บทที่ 1 คนขี้เมา
Charit @Charitpedd
ผมอยากมีคุณอยู่ข้างๆ นะ
แต่ผมกลัวจะรักษาคุณเอาไว้ไม่ได้
#พี่แช่มได้กล่าวไว้
ก็คิดซะแบบเนี้ยะ
มันถึงได้อยู่กับที่แบบนี้ไง
ผมวางโทรศัพท์หลังจากที่เห็นข้อความในทวิตเตอร์ของใครบางคนที่ผมคิดว่าตอนนี้เจ้าตัวคงจะนั่งเมาอยู่ที่ไหนสักที่ มันเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง ปกติแล้วผมมักจะเป็นคนยอมอยู่เสมอแต่กับครั้งนี้ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรยอมอีกต่อไป เขาน่ะงี่เง่า และก็งี่เง่าแบบนี้มาตลอด มันแปลกที่ผมเองทนมาได้ตั้งนาน
เพราะรักอย่างนั้นเหรอ
ก็อาจจะใช่
ผมย้ายตัวเองมานั่งอยู่ที่หน้ากระจก เงาสะท้อนของคนในนั้นดูไม่ค่อยมีความสุขเอาซะเลยอาจเป็นเพราะมีงานต้องรับผิดชอบเยอะแล้วก็ต้องต่อกรกับคนงี่เง่าล่ะมั้ง เขาจะรู้ไหมนะว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมวุ่นวายใจขนาดนี้ คิดไปคิดมาผมอยากจะลองเอามีดคว้านอกเขาแล้วควักหัวใจออกมาดูว่ามันเป็นสีแดงหรือสีดำกันแน่
โหดจังเลยล่ะข้าวหอม
ผมชื่อ 'ข้าวหอม' เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาโยธาปี 3 ได้รับหน้าที่เป็นหนึ่งในคณะว้ากเกอร์ของคณะวิศวะฯ ในปีนี้ด้วย ผมผ่านการเข้าประชุมเชียร์กับน้องๆ ประมาณ 3 ครั้งแล้วแต่ยังไม่รู้สึกชินสักนิดเดียว มันยากมากที่ต้องปั้นหน้านิ่งๆ ใส่เด็กๆ ที่ไม่รู้ว่ามันแกล้งทำตาใสใส่เรารึเปล่า ที่รู้ว่าเป็นแบบนี้เพราะผมก็เคยทำตอนปี 1 ไงล่ะ
ร้ายกาจเนอะ
คนที่ดูจะทรมานใจที่สุดก็น่าจะเป็นขุนศึกเพื่อนรักที่เป็นเฮดว้ากนั่นแหละ ปกติมันเป็นคนที่ผมมองว่าใจดีนะกับพวกรุ่นน้องอะ แต่พอต้องมาปั้นหน้านิ่งใส่น้องๆ ปี 1 ก็คงหนักหนาอยู่ไม่น้อยเลย พวกผมมีพวกพี่ขันเทรนด์ให้นะก่อนที่จะเป็นพี่ว้ากน่ะ กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ก็ปวดประสาทอยู่พอตัวเลย เฮ้อ....เมื่อไหร่จะรับน้องวะ
เทอมหน้าโน่น
กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องอดทนไปก่อนน่ะเนอะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อกผมเดินไปเปิดประตูห้องก็พบกับคนที่หน้าเหมือนผมอย่างกับแกะ ยิ่งไม่ใส่แว่นแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนเห็นตัวเองจริงๆ นั่นแหละ “ว่าไงเจ้าน้องรัก”
“ถ้ามึงจำไม่ผิดคือหมอหยิบกูออกมาจากท้องแม่ก่อน” ข้าวก้องบอกก่อนจะเดินเข้ามาในห้องผมพร้อมกับยืนยันเหตุการณ์ตอนที่เกิด ใจคอคือจะไม่ยอมเป็นน้องจริงๆ สินะ
“ฝาแฝดน่ะ พี่คือคนที่เสียสละให้น้องออกไปก่อน อย่าลืมสิ” ผมเบ้ปากใส่มันก่อนจะเดินมานั่งลงข้างๆ
“กูออกมาก่อน คือจบ เลิกเถียงเรื่องนี้สักที”
“เอาแต่ใจ”
“นั่นมันมึงแล้วแหละ แล้วเนี่ยะ ทำไมไม่เช็ดหัว เดี๋ยวก็ป่วย มานั่งนี่เลย” จอมเผด็จการสั่งผมเสียงแข็ง ข้าวก้องก็ยังคงเป็นข้าวก้องคนเดิมที่สั่งเก่งมาตั้งแต่สมัยเตรียมอนุบาล
เอาแต่ใจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว
ผมหยิบผ้าขนหนูส่งให้ก่อนจะนั่งลงกับพื้น “เบาๆ นะ โอ๊ยยยย เหมือนแกล้งอะ”
“เปล่าสักหน่อย อ่านหนังสือยัง มะรืนมีควิซนะ” เจ้าตัวถามก่อนจะลงมือเช็ดผมให้
“อ่านบ้างแล้วแหละ เดี๋ยวจะอ่านอีกทีพรุ่งนี้ เออเราประชุมเชียร์น้องอีกทีเมื่อไหร่นะ”
“อาทิตย์หน้าโน่น อาทิตย์นี้มีแต่สันทนาการ แวะไปดูน้องไหม”
“ดูความว่างก่อนละกัน งานเยอะมึงก็เห็น”
“นั่นสินะ” ผมมองข้าวก้องผ่านกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง คนที่หน้าเหมือนผมยิ้มบางๆ ให้ ใบหน้านี้ถ้าคนอื่นได้เห็นคงต้องมีการหลงรักกันบ้างแหละ แต่จะว่าไปมันก็น่าหน้าเหมือนผมป้ะวะ
ผมกับข้าวก้องมีความต่างกันไม่มากเท่าไหร่นะ ใบหน้าเราเหมือนกันมาก เหมือนกันจนน้องของผมเลือกที่หาแว่นมาสวมเอาไว้เพื่อที่จะให้คนอื่นแยกเราสองคนได้ แว่นที่ข้าวก้องสวมไม่ใช่แว่นสายตาแต่เป็นแว่นแฟชั่นเลนส์ธรรมดาทั่วไป น้อยคนที่จะรู้นะครับ คนส่วนมากก็คิดว่ามันสายตาสั้น และเจ้าตัวก็ไม่ได้แก้ข่าวด้วยนะปล่อยให้ชาวบ้านเขาคิดไปแบบนั้นนั่นแหละ ส่วนเรื่องความสูงก็ต่างกันนิดเดียว ผมสูง 180 เซ็นฯ ส่วนข้าวก้องจะสูง 182 เซ็นฯ
การเล่นบาสฯ สมัยมัธยมฯ นี่ช่วยพวกเราได้จริงๆ
ตั้งแต่เปิดเทอมมาแล้วต้องรับผิดชอบหน้าที่โน่นนี่ผมก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายเลย แต่เดี๋ยวต้องหาเวลาดูแลตัวเองให้มากกว่านี้หน่อย พักหลังมานี้ผมประสาทแดกบ่อย สุขภาพจิตก็ย่ำแย่อยู่ละ ผมจะทำให้สุขภาพกายแย่ตามไม่ได้ ความจริงผมไม่ควรจะมานั่งเก็บเรื่องบ้าบอมาคิดด้วยซ้ำ แต่คงเพราะมันเป็นเรื่องพี่แช่มมั้งผมก็เลยปล่อยมันออกจากหัวไม่ได้ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนขี้เมาแบบนั้นถึงได้มีอิทธิพลต่อชีวิตผมนัก
เพราะสร้อยใบโคลเวอร์สี่แฉกนี่ป้ะวะ
ผมยกมือขึ้นลูบจี้ใบโคลเวอร์ที่แขวนอยู่ข้างเกียร์ของตัวเอง มันเป็นจี้ที่พี่แช่มให้ผมมาตั้งแต่ตอนปี 1 แล้วครับ เรื่องของเรามันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่ผมเข้ามาเรียนที่นี่ วันนั้นเป็นวันที่ผมโชคร้ายมากๆ ในหลายๆ เรื่อง วันนั้นนาฬิกาปลุกไม่ดังผมเลยตื่นสายมาก ตอนที่ไปถึงมหา’ลัยผมก็ลืมของเอาไว้ก็เลยต้องกลับมาเอาที่หอแล้วก็ให้ข้าวก้องไปเรียนก่อน แล้วแบตฯ โทรศัพท์ก็หมด ผมติดต่อใครไม่ได้ ตารางห้องเรียนก็อยู่ในโทรศัพท์
มันเป็นวันที่แย่จริงๆ นั่นแหละ
แต่วันแย่ๆ นั่นมันก็เป็นวันที่ทำให้ผมได้เจอกับใครคนนึง เขาเป็นคนพาผมไปที่ห้องเรียนถึงแม้ว่าเขาเองก็กำลังจะสายเหมือนกัน มันเป็นเรื่องบังเอิญที่เราดันเรียนสาขาเดียวกันพอดีและเย็นวันนั้นเราก็พบกันอีกครั้งตอนที่รุ่นพี่ปี 2 นัดรวมสันทนาการ คนที่ช่วยผมไว้เขาเป็นหนึ่งในทีมสันฯ มองจากภายนอกเขาดูเป็นคนขี้เล่นและใจดีกับน้องๆ ทุกคน
‘แช่ม’ คือชื่อของเขาครับ
ผมจำได้ว่าวันที่เราเจอกันครั้งแรก ตอนที่กำลังจะเลิกกิจกรรม พี่แช่มมาทักผมก่อนจะให้ใบโคลเวอร์สี่แฉกซึ่งผมไม่รู้ว่าเขาไปเอามันมาจากไหน ผมรู้แค่ว่าใบโคลเวอร์สี่แฉกมันหายากมากและเขาก็บอกผมว่าฝากให้ผมเก็บไว้ให้เขาหน่อย ถ้าเขาอยากได้มันคืนวันไหน เขาจะบอกผมเอง จากวันนั้นก็ 2 ปีกว่าแล้วครับที่ใบโคลเวอร์แห้งๆ นั่นอยู่กับผม มันถูกไว้อย่างดีในกล่องสมบัติในตู้ของผม
เกือบโดนข้าวก้องเอาทิ้งรอบนึงเพราะคิดว่าเป็นขยะ
ดีนะที่วันนั้นผมกลับมาทันน่ะ
“เสร็จละ” คนที่เช็ดหัวให้ผมลุกเอาผ้าขนหนูไปตาก “เออหอม แล้วนี่ไม่คุยกับพี่แช่มหรอ”
“ยังอะ ทะเลาะกันนิดหน่อยเมื่อเย็น”
“ทะเลาะกันอีกแล้วหรอ”
“อืม เรื่องไร้สาระเหมือนเดิม โน่น งอนกูจนหนีไปกินเหล้าโน่น น่าตีชะมัด” ผมทิ้งตัวนอนลงบนเตียงก่อนจะดึงตุ๊กตานกฮูกมากอดไว้ ไม่ต้องถามว่าคนซื้อมาคือใคร เพราะตอนนี้คนๆ นั้นคงเทาหัวทิ่มโต๊ะไปละ
คิดแล้วน่าหงุดหงิด
“เหนื่อยบ้างป้ะวะ ทะเลาะกันทุกวันแบบนี้”
“ก็มีบ้างแหละ หลายๆ อย่างมันขัดแย้งกันอยู่ในหัวว่ะก้อง บางทีก็รู้สึกว่าอยากจะพอแต่ว่าบางทีก็คิดว่ามันก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่เราจะต้องตัดใจจากกัน แค่กูยอมอ่อนให้ก็ไม่น่าเป็นไร แต่มันก็มีความคิดที่ว่า....”
“ทำไมกูต้องยอมอ่อนให้ ใช่ไหมล่ะ”
ผมพยักหน้ารับเบาๆ “อืม เอาจริงๆ กูก็รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มที่จะต้องการมากขึ้น ไม่รู้ว่ะ คนเราถ้ารักกันแล้วอยากจะเป็นเจ้าของกันและกันมันไม่แปลกป้ะวะ”
“กูไม่เข้าใจความรักหรอก เพราะกูไม่มี” เจ้าตัวเอ่ยบอกผมก่อนจะเดินไปที่ประตูห้อง “ความรู้สึกที่ทำให้ใจเรารู้สึกแปลกๆ นั่น กูยังไม่อยากรู้จักมันตอนนี้หรอก” ว่าแล้วมันก็เดินออกจากห้องไปทันที
“อะไรของมันวะ” ผมมองประตูที่เจ้าน้องชายเดินออกไปอย่างงงๆ ช่างแม่งเถอะ อย่าไปสับสนกับเรื่องของคนอื่นทั้งๆ ที่เรายังสับสนเรื่องของตัวเองจะดีกว่า
ไม่งั้นคงบ้าตาย
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดเข้าทวิตเตอร์ ผมชอบเล่นทวิตเตอร์มากเลยนะครับ เล่นมานานหลายปีแล้วด้วย มีแอคเคาท์อยู่ 2 แอคเคาท์ แอคฯ ของผมไม่ได้เปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจนนะว่าผมเป็นใคร ส่วนมากผมก็จะเวิ่นเว้อผ่านทวิตฯ อยู่บ่อยๆ คิดโควทคำพูดไปเรื่อยเปื่อยตามประสาของคนชอบเพ้อเจ้อ เมื่อสมัยมัธยมฯ ผมมักจะถ่ายรูปสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวแล้วก็คิดโควทเพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง
คิดแล้วตลกอยู่เหมือนกัน
ผมเป็นคนที่ทวิตฯ บ่อยแล้วก็ลบค่อนข้างบ่อย ข้อความเก่าๆ พอผ่านไปได้สักพักนึงผมก็ลบทิ้งแล้ว ข้าวก้องเคยถามว่าผมทำแบบนั้นไปทำไม ผมก็เลยให้คำตอบไปว่าผมแค่อยากทำเฉยๆ มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายในการลบข้อความเก่าๆ ออก ผมไม่สนใจว่าจะมียอดรีทวิตเยอะมากเท่าไหร่ ผมสบายใจที่จะลบผมก็ลบ
เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ไปเลย
เพราะแบบนั้นมันเลยทำให้ทวิตเตอร์ของผมมีข้อความไม่เยอะสักเท่าไหร่ทั้งๆ ที่เล่นมานาน อันนี้ส่วนของทวิตเตอร์หลักนะครับ ส่วนอีกแอคเคาท์นึงเป็นแอคเคาท์หลุมของผมที่สร้างขึ้นมาเพื่อไว้ฟอลโลว์คนขี้เมาโดยเฉพาะ พี่แช่มเองก็เล่นทวิตเตอร์เหมือนกัน แอคเคาท์ของเขาคือ @Charitpedd รายนั้นก็จะบ่นอะไรไปเรื่อย ส่วนมากก็คงเป็นเรื่องของเรานี่แหละ ผมว่าพี่แช่มไม่รู้นะว่าผมเล่นทวิตเตอร์เพราะว่าผมไม่เคยบอกเขา
เราไม่เคยยุ่งโทรศัพท์ของกันและกันด้วยนะครับ
เพราะแบบนั้นเขาก็ไม่น่าจะรู้นะว่าผมก็เล่นทวิตเตอร์ ดีละ ถ้าเขารู้เขาคงไม่เวิ่นเว้อผ่านทวิตเตอร์แน่ๆ เพราะกลัวผมรู้ หลายข้อความที่เขาทวิตลง ผมอยากจะจับเจ้าตัวมานั่งทุบๆ ๆ ๆ ซะจริงๆ ตัดพ้อเก่ง เก่งกว่าใครในโลกก็ชริตนี่แหละ แล้วอาการนี้คือเป็นมานานจนผมคิดว่าเขาไม่น่าจะหายได้ง่ายๆ เนี่ยะ พอคิดแบบนี้แล้วมันคันไม้คันมืออยากหยิกให้ตัวเขียวจริงๆ เลย
ก๊อก ก๊อก ก๊อกใครมาตอนนี้อีกวะ
ผมลุกจากเตียงก่อนจะเดินไปเปิดประตู ร่างสูงที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้ายืนอยู่ด้านหน้าพร้อมกับถุงน้ำเต้าหู้ใบเตยที่เจ้าตัวชอบซื้อมาฝากผมอยู่เป็นประจำ ดวงตาคมมองผมนิ่งๆ ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลี่ยิ้มออกมา
“ดี....กันนะน้องหอม” มือเรียวยื่นถุงน้ำเต้าหู้มาให้ “นะจ๊ะ”
อ๋อ ซื้อมาง้อ
“รู้แล้วหรอว่าตัวเองคือคนผิดน่ะ” ผมทำหน้านิ่งใส่ เอาคืนซะบ้าง เขาไม่รู้หรอกว่าหลายชั่วโมงที่ผ่านมาผมปวดประสาทมากแค่ไหน
“รู้ มา ตลอด นั่น แหละ จ่ะ” เขาเลื่อนมือมาจับมือผม “พี่ ขออออ โทษษษษ นะ”
อาการแบบนี้นี่เมาสุด
“พี่ก็เป็นแบบนี้ตลอดอะ” ผมหยิบถุงน้ำเต้าหู้ในมือเขามาก่อนจะเอามาวางไว้บนโต๊ะ คนขี้เมายังคงยืนพิงขอบประตูอยู่อย่างนั้น คงกำลังจะตั้งสติล่ะมั้ง ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเมามาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าสภาพแบบนี้จะมาถึงหอผมได้
สมควรนอนตายอยู่ข้างทางอะเอาจริงๆ
“น้องหอม”
“หืม....”
“พี่ว่า.....พี่เมา มากเลย” เจ้าตัวเอ่ยเสียงยานๆ สภาพนี่น่าอนาถใจมาก ดีนะที่พรุ่งนี้เขาไม่มีเรียนน่ะ ขืนถ้ามีเรียนแล้วสติเป็นขนาดนี้นี่คงแย่มาก
“ใครดูก็รู้ว่าพี่เมามาก แล้วนี่จะเอายังไง กลับหอไหวรึเปล่าหรือจะนอนที่นี่”
“ต้องกลับ....ไปนอน....กับคุณเฉลิม” พี่แช่มส่ายหัวตั้งสติ “แต่มันมึนอะ พี่เห็นน้องหอมสองคนแล้ว ตอนนี้”
“พี่นี่มันบ๊องจริงๆ เลย” ผมหยิบน้ำเต้าหู้ไปแช่ไว้ในตู้เย็นก่อนจะหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าสตางค์แล้วมาหยุดอยู่หน้าพี่แช่ม “เอากุญแจรถมา”
มือเรียวส่งกุญแจรถให้ผม “นี่จ่ะ จะเอารถพี่....ไป...ไหนอะ”
“ไปส่งพี่นั่นแหละ”
“ดูแลด้วยป้ะ”
“อืม” ผมประคองคนขี้เมาเอาไว้ “ก็ทำแบบนี้มาตลอดไม่ใช่รึไง”
“หึ....ขอบคุณ....นะครับ” เขาเอ่ยบอกผมเบาๆ มันจะเป็นการขอบคุณมากกว่านี้ถ้าพี่ออกแรงเดินให้ตรงน่ะนะพี่แช่ม เดินเซไปมาแบบนี้คงได้กลิ้งลงไปทับกันตายอยู่ตรงบันไดนี่แหละดูทรงละ
เฮ้อ....เพลียใจจริงๆ เลยว่ะ
หอ B3ผมแบกพี่แช่มเข้ามาในห้องก่อนจะเอาร่างของคนขี้เมาไปทิ้งไว้บนเตียง โอ่ย ปวดหลังเลยทีเดียว นี่ดีนะว่าเป็นสายซัพพอร์ตเก็บซากเพื่อนบ่อยอยู่แล้ว แต่การแบกคนที่ตัวใหญ่กว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย ผมกับพี่แช่มสูงห่างกันไม่มากนะแต่เขาก็ตัวหนากว่าผมออยู่พอสมควร แล้วแก๊งค์ปลาทองของเขานี่คือตัวประมาณนี้กันหมดเลย มีพี่เฌอที่รูปร่างพอๆ กันกับผม ส่วนพวกที่เหลือก็ยักษ์ทั้งนั้น
ตอนเด็กๆ กินอะไรเข้าไปอะถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้
ผมเดินไปหยิบกะละมังพร้อมกับผ้าขนหนูมาวางไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง พี่แช่มสะลึมสะลือมาก สติคงหลุดไปไกลแล้วล่ะ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่อ้วกออกมา หรือถ้าจะอ้วกก็ขอให้มีสติพาตัวเองไปห้องน้ำได้ด้วยเถอะ ผมไม่ได้มีปัญหากับการต้องเช็ดอ้วกใครหรอกนะแต่ว่าไม่อยากให้คนขี้เมาถูกเจ้าของหอด่าเพราะทำเตียงเขาเลอะอ้วกก็เท่านั้นแหละ
เจ้าของหอนี้ปากจัดมากเลยนะครับ
พั่บบบบผมหันมองหนึ่งในเจ้าของห้องที่โผขึ้นมาบนเตียง “ว่าไงคุณเฉลิม”
“.....” เจ้านกแสกตัวกลมเอียงคอมองผมเหมือนอย่างที่ชอบทำ มันคงสงสัยล่ะมั้งว่าผมกำลังทำอะไร
“อยากเช็ดตัวให้พี่แช่มหรอหืม”
“.....” คุณเฉลิมโผกลับไปที่บ้านของตัวเองเหมือนเดิม อารมณ์เหมือนบินมาดูสภาพพี่แช่มว่าเป็นยังไง พอใจแล้วก็บินกลับอะไรทำนองนั้น อีกอย่างคงไม่อยากเกะกะผมที่จะเช็ดตัวให้คนขี้เมาด้วยล่ะมั้ง
ขอบอกเลยว่าคุณเฉลิมนี่เป็นขวัญใจของชาวบ้านมาก พี่แช่มเคยพานางไปมหา’ลัยด้วยครั้งนึงช่วงซ้อมกีฬาสีเมื่อปีก่อน คุณเฉลิมเป็นนกที่เชื่องมากเลยครับ นิ่งมากจนเหมือนตุ๊กตา ไม่ค่อยร้องเสียงดัง เลี้ยงง่าย บินไปมาอยู่ในห้องนี่แหละ วันไหนสัญชาตญาณนักล่าเข้าสิงก็จะไปจับหนูจากไหนไม่รู้มาอวดพี่แช่ม ตอนแรกผมไม่ค่อยชอบนกเท่าไหร่ แต่พอได้มาเจอคุณเฉลิมก็รู้สึกว่าตัวเองโอเคกับนกขึ้นเยอะเลย
นางน่ารักนี่นะ
หลังที่อวยคุณเฉลิมจนพอใจผมก็จัดการถอดเสื้อผ้าของพี่แช่มออก จำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ได้เห็นร่างกายของผู้ชายคนนี้ผมใจเต้นมากอะ แต่สำหรับตอนนี้ก็พูดได้เลยว่าเฉยๆ เพราะเห็นบ่อยมาก ตำหนิบนตัวเขาผมจำได้แทบทุกรอย ไงล่ะ ช่างสังเกตป้ะ บนเนื้อบนตัวของเขาไม่มีใครรู้ดีไปกว่าผมอีกแล้ว ผมชอบผิวของพี่แช่มนะ มันเนียนแล้วก็น่าจับมากเลย ใครมันจะไปคิดว่าอีตาขี้เมานี่จะมีผิวที่น่าสัมผัสขนาดนี้วะ
ว่าแล้วก็ลูบให้ทั่วตัวซะเลย
ผมจัดแจงเช็ดตัวให้พี่แช่มไปเรื่อยๆ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เขา เปลี่ยนได้แค่ข้างนอกแหละครับ ส่วนชั้นในนี่ก็ต้องให้เจ้าตัวรวบรวมสติมาเปลี่ยนเอง ผมกับพี่แช่มยังไปไม่ถึงขั้นนั้นเลย ขั้นที่....จะพูดยังไงดีวะ ผมว่าความสัมพันธ์ของเราสองคนมันแปลกๆ มันเหมือนคนที่เป็นแฟนกันทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้คบกัน และผมก็ไม่รู้ว่าวันที่เราได้เป็นแฟนกันมันจะมาถึงเมื่อไหร่
มันแทบไม่มีจุดหมายเลย
เพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของกันแบบนี้ผมกับเขาเลยไม่มีอะไรมากไปกว่าการกอดหรือจับมือกัน หอมแก้มยังไม่เคยเลยนะครับ เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน เอาจริงๆ การกระทำหลายๆ อย่างมันก็ไม่ได้ดูเสียหายหรอกแต่ว่าพี่แช่มเขาไม่ยอมทำน่ะ มันก็ดีนะที่เขาให้เกียรติผมในหลายๆ อย่าง แต่บางทีผมก็อยากมีโมเม้นท์ที่อยากมีร่วมกับเขาไง
ทุกอย่างมันคงเป็นได้แค่ความคิด
ผมเดินเอากะละมังไปเก็บก่อนจะหยิบบุหรี่แล้วไปยืนสูบอยู่ที่ระเบียง ถ้าเป็นเวลาปกติผมจะสูบบุหรี่ที่นี่ไม่ได้นะครับเพราะว่าพี่แช่มจะดุ เขาไม่ชอบให้ผมสูบบุหรี่ ตอนนี้ผมพยายามหาทางเลิกอยู่แต่มันยากว่ะ อยากจะฮึกเหิมแล้วก็ตัดใจเลิกได้เหมือนที่ไอ้ขุนทำเพื่อขนมบ้าง แต่เอาจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็สูบน้อยลงไปเยอะแล้วนะ ตกวันละไม่กี่มวนเอง เมื่อก่อนนี่วันละครึ่งซองโน่น
นับว่าเป็นจุดล่มจมของการเงินเลยล่ะ
ผมคิดว่าตัวเองจะเลิกบุหรี่ได้แน่ๆ มันก็แค่ต้องใช้เวลากับแรงจูงใจที่แรงกล้ามากขึ้นอีกนิดนึง เวลาที่พี่แช่มเห็นผมสูบบุหรี่เขาจะชอบบ่นว่าเดี๋ยวเวลาที่เขาจะจูบผม กลิ่นบุหรี่มันจะต้องทำให้ไม่ชอบใจแน่ๆ แต่ถึงจะพูดแบบนั้นเขาก็ไม่เคยจูบผมเลยสักครั้ง เพราะแบบนี้แหละผมถึงตัดใจเลิกไม่ได้สักที บ่อยครั้งที่ผมคิดภาพของเราที่กำลังจูบกันและบ่อยครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าสัมผัสนั้นมันจะเป็นยังไง
มันจะดีรึเปล่า....ปากเขาจะนิ่มมากแค่ไหน
ก็คงได้แต่สงสัยน่ะนะ
ครืดดดด....ครืดดดดผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสาย “ว่าไง”
(พี่แช่มนี่ถึงหอพี่แบบปลอดภัยใช่ป้ะ)
“อืม แต่ตอนนี้กูพาเค้ามาที่หอเค้าละ นอนเมาไม่รู้เรื่องอยู่บนเตียง ทำไมอะ เค้าไปกินเหล้ากับมึงหรอ”
(ใช่ อาการหนักเหมือนกันนะพี่ ปกติพี่แช่มเค้าจะเมาแล้วเวิ่นเว้อใช่ป้ะ แต่วันนี้เค้าเมาแล้วโคตรเงียบอะ นั่งเหม่ออยู่เป็นพักน่ะ หมีว่ามันโคตรผิดปกติเลย)
“ขนาดนั้นเลยหรอ”
(อื้ม เอาจริงๆ เท่าที่สังเกตได้นะ พักหลังมาพี่แช่มเค้าแปลกๆ ไป เรื่องนี้พี่หอมน่าจะรู้สึกได้เหมือนกันนะ)
“กูก็พอรู้อยู่ว่าเค้าแปลกๆ แต่ถึงถามไปเค้าก็ไม่บอกอยู่ดี กูก็เลยรอให้เค้าเล่าออกมาเองดีกว่า”
(แบบนั้นก็ดีนะพี่ หมีรู้ว่าพี่แช่มชอบงี่เง่าใส่ แต่ว่าช่วงนี้ก็ใจเย็นๆ กับเค้าหน่อยละกัน)
“กูน่ะใจเย็นสุดละหมี ถ้ากูใจร้อนนะ กูคงไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้วแหละ”
(นั่นสิน้า....อื้ออ.อ.อ...อะไรเนี่ยะพี่ขัน ยังอีก)
“งั้นแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวพี่ขันมาตามกระทืบกู”
(ฮ่าๆ ๆ ๆ ๆ พี่ก็พูดไป เห้ยยยยพี่ขันนนน)
“อะไรของมันวะ” ผมมองหน้าจอที่ถูกตัดสายไปแล้ว พี่ขันเขาคงเชือดไอ้หมีล่ะมั้งที่โทรคุยกับผู้ชายคนอื่น เห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาคู่นี้ยังไงก็ไม่รู้
คิดดูสิ จากคนที่ไม่มีใครคิดว่าจะลงเอยกันได้ก็มาลงเอยกัน ถึงแม้ว่าระหว่างนั้นจะชอกช้ำพอสมควรแต่ทุกอย่างมันก็จบลงได้ด้วยดี แล้วดูอย่างคู่ของผมสิ เรื่อยๆ เปื่อยๆ เป็นนิยามของคำว่าอยู่ด้วยกันไปวันๆ มาก จุดหมายอยู่ตรงไหนไม่รู้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะดีหรือร้าย ความสุขมันก็มีแหละ แต่ว่านะ....ผมเป็นคนโลภอะ มันแปลกเหรอที่เราจะต้องการมากขึ้น
เรา....รักกันหนิ
“เพ้อเจ้อจัง” ผมทิ้งก้นบุหรี่ก่อนจะเดินเข้ามาด้านในแล้วนั่งลงข้างๆ คนที่หลับอยู่ มือเลื่อนไปเขี่ยผมที่ปรกหน้าเขาออกเบาๆ หน้าตอนนอนนี่ไร้พิษสงสุดๆ ผิดกับตอนตื่นอย่างกับคนละคน
“.....ชะเอม”
ห้ะ
“พี่แช่ม” ผมมองคนที่เผลอละเมอออกมา “พี่ว่าไงนะ”
“.....พี่ขอโทษนะคะชะเอม....พี่ขอโทษ” เจ้าตัวเอ่ยออกมาโดยที่ตายังหลับอยู่แบบนั้น สิ่งที่ได้ยินมันทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจอย่างมากและในหัวก็ตั้งคำถามเต็มไปหมดว่าชะเอมเป็นใคร
พี่แช่มขอโทษเขาทำไม
ฟังจากการใช้คะแล้วด้วย ชะเอมคงเป็นผู้หญิงสินะ ร้อยวันพันปีผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้ออกจากปากพี่แช่มเลย นี่เป็นครั้งแรกและผมก็ไม่ชอบใจเอามากๆ เขาคือใครอะ แฟนเก่าเหรอวะ ถ้าใช่จริงๆ ผมจะโกรธมากเลยนะ
เมาแล้วเพ้อถึงแฟนเก่าเนี่ยะ
“ชะเอมคือใครห้ะพี่แช่ม” ผมคว้าหมอนตีคนที่หลับอยู่อย่างหงุดหงิด นอนเรียกชื่อคนอื่นทั้งๆ ที่ผมอยู่ตรงนี้เนี่ยนะ มันจะมากไปเกินไปมั้ง
“....ชะเอม”
“ยังไม่หยุดอีก” ผมกดหมอนลงกับหน้าเขา เอาสิ เอาให้ตายไปเลย มันน่าเอามีดมาสับเป็นชิ้นๆ แล้วโยนให้เป็ดกินซะจริง หึ้ยยย.ย....อาการหัวร้อนนี้มันคืออะไรวะ
ผมเลื่อนหมอนออกก่อนจะตีคนที่หลับอยู่ไปอีกสองสามที อย่าบอกนะว่าที่ช่วงนี้เขาเปลี่ยนไปมันเป็นเพราะคนชื่อชะเอมน่ะ อาจจะใช่ ถ้าลองไปถามไอ้หมีมันจะรู้จักไหมวะ ต้องลองดู แต่ไม่แน่ว่าถ้าพี่แช่มตื่นขึ้นมาผมคงจับคอเขาเขย่าแล้วเค้นถามเอง ตอนนี้ใจผมรู้สึกไม่โอเคเลย มันน่าคิดมากอยู่นะ ถ้าสมมุติว่าชะเอมเป็นแฟนเก่าของพี่แช่มจริงๆ แล้วตอนนี้พี่แช่มยังไม่ลืมเขาก็แปลว่าความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มันไม่ไปไหนเลยนี่เป็นเพราะคนชื่อชะเอมงั้นเหรอ
แม่งต้องใช่แน่ๆ เลยว่ะ
ผมเขย่าตัวพี่แช่ม “ตื่นมาคุยกันเดี๋ยวนี้เลยนะ ต่อให้เมาก็ต้องตื่นนนน” ไม่งั้นผมต้องประสาทเสียอยู่คนเดียวแน่ๆ
“อื้ออ.อ.อ....” มือเรียวรั้งผมเข้าไปกอดไว้แน่น “....น้องหอม”
“......”
“....อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ” เจ้าของอ้อมกอดพึมพำเบาๆ ก่อนจะขยับหน้าเข้ามาซุกอกผม “.....นะครับ”
“ถ้าไม่รู้ว่าชะเอมเป็นใครก็ทิ้งแน่โว้ยยยย” ผมหยิกแก้มคนขี้เมาอย่างหมั่นไส้ก่อนจะนอนนิ่งๆ ปล่อยให้เขากอดอยู่แบบนั้น
ทำไมหัวใจรู้สึกโหวงๆ ยังไงชอบกล
ก็นะ....ผมเพิ่งได้ยินคนที่ตัวเองรักละเมอชื่อคนอื่นออกมาหนิ ผมไม่รู้ด้วยว่าคนที่เขาละเมอออกมาคือใคร ไม่รู้ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันขนาดไหน ไม่รู้มาก่อนเลยตลอดเวลาเกือบ 2 ปี ผมไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
รู้สึกแย่ชะมัด
ผมยกมือขึ้นลูบหัวคนที่หลับอยู่เบาๆ “พี่ทำให้หอมรู้สึกไม่ดีอีกแล้วนะพี่แช่ม พี่จะรับผิดชอบมันยังไงดีหืม....”
“.....”
“เมื่อไหร่พี่จะยืนยันเรื่องระหว่างเราสักที หอมรอพี่มาจะ 2 ปีแล้วนะ”
“.....”
“หอมต้องรอไปอีกนานแค่ไหนหรอพี่แช่ม”
“.....”
“ถ้าไม่อยากให้หอมหายไปขนาดนั้น” ผมกระซิบข้างหูเจ้าตัวเบาๆ “ทำไมไม่ผูกมัดหอมไว้ล่ะ”
“.....”
“หรือว่าที่พี่ไม่ทำแบบนั้นมันเป็นเพราะ.....พี่ไม่คิดจะทำตั้งแต่แรก”
ก็อาจจะใช่
ไม่งั้นเขาจะคอยท่ามาทำไมนานขนาดนี้
ผมยิ้มบางๆ ให้เขาเหมือนกับทุกครั้ง เคยคิดตลอดนะว่าถ้าวันนึงความสัมพันธ์ของเรามันถึงจุดจบ ตอนนั้นสภาพของผมจะเป็นยังไงบ้าง เอาจริงๆ ทุกวันนี้ก็เหมือนทำใจรออยู่ตลอด คิดๆ แล้วเหมือนตัวเองโง่เลยที่อยู่กับความไม่ชัดเจนมาได้นานขนาดนี้ ผมรักพี่แช่มมากกว่ารักตัวเองเยอะเลย แต่จะว่าไป....มันก็เป็นผมทั้งนั้นแหละที่เลือกทำแบบนี้เอง เพราะงั้นมันจะโทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง
“ทำไมถึงฟุ้งซ่านแบบนี้วะหอม” ผมกอดพี่แช่มไว้แน่นก่อนจะหลับตาลง มันอาจจะยากที่จะต้องข่มตาหลับแต่ยังไงมันก็ต้องหลับให้ได้ ไม่งั้นผมคงบ้าบอไปมากกว่านี้
พักผ่อนซะข้าวหอม
---------- 50% ----------