'สิงหาถึงกุมภา' ทราบแล้วไม่เปลี่ยน ตอนที่ 3
หลังจากวุ่นวายกับการเปลี่ยนผ้าอ้อมหนูมีนแล้ว ผมก็ต้องมานั่งๆยืนๆหลังขดหลังแข็งทำความสะอาดบ้านเอง ให้รอแม่บ้านและนอนดมกลิ่นอึของหนูมีนก็ไม่ไหว
ใครที่บอกว่ารักกันจนปานจะแหกตูดดมนั้นตอแหล...ผมไม่เชื่อเด็ดขาด
ผมนี่แหละที่รักหนูมีนยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจแต่ไม่สามารถนั่งดมอึหลานแล้วบอกว่ากลิ่นมาดามหอมชื่นใจได้
ส่วนไอ้ตุ๊ดปากแดง เอ้ย ไอ้กุมภาหน้าหล่อคนนั้น มันพรรณาว่าพอออกจากห้องผมไปแล้วรู้สึกคิดถึงหนูมีนอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันหาคำตอบของการคิดถึงลูกมันไม่ได้
แม่งเลยย่องเบาเข้าห้องคนอื่นซะอย่างนั้น
ไม่รู้มันจะได้ยินที่ผมกับยัยมิเถียงกันปัญญาอ่อนหรือเปล่า
ไม่ได้แคร์เล้ยยยย ไม่เคยแคร์ แต่มันก็น่าอายน้อยซะที่ไหนที่ผู้ใหญ่อายุสามสิบมานั่งเถียงไร้สาระกับเด็กอายุยี่สิบอย่างยัยมิ จริงๆแล้วคนอย่างนายสิงหาเป็นคนขรึมและจริงจังกับการทำงานมากนะ ออกไปติดต่องานที่ไหนๆก็หล่อภูมิฐานซะจนสาวๆมองเหลียวหลังก็บ่อยไป แต่กับน้องสาวตัวเองหรือกับลูกน้องผมมักจะให้ความสนิทสนมเป็นพิเศษเท่านั้นเอง
สนิทกับน้องเพราะเรามีกันอยู่สองคน น้องเป็นผู้หญิงผมเป็นผู้ชาย ไลฟ์สไตล์ย่อมแตกต่างกัน ผมต้องทำตัวเองให้เป็นทั้งพ่อ เพื่อนแล้วก็พี่ให้น้องให้ได้ เวลามีปัญหาอะไรเค้าจะได้กล้ามาบอกผมและให้ผมเป็นคนแรกที่เค้าคิดจะพึ่งให้ได้ ผมคิดว่าผมประสบความสำเร็จนะ ถึงยัยมิจะพลาดครั้งยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นผมที่อยู่ข้างเค้า ผมเคยอ่านข่าวประเภทนี้มาจนหวาดผวา ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่พลาดแล้วฆ่าตัวตายเกิดมาจากกฎระเบียบในครอบครัวบีบบังคับ พ่อหรือแม่เข้มงวดเกินไปเจ้าระเบียบและดุจนลูกกลัวเกินกว่าจะบอกความผิดพลาดได้ แล้วสุดท้ายเป็นยังไง ความสูญเสียที่ได้รับเรียกคืนกลับมาไม่ได้ตลอดกาล
ส่วนที่ทำตัวสนิทสนมกับลูกน้อง เพราะบริษัทผมเป็นบริษัทขนาดเล็กไม่ได้เป็นองค์กรใหญ่โตอะไร งานส่วนใหญ่ผมต้องอาศัยลูกน้องนี่แหละทำให้ ผมเชื่อว่าถ้าเราให้ความเป็นกันเองกับลูกน้องมากกว่าวางตัวเป็นผู้บังคับบัญชา ลูกน้องก็จะทำงานให้เราด้วยความเต็มใจไม่ใช่แค่หน้าที่มาบีบบังคับ เค้าจะกล้าเข้ามาบอกผมเวลาเริ่มมีปัญหา อย่างน้อยเราก็จะได้ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ไขตั้งแต่ยังไม่เสียหายมากนัก แต่ถ้าผมวางตัวเองเป็นเจ้านาย ลูกน้องจะไม่กล้าบอกปัญหาอะไรจนกว่าปัญหานั้นจะบานปลายจนมันแดงขึ้นมาเอง ตอนนั้นความเสียหายมันเยอะเกินกว่าจะแก้ได้แล้วทุกที เพราะเหตุนี้ผมจึงเป็นผู้ใหญ่ที่ไร้สาระเกินกว่าผู้ใหญ่ทั่วๆไป ผลดีของการเป็นคนปัญญาอ่อนแบบนี้ แต่ผลเสียมันก็มีนะ อย่างเช่นลูกน้องที่มันปีนเกลียวเจ้านายอย่างไอ้โจ้เป็นต้น
เสียงกริ่งดังหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณบอกว่ามีคนเปิดประตูห้องเข้ามาแล้ว
“น้าสิงห์ อิ๋ง อิ๋ง อิ๋ง”
“น้าบ้านมึงสิกูเป็นน้องแม่มึงตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แหม วันนี้อารมณ์ไม่ดี ขอโทษครับเจ้านาย”
“เออ มีอะไร”
“ผมจะบอกว่าพรีลิมโครงการบ้านจัดสรรอะผ่านแล้วนะ เค้านัดประชุมคุยรายละเอียดวันจันทร์หน้าตอน 10 โมงเช้า ให้เจ้านายเตรียมใส่สูทผูกไทด์ไปคุยกับซีอีโอเจ้าของหมู่บ้านได้เลย”
(Preliminary : แนวความคิดเบื้องต้น,แบบร่าง,sketch design ที่ประกอบไปด้วย concept,prop & mood )
“เออ ความวุ่นวายวิ่งเข้าสู่ชีวิตกูเร็วจริงๆ”
“เงินทั้งนั้นนะครับเจ้านาย จะได้มีเงินไว้เลี้ยงน้องหนูมีน ใช่มั้ยจ๊ะๆ”
เหมือนมันจะพูดกับผม แต่มันจ๊ะจ๋ากับหนูมีนที่นอนฉีกยิ้มตาหยีหัวเราะเอิ๊กอ๊ากทันทีที่ไอ้โจ้เอานิ้วไปเขี่ยแก้มใสสีชมพูเล่นๆ สองขาถีบเบาะที่มีผ้าอ้อมรองนอนกระจุยกระจาย
เพี๊ย!!!
“โอ๊ยย...เจ็บ”
“เจ็บสิ กูตีมึงสุดแรงเลยนี่ ไปล้างมือก่อน มาจับแก้มหลานกูเดี๋ยวเชื้อโรคมาติดหลานกูพอดี แช่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้วฟอกด้วยสบู่อีกสองสามที ล้างน้ำให้สะอาดนะ เช็ดให้แห้งแล้วทิ้งผ้าเช็ดมือไปเลย”
“เรื่องเยอะจริงๆ ทำไมพี่สิงห์ไม่ซื้อเครื่องฉายรังสีฆ่าเชื้อโรคมาใช้เลยล่ะ หนูมีนจะได้ปลอดเชื้อ 100%”
“เหรอ มันมีขายที่ไหนวะ”
“ไม่รู้สิ เมื่อกี้ผมประชด ว่าแต่มันมีด้วยเหรอเครื่องที่ผมว่ามาอะ”
ป๊าบบบ!!!
“โทษฐานที่หลอกให้ความหวังกู”
“พูดคำหยาบต่อหน้าหลาน ระวังหนูมีนเอาไปใช้นะเจ้านาย”
“หลานกูฉลาดเว้ย แยกแยะได้ว่าอะไรดีไม่ดี เดี๋ยวกูจะบอกหนูมีนเองว่านี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี”
“ไม่ได้เลยนะพี่สิงห์เนี่ย เออพี่ เมื่อกี้ตอนผมขึ้นมาเจอใครไม่รู้โคตรหล่อเลย น่ารักมากผู้ชายอะไรหน้าหวานเชียว ไม่น่าเกิดมาเป็นผู้ชายเลยจริงๆ”
“ไม่แปลกเว้ย คอนโดนี้คัดเลือกหน้าตาคนซื้อ”
“สงสัยจะย้ายมาอยู่ใหม่ ของเยอะมาก คุยอะไรกับยามไม่รู้ คอนโดพี่นี่คึกคักไม่สมกับเป็นคอนโดหรูเลยนะ”
“เสือกเรื่องชาวบ้านจริงๆนะมึง อย่าลืมเตรียมเอกสารไปประชุมให้ด้วยล่ะ เอาตัวอย่างวัสดุหลักๆที่ต้องใช้ด้วย พี่สิงห์จะพรีเซ็นต์แบบม้วนเดียวจบแล้วไซน์คอนแทคเลย”
“พี่สิงห์ครับ โบชัวร์โรงเรียนอนุบาลเป็นตั้งๆนี่ เรากำลังจะได้งานดีไซน์โรงเรียนอนุบาลเหรอ”
“เปล่า เอามาศึกษาไว้ให้หนูมีนอะ”
ไอ้โจ้เป็นเด็กจบใหม่ที่เก่งในระดับหนึ่งสำหรับผม เป็นทั้งดีไซเนอร์และเด็กเขียนแบบของบริษัท งานทุกงานผมจะเป็นคนวางคอนเซ็ปโดยรวมแล้วโจ้จะเอาไปทำต่อทั้งทำพรีเซ็นต์และแบบก่อสร้าง แล้วก็จะมีเด็กช่วยเขียนแบบอย่างเดียวอีกสองคน มีฝ่ายบุคคลที่ทำบัญชีด้วยหนึ่งคน มีคนดูแลติดต่อซัพพลายเออร์และจัดหาวัสดุอีกหนึ่ง บริษัทผมมีกันอยู่แค่นี้แหละ บริษัทผมจะออกแบบงานสถาปัตย์เพียงอย่างเดียว งานโครงสร้างวิศวกรรมกับงานระบบไฟฟ้าประปาผมจะส่งต่อให้เพื่อนๆช่วยทำ แค่นี้ก็สามารถรับออกแบบงานก่อสร้างขนาดใหญ่ได้แล้ว เหมือนจะง่ายแต่มันยากตรงที่ต้องใช้ความคิดภายใต้การใช้งานจริงๆได้คุ้มค่าและอยู่ภายใต้กฎหมายกำหนดนี่แหละ
ก่อนหน้าที่ยัยมิจะคลอดหนูมีน ผมมักจะลงไปเคลียร์งานที่ออฟฟิตที่เช่าไว้ใกล้ๆคอนโดเสมอ แต่ตอนนี้ผมต้องรับหน้าที่เลี้ยงหลานแบบเต็มตัวแล้ว ผมไม่สามารถจะทิ้งเด็กอ่อนแล้วลงไปดูแลงานเองได้ ไอ้โจ้เลยต้องเป็นคนเอางานมาคุยกับผมที่นี่ เพราะผมต้องตรวจแบบและออกแบบในส่วนสำคัญๆที่โจ้ต้องเอาไปทำต่อและจ่ายงานให้กับเด็กเขียนแบบ
“หนูมีนเพิ่งจะสามเดือนกว่าๆเองไม่ใช่เหรอ”
“เออ”
“อืมๆ แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าเห่อก็เรียกว่าเว่อร์เลยนะครับพี่สิงห์”
“มึงนี่ยุ่งจริงๆ”
ไอ้โจ้มันเป็นลูกน้องที่ถ้าใครไม่รู้จักจริงๆอาจจะมองว่ามันกำลังปีนเกลียวเจ้านาย แต่จริงๆแล้วมันเคารพแล้วก็แอบชื่นชมผมอยู่นะ มันว่าผมไม่กั๊กความรู้แล้วก็สอนงานมันดี แต่จริงๆแล้วที่สอนงานมันหมดไส้หมดพุงเพราะตั้งใจจะปั้นมันให้เป็นผู้ช่วยผมนี่แหละ ผมจะได้มีเวลาดูแลหลาน จะได้ไม่เหนื่อย คือผมมีแผนแต่ดันเป็นแผนที่กระแทกใจไอ้โจ้พอดีก็เท่านั้น เวลาออกไปทำงานด้วยกันข้างนอก มันก็วางตัวเป็นลูกน้องที่ดีนะ เรียกว่าแสดงละครเป็นลูกน้องได้แนบเนียนมาก
เสียงอินเตอร์โฟนเป็นเสียงที่ใช้ติดต่อสื่อสารกันภายในคอนโดนี้เท่านั้น เหมือนๆกับโทรศัพท์ภายในของอพาร์ทเม้นท์นั่นแหละ คือโทรหาห้องไหนก็ได้แค่กดหมายเลขห้อง แล้วถ้าโทรออกข้างนอกก็ไม่ได้จำกัดเวลาตัดสายเหมือนโทรศัพท์ภายในอพาร์ทเม้นต์ด้วย แล้วตอนนี้มันก็ดังในห้องผมจนหนูมิร้องไห้อีกแล้ว หนูมิจะร้องไห้อยู่สองกรณี คือ หิวเกินไปและเสียงดังเกินไปนี่แหละ แต่แกดันไม่ตกใจเสียงโวยวายของลุงนะ ผมจะเสียงดังแค่ไหน เค้าก็จะแค่กลอกตาไปมาหรือไม่ก็หัวเราะถ้าแกสบายตัวสบายใจก็เท่านั้น
“ไอ้โจ้มึงไปรับสิ หลานกูร้องไห้จ้าแล้ว อะไรวะเนี่ย”
“พี่สิงห์ นิติโทรมา”
“คุยไปเลย”
“คุยได้ไงละครับ ผมไม่ใช่ลูกบ้านนี่ เค้าจะคุยกับพี่”
“ทำไมมีแต่คนยุ่งกับชีวิตกูจังวะ เดี๋ยวกูกับหลานย้ายไปอยู่ป่าแม่งเลย”
“เค้าได้ยินหมดเลยนะพี่ ผมไม่ได้หรี่เสียงไว้ แหะ แหะ ขอโทษครับ”
“เออดี ถ้ากูอยากปลีกวิเวกเมื่อไหร่นะ กูจะไล่มึงออกจากชีวิตคนแรกเลย”
ไอ้โจ้มันทำงานและรับผิดชอบงานดี แต่มันใช้ชีวิตประจำวันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไม่มีเซ้นส์ในการเอาตัวรอดเล้ยยย
“ฮัลโหล สิงหา ห้อง 1166D8 พูดครับ”
กว่าจะสงบสติอารมณ์ให้อยู่ในสภาวะปกติได้ ก็เสือกต้องใช้เวลานานกว่าจะนึกเลขที่ห้องตัวเองออก คอนโดนี้ทุกอย่างดีหมดยกเว้นการกำหนดเลขที่ห้อง ไม่รู้จะทำยากๆไปทำไม ทั้งโครงการมีไม่ถึงร้อยห้องเลยด้วยซ้ำ จำก็ยาก ใครทำหลานผมร้องไห้ ผมพาลแม่งหมดแหละ
“ผมโทรมาจากนิติบุคคลนะครับ พอดีมีคนแแจ้งย้ายเข้าห้องคุณไม่ทราบใช่หรือเปล่าครับ”
“เค้าแจ้งว่าชืออะไรล่ะครับ”
“บอกว่าชื่อกุมภาครับ”
“งั้นก็ใช่ครับ ให้เค้าขนของขึ้นมาได้เลย”
“แต่ของเค้าเยอะเกินกว่าจะขนขึ้นลิฟท์โดยสารได้นะครับ คงจะต้องขึ้นทางบันได”
“จะทำอะไรก็แล้วแต่ทางนิติบุคคลเห็นสมควรเถอะครับ”
เรื่องของเรื่องที่เค้าต้องแจ้งให้ทราบก็เพราะกฎระเบียบของที่นี่เค้ารัดกุมมากเครื่องขนของเข้าออก คุณจะขนของโดยการจ้างรถขนหรือบริษัทจากไหนมาขนก็ตามแต่จุดสิ้นสุดคือหน้าห้องฝ่ายนิติบุคคลเท่านั้น หลังจากนั้นจะเป็นหน้าที่ของนิติบุคคลขนขึ้นมาให้คุณเอง เพื่อความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยไม่รบกวนลูกบ้านคนอื่นๆ แน่นอนว่ามีค่าใช้จ่าย แต่ก็เอาเถอะ เพื่อความสบายใจและรักษากฎของคอนโด นิติบุคคลจะขนสมบัติไอ้ตุ๊ดหน้าหล่อนั่นขึ้นมาห้องผมด้วยวิธีไหนก็ช่าง ผมไม่มายด์อยู่แล้ว
“พี่สิงห์ เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ทีเรื่องแบบนี้ละก็สาระแนแม่ยิ้มขึ้นมาทันทีเลยนะไอ้โจ้ สถาปัตย์สอนให้เราเป็นคนช่างสังเกต แต่ถ้าเยอะเกินไปคล้ายไอ้โจ้นี่ ผมว่าใช้คำว่าเสือกกับมันได้เลยนะ
“มีคนจะย้ายเข้าอะ”
“โห เค้ารายงานกันขนาดนี้เลยเหรอพี่”
“เค้าย้ายเข้าห้องนี้ มึงว่าเค้าต้องรายงานมั้ยล่ะ”
“พี่สิงห์ห้องโดนยึดเหรอครับพี่”
มือไวใจเร็วดีดมะกอกคนปากเสียไปที
“นี่แน่ะ ปากดี ถ้าห้องกูโดนยึด มึงจะมีกินมีใช้มีเงินเดือนอย่างทุกวันนี้มั้ยล่ะถามได้”
“อ้าว ก็อยู่ดีๆพี่บอกจะมีคนย้ายเข้าห้องนี้นี่นา”
ไอ้โจ้เป็นเด็กผู้ชายที่ต้องใช้คำว่าหน้าตาแค่พอดูได้ หรุบตาต่ำ เล่นนิ้วมือตัวเองแล้วทำปากอุบอิบๆที่โดนผมด่า คุณคิดว่ามันจะน่าสงสารมั้ย
ผมเป็นผู้ใหญ่จิตใจดีมากนะครับทุกคน
แต่ไม่เลย ไอ้โจ้โดนผมถีบเข้าสีข้างไปอีกหนึ่งที คือผมเห็นมันทำท่านี้แล้วจะอ้วกขึ้นมาเลยอะ ถ้าเป็นหนูมีนทำมันคงจะดูน่ารักมองแล้วโลกสดใส แต่ถ้าไอ้โจ้ทำ ผมอยากในโลกนี้มืดมิดไปเลย
“ใครเหรอพี่”
ผมบอกแล้วใช่ไหม ไอ้โจ้ใช้คำว่าเสือกกับมันได้ ไม่ผิดแน่ๆ
“พ่อหนูมีน”
“หาาาาาาาา”
“หาอะไรของมึง”
“ไหนพี่บอกผมว่าหนูมีนไม่มีพ่อ พี่จะเป็นพ่อให้หนูมีนไง”
“แล้วมึงจะให้น้องกูปฎิสนธิกับกระบอกไม้ไผ่หรือไง เรื่องมันยาว”
“อย่าบอกนะว่าเป็นน้องสุดหล่อที่ผมเห็นข้างล่าง”
“สุดหล่อที่มึงบอกมาปากแดงหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่รู้สิพี่ ผมไม่ได้โรคจิตยืนจ้องปากเค้าอะ”
สะอึกเลยสิสิงหา ที่ไอ้โจ้ว่ามาเท่ากับหลอกด่ามึงชัดๆ
“สงสัยจะใช่ไอ้ตุ๊ดปากแดงนั่นแหละมั้ง คงไม่มีใครย้ายเข้ามาที่นี่วันละหลายๆคนหรอก”
“พี่ไปว่าเค้าเป็นตุ๊ดได้ไง บุคลิกเค้าอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ลูกคุณหนูอะพี่ อย่างดีก็แค่เป็นเกย์นะ”
“ก็มึงเองไม่ใช่เหรอไอ้โจ้ที่เสี้ยมกูว่าถ้าเดินหนีบ ทำหัวตั้ง หน้าขาว ปากแดง ไม่มีสิวและริ้วรอยให้คิดว่า 90%เป็นตุ๊ด อีก 10% ให้ฟังเสียงพูด”
“ผมแค่บอกให้พี่สันนิษฐาน ขืนพูดฟันธงออกมาขนาดนั้นเค้าได้ต่อยเอาหรอก”
“มึงบอกช้าไป กูโดนมันต่อยแล้ว ยังเป็นรอยจางๆอยู่เลยเนี่ย มึงไปดูสิสงสัยเค้าจะขนของขึ้นมาถึงแล้ว ได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกันที่หน้าห้อง”
จะว่าไปผมก็ไว้ใจคนง่่ายเหมือนกันนะ ถ้าไม่คุยกับยัยมิจนแน่ใจว่าไอ้ตุ๊ดปากแดงนั่นไม่ได้แอบอ้าง ผมก็คงจะรับใครก็ไม่รู้มาร่วมชายคาด้วย
“พี่สิงห์ค๊าบ พี่สิงห์”
ถึงห้องผมจะกว้างแต่มันควรจะตะโกนเรียกผมเสียงดังลั่นขนาดนั้นมั้ย ถ้าหนูมีนร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก ผมรับรองได้เลยว่าไอ้โจ้จะต้องเหลือแค่ชื่อแน่ๆ
“มีอะไร”
“พี่มาดูนี่สิครับ”
มันเรียกให้ผมมาดูอะไรบางอย่าง แต่มันเองยืนขวางอยู่เต็มประตู มือทั้งสองข้างกางยันขอบวงกบเอาไว้ ถ้าผมอยากจะเห็นว่าข้างนอกมีอะไรน่าตื่นเต้น ผมต้องลอดใต้จั้กแร้มันดู แต่ฝันไปเถอะ ตบหัวมันไปที ให้มันหลีกทาง
“พระเจ้า นี่มันอะไรกันวะเนี่ย”
หน้าห้องตลอดทั้งทางเดินกินบริเวณไปอีกสองสามห้องติดกันทั้งฝั่งผมและฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยข้าวของสารพัดอย่าง ส่วนใหญ่เป็นของใช้ส่วนตัว ทีวี เครื่องเสียง แต่ที่ผมเห็นกองกันอยู่กินพื้นที่ส่วนใหญ่ของทางเดินคือเสื้อผ้าและหนังสือ ชักจะไม่แน่ใจแล้วว่าของพวกนี้เป็นของนักศึกษาที่เช่าอพาร์ทเม้นท์อยู่หรือวะเนี่ย เหมือนของที่ขนออกมาจากสต็อคเวลาห้างไฟไหม้มากๆ
“พี่ครับ แล้วเจ้าของเค้าไปไหน”
มีเจ้าหน้าที่ของนิติบุคคลยืนเฝ้าของอยู่ ส่วนไอ้ตุ๊ดปากแดงผมยังไ่ม่เห็นหน้ามันเลย
“ยืนคุมคนขนของอยู่ข้างล่างครับ”
“นี่ยังขนไม่หมดอีกเหรอครับพี่”
“นี่เพิ่งได้ครึ่งหนึ่งครับ อีกครึ่งยังกองอยู่ข้างล่าง”
ผมฟังแล้วได้แต่ตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่ เข่าแทบทรุดลงไปกองกับพื้น นี่ ไอ้กุมภามันมีสมบัติบ้าอะไรนักหนาวะ แล้วของพวกนี้จะมาอยู่ส่วนไหนของห้องผมได้เนี่ย ของเยอะขนาดนี้ผมควรจะปลูกบ้านเดี่ยวกินบริเวณสักสองสามไร่ไม่รวมกรีนแอเรียแล้วมั้ย
“ใช่สุดหล่อที่ผมเจอข้างล่างจริงๆด้วยพี่สิงห์ พ่อหนูมีนหล่อมากเลยนะ หน้าหวานจนผู้หญิงอายเลย”
“มึงอย่าเพ้อมากไปไอ้โจ้ เดี๋ยวกูไม่จ่ายเงินเดือนซะเลยนี่ แล้วลุงหนูมีนไม่หล่อตรงไหน”
“ตรงที่ไม่โกนหนวดนี่แหละพี่ เค้าว่าเชื้อโรคมันจะไปรวมตัวกันอยู่ในกลุ่มหนวดเครา เวลาพี่หอมแก้มหนูมีน พี่ไม่กลัวหนูมีนได้รับเชื้อโรคเหรอ”
“จริงเหรอวะ งั้นมึงช่วยไอ้หล่อของมึงจัดข้าวของไปแล้วกัน ส่วนกูจะไปโกนหนวดอวดความหล่อกับหลานกูก่อน ถึงว่าหนูมีนดูจั้กจี้เวลากูหอม”
“ไม่ใช่เอาไว้แข่งหล่อกับใครเหรอครับพี่”
“กูหล่อสุดเว้ย ไม่ต้องแข่งกับใคร”
เรื่องหล่อนี่ขอให้บอก สิงหาไม่แพ้ใครแน่ๆ มาดแมนแฮนซั่มกล้ามเป็นมัดๆ คมเข้มสาวมองเหลียวหลัง มีเสน่ห์ต่อเพศเดียวกันและเพศตรงข้าม แต่ความหล่อไม่ได้ช่วยอะไรนะ เพราะสุดท้ายแฟนผมยังทิ้งเพราะผมทุ่มเทเวลาให้กับน้องและหลานมากกว่า
หน้าตาช่วยให้เราหาแฟนได้ง่ายๆแต่ก็เลิกรักกันได้ไม่ยาก ไม่เห็นจะมีอะไรจีรังยั่งยืนเลยสักอย่าง ผมนี่แหละจะสร้างครอบครัวอบอุ่นโดยไม่ต้องมีแฟนให้ดู
๐ สวัสดีค่ะ การเอาเรื่องมาลงเล้า เหมาะสำหรับคนที่ชอบถูกกดดันแบบคนเขียนจริงๆ ถ้าเกิดรอสร้างสต็อคคิดว่าคงจะไม่ได้ลงไปจนกว่าเรื่องเด็กป๋าจบแล้วไม่มีอะไรจะทำต่อแล้วแน่ๆ
๐ ขอบคุณทุกคนมากนะคะ ที่ยังติดตามกันอุ่นหนาฝาคั่งเหมือนเดิม หลายคนตามกันมาตั้งแต่พี่เมฆกันเลย ขอบคุณจริงๆค่ะ
๐ ขอบคุณที่ดูคำผิดแล้วก็เป็นหูเป็นตาให้นะคะ
๐ เรื่องนี้เบาสมองไปมั้ย...!!!
๐ TRomance