Rough and Tender 19
ตั้งแต่เล็กจนโต ขอบฟ้าเคยมีเรื่องทะเลาะกับคนอื่นไม่กี่ครั้ง สมัยประถมเขามีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนซึ่งมีนิสัยคล้ายๆ กันคือไม่กล้าแสดงออก ตื่นเต้นง่าย ขี้กลัว เกลียดการออกไปพูดหน้าชั้นสุดใจขาดดิ้น กระหายอยากได้คำชมของครูบ้าง
โตขึ้นมาอีกหน่อย สมัยมัธยมต้น เนื่องจากเขาสอบเข้าโรงเรียนที่แทบจะไม่มีเด็กจากประถมเดียวกันเลย ทำให้เขาหาเพื่อนไม่ค่อยได้ ขอบฟ้าเริ่มมีนิสัยเก็บตัว ไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมและมักจะใช้เวลาส่วนใหญ่ตอนพักซุกตัวอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือคนเดียวเงียบๆ มากกว่า
ครั้นขึ้นมัธยมปลาย โรคเก็บตัวของเขาเหมือนจะยิ่งแย่หนัก การสื่อสารกับเพื่อนร่วมห้องย่ำแย่ติดดิน เพื่อนบางคนจำชื่อเขาไม่ได้ด้วยซ้ำเมื่อถึงวันเรียนจบ ใช่ว่าจะชอบแต่เขาไม่รู้วิธีคบหากับคนอื่น จำได้ว่าตนเคยแอบชื่นชอบ แอบมองหัวหน้าห้องที่เป็นนักเรียนดีเด่น เก่งทั้งเรียน เก่งทั้งกีฬา คนที่ใครๆ ก็รัก คนที่ใครๆ ก็ชื่นชม
เขารู้ว่าคนอื่นมักทำหน้าเบ้ตอนจำเป็นต้องพูดกับเขา แต่ขอบฟ้ามักจะทำเป็นไม่รู้ มักจะทำเป็นยิ้มรับ เพื่อนๆ จึงต่างคิดว่าเขาโง่เกินกว่าจะรู้ว่าตนโดนรังเกียจ เขาไม่ได้โดนแกล้งแต่โดนรังเกียจโดยที่ไม่เคยเข้าใจเหตุผล
ถึงจะเคยนึกท้อจนไม่อยากไปเรียน ทว่าทิวหมอกไม่เคยยอมให้เขาขาดเรียนยกเว้นจากป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้นเท่านั้น
ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ขอบฟ้านึกตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ เขาอยากกลายเป็นขอบฟ้าคนใหม่ คนที่สามารถมีเพื่อนได้ตามปกติ มีเพื่อนให้โทรศัพท์หา มีคนให้ปรึกษา มีใครต่อใครชวนไปกินข้าว ไปเที่ยวเล่นโดยไม่นึกรังเกียจความเชื่องช้าเงอะงะของเขา
แต่มันยากเหลือเกิน ต่อให้เขาพยายามพูด มันก็มักจะผิดที่ ผิดเวลาไปหมด พอพยายามเงียบแทน ก็ถูกลืมไปเสียเฉยๆ จนกระทั่งเกิดเรื่องอาจารย์นภดล ทุกอย่างก็ยิ่งเลวร้ายถึงขีดสุด...
มันเลวร้ายเสียจนคิดว่าคงไม่สามารถมีอะไรเลวร้ายไปกว่านั้นได้อีกแล้ว จนกระทั่งวินาทีนี้ที่กรพูดออกมา
“ปล่อยมือเมียกูได้แล้ว ไอ้พล”
ทุกคำไม่ผิดอะไรกับมีดแหลมที่แทงลงมาบนร่างกาย ขอบฟ้าครางเหมือนสัตว์บาดเจ็บ ในขณะที่พลชนะถามเสียงต่ำ “มึงเรียกใครว่าเมีย”
“หึ ก็แฟนแสนดีของมึงคนนี้ไงที่เป็นเมียกู” กรเหยียดยิ้ม ทำท่าเหมือนสิ่งที่พูดเป็นเรื่องตลกซะเต็มประดา “กูได้มันมาตั้งนานแล้ว ครั้งแรกที่ห้องกู มันแล่นตามกูไปถึงที่นั่น หลังจากนั้นก็...”
“มึงโกหก!” พลชนะกระชากคอเสื้อเพื่อนโดยแรง “ฟ้าไม่มีทาง...”
“ก่อนมึงจะหาว่ากูโกหก ทำไมไม่ถามมันดูล่ะว่ากูพูดจริงหรือเปล่า”
ขอบฟ้าซึ่งเวลานี้แทบจะขดลงไปซุกอยู่ใต้โต๊ะสะดุ้งเฮือกเมื่อสายตาของพลชนะหันมาจ้องเขา ในดวงตาคู่นั้นมีทั้งความคาดหวังและหวาดกลัวกับสิ่งที่เขาจะตอบ
แต่จะให้เขาตอบอะไร เขาจะตอบอะไรได้อีก สิ่งที่ต้องการพูดมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “ผมขอโทษ... ผมขอโทษ พี่พล”
มือที่ขยุ้มคอเสื้อกรไว้ดูราวกับจะหมดแรงลงกะทันหัน ใบหน้าของพลชนะซีดขาวไร้สีเลือดยามพึมพำ “ทำไม...ฟ้า...”
กรจัดคอเสื้อให้เข้าที่แล้วปัดมือของพลชนะออกพ้นตัว พูดพร้อมยิ้มนิดๆ “มึงบอกมันไปสิว่าได้เงินจากกูไปเท่าไหร่”
ขอบฟ้าทำเสียงเหมือนไม่อยากจะเชื่อ เขางอตัวลง อยากหายไปจากโลกนี้จับใจ ขณะเดียวกันพลชนะดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไปเมื่อเห็นท่าทางของเขา ไม่มีคำปฏิเสธใดๆ หลุดจากปาก
โดยไม่คาดคิด กำปั้นขวาของพลชนะก็ซัดเข้าเต็มหน้าของกรจนล้มไปชนโต๊ะดังโครม เสียงแก้วแตกผสมปนเปกับเสียงกรีดร้องสับสนวุ่นวายและก่อนที่ใครจะตั้งตัวติด พลชนะก็กระชากแขนเขาลากลิ่วออกจากที่แห่งนั้น
“มึงจะไปไหน!”
หูขอบฟ้าได้ยินเสียงเอะอะไล่หลังจากกร เหลียวข้ามไหล่ไปเห็นชายหนุ่มพยายามยันตัวลุกและปัดมือของคนรอบข้างออก หากพอหันกลับมาเห็นสีหน้าของพลชนะ เขาก็ไม่กลัวจนไม่กล้าพูดอะไร
กรตามพวกเขาทันแถวลานจอดรถ “หยุดนะ! ไอ้พล”
ขอบฟ้าถลาหัวซุนยามโดนกระชากไปหยุดบริเวณริมอาคารและร้องอึกอักยามโดนมือใหญ่บีบลำคอไว้
“มึงหยุดอยู่ตรงนั้น ไอ้กร ไม่อย่างนั้นกูจะผลักฟ้าลงไปข้างล่าง”
ร่างสูงที่เดินดิ่งเข้ามาชะงักเท้าทันควัน หยุดมองพวกเขาแค่ห่างๆ ก่อนเอ่ยเครียด “มึงไม่ทำจริงๆ หรอก”
“มึงคิดว่ากูไม่กล้าหรือกูทำไม่ลงเหรอ ไม่ว่ะ กร ถึงจะไม่อยากแต่กูทำได้” พลชนะยึดร่างที่ดิ้นรนในมือแน่นขึ้นพร้อมกับเพิ่มแรงบีบรอบลำคอฝ่ายนั้น “คนที่กูเฝ้ารัก เฝ้าทะนุถนอม กลับกลายเป็นแค่อีตัวแพศยา กล้าสวมเขาให้กูหน้าด้านๆ กูแค้นมากจนอยากฆ่าให้ตายคามือซะเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ”
พูดแล้วพลชนะก็ถอนหายใจ ก้มหน้ามองใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำจากการขาดอากาศหายใจ มองน้ำตาที่ไหลเงียบๆ อยู่อึดใจ ชายหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อทั้งที่มือยังไม่ผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
“กูรักของกูมากจริงๆ นั่นล่ะ รักจนอยากฆ่าให้ตายด้วยมือของกูเองมากกว่าจะยกให้คนอย่างมึง”
“มึงต้องการอะไร” กรถามอย่างระมัดระวัง
“โยนกุญแจรถของมึงมา” พลชนะรับสิ่งที่โยนมาได้แบบไม่ยากเย็น และขว้างทิ้งลงไปด้านล่างทันที เอ่ยสำทับยามกรตั้งท่าจะขยับ “ถ้าก้าวเข้ามาอีก กูจะไม่โยนแค่กุญแจรถลงไป”
“มึงอยากมีเรื่องก็มามีกับกูนี่ แต่ปล่อยฟ้าไปได้แล้ว”
“หุบปาก อย่าทำให้กูโมโหไปมากกว่านี้!” พร้อมกับพูด อุ้งมือใหญ่ออกแรงเค้นหนักจนขอบฟ้าดิ้นทุรน “ห่วงกันมากเหลือเกินใช่ไหม เห็นแล้วกูอยากจะอ้วก...”
“ก็ได้ กูจะยอมถอยไปก่อนก็ได้” กรพูดเร่งร้อน “มึงอยากไปไหนก็ไป กูจะไม่ตามแน่นอน”
“ไปให้พ้นหน้ากูเดี๋ยวนี้” พลชนะเอ่ยเสียงเรียบ จับตามองกระทั่งแน่ใจว่ากรจะไม่ตามมาแล้วจริงๆ ค่อยคลายมือออกจากรอบลำคอ ลากคนที่ยังสูดลมหายใจเฮือกโตสลับกับสำลักกระอักกระไอไปอีกด้านหนึ่งโดยเร็ว
เมื่อพลชนะออกรถ ขอบฟ้าได้แต่นั่งตัวเกร็งไม่กล้าถามหรือพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว กระทั่งรถเลี้ยวปราดเข้าโรงแรมแห่งแรกที่เจอ ขอบฟ้าก็ยังไม่กล้าเอ่ยปาก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินตามแรงฉุดกระชาก ไม่ยอมเงยหน้ามองดูใครหรืออะไรทั้งนั้นจนพวกเขามาหยุดยืนในห้องพัก
ทันทีที่อยู่กันตามลำพัง พลชนะจึงปล่อยมือจากแขนเขาด้วยอาการคล้ายกับสะบัดทิ้งและเดินวนไปวนมาพักใหญ่ในขณะที่เขายืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ในที่สุด ความเงียบก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงเครียด
“มีอะไรอยากบอกพี่บ้างไหม”
พลชนะต้องการคำตอบในเวลาที่เขาไม่เหลือความกล้าสักเสี้ยวกระผีก รอบคอยังเจ็บระบมแต่เขาพยายามกล่าวออกไป “ผมขอโทษ”
“ขอโทษพี่เรื่องอะไร เรื่องที่เล่นตัวกับพี่ท่านั้นท่านี้! หรือขอโทษที่โกหกว่ายังไม่พร้อมแต่กลับแล่นไปนอนกับไอ้กรงั้นเหรอ!” ร่างสูงสืบเท้าพรวดจนเข้าประชิดตัวแล้วจับบ่าเขากระแทกกับผนังด้านหลังแรงๆ “จะขอโทษให้มันได้อะไรขึ้นมา หา!”
“พี่พลเข้าใจผิด ผมไม่ได้...”
แรงตบทำให้คำพูดที่เหลือติดอยู่แค่ในลำคอ ถ้าไม่ใช่เพราะมีมือยึดเอาไว้ เขาคงล้มลงไปกองแล้ว
“เลิกพูดโกหกสักที! แค่นี้พี่ก็โง่บัดซบจนไม่รู้จะโง่ยังไงแล้ว คนหนึ่งก็เพื่อน คนหนึ่งก็แฟนที่คิดว่าซื่อเสียเหลือเกิน พี่ไม่คิดเลย... ไม่เคยคิดสงสัยฟ้าเลยจริงๆ” พลชนะมองรอยตบแดงเถือกจากน้ำมือตนแล้วทำหน้าเหมือนเป็นคนโดนตบเสียเอง “ฟ้ารับเงินไอ้กรมาจริงเหรอ”
เขาพยายามอธิบายแต่พบว่ามันเจ็บร้าวไปหมดจนแทบอ้าปากไม่ขึ้น “ผม...”
“ไม่ต้องพูด แค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าว่าจริงหรือเปล่าที่ฟ้าเอาเงินไอ้กรมา”
ขอบฟ้าอยากส่ายหน้า อยากปฏิเสธว่าไม่ได้รับ แต่เขายังจำได้ถึงวินาทีที่กรส่งเงินมาให้ ยังจำได้ว่าเขากำเงินจำนวนนั้นด้วยมือชื้นเหงื่อแน่นแค่ไหน และที่สำคัญ ตอนนี้เขายังไม่มีปัญญาคืนให้กรสักบาทเลยด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่แทบมองไม่เห็น หากพลชนะก็มองอาการพยักหน้ารับคล้ายกับไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนจะเอ่ยเสียงแห้ง “...ถ้าฟ้าอยากได้เงิน ทำไมไม่บอกพี่”
ตอนนี้เขาไม่หวังอะไรแล้ว ไม่หวังให้พลชนะยกโทษให้ ไม่หวังให้ใครมาช่วย ไม่หวังให้คนอื่นเข้าใจเหตุผล การคาดหวังมักตอบแทนเขาอย่างเจ็บปวดเสมอ
“โอ๊ย!” ขอบฟ้าโดนผลักกระเด็น แม้จะล้มลงบนเตียงแต่ก็ยังเจ็บจนกลั้นเสียงอุทานไม่อยู่ ทว่านอกจากจะไม่สนใจเขาแล้ว พลชนะยังควักกระเป๋าเงินออกมาด้วยสีหน้าราบเรียบเย็นชาเหมือนมีน้ำแข็งฉาบอยู่บางๆ
“ถ้าพี่อยากนอนกับฟ้า พี่ต้องจ่ายเงินเท่าไหร่”
ครั้นเห็นสีหน้าตกตะลึงของร่างบนเตียง คนถามจึงแค่นยิ้ม “พี่อยากรู้จริงๆ ว่าพี่ต้องจ่ายเท่าไหร่ ไอ้กรมันจ่ายให้เท่าไหร่ล่ะ หรือฟ้าจะลดราคาให้พี่ในฐานะของมือสองใช้งานแล้ว”
มือซีดขาวที่กำผ้าห่มจนยับย่นสั่นไหวยามเจ้าตัวเอ่ยสะอึกสะอื้น “มะ... ไม่เอา... ผมไม่เอา...”
“ไม่เอาน่า พี่ไม่ได้จะขอเราฟรีๆ ในฐานะคนรักสักหน่อยแล้วยังจะเล่นตัวอีกทำไม” ธนบัตรจำนวนหนึ่งถูกโยนใส่หน้า “น่าจะพอนะ เพราะขนาดกะหรี่ชั้นสูงที่พี่เคยนอนด้วยยังค่าตัวน้อยกว่านี้เลย”
มือใหญ่กระชากคอเสื้อเขาจนกระดุมหลุด วินาทีต่อมา ร่างสูงก็โถมทับลงบนตัวแล้วไซร้ใบหน้าเข้ากับซอกคออย่างรุนแรงในขณะที่มือก็ลูบตะโบมแบบไม่ออมแรง ชายหนุ่มที่กำลังโกรธจนหูอื้อตาลายต้องการแค่ให้ร่างกายนี้เจ็บปวดมากที่สุด เจ็บให้เท่ากับที่ตนเจ็บ กอดเอาไว้ทั้งๆ ที่เกลียด แต่จะให้ผละจากไปก็ทำไม่ได้เพราะยังรัก
ส่วนขอบฟ้า แม้จะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร แต่ด้วยความกดดันและความหวาดกลัวถึงขีดสุดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ก็ได้ส่งผลให้สติเขาเลือนลางลงทุกขณะก่อนจะสิ้นสติไปในที่สุด
++++++++++
แว่บแรกที่เผยอเปลือกตาขึ้น ขอบฟ้าคิดไม่ออกว่าที่นี่ที่ไหน พอพยายามเอี้ยวใบหน้ามองก็ปวดไปหมดทั้งตัวจนต้องนอนนิ่งๆ ต่อพักใหญ่ ระหว่างนั้นเอง ความทรงจำก็ค่อยๆ หวนคืนมา
ความหวาดกลัวพลุ่งขึ้นมากะทันหันจนร่างกายสะท้านเฮือก ความทรมานทางกายนั้นไม่สามารถเทียบได้กับคำพูดของพลชนะซึ่งส่งผลไม่ผิดอะไรกับเข็มแหลมที่ปักแทงลงในหัวใจ
เขาฝืนพยุงกายขึ้นนั่ง มองไปรอบห้องซึ่งไม่มีใครอื่นจึงค่อยถอนหายใจ เดินโซซัดโซเซเกาะผนังเข้าห้องน้ำและชำระร่างกายแบบลวกๆ แทบไม่สนใจกับร่องรอยเขียวช้ำบนตัวและบริเวณรอบลำคอที่ช้ำหนักจนเป็นปื้นแลดูน่ากลัว หากขอบฟ้ากลับนิ่วหน้าเมื่อเห็นสภาพเสื้อผ้าที่หลงเหลืออยู่ พูดง่ายๆ คือเขาให้ความสำคัญกับความเสียหายของเสื้อผ้ามากกว่าร่างกายตนเองด้วยซ้ำ
จากสภาพเสื้อที่แทบจะไม่เหลือกระดุมสักเม็ด อาศัยชุดเย็บผ้าเล็กๆ บนโต๊ะ เขาก็ซ่อมแซมจนพอจะสวมใส่ได้ หยิบธนบัตรที่ตกอยู่ข้างเตียงมาหนึ่งใบเพื่อเป็นค่ารถกลับบ้านและรีบออกจากห้องเมื่อเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว
จำเป็นต้องยอมสิ้นเปลืองเรียกรถแท็กซี่ เพราะรู้ว่าสภาพตอนนี้เขาขึ้นรถเมล์ไม่ไหวจริงๆ และจากสายตาที่มองมาของคนเดินสวนกัน เขาก็คิดว่าดีแล้วที่เลือกขึ้นแท็กซี่ พอรถจอดเทียบหน้าบ้านเขาจึงส่งเงินให้คนขับโดยไม่รอรับเงินทอน ค่าตัวของเขาความจริงให้แค่ค่ารถก็น่าจะเกินพอแล้ว
ปลายฝนซึ่งนั่งดูโทรทัศน์อยู่ตามลำพังกระโดดผลุงลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งมาหา กล่าวละล่ำละลัก “พี่ฟ้า! พี่หายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมว่าพี่หมอกกับม้าเป็นห่วงพี่แทบตาย แล้วนี่...”
เมื่อเห็นสภาพอันยับเยินของผู้เป็นพี่ชายชัดๆ แล้วเด็กสาวก็หน้าซีด “เกิดอะไรขึ้น! ใครทำพี่...”
“ม้าเข้านอนแล้วเหรอ”
“หา... เอ่อ ใช่ สองสามวันมานี้ม้าไม่ค่อยสบาย วันนี้พอกินข้าวกินยาเสร็จ ฝนเลยพาม้าเข้านอนเร็ว” ปลายฝนสับสนเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพเรียบเฉยของพี่ชาย ถึงจะรู้ว่าปกติขอบฟ้าจะอึนๆ มึนๆ อยู่แล้วก็เถอะ แต่นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ “นี่สรุปว่ายังไงกัน พี่ฟ้ายังไม่ได้ตอบฝนเลย”
“ขอพี่ไปดูม้าก่อนนะ” ขอบฟ้าลากสังขารที่แทบจะหมดแรงเดินไปหยุดตรงข้างเตียงมารดาโดยไม่กล้าเปิดไฟในห้องรบกวน อาจเป็นเพราะไม่เห็นมาสักพัก ร่างเล็กผ่ายผอมจึงดูราวกับจะซูบลงยิ่งกว่าที่จำได้ เขาขยับผ้าห่มห่มให้มารดาใหม่ จังหวะเดียวกันนั้น ดวงตาบนใบหน้าเหี่ยวย่นก็เปิดปรือขึ้น
“เจ้าฟ้า...กลับมาแล้วเหรอ”
“ผมกลับมาแล้วครับ ผมขอโทษนะม้า” ขอบฟ้าจับมือซีดเซียวของมารดาบีบเบาๆ “ผมมันโง่จริงๆ ที่ทำให้ม้าเป็นห่วง ม้าจะด่าผมยังไงก็ได้ จะโกรธ จะทุบตียังไงผมก็ไม่ว่าแต่อย่าเกลียดผมเลยนะ”
“แค่แกกลับบ้าน ม้าก็หายโกรธแล้ว” มารดาขยับทำท่าเหมือนจะลุก “แล้วนี่กินอะไรมาหรือยัง กับข้าวเมื่อเย็นยังเหลือ เดี๋ยวม้าลงไปอุ่นให้”
“ไม่ต้องหรอกม้า ผมกินข้าวมาแล้ว” แม้จะจำแทบไม่ได้แล้วว่าตนกินอาหารมื้อสุดท้ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ขอบฟ้าก็รีบเอ่ย “ม้านอนพักเถอะ นี่ก็ดึกมาแล้วด้วย ไว้พรุ่งนี้เช้าเราค่อยคุยกันต่อก็ได้”
ด้วยฤทธิ์ยา มารดาที่สะลึมสะลืออยู่แล้วจึงพยักหน้ารับและหลับต่ออย่างง่ายดาย ขอบฟ้างับประตูห้องลง หันมาเจอปลายฝนยืนถือแก้วน้ำกับกระปุกยารออยู่
“ถ้าพี่ฟ้ายอมกินยาแต่โดยดี ฝนจะไม่เซ้าซี้ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ” ยัดแก้วน้ำใส่มือพี่ชายและยืนจ้องเขม็งจนแน่ใจว่าขอบฟ้าไม่ได้ถุยยาทิ้ง ปลายฝนจึงค่อยดันหลังเขาเข้าห้องน้ำ “ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนเดี๋ยวฝนจะได้ทายาให้”
ตอนอาบน้ำในโรงแรม เขาไม่ได้สนใจจะมองกระจกเงาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ยามเห็นภาพสะท้อนตรงหน้า ขอบฟ้าก็อดหนักใจไม่ได้ ร่องรอยบนลำตัวยังพอว่า แต่รอยแดงช้ำรอบคอนี่ดูท่าต่อให้ใส่เสื้อติดกระดุมถึงคอก็คงรอดยาก
เขาใช้เวลาในห้องน้ำนานกว่าที่คิด แต่กระนั้นก็ยังพบปลายฝนนั่งรออย่างอดทน ระหว่างที่ทายาให้นั้น เด็กสาวก็เอ่ยว่า “ฝนโทรไปบอกพี่หมอกให้แล้วนะ ถึงจะยังเก๊กดุแต่ฟังเสียงดูก็รู้ว่าโล่งอก พี่หมอกบอกว่าคงกลับดึก ถ้าพี่ฟ้าง่วงก็นอนไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยอธิบาย”
พอปลายฝนทารอยช้ำบนคอเสร็จก็ถามว่ามีที่ไหนอีก เขาไม่กล้าถอดเสื้อโชว์รอยอื่นๆ จึงตอบว่าไม่มีแล้ว น้องสาวเขาไม่เซ้าซี้ต่อตามที่สัญญาแต่ส่งหลอดยาให้ “เก็บไว้ทาเองแล้วกัน”
เขารับยามาถือไว้ใจลอยและกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาว่า “พี่เลิกกับพี่พลแล้ว”
พอเห็นอีกฝ่ายแค่เลิกคิ้วแต่ไม่มีทีท่าแปลกใจ ขอบฟ้าจึงค่อยกล้าพูดต่อ “พี่ผิดเองล่ะที่ปล่อยให้เรื่องคาราคาซังมาตั้งนาน ดีแล้วที่จบลงได้เสียที”
“ถ้าแผลพวกนี้เป็นฝีมือพี่พล ฝนก็ต้องบอกว่าดีเหมือนกันที่เลิกได้” เด็กสาวเดินไปริมหน้าต่าง แง้มม่านมองอยู่สักพักและกวักมือเรียกเขา “แล้วคนนี้ล่ะ เลิกหรือยัง”
จากแสงไฟถนน เขามองเห็นรถไม่ชัดเจนนักหรอกแต่ก็จำได้แทบจะทันที “ไม่ได้เลิก จะเลิกได้ยังไงเพราะเราไม่ได้คบกัน”
“ขอให้ฝ่ายนั้นคิดเหมือนกับพี่ฟ้าเถอะ” ปลายฝนกล่าวอย่างไม่ค่อยจะศรัทธา
“แต่แปลก...ทำไมพี่กรถึงยอมรอในรถเฉยๆ” เขาคงไม่แปลกใจเท่านี้หากกรจะบุกเข้ามาถึงในห้อง ไอ้การจะมานั่งเงียบๆ เรียบร้อยนี่สิแปลก
“อ๋อ ฝนห้ามเข้ามาเองล่ะ พี่กรโทรหาฝนตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว เอาแต่ถามว่าพี่ฟ้ากลับบ้านหรือยัง จนเมื่อกี๊ตอนพี่ฟ้าอาบน้ำก็โทรมาอีก ฝนสงสารเลยบอกว่ากลับมาแล้วแต่ห้ามบุกเข้ามาหานะ ไม่งั้นพี่หมอกคงฟาดพี่ฟ้าตายคามือแน่”
พยักหน้ารับรู้แล้วเขาก็เดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง สั่งน้องสาวเสียงอู้อี้ “ถ้าออกไปปิดไฟให้ด้วย พี่จะนอนแล้ว”
“ไม่ลงไปหาเหรอ”
“ไม่ล่ะ เหนื่อยแล้ว ง่วงนอนด้วย”
“ดีเหมือนกัน ปล่อยให้ตานั่นโดนยุงหามไปได้เสียก็ดี สมน้ำหน้า” ปลายฝนทิ้งท้ายก่อนเดินไปปิดไฟและปล่อยให้พี่ชายนอนพักผ่อนตามสบาย
++++++++++