Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 42
เวลาของ ‘เรา’
“สวย”
“ใช่...สวยมาก”
อินทัชมองไปยังวิวด้านหลังหลังจากพิชิตลานหินปุ่มสำเร็จ พวกเขายืนอยู่ตรงป้าย ‘ผู้พิชิตลานหินปุ่ม’ พอดี ความรู้สึกที่เดินมาอย่างเหน็ดเหนื่อยมันหายไปเมื่อได้เห็นภาพสวยงามกับบรรยากาศที่เย็นสบายแบบนี้
ส่วนรามินทร์ก็เอาแต่มองหน้าด้านข้างของร่างบาง แต่ปากก็เอ่ยชมออกไปว่าสวย ที่อินทัชเข้าใจว่าเจ้าตัวคงจะชมวิวเหมือนกับตัว แต่ความจริงคือชมคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ต่างหาก
“อากาศดีมาก คุ้มกับที่เดินมาเหนื่อยๆ”
“ใช่...มันคุ้มมากๆ” ตอบกลับอย่างใจลอย
คุ้มที่ได้เห็นรอยยิ้มของมึง...คุ้มที่ได้อยู่กับมึง...มันคุ้มสำหรับกูที่สุดแล้วอิน
“เสียดายไม่ได้เอากล้องมา” อินทัชพึมพำ
“เก็บเอาไว้ในความทรงจำก็พอแล้ว ต่อให้เราถ่ายไป เราก็ไม่เคยเอากลับมาดูหรอก ถ้ามึงอยากเห็นภาพมันใหม่ มึงก็แค่มาที่นี่ หรือไม่ก็เปิดภาพจากเน็ตดูเอา”
“มึงนี่คิดอะไรง่ายๆ กับเขาก็เป็นด้วยนะ” อินทัชชม
“กูแค่พูดในฐานะคนที่ชอบถ่ายรูป แต่ก็ไม่เคยหยิบรูปที่เคยถ่ายมาดูเลยสักครั้ง เลยไม่คิดจะเอากล้องมาให้เสียเวลา สู้เก็บเอาไว้ในความทรงจำดีกว่า จำมันเอาไว้ บรรยากาศแบบนี้ ภาพแบบนี้...”
ร่างโปร่งหันไปมองที่ด้านหน้าเหมือนเดิมเพื่อซึมซับความรู้สึกต่างๆ อย่างที่รามินทร์พูดออกมาเมื่อกี้นี้...อินทัชจะจดจำภาพนี้ บรรยากาศแบบนี้ ความรู้สึกแบบนี้เอาไว้...
จะไม่ลืม...และไม่มีวันลืม
“กูเองก็เป็นแบบนั้น เวลาไปเที่ยวเพื่อนกูมักจะมีคนที่ถ่ายรูปให้อยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องพกกล้องเอง อยากได้รูปนั้นก็แค่ให้มันส่งมา ก็จบแล้ว”
“ไหนว่ามึงไม่ค่อยเที่ยว”
“ไม่ค่อยเที่ยวในไทย เพราะกูเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ที่เที่ยวของกูก็จะขึ้นอยู่กับประเทศนั้นและ อ้อจริงสิ ขึ้นอยู่กับเวลาพักที่มีด้วย…”
นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับรามินทร์ เพราะตอนนี้อินทัชกำลังเปิดใจมากยิ่งขึ้น ทั้งพูยาวขึ้น และเล่าเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้ฟังอีก...
รามินทร์เข้าหาไปได้อีกระดับแล้ว โดยที่อินทัชไม่มีทางรู้เลยว่า เปิดทางให้ร่างแกร่งเข้ามาแล้ว...แต่มันก็ขึ้นอยู่ที่ความสามารถของรามินทร์อีกนั่นแหละ ว่าจะสามารถเข้าไปได้ถึงขนาดไหน
“นั่นสินะ...งานมึงเยอะนี่นา”
“เลิกพูดเรื่องงานเถอะ” อินทัชตัดบท เพื่อเลี่ยงประเด็นที่จะทำให้ตนเครียด
“กูก็ว่างั้น...มึงหิวหรือยังอิน”
“หิว...แต่ขออยู่นานกว่านี้หน่อยนะ กว่าจะมาถึง”
“ได้ๆ ถ้ามึงทนได้น่ะ แต่ถ้าทนไม่ไหวก็รีบบอกแล้วกันนะ”
“มึงล่ะ…”
“กู? ทำไม?” ทำหน้างงงวยที่อินทัชถามมาสั้นๆ
“หิวหรือยัง”
“กูยังไม่ค่อยหิวหรอก”
“อืม...ก็ดีแล้ว”
“มึงไม่ต้องมาห่วงกูหรอกน่า กูอยู่ได้ถ้าหากว่ากูหิวน่ะ แค่อดทนมันจะไปยากลำบากอะไรนักหนา”
“หึหึ”
ร่างโปร่งหัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วออกเดินจากตรงนี้ไปยังตรงที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่การยืนดูแต่จุดเดิมๆ โดยที่มีร่างสูงกว่าเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
“มึงรู้ไหมว่าอุทยานนี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดเลยนะ” รามินทร์ที่เดินอยู่ข้างๆ ถามอินทัชที่ยังคงเดินมองนั่นนี่ด้วยความสนอกสนใจ ท่าทางผ่อนคลายกว่าเมื่อวานที่ไม่ว่ารามินทร์จะพยายามทำอะไร ก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดีเลยสักนิด
“จริงดิ! จังหวัดอะไรบ้างวะ” อินทัชมีสีหน้าที่แปลกใจ เพราะมันเป็นความรู้ใหม่ที่เขาเพิ่งจะรู้
“อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก แล้วก็อำเภอหล่มสัก เพชรบูรณ์ เส้นทางที่กูพามึงมานั่นแหละ จริงๆ แล้วกูว่าจะพามึงไปเที่ยวที่หล่มสักเพราะมันก็น่าเที่ยวพอๆ กัน”
อินทัชหยุดเดินแล้วหันมาสนใจรามินทร์แทน
“แล้วทำไมถึงพากูมาที่นี่ล่ะ”
“กูอยากมาพิชิตลานหินปุ่มกับมึงไง”
“สาระ...”
“ก็เนี่ยแหละสาระของกู แต่มันอาจจะไร้สาระสำหรับมึง”
“อยากจะบ้ากับมึงจริงๆ เมื่อกี้กูลองอ่านใบแนะนำสถานที่ เขาบอกว่าที่นี่ในอดีตเคยใช้เป็นที่พักฟื้นของคนไข้ของโรงพยาบาล ประวัติของที่นี่แม่งน่าสนใจดีว่ะ” อินทัชยิ้มแย้มออกมาเมื่อได้เจอเรื่องที่ตัวเองชอบ
อินทัชชอบศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ยิ่งสถานที่ไหนมีประวัติ อินทัชมักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ อย่างที่นี่เองก็เช่นกัน...
“กูเพิ่งรู้ตอนมึงพูดเมื่อกี้นี่แหละ” รามินทร์สารภาพ
“ห่างจากที่นี่ไปประมาณห้าร้อยเมตรจะเป็นผาชูธง เคยเป็นที่ที่พวกผกค.จะขึ้นไปชูธงแดงที่มีสัญลักษณ์ค้อนเคียวทุกครั้งหลังที่รบชนะด้วยนะ ชักสนุกแล้วสิมึง กูอยากรู้ประวัติอีกอ่ะ แสดงว่าที่นี่ต้องเคยมีสงครามใช่มะ” ดวงตาคู่สวยส่องประกายความสนุกตื่นเต้นเต็มที่ ปากก็ยิ้มกว้างอย่างจริงใจไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ นั่นทำให้รามินทร์รู้สึกว่าตาของตนพร่ามัว มองเห็นแสงวิบวับออกมารอบกายของอินทัชราวกับเทวดารูปงาม
ใจเต้นแรง สั่นไหว ลำคอแห้งผาด หาเสียงของตนไม่เจอ เพราะโดนโจมตีจากความสวยของอินทัชแบบไม่ทันได้ตั้งตัวเลย
จะจำเอาไว้...ว่าอินทัชชอบเรื่องประวัติศาสตร์
“ไอ้ราม! จะเงียบทำไมวะ ตอบสิ” อินทัชเรียกเสียงดัง ทำให้เขาหลุดออกจากภวังค์ในที่สุด ตาคมมองอินทัชด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะพูดออกมาอย่างอายๆ
“เอ่อ...คือ ไอ้ที่มึงพูดมาน่ะ ผกค. ธงแดง ค้อนเคียว มันคืออะไรวะ” พร้อมกับเกาแก้มด้วยนิ้วเดียวประกอบการเขินอายในความไม่รู้เรื่องของตัวเอง
อินทัชกลอกตาไปมา ทั้งๆ ที่มันเป็นเรื่องใกล้ตัวของรามินทร์แท้ๆ เจ้าตัวยังไม่เคยคิดจะสนใจมัน
“ผกค.คือผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ส่วนธงแดงที่พวกผกค.ชูจะมีสัญลักษณ์ค้อนและเคียวไขว้กันอยู่บนธงเพราะค้อนเคียวเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ ถ้ามึงคิดภาพไม่ออกก็เสิร์ชธงชาติของสหภาพโซเวียตดู จะเห็นชัดที่สุด โอเคนะ?” ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆ อย่างเข้าใจ
จะว่าไปก็เหมือนจะเคยอ่านอยู่ แต่ก็ลืมไปหมดแล้ว...
“อืม...กูคิดว่ากูพอจะเข้าใจและนึกภาพออกแล้วล่ะ มึงนี่เก่งเนอะ รู้เรื่องพวกนี้ด้วย”
“ก็แล้วแต่คนชอบน่ะ กูชอบกูเลยจำ” อินทัชตอบ ไม่ได้ดีใจกับคำว่าเก่งที่ร่างสูงชมเลยสักนิด นั่นเป็นเพราะว่าไม่ใช่เรื่องที่จะมายินดีอะไร
คนที่ไม่รู้ใช่ว่าจะไม่เก่ง แต่เพราะไม่สนใจมากกว่า
“งั้นจะไปผาชูธงเลยไหมล่ะ”
“ไปเลยก็ได้ จะได้รีบเดินกลับไปหาอะไรกินต่อ ตั้งสี่กิโลกว่า ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะเว้ย”
“มึงไม่เคยขึ้นเขาเหรอวะอิน เวลาเราเดินขึ้นน่ะมันลำบากก็จริง มันดูนานก็จริง แต่เวลาเราลงน่ะ มันคนละอย่างเลยนะ”
“กูรู้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่เหนื่อยนี่”
“เออๆ กูขอโทษก็แล้วกัน ไปๆ ไปทางไหนล่ะ” รามินทร์ยอม ไม่พูดต่อเพื่อเลี่ยงความยืดเยื้อในการเถียงกัน
พออินทัชคลายทุกอย่าง เป็นตัวของตัวเอง รามินทร์ก็รับรู้ได้ทันทีว่า อีกคนเป็นคนที่ดื้อพอตัว ฉะนั้นอย่าเถียง อย่าขัดใจอะไรให้อินทัชต้องรู้สึกหงุดหงิดจะดีกว่า ไม่งั้นคงต้องโดนยกเลิกข้อตกลงแน่ๆ
“ตามมา”
พวกเขาสองคนเดินไปที่ผาชูธงที่อยู่ห่างประมาณห้าร้อยเมตรต่อทันที และเผื่อไปถึงทั้งคู่ก็ได้แต่มองอย่างตกตะลึงในความสูงและความสวยที่แฝงไปด้วยความอันตรายที่ตกลงไปคือตายและอาจจะหาศพไม่เจอด้วย
เป็นหน้าผ้าที่สูงชัน เห็นทิวทัศน์รอบๆ ได้อย่างกว้างไกล เห็นภูเขาสีเขียว ลมเย็นสบาย บรรยากาศดี เป็นจุดชมวิวที่ไม่แพ้จุดชมวิวที่เขาค้อเลยสักนิด
“มึงคิดว่าตอนพระอาทิตย์ตกดินมันจะสวยไหมวะ” อินทัชถามขึ้นมา ดวงตาจับจ้องที่ทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างหลงใหล แม้ว่าวิวพวกนี้จะดูไม่แตกต่างจากที่อื่นๆ แต่ว่าถ้าลองใช้ความรู้สึกมากกว่านี้ พวกเขาก็จะรับรู้ได้ว่าทุกสถานที่มันมีความหมายและมันมีที่มาที่ไม่เหมือนกัน และแน่นอนว่าถ้าเรามาที่แห่งนั้นโดยที่รู้ประวัติ นั่นจะยิ่งทำให้การมาเที่ยวของเราสนุกและตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
เพราะเราจะซึมซับความรู้สึกที่เคยเกิดขึ้นในอดีตได้ และตอนนี้ อินทัชกำลังหลับตารับความรู้สึกนั้นอยู่ คิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงนั้น...
“กูคิดว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ มึงเห็นระหว่างเขาตรงนั้นไหม กูว่าจากจุดนี้ พระอาทิตย์ต้องตกระหว่างเขาสองลูกนั้นแน่ๆ” รามินทร์พูดพร้อมใช้ท่าทางประกอบ นั่นคือชี้ไปยังเขาสองลูกตรงหน้า
อินทัชลืมตาแล้วมองไปตามนิ้วเรียวของรามินทร์ แล้วพยักหน้าเห็นด้วยเบาๆ
“กูก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าทางนั้นเป็นทิศตะวันตกนะ”
“มันต้องใช่อยู่แล้ว เสียดายที่เราอยู่ตรงนี้จนเย็นไม่ได้”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ ระหว่างทางเราก็ยังขับผ่านเขานี่ ก็ดูตามทางเอาก็ได้” อินทัชแนะนำ
“นั่นสินะ” แค่มีมึงอยู่ด้วยจะดูพระอาทิตย์ตกที่ไหนมันก็เหมือนกันนั่นแหละ
รามินทร์อมยิ้ม มองร่างสูงบางที่กำลังยิ้มเช่นเดียวกันด้วยความสุขที่แฝงไปด้วยความเศร้า ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ หยุดรอยยิ้มของอินทัชเอาไว้ แต่มันทำไม่ได้ แค่พรที่เขาขอให้เวลาเดินไปช้าๆ ไม่รู้ว่าท่านจะให้คนอย่างรามินทร์หรือเปล่า
“ทำไม...มึงอยากจะดูที่นี่เหรอ”
“เปล่า...กูแค่คิดว่ามึงอาจจะเสียดายที่มึงไม่ได้ดูมากกว่า” รีบตอบกลับร่างบางทันทีเพราะกลัวว่าอินทัชจะเข้าใจผิดคิดว่าเขาอยากจะดูพระอาทิตย์ตกที่นี่
“ไม่หรอก...พระอาทิตย์มันก็ตกของมันทุกวัน ดูที่ไหนก็ไม่สำคัญหรอก มันสำคัญตรงที่ว่าเวลาเรามองพระอาทิตย์ตกน่ะ...เราได้คิดหรือเปล่าว่าวันนี้เราปล่อยเวลาให้มันเสียไปเท่าไหร่แล้ว เราทำประโยชน์อะไรบ้างมากกว่า วันเวลามันก็เปลี่ยนผันไปตามหน้าที่ของมัน และเราเองก็ต้องทำหน้าที่ของเราเหมือนกัน”
รามินทร์ไม่รู้หรอกว่าอินทัชพูแบบนั้นต้องการจะสื่อสารถึงอะไรกับเขา แต่เขาเข้าใจความหมายในประโยคนั้นดีว่ามันหมายถึงอะไร
“หึหึ...ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมึงถึงบริหารธุรกิจใหญ่ๆ ได้ บริหารคนเป็นร้อยเป็นพันได้ เพราะมึงมีความคิดที่ไม่ปล่อยให้เวลามันสูญเปล่านี่เอง ถามจริงที่ผ่านมามึงเอาเวลาที่ไหนไปเที่ยว”
“ก็หลังเลิกงานไง กูก็เที่ยวทุกคืน”
“มึงแม่งตรงเกินไปแล้ว มันใช่คำตอบที่สมควรตอบแล้วหรือวะ”
“ก็มันเป็นความจริงนี่หว่า จะให้กูตอบอะไร ที่เที่ยวกูก็คือผับ บาร์พวกนี้ เวลาไปเที่ยวที่แบบนี้กูไม่ค่อยมีหรอก ชีวิตกูอยู่แต่ในกรุงเทพกับออกนอกประเทศ เจอแต่ก้อนเมฆและท้องฟ้า”
ไม่รู้ว่ารามินทร์จะหัวเราะหรือสงสารดี แต่คงจะต้องเป็นข้อแรก เพราะเจ้าตัวที่ตอบคำถามยังยิ้มออกมาเวลาเล่าเลย...คงจะตลกตัวเองอยู่ล่ะมั้ง
ตลก...ตลกที่คิดขอบคุณมัน ขอบคุณที่จับเขามา ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติดูบ้าง ซึ่งก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้าเอาตามจริงการที่เขาอยู่ที่รีสอร์ทมันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น งานมันเหนื่อยก็จริงแต่ใช้แค่แรงงาน แต่กับงานที่บริษัทต้องใช้ทั้งแรงและใช้ทั้งสมอง...
หากแต่ว่า...ที่เขาเข็ดขยาดและโกรธมากจนไม่อยากจะให้อภัยมันก็คือการที่ตนต้องเป็นที่รองรับอารมณ์ของมันมากกว่า…
“หิวหรือยัง” รามินทร์ถามเปลี่ยนเรื่อง
“อืม...ก็หิวแล้วล่ะ”
“งั้นลงไปเลยไหม”
“เออๆ ไปเลยก็ได้”
ใบหน้าสวยหันไปมองบรรยากาศโดยรอบอีกครั้งเพื่อซึมซับและจดจำเอาไว้ในความรู้สึกและความทรงจำของตนเอง...เพราะไม่รู้ว่า นี่จะเป็นการมาครั้งแรก หรือว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายด้วย นับจากนี้ไปเมื่ออินทัชหันหลังให้กับที่นี่...ภูหินร่องกล้าจะกลายเป็นแค่ความทรงจำของเขา
จะกลายเป็นเพียงแค่อดีต...ของเขากับของรามินทร์
ในช่วงเย็น พวกเขาเดินทางกลับหลังจากที่เที่ยวกันจนหนำใจแล้ว ตอนนี้พระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน ฟ้าเริ่มมืดลง แสงสว่างค่อยๆ ถูกความมืดกลืนกิน รามินทร์ได้เลี้ยวรถเข้าจอดที่สามารถเดินลงไปดูพระอาทิตย์ตกดินได้ จากภาพด้านหลัง เห็นเพียงเงาผู้ชายตัวสูงสองคนที่รูปร่างต่างกันกำลังยืนมองพระอาทิตย์ตกดิน
ความอบอุ่นสุดท้ายของพระอาทิตย์ในวันนี้กำลังจะหมดลงในอีกไม่ช้า รามินทร์กับอินทัชก็ทำได้เพียงแค่ยืนมองมันลับขอบฟ้ากันอย่างเงียบๆ
ตอนนี้...สิ่งที่พวกเขารู้สึกเหมือนกันมีแค่อย่างเดียวนั่นก็คือ ‘อบอุ่น’ ความอบอุ่นที่ซ่านไปทั่วหัวใจของเราทั้งสอง รถหลายคันที่ขับผ่านไปก็ไม่มีใครไม่มองภาพนี้...มันให้ความรู้สึกและความหมายได้หลายแบบมาก จากด้านหลังเห็นเพียงเงาที่สะท้อนแสง มันดูสวยงาม...ดูเป็นมิตรภาพที่ดี
“พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าแล้ว มึงได้คิดไหมว่าวันนี้มึงปล่อยเวลาให้สูญเปล่าไปหรือเปล่า” อินทัชถามขึ้นมาเมื่อความมืดเข้าปกคลุม มีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าที่ส่องแสงสว่างแทนพระอาทิตย์ดวงใหญ่
“สำหรับวันนี้กูไม่มี...ทุกอย่างที่กูทำ มันคุ้มค่ามากที่สุดแล้ว”
“อืม...”
ร่างบางครางรับในลำคอเบาๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร ในเมื่อประโยคของรามินทร์มันสะท้อนความหมายที่ทำให้อินทัชไม่อาจจะตอบอะไรได้อีก
“อิน...วันนี้กูมีความสุขมากเลยว่ะ ได้มาเที่ยวกับมึงนี่เป็นสิ่งที่กูไม่เคยคิดภาพมาก่อนเลย ตอนนั้นกูเกลียดมึงมาก เพราะยึดติดความแค้นก็เลยใช้อารมณ์และความคิดตัวเองตัดสินทุกอย่าง คิดว่ามึงผิด แต่ไม่ลองสืบเรื่องราวให้มันดีก่อน เชื่อน้องมากจนกลายเป็นคนโง่ กูขอโทษมึงอีกครั้งนะ”
“เฮ้อ...เห็นแก่ว่าวันนี้มึงพากูมาเปิดหูเปิดตา กูจะรับคำขอโทษไว้ก็แล้วกัน ถ้ามึงรู้ตัวเองแล้ว ก็อย่าทำแบบนั้นกับใครอีกล่ะ” อินทัชแสดงท่าทีอ่อนลง ทั้งๆ ที่มักจะหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดย้อนกลับไป หากแต่พอวันนี้เขาได้ใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปกับรามินทร์ ไม่ใช่แบบไม่ชอบขี้หน้ากันก็พบว่ารามินทร์ไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างที่เขาคิด
กลับกันแล้วยังรู้สึกว่าไอ้ที่มันทำกับเขาที่ผ่านมา นั่นคือสิ่งที่มัน ‘พยายาม’ จะให้มันเป็นแบบนั้นมากกว่า พยายามใจร้าย พยายามทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน อินทัชไม่เคยเชื่อเวลาที่พวกคนงานพูดถึงว่ารามินทร์เป็นคนดีอย่างนั้น ใจดีอย่างนี้ สุภาพ อ่อนโยน ตอนนั้น ทำได้แค่ฟังแล้วค้านในใจเท่านั้น
จนวันนี้...เขาได้เห็นในอีกมุมหนึ่งกับตัวเอง...บอกตามตรงว่ามันดูเป็นธรรมชาติมากจนอินทัชไม่อยากจะเชื่อว่ามันเป็นคนเดียวกัน
“กูไม่ทำความผิดซ้ำสองหรอก กูสัญญา” รามินทร์ให้คำสัญญากับอินทัช
“อืม...”
“แล้วมึงล่ะ? วันนี้เป็นยังไงบ้าง”
พอเจอถามมาแบบนี้อินทัชก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เลยนิ่งไว้ เลือกที่จะไม่ตอบออกไป ร่างหนาใช่ว่าจะไม่รู้ว่าอินทัชกำลังคิดอะไรอยู่ เขาก็เลยยิ้มบาง
“กูจะไม่ถามว่ามึงมีความสุขไหม...แต่มึงช่วยตอบกูได้หรือเปล่าว่าวันนี้มึงสนุกหรือไม่สนุก”
รามินทร์ยืนสบตากับอินทัชอย่างใจจดใจจ่อ ดวงตาสื่อถึงความคาดหวังในคำตอบจากอินทัชเอามากๆ และแน่นอนว่าที่เขาอยากได้ยินคือในด้านบวก ไม่ใช่ด้านลบ
อินทัชถอนหายออกมาแรงๆ แค่ตอบออกไป...ก็แค่พูดมันออกไปเท่านั้น
“สนุกสิ...มึงดูไม่ออกหรือไง”
ใบหน้าหล่อแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้าที่ได้ยินแบบนั้น แม้ว่าน้ำเสียงกับสีหน้าของคนตอบจะไม่ได้ดูมีอารมณ์ร่วมกับคำว่าสนุก แต่นั่นก็เป็นคำตอบที่ทำให้รามินทร์มีความสุขล้นอกจนเผลอตัวคว้าร่างเล็กกว่ามาสวมกอดอย่างแนบแน่น
หมับ!!
“เฮ้ย!!” ร่างขาวอุทานด้วยความตกใจ ขมวดคิ้วแน่นเพราะเจ็บที่โดนรัดแน่นเกินไป
“ขอบคุณ...ขอบคุณจริงๆ”
อินทัชยืนนิ่ง...แขนเรียวยกขึ้นมาอย่างทำตัวไม่ถูกที่ถูกจู่โจมแบบนี้ ร่างโปร่งลังเลอยู่ว่าจะเอายังไงกับสถานการณ์แบบนี้ดี จะผลักออกหรือว่าจะกอดตอบ...
อะไรวะเนี่ย!! มันอยู่ในข้อตกลงหรือไงวะ
แม้จะรู้สึกไม่พอใจที่โดนสัมผัสร่างกาย หากแต่อินทัชก็เลือกทำตามหัวใจมากกว่าทำตามสมองของตน...
สัมผัสเบาๆ ที่แผ่นหลังกว้างทำให้หัวใจของรามินทร์เต้นอย่างรุนแรงขนาดที่อินทัชเองยังได้ยิน...อินทัชรู้ว่าการที่เขากอดตอบรามินทร์ มันเป็นความต้องการของหัวใจ...อินทัชอยากจะกอดร่างแข็งแกร่งเหมือนกับที่รามินทร์กอดเขา
แต่ว่า...แบบนี้ มันอาจจะทำให้อินทัชลำบากมากยิ่งขึ้น
...
...
...
50%
ไม่ได้ตั้งใจจะไม่อัพให้อ่านจริงๆ นะคะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ อ่านแล้วคอมเม้นท์ให้ยูกิด้วยน้า ให้กำลังใจ ติชม หรือด่าพระเอกก็ได้ค่ะ ^_^ แล้วเจอกันครึ่งหลังในวันศุกร์นะคะ หรืออาจจะเป็นวันเสาร์ค่ะ
หากใครมีข้อสงสัย อยากพูดคุยหรือสอบถามยูกิ ก็ไปข้อความหากันที่แฟนเพจได้นะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/