บัลลังก์รักใต้เงาแค้น
บทที่ 5
อาชาสีน้ำตาลพ่วงพีกู่ร้องด้วยความตกใจก่อนจะห้อฝีเท้าวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก ทิ้งให้เจ้านายของมันกลิ้ง
หลุนไปกับคนที่จู่โจมลงมาจากต้นไม้ใหญ่ เพชรกล้าตั้งสติอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทั้งคู่หมุนกลิ้งใกล้ต้นไม้เข้าไปทุกทีเขา
จึงคว้าคอเสื้อของคนแปลกหน้าให้เป็นฝ่ายพลิกตัวกระแทกแผ่นหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ทันที
“อึก”
ฟ้าฟื้นถึงกับจุกเมื่อกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และเมื่อเจ้าคนบุกรุกขยับมานั่งคร่อมทับหน้าอกเพื่อให้เขาดิ้น
ไม่หลุดเขาก็ยิ่งแค้น ฟ้าฟื้นจ้องมองกำปั้นที่เงื้อสูงเตรียมที่จะซัดมาที่ใบหน้าของเขาทำให้เขาต้องรีบปล่อยหมัดสวน
อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เต็มน้ำหนักแต่มันก็พอทำให้คนบุกรุกหน้าหงายไปบ้าง ฟ้าฟื้นรีบฉวยโอกาสนั้นผลักร่างของมันให้
พ้นออกจากตัวและรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เปิดฝ่ายจู่โจมก่อนเพราะชำนาญพื้นที่ ฟ้าฟื้นชกคนบุกรุกที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้อีกหนึ่งหมัด แต่มันกลับคว้ากำปั้น
ของเขาได้ในหมัดต่อมาและกลายเป็นว่ามันส่งหมัดตรงเข้าเบ้าตาจนฟ้าฟื้นถึงกับมึน
“ไอ้โจรป่า”
เพชรกล้าตวาดใส่ใบหน้าที่มองเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือถูกปิดบังด้วยผ้าสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้า
ที่แท้จริง
“ช่างบังอาจนัก นี่คงเที่ยวปล้นคนสัญจรไปทั่ว ข้าจะกำจัดเจ้าให้ได้”
ดวงตาคู่นั้นลุกวาบอย่างนึกขำระคนเย้ยหยันที่อีกฝ่ายคิดจะกำจัดเขา ฟ้าฟื้นยกนิ้วกระดิกเรียกมันเข้ามาเพชร
กล้าไม่รอช้าเขากระโจนเข้าโรมรันทันที
เมื่อตั้งตัวได้แล้วทั้งคู่การต่อสู้จึงสูสีจนฟ้าฟื้นถึงกับแปลกใจที่มันผู้นั้นมีฝีไม้ลายมือแข็งแกร่งกว่าชาวบ้าน
ทั่วไป จนแม้แต่เขาถึงกับพลาดท่าจนต้องหงายหลังลงไปกับพื้น
“ข้าจะฆ่าเจ้า”
ฟ้าฟื้นตะโกนลั่นอย่างเจ็บใจ เขาควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากที่เหน็บเอวแล้วโผเข้าใส่ เพชรกล้าจ้องอย่าง
ระมัดระวังเมื่อคมมีดป่ายฉวัดเฉวียนเข้าหา เขาหลบฉากก่อนจะคว้าข้อมือของโจรป่าไว้ได้เขาจึงรีบหักข้อมือทันที
“อ๊าก”
ฟ้าฟื้นร้องลั่นเมื่อข้อมือถูกบิดมีดพกร่วงหล่นลงพื้น เขาเงยหน้าจ้องมองอย่างอาฆาตเพชรกล้ารีบดึงมือนั้น
แล้วกระชากเข้าหาตัว ฟ้าฟื้นพยายามสะบัดหนีแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเพชรกล้าก็ก้าวเข้าด้านหลังและใช้ท่อนแขนเหนี่ยว
ลำคอของฟ้าฟื้น
“ฆ่าข้าเสียเลยสิวะ”
ฟ้าฟื้นกล่าวอย่างคับแค้นเมื่อเป็นฝ่ายเสียเชิง ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหลัง
“ได้สิ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ แต่ก่อนจะฆ่าเจ้าข้าขอเห็นใบหน้าของไอ้โจรป่าสารเลวเสียหน่อยเถิด”
พูดจบเพชรกล้าก็ใช้มือที่ยึดลำคอกระชากผ้าปิดหน้าของฟ้าฟื้นออกทันที เขาดึงให้ฟ้าฟื้นหันมาเผชิญหน้า
กับเขา และเมื่อมองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าสีเข้มเพชรกล้าก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมันไม่เป็นดังที่คาด
โจรป่าควรจะใบหน้าหยาบกร้านกักขฬะแต่ใบหน้าที่เขาจ้องมองอยู่กลับอ่อนเยาว์เกินไป ดวงตาคู่นั้นจ้องเขา
อย่างเคียดแค้นก่อนที่มันจะหันหลังกลับแล้ววิ่งเร้นกายหายไปยังพงไพรอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนโจรป่า เจ้าชื่ออะไร”
เพชรกล้าตะโกนถามตามหลังแต่โจรป่าคนนั้นก็ไม่ได้หันกลับมาทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างลึมตัว
“เจ้าชายอินทัช”
นึกถึงเจ้านายเหนือหัวอย่างตกใจ เพชรกล้าหันรีหันขวางนึกถึงทิศทางที่เห็นม้าขาวประจำกายของเจ้าชาย
อินทัชถูกโจรป่าอีกคนชิงไปพร้อมเจ้าของ เพชรกล้ารีบวิ่งตรงไปยังทิศนั้นอย่างรวดเร็ว
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้!”
เจ้าชายอินทัชธราธิปทรงตวาดออกไปอย่างตกพระทัยเมื่ออยู่ๆก็มีคนกระโดดลงมานั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังอาชา
ขาวปลอดแล้วบังคับให้มันวิ่งเข้าไปยังป่ารกที่พระองค์ไม่เคยย่างกราย พยายามดิ้นรนแต่บั้นพระเอวกลับถูกโอบรัดแล้ว
เหนี่ยวเข้าใกล้แผ่นอกของมัน
“อยากตกจากหลังม้าตอนที่มันกำลังห้อเต็มที่อย่างนี้ก็ดิ้นเข้าไป”
เสียงเข้มดังจากเบื้องหลัง เจ้าชายอินทัชเบิกเนตรกว้าง
“ไอ้อัคคี”
“ดีใจที่ยังจำกันได้”
เสียงหัวเราะลึกอยู่ในลำคอเรียกเลือดในกายให้ร้อนฉ่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พระองค์จดจำไม่รู้ลืม พระ
ปรางอุ่นซ่านขึ้นมาราวกับถูกอีกฝ่ายล่วงเกินไม่นานนี้
“เราจะฆ่าเจ้า”
ตรัสออกไปด้วยขัตติยศักดิ์ศรีแม้ว่าจะหวาดหวั่นเมื่อม้าของพระองค์เองถูกกระชากบังเหียนให้วิ่งผ่านต้นไม้ใน
ป่าจนตาลาย หันขวับหวังจะต่อว่าให้สาแก่ใจแต่กลับถูกมันเอียงหน้าเข้ามาโขมยจูบซ้ำเสียอีกครั้ง
“เลวที่สุด”
จะยกหัตถ์เช็ดปรางข้างที่ถูกหยามด้วยจุมพิตแต่ก็กลัวจะตกม้าจนได้แต่เกาะท่อนแขนที่โอบรั้งบั้นพระเอวเอา
ไว้
“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”
“เจ้ารนหาที่เข้ามาหาข้าเองนะ”
อัคคีเย้นหยัน เขาดึงบังเหียนม้าให้ชลอฝีเท้าเมื่อถึงลานดินบนเนินเล็ก จนเมื่ออาชาพ่วงพีหยุดวิ่งอัคคีก็คว้า
กายให้เจ้าชายอินทัชกระโดดลงจากหลังม้า
เพียะ!
อัคคีหน้าหันไปตามแรงตบของเจ้าชายอินทัชทันทีที่เท้าแตะพื้นและหันกลับมาประจันหน้า ดวงตาดุลุกวาบ
ขึ้นมาก่อนที่อัคคีจะกระชากวงพักตร์ผุดผาดเข้ามาบดจูบที่กลีบปากอิ่มโดยที่เจ้าของไม่ทันตั้งตัว
“อื้ม!”
แม้ว่าจะมีเศษผ้าหยาบกางกั้นแต่เจ้าชายอินทัชกลับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ยกหัตถ์ผลักไหล่ให้โจรป่าถอย
หลังแล้วทรงสะบัดพระหัตถ์ฟาดใบบนซีกหน้าอีกข้างของมัน
เพียะ!
ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง คราวนี้มันกระขากพระอังสาเข้ามาจงใจขยี้ริมฝีปากร้อนลงมา จนเจ้าชายอินทัชแทบยืนไม่
อยู่
“ตบอีกก็จะจูบอีก ตบร้อยทีก็จูบร้อยที”
อัคคีพูดเสียงกร้าวให้เจ้าชายอินทัชรู้ว่าเขาทำจริงจนเงื้อหัตถ์ค้าง ความเจ็บพระทัยทำให้โผเข้าหาหวังจะชก
หน้าให้หายแค้นแต่ดูเหมือนอัคคีจะเดาใจถูก เขาเบี่ยงตัวหลบนิดเดียวและยกขาขึ้นมาขัดจนเจ้าชายอินทัชเสียหลักหน้า
คะมำลงไปกับพื้นดิน
“ช่างดื้อเหลือเกิน”
อัคคีย่อตัวลงไปคร่อมวรกายผุดผ่องพลางดันจนติดพื้น เขาดึงผ้าผูกเอวของเจ้าชายออกและใช้มันคาด
ดวงตาของเจ้าชายไว้จนมั่นใจว่ามองไม่เห็นสิ่งใดอีก เขาจึงพลิกร่างให้เจ้าชายกลับมานอนหงายอยู่ใต้ร่างเขา
“ดื้อจริงๆ”
“ปล่อยเดี๋ยวนี้”
“ไม่ จนกว่าข้าจะได้สั่งสอนให้เจ้าเลิกอวดเก่งเสียที”
“อย่านะ อะ อึก”
เสียงขาดหายอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะดวงเนตรที่ถูกปิดบังไว้ทำให้มองอะไรไม่เห็น ข้อพระหัตถ์ทั้งสองโดน
ยึดตรึงไว้กับพื้นดินจนดิ้นไม่หลุด เรียวโอษฐ์นุ่มถูกปากของคนโฉดครอบปิดเอาไว้ และเจ้าชายมั่นพระทัยว่ามันไร้ซึ่งผืน
ผ้ามาขวางกั้นแม้จะพยายามผินหน้าหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเมื่ออัคคียิ่งเพิ่มน้ำหนักกดดันลงมาให้ทรงผวา
“มะ ไม่ อะ อื้มม”
ลิ้นร้อนฉกลงมาราวกับอสรพิษหนุ่ม กวาดต้อนภายในโพรงปากจนงวยงง แรงดิ้นรนหมดลงโดยพลันจน
กระทั่งเรียวปากแนบชิดขบเม้มไปมาให้เจ้าชายอินทัชเผลอไผลตอบสนองให้มือไม้ไม่อยู่สุขวางป่ายเปะปะไปตามเนื้อตัว
ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเป้าหมายที่กึ่งกลางวรกาย
“ฮึก อย่านะ!”
หมดแรงห้ามปรามแถมยังสะดุ้งเมื่อถูกจู่โจมด้วยอุ้งมือร้อนผ่าว เจ้าชายอินทัชพระศอแห้งผากไปหมดเมื่อจุด
อ่อนไหวถูกโจมตีไปพร้อมกับลิ้นหยุ่นที่ยังซอกซอนไม่เลิกรา เสียงห้ามและต่อว่าขาดหายกลายเป็นเสียงครางแผ่วอย่าง
น่าละอาย เรียกเสียงหัวเราะลึกในลำคอจากอัคคีจนเจ็บใจที่ต้านทานไม่สำเร็จ ความสยิวซ่านทรวงที่ไม่เคยพบเจอเอ่อ
ล้นจนต้องเด้งเอวเข้าใส่มือที่โยกรั้งรวดเร็วจนร่างกายบิดรัวก่อนจะพ่นน้ำคาวออกมาให้อับอาย
“เกลียด!”
ตะโกนลั่นเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ เจ็บพระทัยที่ถูกรังแกโดยไร้ทางต่อสู้และยังไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของมัน ยิ่ง
ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ยิ่งเจ็บ
อัคคีชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเจ้าชายอินทัชมาแต่ไกล นึกเจ็บใจที่ถูกขัดจังหวะแต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้
คนอวดเก่งได้รู้ว่าไม่ควรประมาทผู้อื่น
“เกลียดเถอะ เกลียดให้พอใจ และอย่าลืมว่าคนที่เจ้าเกลียดมีนามว่าอัคคี”
อัคคีก้มหน้าลงไปจูบแรงๆที่กลีบปากแดงเห่อทิ้งท้ายก่อนจะกระโจนหนีขึ้นหลังม้าขาวปลอดคู่พระทัยเจ้าชาย
อินทัช
“ม้าตัวนี้งดงามถูกใจ ข้าขอไปเป็นค่าผ่านทางก็แล้วกันนะ”
เจ้าชายอินทัชรีบดึงผ้าปิดตาออกทันที แต่ก็ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของอัคคีควบม้าของพระองค์ไปไกลลิบ
เจ้าชายอินทัชผุดลุกและมองตามอย่างเจ็บใจ ความเปียกชื้นที่แทรกซึมอยู่ในผ้านุ่งยังเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์พ่าย
แพ้แก่โจรป่าหยาบช้าผู้นั้น
“เจ้าชายอินทัช”
เสียงเรียกของนายทหารคนสนิทเรียกให้เจ้าชายหลุดจากภวังค์ เพชรกล้ารีบวิ่งเข้ามาสำรวจวรกายด้วย
สายตา
“ทรงได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้างพะย่ะค่ะ”
เจ็บที่ใจนี่ไงล่ะ
กัดพระทนต์ด้วยความแค้นแต่ส่ายหน้าให้เพชรฟ้าสบายใจ
“เราไม่เป็นไร แต่มันชิงเจ้าเมฆาไปแล้ว”
หมายถึงอาชาสีขาวคู่พระทัย เพชรกล้าเองก็นึกแค้นไม่แพ้กัน”
“เราคงต้องเดินเท้าออกไปให้ถึงประตูด่านแรกเสียก่อนพะย่ะค่ะแล้วค่อยใช้ม้าจากที่นั่นกลับเข้าวัง หม่อมฉัน
เจ็บใจเหลือเกินที่เสียทีให้แก่พวกมัน แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าทางเข้าออกหุบผากาฬต้องอยู่แถวนี้”
“กลับกันเถิดเพชรกล้าเราไม่อยากอยู่แถวนี้นานนัก แล้วเราจะนำกำลังทหารมากำจัดพวกมันเสียให้หายแค้น”
ใช้หลังหัตถ์ยกมาเช็ดโอษฐ์อย่างเจ็บใจ
อัคคี ไอ้คนเลว
เราจะฆ่าเจ้าให้ได้
มีต่ออีกนิด