Embrasse-moi the Series
Mon Fiancé
Chapter 1 เจ้าสาวของเจ้าชาย
เพลง Flightless Bird, American Mouth:http://www.youtube.com/watch?v=-iuFJ5P9ung
ทุกเช้าเขาตื่นมาเพื่อเป็นเจ้าชายเสื้อเชิ้ตสีขาวปิดทับแผงอกและบดบังเรือนร่างกำยำของชายหนุ่ม สาวใช้กลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายก่อนจะผูกเนคไทเส้นเพรียวสีกรมท่า ชายหนุ่มใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมสีดำสนิทให้เข้าทรง ดวงตาเรียวรีเหลือบมองกระจกตรวจความเรียบร้อยของทรงผม ริมฝีปากสีกุหลาบวาดรอยยิ้มเมื่อพอใจกับเส้นผมของตัวเอง
เขาหันไปเลือกนาฬิกาข้อมือที่สาวใช้อีกคนคัดสรรค์ให้ วันนี้ชายหนุ่มเลือกนาฬิกาหนังสีดำตัวเรือนสีเงินเพื่อให้เข้ากับกางเกงขายาวสีดำเนื้อดี จากนั้นชายหนุ่มจึงหยิบน้ำหอมขึ้นมาฉีด ละอองน้ำหอมเกาะพราวอยู่บนซอกคอและข้อมือของเขา ปากสวยเผยรอยยิ้มอีกครั้งเมื่อพึงพอใจกับกลิ่นละมุนของน้ำหอม มือหนาคว้ากุญแจรถยนต์คันใหม่ ก่อนออกจากห้องไปด้วยรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์
และแล้วเจ้าชายก็พร้อมสำหรับเช้าวันใหม่
เช้านี้เขาตื่นมาเพื่อเป็นเจ้าสาว ร่างบางพลิกตัวหนีแดดที่ส่องเข้ามาในห้อง เขาดึงผ้าห่มขึ้นปิดหน้าเพื่อบดบังแสงจ้า ทำไมเช้านี้แดดแรงนักนะ หนุ่มน้อยหงุดหงิดเพราะนอนไม่เต็มตื่น พาลโทษพระอาทิตย์ที่กลั่นแกล้งให้เขาต้องตื่นแต่เช้า
‘I was a quick, wet boy, diving too deep for coins. All of your street light eyes wide on my plastic toys…’ เสียงเรียกเข้าเพลง Flightless Bird, American Mouth ดังขึ้น ร่างบางที่ซุกตัวใต้ผ้าห่มหนาพยายามพลิกตัวหนีเสียงก่อกวน จนท้ายที่สุดเขาต้องกดรับสายเพราะไม่มีทีท่าว่าคนที่โทรมาจะวางสาย
“มีไรวะ โทรมาทำไมตอนเช้าๆเนี่ย คนจะหลับจะนอน” เด็กหนุ่มรับสายทั้งๆที่ยังไม่ได้ลืมตา
“ไอ้วาตื่น สายแล้วนะโว้ย” เสียงยียวนจากอีกฝ่ายทำให้เด็กหนุ่มอยากจะปาโทรศัพท์ทิ้ง
“ถ้ามึงไม่มีอะไรกูวางนะ จะนอนต่อ”
“เดี๋ยวนาวา วันนี้เรียนประวัติศาสตร์นะมึง นอนต่อไม่ได้” คนปลายสายรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับความขี้เซาของเพื่อนรัก
“ไอ้เก้า กูจะโดด” นาวาตอบพลางเอาหัวไปซุกกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่บนเตียง
“มึงโดดไม่ได้”
“ทำไมกูจะโดดไม่ได้ กูเหนื่อย ไม่อยากไปเรียน”
“วันนี้สอบย่อย เป็นตายยังไงมึงต้องมา”
“หา?! สอบย่อย! แล้วทำไมไม่รีบบอก” นาวาเด้งตัวขึ้น ดวงตาเบิกโพลง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองฉายแววลุกลน เขาก่นด่าตัวเองที่มัวแต่นอนไม่ยอมลุกจากเตียง ถึงว่าทำไมเช้านี้แสงจ้านัก เพราะมันไม่เช้าแล้วน่ะสิ
ร่างบางเช็ดตัวอย่างรีบร้อน ก่อนจะสวมเชิ้ตขาวปล่อยทิ้งชายเสื้อให้ทับยีนส์ดำเข้ารูป มือบางคว้าแว่นตากรอบหนา เช็ดผมพอหมาด คว้ากระเป๋าขึ้นสะพายบ่า แล้วออกจากห้องไปอย่างรีบร้อน
และแล้วเจ้าสาวก็ออกเดินทาง
เช้านี้ลมแรงเขามองบรรยากาศยามสายผ่านกระจกรถ เห็นไม้ใหญ่ในมหาลัยกำลังกรีดใบหยอกเย้ากับสายลม แมกไม้ไหวเอนเพื่อรับไอแดด ถือว่าเป็นเช้าที่สดใสวันหนึ่ง ชายหนุ่มคิด
นิ้วเรียวเคาะพวงมาลัยรถเข้ากับจังหวะเพลง เสียงนุ่มของเขาร้องคลอไปกับเนื้อเพลงของ Iron & Wine ขณะก้มหยิบมือถือที่ทำหล่น
‘Then when the cops closed the fair, I cut my long baby hair. Stole me a dog-eared map and called for you
everywhere…’เมื่อเงยหน้าขึ้น ชายหนุ่มต้องเหยียบเบรกกะทันหันเนื่องจากด้านหน้ามีคนปั่นจักรยานพุ่งตรงมาทางเขา…
เช้านี้แดดจ้าแสงแดดยามสายส่องผ่านกิ่งก้านสาขาของไม้ใหญ่ลงมายังถนนเบื้องล่างเห็นเป็นเส้นแสงสีส้มอ่อนนวลตา น่าแปลกที่แดดในวันนี้ไม่ร้อนแผดเผาเหมือนทุกๆวัน แถมยามสายวันนี้มีลมโกรกเบาๆ สายลมพัดพายให้ใบไม้เสียดสีกันจนฟังดูคล้ายเพลงบรรเลงโดยธรรมชาติ เมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือ นาวาจึงเร่งฝีเท้ารีบปั่นจักรยานคันเก่าคู่ใจของเขาทันที
ถนนเส้นนี้เป็นทางสายหลักของมหาวิทยาลัย ซึ่งปกติมักมีรถวิ่งอยู่ตลอดไม่ขาดสาย ทว่าเวลานี้กลับไม่มีรถบนถนนสักคัน คงเพราะเวลานี้เป็นยามเช้าที่ทุกคนเข้าเรียนกันหมดแล้ว จักยานสีเหลืองของนาวาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสุดแรงปั่น ในเวลาปกตินาวาคงไม่ปั่นจักรยานจนเร็วขนาดนี้ เพราะเขารู้ดีว่าจักรยานเบรกแตกของเขามันอันตราย
เด็กหนุ่มใช้แขนเสื้อซับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายบนใบหน้า จิตใจของเขากำลังคิดถึงแต่คำว่าสอบย่อย การสอบเก็บคะแนนที่สุดแสนจะสำคัญ เขากังกลว่าตัวเองจะไปไม่ทันสอบ เด็กหนุ่มก้มมองนาฬิกาข้อมืออีกครั้งแล้วเร่งปั่นสุดชีวิต แต่ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา สิ่งที่ประจักษ์แก่คลองสายตาคือรถสปอร์ตสีขาวกำลังขับตรงมาทางเขาด้วยความเร็วเต็มกำลัง นาวาพยายามเบรกจักยานแต่ก็เปล่าประโยชน์
ก่อนจะชนเข้าอย่างจัง รถสปอร์ตสีขาวเบรกได้อย่างหวุดหวิด แต่จักรยานเบรกแตกของนาวากลับพุ่งตรงไปข้างหน้า และชนรถหรูเข้าอย่างจัง
“อ๊า โอย…” นาวาล้มลง พร้อมเห็นเลือดที่ข้อศอกซ้าย “เจ็บๆ ได้แผลจนได้”
เสียงเปิดประตูรถเรียกความสนใจของนาวา สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรองเท้าหนังสีดำมันปลาบ ถัดมาเป็นกางเกงเข้ารูปสีดำเข้มทำจากผ้าเนื้อดี ขายาวคู่นั้นกำลังเดินตรงมาทางนาวาที่กำลังนั่งสำรวจแผลอยู่บนถนน นาวาเห็นชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตขาวและเนคไทด์เส้นเล็กยกข้อมือที่มีนาฬิกาแพงๆขึ้นมายีผมตัวเองอย่างหัวเสีย คิ้วหนาของผู้มาใหม่ขมวดเป็นปม แล้วปากบางได้รูปของเขาก็สบถออกมาดังๆว่า
“เชี่ย รถเป็นรอย”
‘Have I found you
Flightless bird, jealous, weeping
or lost you, American mouth
Big pill looming …’เสียงเพลงดังลอดมาจากรถ พอจะกล่อมเกลาจิตใจของนาวาให้หายตกใจกับเหตุการณ์เฉียดตายได้ เพลงโปรดของเขาบรรเลงมาจากรถสีขาวคันนั้น
“นี่” เจ้าของรถหรูหันมาพูดกับนาวา ดวงตาเรียวรีของเขาฉายแววไม่พอใจ “ประสาทแดกหรือไง ปั่นจักรยานยังไงวะ ชนรถคนอื่นเขาเสียหาย”
นาวาอึ้ง สมองกำลังประมวลข้อเท็จจริง ก็นี่มันเลนส์ซ้าย และเขากำลังจะเลี้ยวเข้าลานจอดรถของคณะมนุษย์ศาสตร์ ถ้าจำไม่ผิดไอ้คนที่กำลังยืนทำตัวหล่ออยู่นี่มันขับรถผิดเลนส์ ไม่ก็ตั้งใจจะเลี้ยวเข้าลานจอดรถเหมือนกัน แต่มันดันไม่เปิดไฟเลี้ยว
“ว่ายังไงนะ” นาวาถามออกไปอย่างอดทน “นายว่าใครทำใครเสียหาย พูดใหม่อีกที”
“เหอะเชื่อเขาเลย สมองขาดวิตามินบีเหรอ ฉันพูดอยู่หยกๆว่านายทำรถฉันเสียหาย เห็นไหมเนี่ยรถฉันเป็นรอยหมดแล้ว” ชายหนุ่มโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ พลางเดินเข้าไปดูสภาพรถของตัวเองแล้วทำสายตาอาลัยอาวรณ์ อย่างกับเด็กทำของเล่นพังนาวาคิดในใจ
“นายจะรับผิดชอบยังไง จะให้ฉันเรียกทนายไหม” ชายหนุ่มสุดเนี๊ยบคนนั้นถาม เขายืนกอดอกวางภูมิ
“หนอยไอ้ตี๋ไม่มีสมอง” นาวาตะโกนลั่น พร้อมลุกขึ้นจ้องตาคู่กรณี “กล้าพูดเนาะว่าเป็นคนเสียหาย ก่อนจะพูดอะไรก็หัดแหกตาดู
ซะก่อน”
ชายหนุ่มกำลังอึ้ง ไม่เคยมีใครตะคอกใส่เขา ไม่มีใครกล้าว่าเขาไม่มีสมอง ไม่มีใครหักหน้าเขาเท่านี้มาก่อนเลย “วะ ว่าไงนะ ไอ้ตี๋ไม่มีสมองเหรอ!”
“เออดิวะ ดูซะบ้างว่านี่มันเลนส์ไหน”
“แกไม่รู้ว่าฉันเป็น…” ชายหนุ่มพูดไม่จบ เพราะนาวาพูดสวนขึ้นมา
“ตอบสิ นี่มันเลนส์ไหน”
“ซ้าย…”
“เออ คราวนี้ฉลาดได้หรือยังไอ้ตี๋”
ชายหนุ่มอ้าปากค้าง เด็กคนนี้กล้าชี้หน้าเขา “แกอยากเจอกับทนายของฉันมากสินะ ทำรถของฉันเป็นรอยไม่พอ ยังมีหน้ามาด่าฉันอีก ไอ้เตี้ย”
“ทนาย? เออ เอามาเลย ไปเรียกมาสิ เอาให้มันรู้กันไปว่ามีปัญญาซื้อรถแพง แต่ไม่มีปัญญาซื้อน้ำมันตับปลาบำรุงสมอง โง่นักหรือไงถึงไม่รู้ว่าเขาไม่ขับรถย้อนศร”
“ก็ฉันกำลังจะเลี้ยวเห็นไหมไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
“เด็กอมมือที่ไหนมันก็รู้ไอ้หน้าจืด ว่าเวลาเลี้ยวก็ต้องเปิดไฟ สอบหรือจับฉลากได้มาวะใบขับขี่มึงน่ะ โง่เป็นควายล้านปี”
“กะ แก” ชายหนุ่มคว้าข้อศอกซ้ายของนาวาสุดแรง ทำให้หัวของคนร่างเล็กชนกับอกหนา “ไม่รู้หรือไงว่ากำลังพูดอยู่กับใคร”
“ปล่อยนะเว่ย” นาวาพยายามสะบัดให้ตัวเองหลุดจากพันธนาการ แผลของเขากำลังโดนคนตัวโตบีบ “ไอ้ตี๋โง่ ใครจะไปรู้ล่ะขนาดมึงเองยังไม่รู้เลย ปล่อย!”
“เงียบไปเลยไอ้แว่น เอ๋อ เฉิ่มแบบนี้ถึงได้เซ่อซ่าทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ชายหนุ่มต่อว่านาวาที่กำลังดิ้น
“แกต่างหากไอ้หน้าจืดรสนิยมห่วย เฉิ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่งตัวอย่างกับเสี่ยแก่ๆ เสื้อผ้ารีดบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วนี่กลิ่นอะไร ฉุนอย่างกับบริษัทน้ำหอมเคลื่อนที่ ผมหรือกะบังลมวะ เซ็ทจนแข็งจะทิ่มหัวชาวบ้านเขาอยู่แล้ว อ้ออีกอย่าง รองเท้าเชยๆแบบนี้เขาไม่ใส่กันแล้ว จะใส่ไปงานลีลาศหรือไง” นาวาโกหก ชายตรงหน้าคือคนที่ไร้ที่ติ แม้กระทั่งในสายตาของผู้ชายด้วยกันเอง นาวาต้องยอมรับว่าคนคนนี้เป็นคนที่ดูดีมากทีเดียว แต่เพราะความโกรธ จะให้คู่กรณีดีเด่นมาจากไหนนาวาก็หาข้อติจนได้
ชายหนุ่มเป็นคนที่มั่นใจใจตัวเองมาตลอด และเขาก็มั่นใจในรสนิยมของตัวเองเช่นกัน แม่ส่งเขาเข้าเรียนศิลปะตั้งแต่เด็กๆเพื่อให้เขาได้ชื่นชมความงาม ชายหนุ่มรู้ดีว่าการแต่งตัวของตัวเองไม่มีทางพลาด แต่ไฉนเลยความมั่นใจของเขากลับถูกลบออกไปด้วยคำพูดของเด็กแว่นเฉิ่มๆคนนี้
“มันจะมากไปแล้วนะ นี่ไม่รู้เหรอว่าเสื้อของอะไร..”
“ไม่สนโว้ย ปล่อยดิวะ คนกำลังจะไปสอบ” นาวาพยายามบิดแขน แต่มันก็ปวดไปหมด
“ไม่ปล่อย แกต้องไปคุยกับทนายของฉัน”
“ไม่ปล่อยใช่ไหมไอ้ตี๋”
“ไม่มีวัน ไอ้เตี้ย” ชายหนุ่มดึงนาวาให้เข้าใกล้ แล้วใช้มือที่ว่างเขี่ยแว่นของนาวาเล่นเพื่อแสดงความเหนือกว่า นาวาเป็นรองเขาทั้งสรีระและกำลัง ด้วยเหตุนี้เลยทำให้ชายหนุ่มแอบสะใจ
“งั้นมึงก็อย่าอยู่เลย”
“โอ๊ยยยยยยยย!! ไอ้ตัวแสบ!”
นาวาเตะแข้งซ้ายของอีกฝ่ายอย่างแรง
ชายหนุ่มปล่อยมือจากนาวา กุมขาตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด ขณะเดียวกันนาวารีบคว้าจักรยานและปั่นหนีไป ทิ้งไว้แต่ความเจ็บ
ปวดให้แก่ชายหนุ่ม
‘Have I found you
Flightless bird, grounded, bleeding
or lost you, American mouth
Bing pill stuck going down’ เสียงเพลงท่อนสุดท้ายแว่วมาจากรถ แม้มันจะไม่เข้ากับบรรยากาศแต่ชายหนุ่มก็ได้ยินเนื้อเพลงชัดทุกคำ เสียงเพลงตรึงให้เขาตกอยู่ในภวังค์… เขาพบหรือยังนะ นกที่ไม่ยอมบิน แม้เจ้านกจะโผบินได้ แต่นกน้อยก็ยอมอยู่เคียงข้างเขาบนผืนดิน แม้จะต้องเจ็บปวดเลือดสาดกระเซ็นเจ้านกก็ไม่ยอมไปไหน หรืออาจจะเหมือนในเนื้อเพลงบอกไว้ก็ได้ เขาอาจจะปล่อยนกน้อยตัวนั้นหลุดมือไปแล้ว…
ยามเที่ยงใต้คณะมนุษย์ศาสตร์ สายลมพัดผ่านโต๊ะไม้ใต้อาคารผู้บริหารคณะ นาวาและเพื่อนอีกสองคนกำลังนั่งคุยเล่นกันอยู่ โต๊ะไม้ตัวนี้เป็นที่โปรดของพวกเขาทั้งสาม เพราะมุมนี้เป็นมุมที่ปลอดคน ไม่มีเสียงจอแจของนักศึกษาคนอื่นๆรบกวน และที่สำคัญมันเป็นมุมอับ ไม่ค่อยมีใครมองมาทางนี้สักเท่าไหร่
“โอ๊ย เบาๆดิ เจ็บ” เสียงของนาวาดังขึ้น
“วาอยู่นิ่งๆก่อน เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เก้าประท้วงพร้อมกดคนตัวเล็กให้อยู่นิ่ง ใบหน้าเป็นกังวลของเขาแนบใกล้ใบหน้าของนาวา จมูกคมสันนั้นแทบจะสัมผัสแก้มแดงของหนุ่มน้อยร่างบาง
“มึงก็อย่ารุนแรงดิวะ เบาๆหน่อย เจ็บนะ”
“แล้วมึงจะดิ้นทำไมละ กูไม่ทำนานหรอก รู้ว่ามึงไม่ไหว”
“ก็มึงกดแรงอ่ะ” นาวาประท้วง
ปัง!! “พวกมึงสองคนคุยอะไรกันอายชาวบ้านเขาบ้างนะ” เสียงตบโต๊ะของนิสาเรียกนาวาและเก้าให้หันมอง “จะทำแผลหรือทำรักเลือกเอาสักอย่าง พูดสองแง่สามง่าม เสื่อม”
“มึงแหละไอ้สา เสื่อม พวกกูยังไม่ทันคิดอะไรเลย” เก้าพูด
“มึงไม่คิด… แต่กูคิด” นาวาพูดเล่น แต่โดนเพื่อนรักตบตัวเบาๆหนึ่งที มือบางเลยได้แต่ลูบหัวตัวเองปอยๆ “กูล้อเล่น แม่งก็ตบซะแรง”
“แล้วมึงไปได้แผลมาจากไหนฮะไอ้ตัวแสบ ลำบากกูต้องมาหายาทาแผลให้มึง เดินเข้าห้องสอบได้กูบุญละสภาพอย่างนี้” เก้าบ่นทั้งๆที่มือยังคงทำแผลให้เพื่อน
“แม่งพูดแล้วมันเจ็บใจ” นาวาหงุดหงิดทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องเมื่อเช้า “คือเรื่องมันมีอยู่ว่า…” แล้วคนปากเบาอย่างนาวาก็คายทุกอย่างออกมาให้เพื่อนรับรู้
“ฮ่าๆๆ มึงเตะเขา แล้วก็วิ่งหนีมาเนี่ยนะ” นิสาหัวเราะ “กูเป็นเขากูคงแค้นฝังหุ่นแหละงานนี้”
“แค้นกูสิ กูจะแค้นมันกลับ แม่งทำคนเขาเจ็บยังไม่รู้จักขอโทษอีก” นาวาคาดโทษคู่กรณี
“พอกันทั้งคู่แหละ” เก้าเอ่ยขึ้น “ว่าแต่ใน ม. เรา มีนักศึกษาขับรถสปอร์ตมาเรียนด้วยเหรอวะ แม่งอย่างเท่ห์”
“มึงไม่ต้องชื่นชมไอ้ตี๋นั่นเลยเก้า มันก็แค่พวกลูกคนรวยที่ไม่มีสามัญสำนึก” นาวาแสดงอคติ “โว้ย ไม่คุยเรื่องนี้ละ ไปหอสมุดดีกว่า จะไปคืนหนังสือแล้วแอบงีบสักหน่อย พวกมึงไปกับกูไหม”
“ชวนพวกกูเข้าหอสมุดเหมือนชวนผีเข้าวัด ไปคนเดียวเถอะย่ะ” นิสาพูดขึ้นก่อนที่นาวาจะลุกจากไป
หอสมุดเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ บ่อยครั้งที่นาวาหลีกหนีความวุ่นวายข้างนอกมาแอบงีบหรือหาหนังสืออ่านเล่น เด็กหนุ่มคืนหนังสือที่เขาเพิ่งยืมไปให้กับบรรณารักษ์ ก่อนที่จะเดินขึ้นมายังชั้นสี่เพื่อหาหนังสืออ่านเล่นเล่มต่อไป
หอสมุดแห่งมีทั้งหมด 6 ชั้น ชั้นที่นาวาโปรดปรานมากที่สุดคือชั้น 4 เพราะชั้นนี้เป็นชั้นหนังสือภาษาอังกฤษ หนุ่มร่างบางไม่ได้ชื่นชอบการอ่านตำราภาษาอังกฤษแต่อย่างใด สิ่งที่หนุ่มน้อยชอบเกี่ยวกับชั้นนี้คือความเงียบ เพราะชั้นนี้มักจะไม่ค่อยมีนักศึกษาขึ้นมามากนัก จะมีบ้างตอนช่วงสอบที่หลายคนขึ้นมาจับจองพื้นที่ในการอ่านหนังสือ แต่ในช่วงต้นเทอมแบบนี้น้อยคนนักจะขึ้นมา
มุมโปรดของนาวาคือโต๊ะยาวริมหน้าต่าง เพราะเป็นมุมที่ได้เห็นทัศนียภาพทั้งหมดของมหาลัย เขาชอบมองปลายไม้เหวกไหวไปตามแรงลม ชอบมองคู่รักเบื้องล่างเดินจับมือกัน บ้างก็กำลังหัวเราะพูดคุยสนุกนาน บางคนเดินมากับเพื่อน บางคนก้มหน้ากดโทรศัพท์อยู่คนเดียว ทุกครั้งที่เห็นภาพเหล่านี้นาวาจะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาสามารถสัมผัสความสุขได้จากสิ่งเล็กๆรอบตัวเหล่านี้
ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้ที่มุมหนึ่งของโต๊ะยาวจะมีคนมาจับจอง นาวาเห็นนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่งฟุบหน้าหลับตรงมุมโปรดของเขา เพราะวันนี้แดดแรง และแสงแดดส่องผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามา นาวาจึงต้องลากเก้าอี้ไปนั่งใกล้นักศึกษาหนุ่มคนนั้น เพราะบริเวณนั้นแดดส่องไม่ถึง เมื่อได้ที่นั่งที่ตัวเองพอใจ นาวาก็ฟุบหลับตามชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆทันที
วินาทีที่ลืมตาขึ้นนาวามองเห็นดวงตาเรียวรีคู่หนึ่งอยู่ตรงหน้า นัยน์ตาสีนิลให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นที่ได้จ้องมอง เคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่านะ นาวาเฝ้าถามตัวเอง แต่คำตอบเหมือนจะอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล เขามั่นใจว่าต้องเคยพานพบดวงตางดงามคู่นี้มาก่อน จิตใจของนาวาเบิกบานเหมือนได้พบเจอสิ่งของที่หล่นหายไปเมื่อนานแสนนาน
เครื่องหน้าของชายผู้นี้ งดงามราวงานจิตกรรม แพขนตารับกับคิ้วดกหนาสีดำสนิท จมูกคมสันได้รูปเข้ากับปากเป็นกระจับสีกุหลาบ โครงหน้าเรียวงามนั้นเหมือนงานสลักหินอ่อนที่ประณีตลงตัว ใบหน้าของเขา โดยเฉพาะแววตา ทำให้เสียงหัวใจของนาวาเต้นโครมคราม
ทันทีที่ลืมตาขึ้นชายหนุ่มมองเห็นแววตาแปล่งประกายคู่หนึ่งทอดมองมา นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคู่นั้นจับจ้องมาทางเขา แววตาของคนตรงหน้าเหมือนของขวัญล้ำค่าที่เขาตามหามานานแสนนาน เหมือนเราเคยเจอกันมาก่อน ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองในใจแต่ความทรงจำมันรางเลือน รู้เพียงว่ามันเป็นความทรงจำที่ลึกเกินหยั่งถึง
ตาสวยของคนตรงหน้าไม่ควรถูกบดบังด้วยแว่นตา ชายหนุ่มอยากจะเอื้อมมือไปถอดแว่นตาอันนั้นออก แต่มือของเขากลับหยุดอยู่ที่พวงแก้มของคนร่างเล็ก ชายหนุ่มสำรวจเครื่องหน้าของคนตรงข้าม เขาชอบจมูกรั้นที่ส่อแววว่าเจ้าของเป็นคนดื้อ คิ้วเรียวเรียวคู่นั้นเข้าได้ดีกับแพขนตางอน แล้วลายตาของชายหนุ่มก็จดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากบางของคนตรงข้าม
ระฆังงานวิวาห์ดังแว่วในโสตของคนทั้งสองทันใดนั้น… ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันอย่างนุ่มนวลโหยหา จุมพิตอุ่นหวานกินเวลาเนิ่นนาน ราวทั้งสองอยากจะหยุดลมหายใจเอาไว้ ณ ห้วงนาทีนี้
เจ้าชายได้พบเจ้าสาวของตัวเองแล้ว
และคำรักคงจะได้เอื้อนเอ่ยออกมา
“ไอ้ตี๋! / ไอ้เตี้ย!”