ตอนจบ
“คุณลุง!” เสียงใหญ่แต่ถูกดัดให้เล็กแหลมร้องเรียกชายวัยกลางคน สองขายาวๆ ในชุดเอี๊ยมยีนส์วิ่งกลับมาหาเขาก่อนจะชูปูลมในมือ
“เดี๋ยวล้มนะ” อภิรักษ์เอ็ดเด็กโข่งเข้าให้
“ไม่ล้มหรอก พัทธโตแล้ว” เสียงดัดนั่นเอ่ยพร้อมเผยยิ้มร่าเริง
“โตจริงรึเปล่าทำไมซนขนาดนี้ หืม?”
“โตสิ ก็ลุงบอกว่าพัทธอายุตั้งยี่สิบสองแล้ว” พัทธทวนตามที่อีกฝ่ายเคยสั่ง
อภิรักษ์ลูบหัวอดีตลูกเลี้ยงของเขาอย่างอ่อนโยน มองตามอีกฝ่ายอีกวิ่งเท้าเปล่าบนผืนทรายแล้วได้แต่ยิ้มบางๆ กับตัวเอง
เขาชนะแพรวพลอย
ไม่ใช่ในศาลแต่เป็นในชีวิตจริง หล่อนรักลูกแต่ก็รักตัวเองกับเด็กอีกคนในท้อง หล่อนยอมให้เขาได้เลี้ยงพัทธ แต่นั่นหมายความว่าเขาต้องยอมเขารับการรักษาจากจิตแพทย์
เขายอมรับเงื่อนไข และเข้ารับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อให้เขาได้มีพัทธต่อไป เด็กชายตัวเล็กคนนั้นฟื้นขึ้นมาในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง สมองไม่ได้รับการกระทบกระเทือนมากจนทำให้ป่วย
แต่อุบัติเหตุนั้นกลับทำให้พัทธอยู่ในภาวะช็อกและกระทบกระเทือนจิตใจอย่างสาหัส เด็กชายอายุสิบหกในตอนนั้น กลับมีความทรงจำเหลือแค่ตอนอายุห้าขวบ ไม่เหลือชื่อเขาอยู่ในสมองของเด็กชายอีก แม้แต่หน้าแม่ตัวเองยังแทบจำไม่ได้
เขาเป็นคนดูแลพัทธมานับแต่นั้น เริ่มต้นจากเป็นคุณลุงแปลกหน้าที่พัทธร้องไห้จ้าใส่ตั้งแต่แรกเจอ จนกลายมาเป็นคุณลุงของพัทธอย่างทุกวันนี้
แพรวพลอยยังคงมาเยี่ยมลูกบ้าง แต่พักหลังหล่อนทำท่าจะย้ายไปต่างประเทศกับสามีใหม่ ทำให้ดูวุ่นวายจนหายหน้าไปซึ่งเขาก็ไม่คิดจะทวงถาม
แค่ตรงนี้มีเขากับพัทธก็พอแล้ว
“ลุงไม่ยิ้มเลย มาเที่ยวทั้งทีต้องยิ้มสิ” ว่าพร้อมกับยิ้มโชว์ฟันครับสามสิบสองซี่ส่งให้เขา ประโยคคุ้นหูนั่นทำให้อดีตนายทหารที่ลาออกจากราชการสะเทือนในหัวอก
นานมาแล้ว เด็กคนหนึ่งก็เคยพูดกับเขาที่นี่ แบบนี้
“ที่นี่ซ้วยสวย ถ้ามีบ้านที่นี่คงดี” เด็กโข่งของเขาเพ้อ ถือกล้องถ่ายรูปวิ่งไปทั่ว แม้แต่เปลือกหอยที่ถูกเหยียบจนแตกละเอียด
“จะมีได้ยังไงละเด็กบ๊อง ตรงนี้มันเขตป่าสงวน” เขาแย้ง
“ป่าสงวน?” พัทธเอียงหน้าทวนคำเขา
“หมายถึงป่าที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ห้ามคนเข้ามาตัดไม้ หรือมาอยู่อาศัยไง”
“เหมือนจะเข้าใจเลย” เด็กโข่งตอบพร้อมทำหน้านึก
“ไม่เข้าใจก็ช่างเถอะน่า”
“คืนนี้เราจะนอนกันที่นี่หรอคุณลุง?”
“ใช่นอนกันที่นี่แหละ”
“ยุงจะไม่กัดพัทธหรอ?” หนุ่มวัยรุ่น แต่สมองยังไม่โตตามอายุ ยืนลูบแขนตัวเองประกอบคำบ่น
“ไม่กัดหรอก มียากันยุง แถมที่นี่ตอนกลางคืนสวยมากเลยนะ”
“ลุงรู้ได้ไงอ่ะ เคยมาหรอ?”
“อืม นานแล้ว”
“ว้าว แล้วมากับใครอ่ะ ที่สวยๆ แบบนี้ต้องมากับสาวแน่เลย” เด็กโข่งเดา
“ไม่ใช่สาว”
“ไม่ใช่สาวแล้วใครล่ะ ลุงมีแฟนก็ต้องเป็นสาวๆ สวยๆ สิ”
“ไม่ใช่แฟน แล้วก็ไม่ใช่สาวๆ ด้วย” เขายังคงเถียงย่างอ่อนใจ
“งั้น?”
“คนที่ลุงเคยผิดสัญญาน่ะ” อภิรักษ์เฉลยก่อนที่เด็กโข่งจะเดามั่วไปมากกว่านี้
“สัญญาไม่เป็นสัญญาหรอครับ ว่าแต่ลุงสัญญาอะไรไว้อ่ะ”
“เขาขอให้ลุงรักเขาที่สุด” อภิรักษ์ยิ้มให้กับผืนน้ำเบื้องหน้า
“ลุงไม่ได้รักเขาหรอ?”
“รัก แต่ตอนนั้นไม่ได้รักที่สุด”
“อ่า พัทธไม่เห็นเข้าใจเลย รักก็คือรัก ต้องมีที่สุดด้วยหรอ?”
“มีสิ รักที่สุดก็คือสำคัญที่สุด”
“แล้วทำไมลุงผิดสัญญาอ่ะ?”
“ตอนนั้นลุงรักตัวเองมากกว่าเขา”
“แล้วลุงไปสัญญากับเขาทำไมเล่า”
“เพราะลุงอยากให้เขารักลุงไง”
“งงอ่ะ”
“งงก็ไม่ต้องซักแล้ว ไปเล่นไป” อภิรักษ์ไล่เด็กที่ทำหน้ามุ่ย
“ไม่เอาแล้ว แดดร้อนจะตาย” เด็กโข่งทำหน้ามุ่ย แก้มใสขึ้นสีเรื่อเพราะแรงแดด
“เอาร่มมาด้วยไม่ใช่หรือไง?” อภิรักษ์จำได้ว่าตอนสั่งให้จัดกระเป๋า เด็กโข่งของเขาทำตัวบ่นงุ้งงิ้งๆ งอแงจะเอาร่มเอาครีมกันแดดมาด้วยให้ได้
“นั่นสิ ลืมเลย” ว่าแล้วก็วิ่งกลับไปค้นกระเป๋าตัวเอง ชักร่มพับสีแสบตาออกมากาง
“ไปถ่ายรูปกัน” เด็กโข่งหัวหมอยื่นร่มมาให้เขาถือดื้อๆ เป็นการบังคับว่าเขาจะต้องเดินไปด้วยเพื่อถือร่มให้เจ้าตัว
อภิรักษ์หัวเราะกับความเอาแต่ใจแบบซื่อๆ นั่นก่อนจะยอมรับร่มสีแสดที่ดูยิ่งทำให้ร้อนมากกว่าช่วยทำให้สบายขึ้น
เด็กชายกวาดสายตาไปทั่วหาด เริ่มออกเดินพร้อมเหวี่ยงเลนส์กล้องที่เจ้าตัวชอบนักชอบหนาไปตามทิศต่าง
อภิรักษ์เดินตามคนตัวเล็กกว่าเงียบๆ อย่างเดียวที่เขาสนใจที่นี่ไม่ใช่ทิวทัศน์ แต่เป็นรอยยิ้มดีใจของอดีตลูกชายของเขา
อภิรักษ์ลาออกจากราชการตั้งแต่เริ่มเข้ารักษากับจิตแพทย์ เขาไม่ได้หย่ากับแพรวพลอยในทันทีเพราะยังมีพันธะผูกพันหลายอย่าง และระหว่างนั้นหล่อนต้องคอยดูแลพัทธก่อน ซึ่งอภิรักษ์ไม่มีทางยอมให้แพรวพลอยพาลูกออกไปจากบ้าน
ระหว่างพวกเขา ไม่มีใครบ่นเลยเกี่ยวกับอาการของลูก ลึกๆ แล้วเขาทั้งคู่กลับดีใจด้วยซ้ำที่พัทธเป็นแบบนั้น เพราะหากลูกยังเป็นปกติ วันนี้เขาอาจจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มสดใสแบบนั้นอีกเลยก็ได้
พัทธได้พิสูจน์กับเขาแล้วว่าต่อให้คนเราทำผิดพลาดไปเราก็ลืมมันได้ พัทธถึงได้เลือกจะลืมทุกช่วงเวลาในชีวิตที่มีเขาเข้าไปเกี่ยวข้อง
อภิรักษ์พาลูกไปรักษาตามปกติ เขาอยากให้ลูกหายในด้านของพัฒนาการเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ แต่ในอีกใจเขาอยากให้ลูกเป็นแบบนั้น เป็นเด็กห้าขวบที่เล่นสนุกและวิ่งกลับมาอ้อนเขาเวลาหิว
อาการของพัทธดีขึ้นมากเมื่อเวลาผ่านไป เด็กชายรับรู้แล้วว่าตนไม่ใช่เด็กเล็กๆ แต่ระบบความคิด การตัดสินใจ และนิสัยยังคงเหมือนเด็กอยู่
พัทธชอบถ่ายรูป
พัทธชอบธรรมชาติ
พัทธชอบดูดาว
พัทธชอบขนมหวาน
พัทธไม่ชอบถูกดุอย่างไม่มีเหตุผล
พัทธไม่ชอบกลิ่นเหล้า
พัทธไม่ชอบเสียงปะทัด
พัทธไม่ชอบทหาร
พัทธคนนี้ก็ไม่ได้ต่างจากพัทธคนนั้น เพียงแต่บางอย่างที่ตอนนั้นเด็กตัวน้อยของเขาอาจจะไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ แต่พัทธคนนี้จะทำ
เขาเฝ้าสังเกตและรู้ว่าตนกับแพรวพลอยเผลอทำเรื่องมากมายที่ลูกไม่ชอบ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกกับไม่เคยปริปากต่อว่า คอยแต่จะพยายามทำความเข้าใจทั้งๆ ที่ตัวเองไม่เคยเข้าใจ
พัทธเป็นเด็กดีเสมอมา
“คืนนี้เราจะนอนกับแบบนี้หรอ” พัทธมุ่ยหน้าเมื่อเห็นแค่ผ้าบางๆ ที่วางรองกับหมอน ไม่มีเต็นท์หรืออะไรมากันแดดกันฝนสักอย่าง
“มาทะเลดาว ก็ต้องนอนดูดาวสิ” อภิรักษ์ยิ้มตอบ
“แต่แบบนี้มันหนาว” พัทธกอดแขนตัวเอง ลูบทำท่าตัวสั่นประกอบ อภิรักษ์ยิ้มเอ็นดูก่อนส่งผ้าห่มผืนบางให้เห็นเด็กชาย แล้วหันไปจัดการกับที่ครอบเทียน
“บรรยากาศแบบนี้น่าจะมากับแฟน โรแมนติ๊ก โรแมนติก” ตาแป๋วมองไปบนฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแข่งกันทอแสง
“รู้ไหมว่าเคยมีคนพูดคล้ายๆ แบบนี้ที่นี่เหมือนกัน” อภิรักษ์เอนตัวลงนอน ประสานมือรองหัวแล้วมองไปบนท้องฟ้ากว้าง
“คนที่มากับลุงน่ะหรอ?”
“อืม”
“ลุงคิดถึงเขาหรอ?” พัทธถามซื่อๆ
“ทำไมถามแบบนั้น?”
“ก็ตั้งแต่มา ลุงเอาแต่ยิ้มอย่างนี้อ่ะ แล้วก็ทำหน้าเหมือนคิดๆ แล้วก็พูดถึงแต่เขาเนี่ย” เด็กโข่งทำท่าเลียนแบบอภิรักษ์ทุกอากัปกริยา
“งอนหรอ?” อภิรักษ์แหย่
“งอนอารายยย ไม่มีหรอก โด่ว” เด็กโข่งปฏิเสธ แต่กลับล้มตัวลงไปนอนกอดอกทำหน้ามุ่ย
“ลุงแค่มีเรื่องติดค้างเขาไว้” อภิรักษ์ยิ้มให้ตัวเอง
“...”
“ถ้าวันนี้ยังมีโอกาสพูดให้เขาฟัง ก็มีเรื่องอยากจะบอก”
“...”
“ตอนนี้ พ่อทำตามสัญญากับหนูได้แล้วนะ” อภิรักษ์ยิ้มจางๆ ให้กับตัวเองตอนที่พูดคำนั้น แต่เขารู้ว่าคนที่ต้องการจะฟังไม่อยู่ฟังอีกต่อไปแล้ว
“อ้าว เด็กนี่” อภิรักษ์ขำ คนที่เขาคิดว่ากำลังอยู่ฟังเรื่องของเขา กลับชิ่งหลับทิ้งเขาไปเฉยเลย
เขาลุกจัดแจงผ้าห่มกับหมอนของเด็กหนุ่มให้เข้าที่ ก่อนจะก้มจูบที่หน้าผากมน
“ฝันดีนะ สุดที่รักของพ่อ”
เขาทิ้งตัวลงนอนข้างพัทธที่หายใจอย่างสม่ำเสมอ มองจนแน่ใจว่าคนตัวเล็กหลับสนิทจึงเริ่มปล่อยให้ตัวเองด่ำดิ่งสู่ห้วงนิทราใต้ท้องฟ้ากว้าง
เขาไม่รู้ว่าดาวปีนี้เยอะหรือน้อยกว่าปีนั้น
แต่เขารู้ดีว่าน้ำตาของพัทธน้อยกว่าปีนั้น และความสุขของอดีตลูกชายเขาก็มีมากขึ้น แค่นั้นก็พอแล้วสำหรับชีวิตที่เหลืออยู่ของอภิรักษ์
----------------บทส่งท้าย
ดวงตากลมโตเปิดเปลือกตาขึ้นเมื่อรู้สึกได้ว่าใครอีกคนที่เฝ้ามองอยู่ได้เริ่มหลับใหล อดีตเด็กชายตัวเล็กที่กลายเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ขยับพลิกตัวนอนหงายทอดสายตาไปบนท้องฟ้าสุกสกาวอย่างเงียบๆ
หัวใจของพัทธยังเต้นอยู่ แม้เขาคิดว่ามันเคยแหลกสลายไปแล้วจนไม่มีชิ้นดี
ความเจ็บปวดลางเลือน แต่ยังคงหลงเหลือไว้ให้ได้จำ
ดวงตาคู่สวยที่ยามนี้ไม่มีแววแห่งความหม่นหมองอีกต่อไป เหลือบมองชายวัยกลางคนที่เริ่มมีร่องรอยแห่งความโรยราปรากฏให้ได้เห็น
เด็กโข่งของเขา จ้องมองแพรขนตาของอดีตนายทหารนิ่ง หันไปทอดมองแสงดาวระยิบอีกครั้ง นึกไพล่ไปถึงห้องนอนของเขาที่มีดาวประดับ
คุณลุงใจดีคนนี้เล่าให้ฟังว่าเป็นคนติดตกแต่งมันเอง เพื่อให้พัทธมีดาวเอาไว้ดูก่อนนอนทุกคืน
คุณลุงใจดีที่แสนอ่อนล้าจากการดูแลเขา เด็กหนุ่มวัยยี่สิบสองจอมซนที่โตแต่ตัว
แบบนี้ดีแล้ว
ร่างบางปิดเปลือกตาตัวเองลงอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจสอดมือข้างที่ชิดกันเข้าไปจับประสานไว้อย่างแผ่วเบา เหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยทำแบบนั้น
เสียงหวานเอ่ยกระซิบบอกใครบางคนในใจ ราวกับกลัวว่าเขาจะได้ยินและสะดุ้งตื่นขึ้นมา
“วันนี้ผมดูดาวเป็นแล้วนะครับ คุณพ่อของผม”
------อวสาน------
#จอมลวง