...............
.........................................................
ตอนที่๓๔ ตอนอวสาน
“ตะวัน....รู้ข่าวรึยัง?”“ข่าวอะไรครับพี่เก๋ ผมเพิ่งกลับมาจากICU เมื่อกี้นี้เอง”
หนุ่มลูกครึ่งในเครื่องแบบกางเกงสีสุภาพกับเสื้อกาวน์สั้นสีขาวสะอาดที่สวมทับเชิ้ตสีอ่อนถามกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ ที่มักจะเผยออกมาทุกครั้งที่มีคนเข้ามาคุยด้วย
“ก็วันนี้ผู้บริหารชุดใหม่ที่เทคโอเวอร์โรงพยาบาลเราไปจะมาน่ะสิจ๊ะ ร้ายน่าดูเลย จะมาตรวจก็ไม่บอกก่อนสักนิด ทำอย่างกับว่าจะมาจับผิดงั้นแหละ”
“หึๆ พี่เก๋ก็คิดมาก ยังไงแผนกเราก็เรียบร้อยดี ได้มาตรฐานอยู่แล้วนี่ครับ”
“งืม นั่นแหละ พี่ยังคิดว่าโชคดีที่คนไข้นอกช่วงนี้มีน้อย ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องให้คนไข้มานั่งคอยนานๆให้ท่านๆทั้งหลายมาเห็น ถึงบนวอร์ดจะเยอะหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้พวกเรางานล้นมือ แหม แอบกังวลนะเนี่ย พวกข้างล่างกริ๊งกร๊างมาบอกว่าเมื่อกี้เดินดูที่O.P.D. อยู่ตั้งนาน ท่าทางจะเขี้ยว”
รุ่นพี่หัวหน้าแผนกที่อายุมากกว่าเกือบรอบร่ายยาว ในขณะที่ชายหนุ่มทำแค่ยิ้มรับแล้วหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะขอตัวไปรับคนไข้ใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในแผนกกายภาพบำบัดพอดี
ชายหนุ่มผิวขาวจัดท่าทางภูมิฐานในชุดสูทสีเทาเข้มชะงักอยู่ที่บอร์ดแนะนำบุคลากรเพียงแค่เลี้ยวเข้ามาในแผนกกายภาพบำบัด ริมฝีปากยกขอบที่ปิดสนิทอ้าออกเล็กน้อยก่อนจะกลับเม้มเข้าจนกลายเป็นเส้นตรง แววตาที่ลุกวาบขึ้นกลับกะพริบถี่ๆอยู่ชั่วขณะ แต่ก่อนที่ใครจะทันสังเกตถึงอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มก็หันไปรับการทักทายจากหัวหน้าแผนกที่กำลังแนะนำตัว
“วันนี้ขึ้นเวรกันกี่คนครับ แล้วใครอยู่บ้าง?”
คำถามแรกจากผู้บริหารหนุ่ม ซึ่งข่าวล่ามาเร็วบอกว่าเป็นบุตรชายคนเล็กของตระกูลเวชชากรเจ้าของโรงพยาบาลศีลเวช ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพมหานคร ทำให้รุ่งทิพย์แปลกใจจนอดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้
“ตอนนี้อยู่สี่คนค่ะ เดี๋ยวหลังสี่โมงจะเหลือนักกายภาพบำบัดสามคน แล้วก็ผู้ช่วยหนึ่งคน”
“แล้วตอนนี้มีใครอยู่บ้างครับ?” ชายหนุ่มเดินลึกเข้าไปในแผนกเรื่อยๆ ทำราวกับกำลังสนใจการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในแผนก ท่าทางเรื่อยๆเอื่อยๆที่มีแต่เจ้าตัวเท่านั้นที่รู้ว่าภายในกำลังร้อนเป็นไฟ
“นอกจากดิฉันก็มีคุณพรพรรณ คุณกาญจนาแล้วก็คุณตะวันค่ะ”
“....คุณตะวัน หลั่งสินธุ์ น่ะหรือครับ?”
“เอ่อ....ค่ะ”
“เดี๋ยวอีกสิบนาทีฝากคุณรุ่งทิพย์บอกคุณตะวัน หลั่งสินธุ์ ด้วยนะครับ ว่าผมขอเชิญพบที่ห้องผู้อำนวยการ”
น้ำเสียงที่เน้นหนักเฉพาะชื่อ-สกุล ของลูกน้องที่ทำงานร่วมกันมาเกือบสองปีทำให้หัวหน้าแผนกอย่างคุณเก๋รู้สึกหนาวๆร้อนๆขึ้นมาดื้อๆ และก่อนที่เธอจะตอบรับ ท่านผู้บริหารหนุ่มที่ท่าทางประหลาดในสายตาเธอยังสำทับมาอีก
“...ไม่ต้องบอกอะไร นอกจากบอกว่าเชิญพบที่ห้องผู้อำนวยการ เข้าใจใช่ไหมครับ?”
“ขะ...เข้าใจแล้วค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง ต่อเมื่อได้ยินคำอนุญาตคนที่ให้การรักษาผู้ป่วยอยู่ดีๆก็ถูกสะกิดให้วางมือแล้วถ่ายทอดคำสั่งจากท่านผู้บริหารชุดใหม่ให้ฟัง ก็เปิดประตูก้าวเข้ามาในห้องทำงานที่ราวกับเป็นอาณาจักรต้องห้ามสำหรับพนักงานธรรมดาทันที
อันที่จริงเขาก็ใจตุ๊มๆต่อมๆตั้งแต่ได้รับคำสั่งประหลาดแล้ว เพราะนับตั้งแต่เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลแห่งนี้ นอกจากครั้งแรกที่เข้ามาตอนมารายงานตัวว่าเป็นพนักงานใหม่กับผู้อำนวยการคนก่อนซึ่งเป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงแล้ว เขาก็ไม่เคยได้เหยียบย่างเข้ามาที่ห้องนี้อีกเลย
แสงแดดจ้าจากภายนอกที่ส่องลอดผ่านผนังกระจกหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่เข้ามา ทำให้ภาพของผู้ที่นั่งที่เก้าอี้ประจำตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดมองเห็นเพียงรูปเงา ต่อเมื่อกะพริบตาถี่ๆสองสามครั้งพอให้ดวงตาชินกับแสง คนที่เพิ่งก้าวล่วงเข้ามาก็ต้องเบิกตากว้างเหมือนไม่เชื่อสายตา ในขณะที่เท้ากลับทำหน้าทีสืบเข้าไปใกล้รูปเงานั้นเรื่อยๆราวกับต้องการความมั่นใจว่าภาพที่เห็นคือของจริง
“........เพชร”
“สวัสดีครับ คุณตะวัน หลั่งสินธุ์ .....ผมควรจะบอกว่าไงดี? ยินดีที่ได้รู้จัก...ดีมั้ย?”
น้ำเสียงยั่วล้อที่ได้ยิน เมื่อประกอบกับสีหน้านิ่งสนิทกับประกายตากร้าวที่เห็นทำให้คนฟังถึงกับน้ำตารื้น แต่ด้วยความที่เคยชินกับการเก็บกดอารมณ์ตัวเองก็ทำให้กล้ำกลืนลงไปได้อย่างรวดเร็ว
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ท่านผู้อำนวยการ ที่แผนกกำลังยุ่ง”
พูดจบก็กลับหลังหันทำท่าจะก้าวออกจากห้องทันที แต่กลับถูกยื้อเอาไว้ด้วยอ้อมแขนของคนที่เมื่อกี้ยังวางท่าเป็นผู้บริหารอยู่ที่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ พร้อมกับน้ำเสียงที่ข่มให้อยู่ในโทนแหย่เย้าเมื่อครู่กลับกลายเป็นทั้งออดอ้อนทั้งตัดพ้อในคราวเดียว
“เดี๋ยว ดอว์น.....ขนาดนี้แล้ว ยังจะทิ้งพี่ไปอีกหรือ?”
คนที่ตกอยู่ในอ้อมกอดค่อยๆหันกลับมาช้าๆ นัยน์ตาสีอำพันฉายแววเจ็บปวดร้าวรานสะท้อนจากหลังเลนส์ใสจนคนมองสะท้านใจ
“เราเพิ่งรู้จักกัน...ไม่ใช่หรือครับ?”
ปล่อยไปแล้ว....เขาปล่อยคนที่คิดว่าลืมได้แล้วไปง่ายๆอย่างนั้นเอง แค่แววตาร้าวรานที่เห็นจากดอว์นก็ทำเอาเขาไม่อยากจะทำอะไรให้ระคายเคืองแม้เพียงนิด
วัชระเลือกที่จะนั่งลงแล้วทบทวนความรู้สึกตัวเองเงียบๆ แล้วก็ต้องหัวเราะเบาๆกับการใช้เวลาเกือบสองปีที่ล้มเหลวของตัวเอง ไอ้ที่คิดว่าลืมได้แล้ว ไอ้ที่ว่าจะเริ่มใหม่กับใครสักคนนั่น ที่แท้แล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด เพราะเพียงแค่เห็นหน้า แค่ได้สบตากับคุณตะวันคนนี้แค่ครั้งเดียว ความรู้สึกและภาพความทรงจำทั้งหวานล้ำและทั้งขมทั้งขื่นก็ย้อนกลับมาจนหมด
คำสั่งแรกของนายแพทย์วัชระ เวชชากร ผู้ทำหน้าที่แทนผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่กำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ศีลเวช-พังงา’ หลังจากเข้ามานั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งก็คือคำสั่งถึงฝ่ายพัฒนาบุคลากร ให้ส่งข้อมูลประวัติพนักงานประจำแผนกกายภาพบำบัดชื่อนายตะวัน หลั่งสินธุ์ ขึ้นมาให้ด่วนที่สุด แล้วยังไม่ทันถึงเวลาสี่โมงตรง ท่านผู้บริหารก็จัดการพาตัวเองไปกดออดหน้าบ้านไม้สองชั้นที่มีซุ้มพวงแสดขึ้นอยู่หน้าประตูเรียบร้อยแล้ว
“กลับมาแล้วครับหม่าม้า....อ้ะ คุณ!”
“คุณแม่ไม่อยู่ ออกไปทำเล็บ”
คนที่เพิ่งถอดรองเท้าแล้วก้าวเข้ามาในบ้านถึงกับชะงักอยู่กับที่ เมื่อเห็นชัดว่าคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หวายเปิดอัลบั้มรูปดูด้วยท่าทางสบายๆเป็นใคร หากพอจะหันกลับแล้ววิ่งหนีกันดื้อๆ มือใหญ่ที่ยังให้สัมผัสอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนก็ตรงเข้ายึดแขนเอาไว้มั่น ก่อนจะรั้งเข้าหาตัวแรงจนเกือบจะเป็นกระชาก
“อย่าหนี!! ฟังก่อน....”
วัชระชะงักการเคลื่อนไหวไปครู่เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ห้อยอยู่ใต้เสื้อเชิ้ตเนื้อบางของคนที่ออกแรงดิ้นรนจะผละออกห่างให้ได้...จี้อำพัน เครื่องรางแห่งความรักชิ้นนั้นยังอยู่ตรงนี้ แนบอยู่กับเนื้อเหนือหัวใจของคนที่เขามั่นใจที่จะบอกคำว่ารัก
อรุณรุ่งเกร็งขึ้นทั้งตัวเมื่อรู้สึกได้ว่าคนที่กักตัวเอาไว้ซบหน้าลงกับซอกคอจากทางด้านหลัง ก่อนที่เปลือกตาหลังเลนส์จะพริ้มลงช้าๆเมื่อได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเครือที่ริมหู
“พี่รักดอว์น พี่รักดอว์นคนเดียว ไม่เคยมีอะไรระหว่างพี่กับน้องรุ่ง....”
“หยุด....อย่าโกหกผม”
“พี่บอกว่าอย่าหนีไงดอว์น! ฟังนะครับ พี่ไม่ได้โกหก กับน้องรุ่งมันไม่เคยถึงขั้นรัก ไม่เคยจริงๆ ที่ดอว์นถามพี่ตอนนั้นว่าพี่มองดอว์นครั้งแรกเพราะดอว์นคล้ายน้องใช่มั้ย พี่ตอบว่าใช่....อย่าดิ้นสิดอว์น อยู่นิ่งๆแล้วฟังพี่ให้จบ”
วัชระออกแรงรั้งคนที่กอดไว้ทั้งตัวให้ค่อยๆนั่งลงกับพื้น คุณหมอหนุ่มเลื่อนตัวจนพิงหลังกับฝาบ้านที่สร้างจากไม้ประกอบ แล้วกักตัวคนที่ยิ่งตัวบางกว่าในความทรงจำไว้ด้วยขาและแขนทั้งสองข้าง
“ก่อนดอว์นถึงบ้านรู้มั้ยว่าพี่ทำอะไรอยู่? ไม่ใช่ดูรูปหรอกนะ ก่อนหน้านั้น....พี่อ่านจดหมาย...”
“อะไรนะ?”
“ตั้งหลายฉบับ คนเขียนเขาเขียนเอาๆ แต่กลับงกเงินไม่ยอมเสียค่าแสตมป์ส่งไปรษณีย์ไปให้คนรับ ดีนะ คุณแม่ท่านใจดี พอรับพี่เป็นลูกชายอีกคนก็ไปหยิบมาให้อ่านเองกับมือเลย.....
‘ดอว์นคิดถึงพี่เพชร แต่ดอว์นก็ไม่กล้าจะอยู่ตรงนั้นอีก...ดอว์นไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่เพชรเข้าใจ พี่เพชรรู้มั้ยว่าดอว์นอิจฉาน้องรุ่งมากแค่ไหน ที่ความรักของพี่เป็นของน้อง...ไม่ใช่ดอว์น..’ “
“พอได้แล้ว....ปล่อยผมไปเถอะ นะเพชร ปล่อยผมไป....”
“พี่ทำไม่ได้....”
“เรื่องของเรามันจบไปแล้ว ทั้งคุณทั้งผม....เรามีชีวิตใหม่ด้วยกันทั้งคู่ อย่ารื้อฟื้นอีกเลยเพชร...”
หมอเพชรวางคางลงกับบ่าคนที่กำลังห้ามตัวเองไม่ให้สะอื้นออกมาจนเริ่มสั่นไปทั้งตัว แล้วสองมือที่รัดเอวบางไว้เฉยๆในตอนแรกก็เลื่อนขึ้นมาลูบขึ้นลงไปตามลำแขนที่เจ้าตัวนั่งกอดเข่าตัวเองไว้แนบแน่น
“หึๆ เมื่อวานนี้พี่ก็คิดแบบที่ดอว์นพูดนี่แหละ แต่พอได้เจอดอว์น พี่ก็รู้ตัว ว่าความรู้สึกเหมือนได้หัวใจกลับมาเติมส่วนที่ว่างโหวงไปนานมันเป็นยังไง....ฟังพี่ แล้วก็ได้โปรดเชื่อพี่เถิดนะดอว์น....เรื่องของเรามันเริ่มจากน้องรุ่งก็จริง แต่พี่ไม่เคยเห็นคนดีของพี่เป็นตัวแทนใครเลย ดอว์นก็คือดอว์น คนรักของพี่ที่ทั้งน่ารัก ช่างอ้อน ช่างเอาใจ แต่พอพี่เผลอก็จะถูกเด็กซนคนนี้แกล้งเอาได้โดยไม่ทันรู้ตัว....พี่รักดอว์น รักดอว์นที่เป็นแบบนี้...จะให้พูดกี่ครั้ง พี่ก็ยังจะบอกว่าพี่รักดอว์น...”
อรุณรุ่งกำจับมือใหญ่ที่กำลังปลอบประโลมให้คลายใจเอาไว้ แล้วอย่างช้าๆก็ยกมันขึ้นมาแนบไว้กับข้างแก้ม ก่อนจะจรดริมฝีปากลงกับหลังมือนั้น ในขณะที่วัชระซึ่งนิ่งเป็นหินไปแล้วไม่รู้ตัวเลยว่ากลายเป็นคนที่กำลังหลั่งน้ำตา
ถึงน้องรุ่งที่รักของพี่
น้องรุ่งคงมองเห็นจากบนสวรรค์แล้วสินะคะว่าสองปีที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของน้องคนนี้บ้าง มาคิดดูแล้วน้องรุ่งคงเห็นด้วยกับไอ้จี๊ดที่คอยบอกว่าพี่ดอนนี่งี่เง่าเหลือทน
ตลอดเวลาที่ไอ้จี๊ดซึ่งได้งานที่ศีลเวช-กรุงเทพฯ คอยส่งข่าวเรื่องเพชรให้พี่ มันเฝ้าแต่ย้ำอยู่นั่นแล้ว ว่าถ้าเป็นมัน...เมื่อเรารักเขา เราก็ต้องพยายามทำให้เขารักเราตอบสิ ไม่ใช่รักแล้วหนีแบบนี้ เพราะตามตรรกะของมัน มันบอกว่า รักแล้วหนีเป็นเรื่องของคนขี้ขลาด แถมยังโง่อีกต่างหาก ซึ่งผู้หญิงฉลาดอย่างมันจะไม่ยอมทำเป็นอันขาด มันบอกให้พี่ดูมันกับไอ้ก่อเป็นตัวอย่าง เพราะมันสองคนมีแต่วิ่งเข้าใส่กัน ไม่มีการวิ่งหนี ฮ่าๆๆๆ
ส่วนไอ้คุณชายเช นี่เป็นเรื่องที่พี่ดอนอดจะรู้สึกผิดไม่ได้ เพราะพอมันบอกจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย พี่ก็ย้ายมาพังงาแล้ว ไม่ได้ทำแม้แต่ไปส่งมันขึ้นเครื่องด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้น ล่าสุดก็เห้นว่ามันใกล้จะเรียนจบแล้ว และก็คงใกล้จะได้เวลากลับมาบ้านเต็มที ส่วนเรื่องที่ใกล้เรียนจบแล้วใกล้จะตัดใจได้รึยังนั้น...พี่ดอนไม่ได้ถามมันหรอกค่ะ สงสารมันนะคะ...แอบรักเพื่อนแล้วเพื่อนไปรักกันเอง เฮ้อ....เจ็บขั้นกว่าเลยจริงๆ
หม่าม้าของเราสองคนสบายดีนะคะ สุขภาพแข็งแรง แถมสุขภาพจิตดูจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะลูกชายคนใหม่นี่ช่างเอาใจกว่าที่คิด ว่างเมื่อไหร่เป็นโผล่มาชวนไปเที่ยวบ้างล่ะ ชวนเข้าวัดทำบุญบ้างล่ะ แล้วพอลับหลังก็มาทวงค่าแรงเอาใจ ‘คุณแม่’ เอากับพี่
....แต่ก็เอาเถิดค่ะ เพชรจะอยากได้อะไรตอบแทนบ้างก็เอาไปเถอะ ก็รักไปแล้วนี่คะ แถมยังทำร้ายเขาไว้มากด้วย แล้วค่าแรงที่เพชรมาทวงแต่ละครั้งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก เว้นแต่ครั้งนี้ ครั้งล่าสุดหลังกลับไปบ้านที่กรุงเทพฯ มา เพชรเอาจี้อีกหนึ่งชิ้นมาให้พี่ แล้วก็บังคับว่าให้เก็บไว้ ใส่บ่อยๆยิ่งดี เพราะพี่เสียเวลาที่ควรได้ใส่มันไปตั้งสองปีแล้ว เพราะงั้นต้องชดเชยด้วยการใส่ให้คุ้ม....
พี่คิดว่าตัวเองโง่จริงๆ ที่เอาเวลาไปทิ้งเสียสองปี แต่พอคุยกับหม่าม้า หม่าม้าก็บอกว่าไม่จริงหรอก ให้พี่คิดซะว่า สองปีนั้นเป็นระยะเวลาที่ผ่านไปเพื่อให้เราทั้งสองคนใช้สำรวจใจตัวเองต่างหาก
ขอบคุณมากนะคะน้องรุ่ง แล้วก็ขอโทษ ที่เคยคิดอิจฉาไปเสียมากมาย....พี่รู้แล้วล่ะค่ะ ว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้มีชีวิตอยู่ และได้พบกับความรัก....ไม่ว่าความรักจะเข้ามาหาพี่ด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ผลสรุปของมันก็ดีเหลือเกิน
ตอนนี้พี่ดอนยิ้มกว้างๆแล้วก็หัวเราะดังๆวันละหลายรอบเชียวค่ะ
พี่ดอนของน้องรุ่ง
ปล. จะว่าไป นามสกุลแม่ของเรานี่ก็โหลเหมือนกันนะคะ วันนี้มีคนไข้ทักด้วยล่ะว่าคล้ายกับนามสกุลของคนรู้จักอวสาน
กอดรวบค่ะ
ไปโรงพยาบาลก่อนนะคะ แบบว่าเข้ากะเรื่องนิดนุง
*** เดี๋ยวอีกวันสองวันจะเอาตอนแถมมาส่งนะคร้าทุกท่าน
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน แม้คนเขียนมันจะหายหัวไปทีเป้นครึ่งปี(ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิด งุงิ อายตัวเอง)
ท่านไหนบอกว่ายังหวานไม่ถึงใจก็รอตอนแถมนะคะ กอดแน่นๆเล้ยยยยยย
กอดแน่น
v
v
v