Journey Of Nergal
45.2 ตอนจบ ภาค 1ยามบ่ายที่ไร่ยูเทนส์ของเรานับเป็นเวลาที่สวยงามที่สุด ยอดข้าวขยับช้าๆอยู่ในแสงสีเหลืองอ่อน เมฆรูปร่างเหมือนปุยนุ่นกำลังลอยอืดๆผ่านท้องฟ้าไป ลมเย็นจากฝั่งทะเล ทำให้เด็กๆชาวไร่ทำความสะอาดโรงสีข้าวกันอย่างรื่นเริงวันนี้ และ มีแรงช่วยของพี่โจมาร์ด้วย ผู้เฒ่าต้อนรับเขาอย่างดี ยิ่งพอรู้ว่าเป็นทหาร ท่านสั่งน้องซาวีเปิดถังไวน์อันใหม่เตรียมไว้เลย
ทุกคนเข้าไปพักเหนื่อยกันหมดแล้ว โดยมีผมและพี่โจมาร์นั่งอยู่หน้าระเบียงบ้านไร่สองคน
พี่พูดถึงกิล …พี่เจอกิลเมื่อสามเดือนที่แล้ว กิลไปกับพวกพระเปอร์เซีย กิลคงจะร่ำเรียนเพื่อรับใช้ในศาสนะ กิลบอกพี่โจมาร์ว่า คลาดกับผมที่เอคบาทาน่า ไม่รู้ว่าผมอยู่หรือตาย --แค่กิลกับผมรอดมาได้ก็ปาฎิหารมากแล้ว พี่บอก…. ผมคิดว่า โชคเข้าข้างพวกเราจริงๆ พี่บอกว่า ส่งกิลเข้ามาในวังเพราะเป็นห่วงผม แต่พี่หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่อง เนอร์กาลและคำทำนาย โดยที่ผมเองก็ยังไม่อยากถาม
หลังจากพี่ออกจากบาบิโลน พี่เล่าถึงการเดินทางข้ามน่านน้ำ และเจอพวกโจรสลัดเปอร์เซียจับตัว …พี่เองก็ปางตาย แต่ด้วยความฉลาดของพี่ เขาพิสูจน์ความสามารถจนพวกเขายอมรับ ว่าจะจงรักภัคดีกับแผ่นดินใหม่ได้ …ปีหนึ่งผ่านไป ในที่สุดพี่จึงได้เป็นพลเมืองเปอร์เซีย และเป็นทหารเรือรับจ้างพิเศษ…
“หนึ่งปีของพี่ช่างคุ้มค่าจริงๆ” ผมบอกอย่างชื่นชม “ผมยังจำวันนั้นได้เสมอ…”
พี่เลิกคิ้ว ถามซื่อๆ “จำวันไหน?”
ผมหัวเราะอุบ “วันที่พี่บอกให้ผมจำชื่อ ‘เปอร์เซีย’ ไงฮะ- - ผมแทบจะท่องเข้าไปในวังเลยนะ แล้วก็ เอ้อ--กังหันสีฟ้า ที่พี่ให้ผม ผมเสียดายมากเลยตอนทำมันหายไป… ตลกดีนะฮะ บังเอิญที่มันเป็นชื่อของ เรืออโดนิสด้วย เรือกังหันแดง…แล้วก็- -”
ในฝันของผมครั้งหนึ่ง ผมเคยเห็นท่านเซอซัสมอบกังหันสีแดงให้
“แปลกจริงๆ” ผมพูดเสียงเลื่อนลอย “ทำใมชีวิตผมถึงเกี่ยวโยงอะไรกับ กังหันลมนักก็ไม่รู้”
“กังหันลมเป็นสัญลักษณ์ของอิสรภาพไง นากัล…” พี่บอก มือโอบคอผม
“หรอฮะ… ” ใช่สิ- - มันเป็นเป็นสายลมแห่ง อิสรภาพของผม ที่พัดจนมาถึงที่นี้
ผมยิ้มแก้มแดงให้พี่ “แล้วผมก็ไม่ลืมวันที่ - -พี่พาผมไปขึ้นเรือด้วย…”
พี่ชะงักไป… แต่ใบหน้าหนุ่มกร้านไม่มีแววเขินอายเช่นแต่ก่อน
พี่ยกมุมปาก “พี่ก็ไม่เคยลืมคืนนั้นเหมือนกัน…”
“…”
“ - - ที่นี้ เจ้าพร้อมจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังรึยัง? ว่าเจ้ามาโผล่เป็น นากัลแห่งโรงสีข้าวเปอร์เซียได้ยังไง” พี่รีบเอ่ย
“ฮะๆๆๆ ถ้าผมเล่าให้พี่ฟังหมดแล้ว พี่สัญญาผมอย่างหนึ่งได้มั๊ย?”
“อะไร?”
“พี่ต้อง..” ผมยิงฟัน “ช่วยผมทำความสะอาดโรงม้าพรุ่งนี้นะ ฮ่ะๆ”
“เจ้าเบื้อก” พี่ขยี้หัว
“ได้สิ พี่อยู่ท่ีนี้ได้อีกเป็นอาทิตย์ กว่านายกองจะเรียกรวมครั้งสุดท้าย”
“หรอฮะ! ดีเลย” ผมยิ้มอ้อน “งั้นเราคงมีเวลาเล่นกันอีกเยอะ”
“ฮ่าๆๆ เปลี่ยนจากของเล่นเป็นธนูกับดาบสินะ ”
ระหว่างที่ผมเล่าให้ฟังว่า ผมมาโผล่ที่ชายฝั่งเปอร์เซียได้ยังไงตั้งแต่ตอนบ่ายๆ ผมเล่าทุกๆอย่าง ตั้งแต่เรื่องสงครามที่เอคบาทาน่า จนมาตลาดทาส เจออโดนิส อยู่บนเรือกังหันแดงเป็นอาทิตย์ๆ จนมาถึงไร่ยูเทนส์บ้านเกิดท่านเซอซัส …. ผมตั้งใจข้ามเรื่องราวในวัง ของผม ท่านบาลิธและ ท่านเซอซัส….
ตลอดเวลา พี่โจมาร์นั่งตั้งใจฟัง แววตาของพี่มีทั้งประหลาดใจ ขบขัน ห่วงใย และอึ้งทึ่ง ราวกับไม่เชื่อว่าทั้งหมดเกิดขึ้นได้
“โอ้ การผจญภัยของนากัล…” พี่พูด เขายืดหลัง ถอนลมหายใจยาวเหมือนเหนื่อยแทนผมทั้งหมด- -
“สรุปคือ ณ ตอนนี้ เจ้าอยู่ในความดูแลของ อโดนิส ฟีเรลล์? โจรสลัดหนึ่งในเก้ากองทัพ ภายใต้ไซรัสมหาราชน่ะหรือ?”
ผมพยักหน้า
“ใช่ โดสเป็นผู้ปกครองผม …และนี่ผมก็ไว้ผมยาว เพราะอยากเหมือนโดสด้วย ” ผมรวบปลายช่อผมมาไว้ด้านข้าง ตอนนี้ผมยาวเกินไหล่แล้วแฮะ
“เจ้านี่สุดยอดเลยจริงๆ ข้าไม่เคยเจอใครมีพลังชีวิตมากมายแบบเจ้ามาก่อน…นากัล” พี่ส่ายหัว สายตาภาคภูมิ “แล้วเรื่องในวัง- -เจ้าจะพร้อมเล่าให้ข้าฟังเมื่อไหร่? ”
ผมครุ่นคิดคำตอบ “ยังไม่ใช่ตอนนี้นะฮะ”
เงยหน้ามองสีหน้าพี่ ทว่าสายตาพี่สงบ
“ตกลง…แล้วแต่ใจเจ้าเลย ถ้าเจ้าพร้อมเมื่อไหร่ พี่รอได้เสมอ”
“ฮะ”
ผมรู้สึกปรอดโปร่ง - -มองใบหน้าที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็กๆ ผมรู้จักพี่โจมาร์ตั้งแต่ผมอายุ 7-8 ขวบ เห็นพี่ตอนเป็นเด็กหาปลาอายุ 13 พี่ก็โดดเด่นกว่าคนอื่นๆแล้ว ตอนนี้ พี่กลายเป็นชายหนุ่มแข็งแร็ง เป็นทหารที่ดูน่าเกรงขาม
“นี่พี่ก็อายุ 19 แล้วสินะฮะ”
“ใช่”
“ทำใมพี่มีแผลพวกนี้เยอะจังฮะ” ผมเขยิบมาชิด ลูบรอยบาดบนต้นแขนเขา
พี่อมยิ้ม “ที่ระลึกช่วงเวลาอันยากลำบากน่ะ…แล้วก็บาดแผลจากการฝึกดาบกับเพื่อนทหารด้วย บางที แผลเป็นก็มีข้อดีนะ นากัล- -มันเตือนเราว่าเราต้องผ่านอะไรมาได้บ้าง… ”
“…ว่าเราเข้มแข็งแค่ไหน” ผมต่อ…หากแต่กำลังพูดถึงบาดแผลที่อื่น นอกจากร่างกาย
“อืม..”
พี่โจมาร์พ้นลมทางจมูก มองผมไม่ละสายตา… ราวกับว่าจะก้มลงมาจูบ
แต่พี่ก็ไม่ได้ทำ
…
.
“เราเข้าบ้านกันไหม? ” เขาโพลงแก้ความอึดอัด
ผมกระเด้งตัวขึ้น “ใช่ฮะ พวกพี่ๆคงทำอาหารกันอยู่ ”
“ได้ พี่จะรอกินฝีมือแกนะ เป็นค่าจ้างก่อนจะใช้พี่ ให้ทำความสะอาดโรงม้าพรุ่งนี้”
เราสองคนหัวเราะ พี่กอดคอผมเข้าประตูบ้านไป
================================
ห้าวันผ่านไปแล้ว ตั้งแต่ผมเจอพี่โจมาร์ - - บรรยากาศของโรงสีข้าวเปลี่ยนไปนับตั้งแต่วันนั้น ผมยังไม่ชินเลยฮะ
พูดจากใจก็คือ ผมคิดว่าหนีตัวตนเก่าของผม มาพ้นแล้ว โรงสีข้าวกำลังฟอกอดีตผมออกไป ทว่า การปรากฎตัวของพี่โจมาร์ ทำให้ย้ำเตือนว่า ผมเคยเป็นใคร….
ผมสับสนฮะ- -และ เวลาผมสับสน ผมจะต้องการอโดนิส เป็นพิเศษ เพราะโดสเป็นคำตอบของหลายๆอย่าง เป็นภาพสะท้อนความแข็งแกร่งที่ผมอยากมี ผมจึงตั้งหน้าตั้งตารอโดสปลายเดือนนี้ มากกว่าครั้งไหนๆ
พี่โจมาร์พักอยู่ที่โรงเตี้ยมแถวท่าเรือของพวกทหาร ปกติตอนกลางวัน เขาจะขี่ม้ามาเล่นกับผม วันนี้พี่บอกว่า เรือเหมันต์จะเทียบท่า เขาเลยมาหาผมตอนกลางวันไม่ได้ แต่จะมากลางคืนแทน
ผมนั่งอ่านหนังสือรออยู่ใต้แสงเทียน ในโถงบ้าน เด็กชาวโรงสีหลับกันหมดแล้ว ซักพักผมก็ได้ยินเสียงกุกกักหน้าประตู
“นากัล พี่เอง!”
ผมปรี่ไปเปิดประตู ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นชายหนุ่มในชุดทหาร
“พี่ไม่มีเวลาเปลี่ยนเสื้อ…” ม้าของพี่กระโดดโลดเต้นอยู่ด้านหลัง “ออกไปขี่ม้าเล่นกัน นากัล”
ผมอดไม่ได้ กระโจนสวมกอดเขา รู้สึกสุขใจฮะ
พี่ตกใจนิดๆแต่หัวเราะในลำคอ
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ เจ้าน่ะ เวลาดีใจก็สุดแสนจะดีใจเนื้อเต้น เวลาเสียใจก็ร้องให้งอแงเสียงดัง”
เราควบม้ากันรวดเร็ว ราวกับจะบินไปกลางอากาศ …ลมกลางคืนตีพัดหน้า และผมปลิวว่อน แต่เราไม่ใส่ใจ …ไร่ยูเทนส์ตอนกลางคืนในแสงจันทร์ ก็สว่่างและสวยอย่าบอกใครเชียวฮะ เสียงหมาจิ้งจอก และ นกฮูก แว่วมาให้ได้ยินเบาๆ แต่ฝี่เท้าบาลี่และม้าของพี่โจมาร์ดังกลบถนนดินร่วน
ผมแทบจะไม่รู้ตัวว่าผมหัวเราะใส่พี่ตลอดเวลา พี่ควบมาเบียด แซงหน้าผม- -เราแข่งกันไปจนลงเนิน ใกล้ทะเลสาบมากขึ้นเรื่อยๆ
“ใครถึงทะเลสาบทีหลัง!! ต้องกินเห็บม้า!!” ผมตะโกนบ้าบอ พาเจ้าบาลี่ไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดอย่างไม่คิดชีวิต
แน่นอนว่าผมถึงก่อนฮะ เพราะพี่โจมาร์ไม่เร่งควบเลย
“ฮ่า! ผมถึงก่อน พี่ต้องกินเห็บม้า” ผมกระโดดลง ทำหน้าทะเล้น เหงื่อท่วมตัวเลย
พี่ดูไม่เหนื่อยซักนิด เขาค่อยๆลงจากม้า ก่อนที่ผมจะวิ่งเข้าไปชน และแกล้งกำเห็บไปแปะหน้าพี่
พี่โจมาร์หัวเราะลั่น จับผมรัดไว้
เราดึงกันดึงกันมาอยู่ซักพัก พี่ก็ปล่อย…
“นี่ เด็กโรงสีข้าวอย่างผมจะไปสู้แรงทหารเปอร์เซียอย่างพี่ได้ยังไง มันไม่ยุติธรรมเลยนะฮะ!”
“เจ้านี่ ยังบ้าๆบอๆอยู่เลย”
“ผมเคยบ้าๆบอๆที่ไหน?” ผมขมวดคิ้ว ดึงเชือกมัดผมออก เพราะมันยุ่งไปหมด
“ตอนเด็กๆไง…มีอยู่วันนี้หนึ่งที่มาดามปล่อยให้ออกมาเล่นที่สนามทราย แล้วข้าไป- -”
“ผมไม่อยากพูดเรื่องมาดาม” ผมเสียงแข็ง
“….” พี่เจื่อนลงทันที “นากัลพี่ขอโทษ”
“พี่ไม่ผิดหรอกฮะ” ผมเดินฉับๆไปนั่งลงตรงขอนไม้ หน้าทะเลสาบ “ผมแค่ไม่อยากพูดเรื่องอดีตตอนนั้นอีกแล้ว …”
“ข้ารู้…ข้าลืมนึกไป”
พี่ตามมานั่งข้างๆ สายตาพี่เป็นห่วง ชุดทหารเรือเปอร์เซียสง่างามดีเหมือนกันนะ
เราสองคนมองริ้วน้ำในความมืดกันเงียบๆ
“ตอนนี้ เจ้ามีชีวิตใหม่ที่ไร่ยูเทนส์แล้ว…ทุ่งนาป่าเขา ทะเลสาบ …เจ้าได้อยู่ที่ที่สวยงาม” พี่มองรอบๆ ก่อนจะหันมามองหน้าผม
“ข้าว่าเจ้าสมควรได้รับมันแล้วล่ะ”
“ใช่ฮะ ชีวิตใหม่ ทั้งหมด เลย” ผมรับมาแล้ว สิ่งที่ท่านเซอซัสเลือกมอบให้ … แสงดาวเป็นประกายบนผืนน้ำ
“พี่ก็เช่นกัน” เขายิ้ม ใบหน้าเข้มนั่นสดใส
…พี่หล่อจัง
อยู่ๆผมก็รู้สึกเขิน แบบที่ไม่เคยรู้สึกมานาน…พี่คงดูออกแล้วสินะฮะ
ขอนไม้ส่งเสียงเอียดเบาๆตอนเราขยับใกล้กัน
หรี่ตาลงตอนพี่เข้ามาใกล้ - -จนเสียงธรรมชาติรอบๆห่างออกไป
แล้วพี่ก็จูบผม
สัมผัสอุ่นนุ่มบนริมผีปาก บางเบา…ก่อนจะหนักเน้น พี่โอบแขนรอบเอวผม ผมกอดพี่กลับเหมือนสัตว์น้อยที่ยังกลัวๆอยู่
นานแค่ไหนแล้วนะ? ที่ไม่มีคนจูบผม
พี่ดูดริมฝีปากล่างผม นิ้วมือสางผมผมเบาๆ ..หวานจังฮะ
เราลืมตาเพื่อมองหน้าอีกฝ่าย
“ฮ่ะๆๆ” เราขำแก้เขินออกมาพร้อมกัน
ผมไม่รู้ว่านี่คืออะไร คงเป็นการเริ่มต้นใหม่รึเปล่า?
“กลับบ้านกันดีกว่า …ไปย่างปลากินกัน” พี่ชวนง่ายๆ
“ปลา?พี่เอาปลามา” ผมตื่นเต้น
“ใช่ พี่ห้อยทิ้งไว้หน้าระเบียงก่อนออกมา” พี่บอก ดึงแขนผมยืนขึ้น ปัดเศษดินบนก้น
“พี่ฮะ” ผมพูดเสียงอืดๆ “ผมไม่ใช่เด็กเก้าขวบแล้วนะฮะ”
“เจ้าจะเป็นเด็กกี่ขวบ ข้าก็จะปัดก้นให้เจ้าไปตลอดน่ะแหละ …เจ้าเป็นเด็กที่สกปรกที่สุดเท่าที่ข้าเคยรู้จักเลย”
“แต่พี่ก็ชอบผมที่สุด” ผมยิงฟันแป้น ไม่สนใจว่าพี่โจมาร์จะทำท่ากระอั่กกระอ่วน
ผมจุมพิตพี่อีกครั้งเร็วๆ และรีบกระโดดขึ้นอานม้า หันขวับมาพูดเสียงดัง “ผมดีใจที่พี่กลับมาหาผม”
“ข้าก็ดีใจที่ข้าหาเจ้าจนเจอ”
“เรากลับบ้านกันเถอะฮะ” ผมยิ้มกว้าง ควบม้าไปพร้อมๆกับพี่โจมาร์ ภายใต้แสงจันทร์สุกสว่าง
ใช่ ผมรักท่านเซอซัส ความจริงหนึ่งเดียวที่ผมต้องยอมรับ
แต่ผมไม่รู้อนาคต และพี่โจมาร์ …พี่ ของผม ผมอาจเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพี่ได้นะ… แล้วมันก็จะสงบสุขสินะฮะ
แต่ผมไม่รู้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...กังหันลมยักษ์จะพัดผมไปทางไหนอีก ผมไม่กล้าฝันถึงสายลมข้างหน้าตอนนี้
…ต้องจนกว่าสงครามจะหมดสิ้น ผมสัญญากับตัวเอง
เมื่อสงครามจบ ผมถึงจะฝันอีกครั้ง
และ ผมจะบินได้ด้วยตัวเอง ต่อให้มีกังหัน หรือไม่มีก็ตาม
อวสาน ภาคหนึ่ง---------------------------The Journey Of Nergal-------------------------------