ่น เอื้อมมือไปโอบล้อมคนตัวใหญ่
ให้ตาย...เพ้นท์นี่มันให้ตายจริงๆ ทำไมถึงปัดเป่าทุกสิ่งที่ตามรังควาญเขาได้หมดจดขนาดนี้นะ
คนโดนเด็กกอดคิดในใจเสียงดัง ไม่ช้าทั้งคู่ก็ผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของกันและกัน
.
เพ้นท์กำลังเผชิญหน้ากับสอบมิดเทอม ส่วนซันแม้ไม่มีสอบแต่ก็มีไปนำเสนอเรื่องทีสิสเหมือนกัน ช่วงนี้พวกเขาต่างมีเรื่องวุ่นวาย ซันจึงไม่ได้ไปรับไปส่งเขาเหมือนทุกที
ก็ไม่เป็นไร
อยู่ได้ สบายมาก
หลังจากช่วงสอบเพ้นท์ขับรถจักรยานยนต์ไปเรียนบ่อยครั้ง อันที่จริงเรียกได้ว่าแทบทุกครั้ง ถึงกิจวัตรประจำวันไม่เหมือนเดิมแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับเด็กน้อย เพราะอย่างไรเขาก็ได้เจอเฮียทุกคืนอยู่ดี
ก็มากพอแล้ว
คิดเช่นนั้นแต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ทุกครั้งที่เพ้นท์กลับมาช่วงนี้มักไม่เจอเจ้าของหัวใจอยู่ในห้อง เฮียมักจะกลับมาช่วงตีสามตีสี่ซึ่งตอนนั้นเด็กน้อยบางทีก็เข้านอนไปแล้ว หากแต่บางทีก็ยังพยายามฝืนถ่างตาเพื่อรอดวงใจอยู่
เฮียไม่ค่อยพูดอะไร ได้แต่ส่งยิ้มมาให้เขา บางครั้งก็ลอบกอดเบาๆ
และบ่อยครั้งที่ซันมักจะออกจากห้องก่อนเขาในช่วงเช้า เวลาคลาดกันบ่อยๆเช่นนี้ทำให้เด็กน้อยเป็นกังวล รู้ว่าคนๆนี้จะต้องมีเรื่องกดดันอยู่เป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรก็เรื่องส่วนตัว ไม่ควรก้าวก่าย
ใช่หรือไม่?
จึงทำได้แค่เป็นตัวส่งให้กำลังใจ ยืนยิ้มให้ห่างๆ
เพราะเฮียเคยบอกว่าอยู่กับเขาแล้วสบายใจ...เลยอยากเป็นคนที่ทำให้เฮียสบายใจ
ถ้าเฮียมีปัญหาหนักหนามามากพอแล้วเขาจะไม่ทำตัวเป็นปัญหาให้เฮียรำคาญใจอีก
หากแต่อีกส่วนลึกในใจกลับร่ำร้องตามคนร้องหาความรัก...
ว่าถ้าหากเฮียคอยช่วยเหลือคนรอบข้าง เฝ้าห่วงความรู้สึกของคนอื่นตลอดเวลา
แล้วเขาเล่า?
เหตุใดซันจึงมองข้ามหัวใจดวงน้อยนี้ไป
ทั้งที่ก็เป็นมนุษย์มีจิตใจเหมือนกัน...
เข็มนาฬิกาชี้บอกว่าค่ำมากแล้ว แต่กระนั้นเขาก็ยังเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวมหาวิทยาลัย เหตุเพราะเจ้าของดวงใจส่งข้อความมาบอกว่ากลับดึกอีกแล้ว
ในเมื่อกลับห้องไปก็ไม่เจอคนที่เฝ้าอยากเจอ สู้ออกมาข้างนอกดีกว่า ไม่ต่างกัน
เขาเที่ยวเตร่กับเพื่อนๆในช่วงเย็น จนพอทุกคนต่างแยกย้ายจากกันเพื่อไปทำธุระของแต่ละคนเพ้นท์จึงอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรหากแต่คิดถึงก็เท่านั้น
อย่างน้อยเขาก็คิดว่าการออกมาเดินชมมหาลัยยามค่ำมืดเช่นนี้อาจพอช่วยทำให้ลดความคิดวุ่นวายนี้ก็ได้
เด็กน้อยเตร็ดเตร่เร่ร่อนจนกระทั่งหยุดอยู่ที่อ่างเก็บน้ำของมหาลัย อ่างน้ำกว้างขวางสะท้อนผืนฟ้าสีเข้ม สายลมพัดเอื่อยๆ มีผู้คนไม่มากไม่น้อยในช่วงยามนี้
เขาเลือกหาที่นั่งดีๆก่อนนั่งลงไป แถวนี้ไม่มีคนสัญจรผ่านเพราะค่อนข้างปกคลุมด้วยต้นไม้ ดูเปลี่ยวโหวงเหวง
เมื่อจ้องมองทิวทัศน์ด้านหน้าก็พบว่ามันสงบดี เด็กน้อยนั่งเหม่อได้สักพักก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงสวบสาบดังขึ้นข้างหลังเขา
หันขวับทันที
“อ้าว...”
“...เอ่อ..”
เสียงประหลาดแรกที่เกิดขึ้นคือเสียงคนย่ำ ทันทีที่เพ้นท์หันไปมองต้นเสียงก็พบกับชายหนุ่มคนหนึ่ง คนมาใหม่ส่งเสียงประหลาดใจพอๆกับใบหน้าสงสัยของคนที่นั่งอยู่ปรากฏ
“อ๋อ เปล่าๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมานั่งด้วย..”
“...?”
“ปกติมานั่งไม่เคยเจอคน”
“แล้ว...” หมายถึงอยากให้เขาออกไปหรือเปล่า? เพ้นท์คิดพลางขยับกายหวังลุกขึ้น
“เฮ้ย เปล่าๆ นั่งได้แค่แปลกใจเฉยๆ”
“...ไม่เป็นไร ที่ประจำนายนี่”
“ไม่ใช่ๆ จะบ้าหรอที่ของทุกคนนั่นแหละ มานั่งด้วยกันดิ”
จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สุดท้ายเขาก็ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมตามคำร้องอีกฝ่ายจนได้ เพ้นท์จ้องมองคนมาใหม่สักพักก็ระลึกได้ว่ารูปร่างหน้าตาเช่นนี้เคยเจอที่ไหน
และจะเป็นใครไม่ได้นอกจากเดือนคณะวิศวะของปีนี้ที่เพื่อนเขามักบ่นใส่อยู่ประจำ
วา
“เราชื่อวานะ ปีหนึ่ง นายอ่ะ”
คนแปลกหน้ากล่าวพร้อมทรุดตัวลงนั่งข้างๆเด็กหนุ่ม เมื่อมีคำพูดมายืนยันอีกครั้งทำให้แน่ใจมากกว่าเดิม เขาตอบกลับคนข้างๆไป
“ชื่อเพ้นท์ ปีเดียวกัน”
“ก็คิดอยู่ว่าต้องรุ่นเดียวกัน” เดือนวิศวะแห่งปีว่าพลางฉีกยิ้ม เพ้นท์ได้แต่หัวเราะขืนๆ
“...”
“แล้ว..มาทำไรอ่ะ”
“หือ?”
“มานั่งตรงนี้เนี่ย แสดงว่าต้องมีอะไรไม่สบายใจใช่มั้ยล่ะ”
“ก็.....มั้ง”
“หึๆ เหมือนกัน...” อีกฝ่ายว่าเสียงเบา เบาเสียจนแทบโดนเสียงลมพัดกลบผ่านลอยไป
เขาไม่ได้ถามอะไรต่อพอๆกับที่อีกฝ่ายนั่งเงียบ สายตาสองคู่จ้องไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า ต่างคนต่างรู้ดีว่าภาพตรงหน้าในมุมนี้มีความงดงามมากเพียงไหน
อย่างน้อยก็มากพอที่จะทำให้ลืมนึกถึงเรื่องราวเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในตอนนี้...
พวกเขาปล่อยให้สายลมคลอเคลียพัดผ่านร่างไปสักพัก คนตัวเล็กกว่าเอ่ยทำลายความเงียบ
“..เราไปแล้วดีกว่า”
“...หรอ รีบไปจัง”
“อืม”
“วันหลังก็มานั่งด้วยกันอีกสิ”
“....”
“นะ..”
“..อืม”
สิ้นประโยค เพ้นท์ยันตัวเองลุกขึ้น บอกลาเพื่อนใหม่อีกสองสามคำก่อนหันหลังกลับ เดินออกจากมุมอับของแอ่งน้ำใส โดยไม่ได้หันกลับไปมองใครอีกคนอีก ใครอีกคนที่จ้องมองเขาเดินจากไปด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก
ทั้งที่หมายมั่นว่าจะรอใครอีกคน แต่พอเขากลับห้องไม่นานก็เผลอผล็อยหลับไป
แดดรุ่งอรุณบอกว่าได้ก้าวสู่วันใหม่
เด็กน้อยลืมตาตื่นเพื่อพบว่า...
คนที่เขารอไม่ได้กลับมา
☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼ ☀ ☼
น่าจะเป็นตอนสุดท้ายก่อนขึ้นค่ายแล้วค่ะ
เจอกันหลังจากนี้อีกสามอาทิตย์นะคะ