Friend's brother Brother's friend 20 , ไม่ได้ไม่รัก
[NET's talk]
พรุ่งนี้บ่ายโมงตรงมีสอบตัวสุดท้าย ชีวิตณัฏฐนิชน่าอิจฉากว่าคนอื่นตรงที่วิชาดังกล่าวเป็นตัววิตามินที่ลงเพื่อดึงเกรดขึ้นโดยแท้
ดังนั้นทั้งๆที่ยังสอบไม่เสร็จดี ผมก็ยังนั่งกินฟิชโช่ห่อสีเหลืองสลับกับแป๊บซี่ที่ขายหน้าเคาท์เตอร์อยู่ในโรงหนังโบราณอย่างสกาล่าสบายใจเฉิบ โดยมีเจ้ามือที่น่ารักนั่งตั้งใจดูเรื่องราวในจอเงินใจจดใจจ่อแต่ไม่วายเลื้อยตัวยาวเอาหัวมาพิงไหล่ให้ผมเกร็งจนเกือบตะคริวขึ้น
หนังที่ดูถูกเรียกว่าหนังนัวร์ ฉายแบบสื่อให้ผู้ชมเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามสไตล์ผลงานที่เข้าชิงรางวัลในเทศกาลหนังที่เมืองคานส์ เฮียบอกเป็นหนังที่ดีมากแต่น่าเสียดายที่ได้เข้าฉายแค่บางโรงเท่านั้นเนื่องจากไม่ใช่ภาพยนต์ที่ตั้งใจตีตลาดแบบกว้าง แต่เจาะไปยังผู้ชมที่ต้องการหนังที่เปี่ยมล้นไปด้วยคุณภาพแทน
ผมไม่ได้ชอบการดูหนัง แต่ก็ไม่ได้เกลียด ความจริงก็คือมันไม่เกี่ยวกับหนังที่มาดูหรอก คนที่มาด้วยต่างหากที่ทำให้ผมตัดสินใจเข้าโรงแต่ละครั้ง
นี่ก็เหมือนกัน ดูไปงงไปแต่กลับรู้สึกสนุก ยิ่งตอนเข้าฉากกดดันดราม่าแปลกๆ ได้สังเภตปฏิกิริยาคนข้างๆยิ่งสนุก เฮียถือแก้วน้ำพลาสติกเอาไว้กัดหลอดน้ำอินไปจนผมต้องตีปากหนาหลายๆทีให้คายออกมา ผู้ชายตัวโตสะดุ้งเสียจริตนิดๆจนผมเผลอยิ้ม เฮียดูมีความสุขเหมือนตัวเองได้ดำดิ่งไปกับภาพตรงหน้า ดีจังนะคนที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรแล้วตัดสินใจเดินตามทางที่ถูกต้องตั้งแต่จบ ม.6 ผิดกับผมที่เลือกๆลงเรียนตามเพื่อนเพราะคิดไม่ออกจริงๆว่าตัวเองชอบทำอะไร และเพราะเป็นคนยังไงก็ได้เกินไปเจียนขึ้นปี 4 ผมเลยไม่ได้รู้สึกแย่ที่เลือกเรียนตามบอมตอนนั้น
บอมชอบวิศวะเหรอ? เปล่าหรอก มันเลือกเรียนเพราะคิดว่าเท่ห์ดีแล้วบังเอิญคะแนนถึง ตามสไตล์ที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโลกก็เท่านั้น ไม่ได้สนใจว่าป๊ากับม้ามันขอแล้วขออีกให้เรียนบริหาร เศรษฐศาสตร์ คหกรรม หรืออะไรก็ได้ที่พอจะกลับมาพัฒนากิจการที่บ้านได้ถ้าใจจริงไม่ได้มีเป้าหมายชีวิตแน่วแน่แบบพี่ชาย แต่สุดท้ายมันก็ตอบคำถามป๊าได้น่าโดนเสยที่สุดด้วยคำว่า ‘มันไม่เท่ห์อะป๊า’
ถึงแบบนั้น สุดท้ายปะป๊าใจดีของบอมก็ไม่ว่าอะไร
เฮียขยับตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงเมื่อฉากสุดท้ายของภาพยนต์ค่อยๆมืดลง ผมเก็บของที่วางอยู่บนพื้นขึ้นทำท่าจะลุกตามคนอื่นที่ทยอยเดินออกไปแต่กลับถูกกดบ่าเอาไว้ก่อน รายชื่อนักแสดงและทีมงานค่อยๆผุดขึ้นมาจากด้านล่างเลื่อนขึ้นบน จนรอบตัวที่เดิมก็มีคนดูบางตาอยู่แล้วกลายเป็นหายไปหมด เฮียก็ยังนั่งอ่านรายชื่อจนชื่อสุดท้ายลอยขึ้นมาถึงลุกยืน โดยที่ผมรู้ทีหลังว่ามันเป็นมารยาทอย่างหนึ่งที่คนไทยไม่เป็นเหมือนต่างประเทศซึ่งมักจะดูจนรายชื่อสุดท้ายหายไปนั่นแหละ เฮียไม่ค่อยได้ดูหนังโรงบ่อยเพราะทำงานเกี่ยวกับสื่อ ประเดี๋ยวประด๋าวไอ้พวกที่กองมันก็ไปหาโหลดมาให้ตามแหล่งใต้ดินก่อนหนังเข้า ซ้ำร้ายบางทียังมีพวกสปอยล์มาเล่าให้ฟังก่อนดูทำเสียอรรถรสหมด นอกเสียจากภาพยนต์ที่ควรซึ่งคุณค่ามันถึงยอมเสียตังค์มาสนับสนุนเท่านั้น และดูยันเม็ดสุดท้ายที่ผมคิดว่าแม่งคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
จะพูดก็พูดเถอะ เฮียบอกว่าหนังที่ฉายในไทยไม่น้อยที่เน้นการตลาดเสียจนไม่มีคุณค่าของตัวเอง แต่ก็มีอีกมากเช่นกันที่ยังน่าสนใจ ควรศึกษาทั้งในเนื้อหา เอฟเฟค วิธีการถ่ายทำรวมไปถึงตัวละครที่ได้รับเกียรติมาสวมบทที่ว่านั้น
เฮียมองอะไรลงไปลึกตามพวกที่ยังมีไฟในการทำงาน อันที่จริงสิ่งที่ชายหนุ่มสนใจมากกว่าเรื่องอื่นคือเอฟเฟค ฟิลเตอร์ในภาพยนต์รวมไปถึงเทคนิคการตัดต่อให้สมูทเพราะตรงกับงานหลักที่มันทำ
หลังจากปิดกองละครหลังข่าวไปยังมีโฆษณาที่ทีมงานเฮียรับมาอีกหลายโปรเจค บางทีก็ไม่ต้องไปทำที่ออฟฟิศ เปิดคอมพ์จัดการที่บ้านก่อนเอาออกไปส่งก็มี กระนั้นนั่นก็เป็นส่วนน้อย เฮียบอกว่าการทำงานเราควรได้เจอผู้คนเพื่อเข้าใจถึงความหลากหลายของปัญหา รู้จักผูกมิตรกับคนอื่น ช่วยกันทำงานตลอดไปถึงการจัดการใช้คนในรูปแบบต่างๆไม่ให้เกิดปัญหา เวลาที่เฮียเล่าคร่าวๆแล้วถึงจะบอกว่างานหลักคือโพสโปรดัคชั่นแต่ฟังยังไงๆผมก็มองว่าเฮียทำงานตั้งแต่GB. เจนเนอรอล เบ๊ ไปจนถึง PM โปรเจคแมนเนจเจอร์ต่างหาก
“อิ่มหรือยัง?”
ทั้งๆที่ควรถามว่าหิวหรือยังมากกว่า แต่เพราะในโรงผมกินตลอดเวลาหนังฉายผู้ชายตัวโตข้างๆมันเลยถามล้อๆ
“ยัง ไปกินเกี๊ยวกุ้งยักษ์กัน”
เฮียพยักหน้า หยิบแว่นที่เหน็บไว้กับเสื้อยืดตราห่านขึ้นมาสวมกันแดด โถ ดูมันเถอะ คนเหี้ยอะไรขนาดใส่เสื้อยืดตราห่านกับยีนส์ขาดวิ่นซกมกๆยังดูดี ผมนี่สิสวมชุดนิสิตอยู่แท้ๆกลับดูเหมือนเป็นเด็กเหลือขอเกเรๆ อะไรวะแค่ไม่ติดกระดุม2เม็ดบนกับปล่อยชายเสื้อนี่ทำให้ภาพพจน์เปลี่ยนขนาดนี้เลยหรือไง
ผมคอยลอบมองเวลาเราทั้งคู่เดินผ่านกระจกอยู่เรื่อยจนรั้งท้าย เฮียต้องกวาดแขนมาล็อคคอให้ผมเลิกโอ้เอ้เดินเสียที สาดดด แม่งคิดว่าตัวสูงกว่าแล้วได้เปรียบ ลากกูเป็นลูกสมุนเลยไง
“ขอเป็นน้ำเปล่าครับ”
เฮียหันไปบอกบริกรแล้วพับเมนูเก็บ ผมยื่นเมนูคืนพนักงานแล้วท้าวแขนกับโต๊ะ ร้านเกี๊ยวกุ้งใจกลางสยามยังมีผู้คนหนาแน่นเหมือนเคย เสียงพูดคุยดังจ้อกแจ้กแต่เหมือนมันจะเงียบลงหน่อยตอนเฮียเดินเข้ามาในร้านเพราะสายตาแทบทุกคู่มองมาแล้วหันไปซุบซิบ บางโต๊ะนินทาคนมาใหม่เบาไปหน่อยผมเลยกลายเป็นคนเสือกได้ยินคำถาม ‘นั่นบีม ปารมี ที่เป็นนายแบบหรือเปล่า?’ อุเหม่ พ่อพระคุณรุณช่อง อำลาวงการมาหลายปีแล้วยังเป็นที่จดจำแบบนี้มันน่าภูมิใจแทนไอ้เน็ตจริงๆที่มี ’ผู้ชายแบบนี้’ มาจีบเปิดอก
ผมรู้สึกยืดนิดๆ จนเฮียเดาะลิ้นแล้วถามว่า “มึงเป็นอะไร?”
“เปล่า อ้อ! พรุ่งนี้ปาร์ตี้เลี้ยงส่งปันไปฝึกงานเมกานะเฮีย”
ประโยคแรกปฏิเสธเนียนๆ แล้วรีบเฉไปเรื่องอื่น เฮียพยักหน้ารับรู้ ก่อนถาม “มันไปเมื่อไหร่ ทำไมรีบจัดกันจัง”
“อาทิตย์หน้า แต่ผมนี่แหละที่นัดพรุ่งนี้ เลี้ยงส่งไอ้บูมไประยองด้วยเลย มันไปอยู่โน่น 20วันประเดี๋ยวจะคิดถึงแสงสี”
“พาน้องกูเสียคนนะ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากได้น้องเขยเหรอ? ผมพยายามช่วยนะ”
“แล้วมึงไม่ชอบไอ้ปันแล้วหรือไงถึงมาช่วยน้องกู?”
ทั้งๆที่ตั้งใจแค่พูดแหย่ไปเฉยๆแต่ประโยคของเฮียที่บอกว่ารู้ว่าน้องชายคนเล็กมันเป็นเกย์ มิหนำซ้ำยังรู้เรื่องปันด้วยแล้วก็ได้แต่อ้าปากพะงาบ ไปต่อไม่ถูกกันทีเดียว
“ว่าไง....”
คนฝั่งตรงข้ามถามซ้ำ ใช้นิ้วเชยปลายคางที่ทำท่าเหมือนจะถามอะไรให้เงยขึ้น ผมสะบัดหน้าหนีแล้วย่นหน้า ถามว่าชอบไหม แน่นอนมันยังพิเศษกว่าเพื่อนคนอื่น แต่ก็ไม่ได้รู้สึกมากมายเหมือนทุกครั้งที่นึกถึง ไม่ได้อุ่นวาบในหัวใจ และไม่ได้เต้นแรงเหมือนมีใครเข้าไปตีกลอง มันเป็นแค่ความรู้สึกแบบ... ยังไงไม่รู้ อธิบายไม่ค่อยถูก
ผมเคยสงสัยว่าคนที่คบกันเป็นสิบปีแล้วเลิกนี่มันทำได้ยังไง บางทีคำตอบมันก็ชัดเจนตรงที่เมื่อเราไปให้ความสนใจ’อย่างอื่น’ ความรู้สึกที่เคยเด่นชัดจะเหมือนค่อยๆเว้าแหว่งไปตามกาลเวลา นึกถึงสมัยเรียนที่ผมชอบมันจนเก็บมาเป็นอารมณ์เสียใจร้องห่มร้องไห้ได้ยังขำตัวเองนิดๆ นี่กูเป็นได้ขนาดนั้นเชียว โถ.. พ่อนายเอกเอ็มวี
เฮียทำหน้ากะล่อนอยู่ตรงหน้า เอามือของตัวเองท้าวคางมองผมยิ้มๆ ยิ้มห่ายิ้มเหวอะไรนักหนาไม่รู้ มีเรื่องอะไรน่าพอใจนักหรือไง ยังไม่ทันตอบถ้วยเกี๊ยวกุ้งใส่ปูหมูแดงของผมก็ถูกยกมาเสิร์ฟ ได้ทีเลยทำเนียนชวนคุยต่อ
“ไปด้วยกันป่าว?”
“หืม? พรุ่งนี้น่ะเหรอ เดี๋ยวไปส่งแล้วกัน ตอนค่ำๆพี่เจี๊ยบนัดกินข้าว”
“พี่เจี๊ยบ? ผู้จัดการคนเก่าของเฮียน่ะเหรอ?”
“อืม มีงานยักษ์เข้ามา เป็นแบรนด์เอ็มบราสเตอร์ของแคสเปอร์สกี เห็นว่ากูเสือกไปตรงสเปคทีมงานเข้าเลยอยากให้ลองไปแคสดู”
“แบรนด์นอกนี่ ผมรู้ๆ เจย์โจวเป็นแบรนด์เอ็มบราสเตอร์ของเอเชีย นี่เจาะตลาดไทยเหรอ?” อดยิ้มยินดีด้วยไม่ได้ ถึงไม่ใช่คนในวงการผมก็รู้ดีว่ามันเป็นโอกาส แต่คนตรงหน้ากลับส่ายหัว
“ยังคิดไม่ตกเลยว่าจะลองไปดีไหม ไม่ชอบทำงานหน้ากล้อง”
“แบรนด์เอ็มบราสเตอร์ไม่ใช่ดาราสักหน่อย เป็นแค่พรีเซนเตอร์ที่ต้องรู้เรื่องสินค้าแบบเจาะลึกเฉยๆไม่ใช่เหรอ?”
“แต่สื่อก็ให้ความสนใจ มานั่งแดกเกี๊ยวกุ้งแบบนี้ยังขึ้นหน้าหนึ่งได้เลย กูไม่ชอบ แต่อย่างที่มึงบอก มันก็เป็นโอกาส”
“เลยจะไปปรึกษาพี่เจี๊ยบ?”
“ก็ถ้าถามมึงมันคงไม่ได้ความ”
โหย ไรวะ ผมตวัดตาขึ้นมองมันงอนๆแต่พอหมูแดงชิ้นใหญ่ถูกวางลงในถ้วยก็หายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ยิ้มร่าคีบขึ้นกินแล้วค่อยแบ่งผักกวางตุ้งในถ้วยคืนให้เฮียบ้าง อะนี่ ได้หมูมาชิ้นเดียว เน็ตผู้แสนจะใจดีแบ่งผักให้หก เจ็ดชิ้นเลย
“มึงนี่นะ! เอาคืนไปๆ ไม่ยอมกินผักตัวถึงได้แกร็นแบบนี้ไง”
“อะไร คนเค้าอุตส่าห์มีน้ำใจ” ทำเป็นบ่นปากงุบงิบ เฮียยิ้มนิดๆแล้วพูดเสียงเบา
“ขอบใจแต่ไม่ต้อง”
****************
ผมได้ไอศครีมฮาเก้นดาสมากินหน้าทีวีหนึ่งกระป๋องหลังกลับจากสยาม นั่งดูรายการวาไรตี้หลังละครจบไป ป้อนเฮียไป เปิดแอร์เอาผ้าห่มคลุมขาแล้วพิงพับกับหัวเตียงใกล้ๆกัน
หอพักที่เช่าอยู่ราคาเดือนละห้าพันบาท รวมอินเตอร์เน็ตอีกก็เพิ่มห้าร้อย ค่าน้ำค่าไฟเบ็ดเสร็จมากกว่าค่ากินต่อเดือนเสียอีก กระนั้นในย่านมหาวิทยาลัยก็ยังได้บริเวณแค่แมวดิ้นตายเพื่อพักอาศัยเท่านั้นกิจกรรมส่วนใหญ่เลยต้องทำบนเตียง นอนบนเตียง ดูทีวีบนเตียง อ่านหนังสือบนเตียง เล่นโนตบุคบนเตียง และกินบนเตียง แรกๆก็สร้างภาพให้เฮียเห็นว่ากินบนโต๊ะหนังสืออยู่หรอก หลังๆพอสนิทกันเลยเอาความซกมกเข้าสู้ว่าเตียงที่ปีนึงจะซักผ้าปูแค่รอบสองรอบน่ะ ผ่านสงครามอาหารมาโชกโชนแล้ว
“เน็ตไม่เคยไปเที่ยวเกาะเลย”
“หืม? พูดเป็นเล่น?”
รายการในจอโทรทัศน์กำลังฉายเรื่องราวสถานที่ท่องเที่ยวในเกาะล้าน ปั่นจักรยาน กินปูนึ่งกุ้งเผา ฝรั่งมังค่าเดินแก้ผ้าให้ว่อนไปหมด ดูผ่านๆมันก็เหมือนทะเลชายฝั่งทั่วไป แต่ถึงแบบนั้นก็อยากลองนั่งเรือดูปะการังสักครั้งเหมือนกัน
“อย่างมากก็ชะอำ หัวหิน พัทยา”
“งั้นไว้กลับมาจากฝึกงานค่อยไปด้วยกัน ลงทะเลใต้ไหม น้ำใส ทรายขาวกว่าแถบนี้เยอะ”
“ไกลไปเปล่า? กลับจากฝึกงานเน็ตได้พักอีกไม่นานก็เปิดเทอมแล้ว ว่าจะกลับไปอยู่กับแม่ก่อนเปิดเทอม เอาใกล้ๆก็ได้ เสม็ดได้ไหม? เขาว่าสวย”
“ไอ้เขาที่ว่านี่มันใคร?”
“หืม? เยอะแยะไปหมด ใครๆก็บอกว่าสวย บรรยากาศดีด้วย”
“แล้วไอ้เขานี่ไม่ได้บอกเหรอว่าไอ้บรรยากาศดีๆเนี่ยแหละเขาถึงว่าไปเสม็ด เสร็จทุกราย”
ตากลมตวัดมองคนพูดขวับ เฮียยิ้มแล้วโน้มตัวเข้ามาหอมแก้มเบาๆ
“ป้อนหน่อยซิ”
ผมเบือนสายตามามองหน้าจอโทรทัศน์ ตักไอศครีมในมือส่งป้อนคนข้างๆลวกๆ แกล้งจิ้มผิดจิ้มถูกไม่เข้าปากจนเฮียเลยร้องฮื้อ
“ป้อนดีๆ”
“ทำตัวเป็นลูกนกไปได้ อะ จะหมดแล้ว” เฮียรับไอศครีมเข้าปาก แล้วหันมาบอก
“ที่เหลือกินไปนะ”
“เน็ตกินเยอะแล้ว เฮียกินเถอะ”
“ก็ซื้อมาให้เน็ตกินนี่ อย่าเรื่องมากน่ากินๆไปจะได้แปรงฟัน พรุ่งนี้มีสอบอีกตัวยังจะนอนดึก”
สุดท้ายผมก็แพ้ความดื้อดึงของอีกฝ่ายตักจ้วงไอติมที่เหลือจนหมด แหม ถ้าไม่คะยั้นคะยอกินไม่หมดนะเนี่ยยย เฮียลุกไปแปรงฟัน หลังจากนั้นก็เป็นผมก็เดินตาม ภาพในกระจกที่อ่างล้างหน้าคือผู้ชายคนหนึ่งมีมัดกล้ามเป็นลอนช่วงบนเปลือยเปล่าแปรงฟันจนฟองฟอด ขณะที่อีกคนที่สวมบ็อกเซอร์ตัวเดียวเหมือนกันตัวเล็กแห้งได้เกือบครึ่งบีบยาสีฟันใส่แปรงอยู่ ตรงหน้าท้องมีพุงห้อยนิดๆเพราะน้ำหนักที่ขึ้นมาอีก 2โลกำลังหาที่ลง ที่จริงหุ่นผมไม่ได้แย่นะแต่พอมายืนเทียบกันตัวตัวกับเฮียแบบนี้แล้วผมเกลียดหุ่นไอ้เฮียขึ้นมาทันที
คนที่เดินออกจากห้องน้ำคนแรกเป็นคนเดียวกับที่เข้ามาก่อน ผมถูๆแปรงลงบนฟันแรงๆสองสามทีแล้วบ้วนปากเดินตามออกมา เห็นอาคันตุกะเลื่อนเก้าอี้ขึ้นปีนรื้อของหลังตู้แล้วขมวดคิ้วย่น
“ทำไร?”
“เหมือนเห็นคีย์บอร์ด อะ นี่ไง”
“ฝุ่นมันเยอะ ไม่ต้องเอาลงมาหรอก”
ผมบอก แต่คนที่รื้ออยู่ข้างบนยังไม่ละความพยายาม ไม่นานนักเจ้าคีย์บอร์ดแป้นเหลืองก็ถูกอุ้มลงมาด้วยฝีมือคนซื้อ เฮียวางลงบนพื้นจัดการเสียบปลั๊กแล้วลองกดให้เกิดเสียงติ๊ง หนิ่ง
“ยังใช้ได้นี่”
“อืม แต่ไม่ค่อยได้เล่นเลย นิ้วแข็งหมดแล้ว เอาลงมาจะสอนเหรอ?”
“กูก็ไม่ค่อยได้เล่นแล้ว ตอนนี้เปียโนที่บ้านก็เป็นหมันเหมือนกัน เน็ตอยากหัดใหม่เหรอ?”
“เท่ห์ออก เล่นดนตรีเป็น”
“งั้นเดี๋ยวกูลองฟื้นก่อนแล้วกัน กลับจากฝึกงานคงสอนได้อยู่ นี่จะนอนหรือยัง”
“อ้าว เมื่อกี้ใครไล่นอนวะ”
ยกมือเกาหัวแกรก ไอ้เราก็รีบจ้วงเอาๆเสือกมาถามหน้าซื่อว่าจะนอนหรือยัง เฮียยิ้มแล้วผละจากคีย์บอร์ดมาบนเตียง จัดหมอนเปิดไฟโคมให้เรียบร้อยก่อนลุกไปปิดสวิซท์ไฟนีออนหน้าห้องโดยทิ้งคีย์บอร์ดไว้อย่างนั้น
“งั้นนอนได้แล้ว”
ผมล้มตัวตามคำสั่ง เฮียดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงช่วงอกแล้วลูบเรือนผมสีส้มเบาๆ จากนั้นโน้มตัวลงจูบที่หว่างคิ้วแล้วยิ้มพราว
“เดี๋ยวเล่นดนตรีให้ฟังก่อนนอน”
เฮียเป็นเล่นดนตรีเพราะ ผมจำได้ เป็นผู้ชายที่ดูเท่ห์มากเวลาอยู่กับเปียโน ใบหน้าหล่อคมดูสุขุมใจเย็น สายตาของเฮียจะสงบนิ่งแผ่นหลังยืดตรงกระทั่งจบนั่นแหละที่มุมปากสวยจึงกดยิ้ม
ภาพนั้นเป็นภาพของเฮียในความทรงจำของผมตอน ม.ปลาย แต่ภาพตอนนี้ภายใต้แสงไฟสีส้มเหลืองคือผู้ชายตัวโตสวมบ็อกเซอร์ลายจุดนั่งขัดสมาธิที่พื้น โน้มตัวลงหน่อยๆเพื่อปรับเสียงไม่ได้ดูสง่างามจนต้องมองตาค้างเหมือนสมัยก่อนเลยสักนิด ทว่าภาพตรงหน้ากำลังทำให้ผมยิ้มแก้มปริ
ปลายนิ้วเรียวของชายหนุ่มค่อยๆกดบรรเลงลงบนแป้น เสียงที่ดังออกมาไม่ได้พริ้วไหวอาจเป็นเพราะเฮียยังไม่คล่องอย่างที่บอกหรือไม่ก็เพราะเพลงที่เล่นเป็นเพลงใหม่ เหมือนเฮียแกะโน้ตสดด้วยซ้ำมันถึงมีผิดเพี้ยนคีย์อยู่บ้าง แรกๆผมต้องกลั้นขำกับพ่อหนุ่มโชว์พาวนิดๆแต่พอเริ่มเข้าสู่ท่อนฮุครอยยิ้มที่ฉีกกว้างของผมก็ค่อยๆหดเม้มลงเป็นเส้นตรง ภาพของผู้ชายใต้แสงไฟสีส้มเหลืองค่อยๆพร่า เฮียกำลังยิ้มอ่อน เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเมื่อเพลงบรรเลงมาจนถึงท่อนสุดท้าย
รักฉันเท่าที่ใจเธออยากรัก เธอไม่ต้องลำบากลืมใครเพื่อมารักฉัน
ไม่ขอให้เธอลืมคนในวันนั้น คิดถึงได้ตามต้องการ
ตอนเราอยู่ด้วยกัน ก็ไม่เคยบังคับกัน
รักฉันเท่าที่เธอจะรักได้***********
(มีต่อ)