บทที่ 6
สว่างไสว...... ( ครึ่งแรก )
บรรยากาศในห้องสมุดชั้นสามช่างเงียบสงบเหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเสียจริงๆ ถึงแม้จะมีนักศึกษาเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่ทุกคนก็เคารพกฎระเบียบของห้องสมุดของมหาวิทยาลัยเป็นอย่างดี แต่ถึงแม้จะไร้เสียงพูดสนทนา แต่ดวงตะวันก็ยังคงได้ยินเสียงกระซิบกระซาบและสายตาหลายคู่ที่สอดส่องมายังตนและภัทรอย่างต่อเนื่อง หนุ่มร่างเล็กถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี จะให้ลุกขึ้นโวยวายเสียงดังว่าให้เลิกมองมาที่ตนมันก็ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร คิดไปมาคิดมาหัวสมองที่เคร่งเครียดกับหนังสือวิชาการอยู่นานแล้วก็เหนื่อยล้าอ่อนกำลังลงไปอย่างช้าๆ เพียงไม่นาน ศีรษะทุย สวยก็ค่อยๆแนบกับหนังสือที่ว่างอยู่บนโต๊ะ
“ตะวัน.....เป็นอะไรหรือเปล่า” ท่าทางของดวงตะวันสร้างความตกใจให้กับภัทรอยู่ไม่น้อย แต่ความห่วงใยกับถูกซ่อนไว้ในท่าทางนิ่งเฉย ภัทรมองคนตัวเล็กที่ก้มศีรษะแนบหน้ากับหนังสือด้วยแววตาที่ฉายชัดว่าห่วงใยหนักหนา แต่ดูเหมือนว่าคนที่ฟุบหน้านอนอยู่นั้นจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด
“................................” ภัทรเดินอ้อมโต๊ะมานั่งข้างๆคนตัวเล็กอย่างเงียบๆ ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆบริเวณห้องแล้วส่งสายตานิ่งเรียบแต่แฝงไปด้วยอำนาจปรามบุคคลที่กล้ามองมาที่ตนและดวงตะวันอย่างเปิดเผย จนในที่สุดสายตาสอดรู้สอดเห็นจากผู้คนรอบกายก็ค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ
“เหนื่อยใช่ไหม?” ร่างสูงโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบแถวๆใบหูเล็ก น้ำเสียงที่ดวงตะวันได้ยินจากปากของภัทรนั้นช่างราบเรียบเสียจริงๆ สมแล้วที่ใครๆต่างก็พากันเรียกชายหนุ่มว่า ‘เจ้าชายน้ำแข็ง’
“อยากทานอะไรไหม?”
ประโยคคำถามของอีกฝ่ายทำเอาร่างที่ฟุบหน้าอยู่บนหนังสือกองโตต้องลุกขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วใช้สมองส่วนที่ยังพอมีแรงคิดเมนูอาหารที่ตนอยากทาน โดยหารู้ไม่ว่า ทุกการกระทำของตนนั้นถูกคนที่นั่งอยู่ข้างๆจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคนที่ตนนั่งจ้องอยู่นั้นดูจะมีความสุขอยู่ไม่น้อยเมื่อนึกถึงของกิน เสี้ยวหน้าด้านข้างของดวงตะวันสะกดจิตเจ้าชายน้ำแข็งเอาไว้อย่างจัง จมูกโด่งรั้นที่เชิดขึ้นมาบอกให้ได้รู้ว่าคนตัวเล็กนั้นคงเอาแต่ใจและดื้อรั้นอยู่พอสมควร ริมฝีปากบากที่มีแดงระเรื่ออย่างคนสุขภาพดี อีกทั้งดวงตากลมโตดำขลับรับกับใบหน้าและทรงผม ยิ่งเสริมให้ดวงตะวันที่ตนนั่งจ้องอยู่นี้ แลดูน่ารักน่าใคร่ยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณมองอะไรเหรอ?” ดวงตะวันหันหน้าไปถามคนที่นั่งจ้องหน้าตนอยู่นานสองนาน ใจก็นึกว่าจ้องพอแล้วจะหันกลับไป แต่ที่ไหนได้คนตัวสูงกลับจ้องเอาจ้องเอาแล้วไม่ยอมหันกลับไปซักที จนตนนั้นทนไม่ได้ต้องเอ่ยปากถามออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่ไหลวนอยู่บนใบหน้า
“มองดวงตะวัน” ภัทร ตอบเสียงเรียบ ดวงตาคมเข้มมองสบกับดวงตำกลมโตดำขลับ จนในที่สุดก็เป็นดวงตะวันที่ต้องพ่ายแพ้ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนข้างๆ หัวใจดวงน้อยเต้นถี่เกินควบคุม จนกลัวว่าคนร่างสูงที่นั่งข้างๆจะได้ยิน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นดวงตะวันดวงนี้คงอายอย่างไม่มีวันสิ้นสุดแน่นอน
“แล้วมองทำไม”
“อยากมอง....ก็เลยมอง ไม่ได้เหรอ?”
“ก็..........ไม่ได้น่ะซิ.............อายเหมือนกันนะ” ประโยคหลังนั้นร่างบางเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่ภัทรก็ยังคงได้ยินอยู่ดี
“ขอโทษ.....แต่จะไม่เลิกจ้องหรอกนะ เพราะตะวันดวงนี้น่ามอง”
“.........................................” ไร้เสียงตอบกลับมาของดวงตะวัน เพราะตอนนี้ร่างบางกำลังใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมีปกปิดใบหน้าที่มีเลือดไหลขึ้นไปหล่อเลี้ยงมากกว่าปกติ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารหลุดพ้นสายตาของภัทรไปได้เลย
ร่างสูงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่แท้ที่จริงแล้วกำลังใจใช้พื้นที่ของหัวใจจดจำภาพใบหน้าแดงระเรื่อของอีกฝ่ายไว้ต่างหากล่ะ เคยคิดว่าชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรเพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว เพราะตนนั้นมีทุกอย่างครบจนหมดแล้ว แต่เมื่อได้มาพบดวงตะวัน นั่นทำให้คนอย่างภัทร เกียรติบูรพา ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตนนั้นยังขาดบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งที่ขาดไปนั้นกำลังจะได้รับการเติมเต็มในไม่ช้า และภัทรหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ดวงตะวันจะเป็นคนเข้ามาเติมเต็มให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
“ตกลงจะทานอะไรครับ”
“อยากกินข้าวผัดทะเลใส่กุ้งเยอะๆ.....แล้วภัทรล่ะ”
“ของผมก็เหมือนของตะวันไง”
“แล้วทำไมไม่คิดเอง มาลอกเลียนแบบของคนอื่นทำไม อ่ะ”
ร่างสูงไม่ตอบคำถามของอีกฝ่าย แต่ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบหนังสือเล่มหนาสองเล่มที่อยู่เบื้องหน้าของร่างเล็กมาถือไว้ โดยไม่สนใจว่าเจ้าของหนังสือจะส่งเสียงห้ามปรามต่างนานา ไม่เพียงแค่หนังสือเท่านั้นที่ภัทรคว้ามาถือให้ ยังมีกระเป๋าเป้ใบขนาดกลางและถุงกระดาษอีกจำนวนหนึ่ง ทำเอาเจ้าของตัวจริงอย่างดวงตะวันเม้มปากแน่นอย่างไม่พอใจเท่าไรนัก
“ผมถือเองดีกว่า” ร่างบางเอ่ยปาก พร้อมทั้งพยายามคว้าหนังสือเล่มหนาสองเล่มและกระเป๋าที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายมาไว้กับตน
“ตะวันเดินอย่างเดียวน่ะดีแล้ว”
“แต่.................”
“อย่าคิดมาก เพราะผมเต็มใจถือให้ อีกอย่างหนังสือสองเล่มกับกระเป๋าเป้ก็ไม่ได้หนักมาก”
ดวงตะวันเงยหน้าสบตากับคนพูดแล้วส่งยิ้มขอบคุณไปให้อีกฝ่าย ภัทรผายมือเป็นสัญญาณให้ร่างเล็กเดินนำหน้าส่วนตนนั้นก็เดินตามหลังออกมาอย่างเงียบๆ เรียกสายตาของผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี แต่สายตาของคนในห้องสมุดยังไม่เทียบเท่ากับสายตานับร้อยคู่ในศูนย์อาหาร เพราะทันทีที่ภัทรและดวงตะวันก้าวเท้าเข้ามายังบริเวณศูนย์อาหาร ก็ตกเป็นเป้าสายตาทันที และภัทรก็รู้ได้ทันทีว่าคนเหล่านั้นมองมาที่คนด้วยสาเหตุอะไร แต่ดูเหมือนว่าตัวสาเหตุที่เดินตามหลังตนอยู่นั้นจะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเท่าไรนัก ภัทรให้ดวงตะวันนั่งรออยู่ที่โต๊ะ แล้วตนเป็นฝ่ายไปซื้ออาหารและเครื่องดื่มเอง ถึงแม้จะมีเสียงเล็กๆบอกกับชายหนุ่มว่าสามารถไปซื้อเองได้ แต่ภัทรก็ส่งยิ้มปรามๆแล้วบอกให้ดวงตะวันนั่งรออยู่ที่โต๊ะ
“พี่ตะวัน” เสียงเรียกที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมอง และเมื่อรู้ว่าเป็นใครดวงตะวันก็ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างยินดี โซ่ รุ่นน้องปีหนึ่งที่ร็จักและสนิทสนมกับดวงตะวันอยู่พอสมควร
“สวัสดีครับ” ดวงตะวันรับไหว้รุ่นน้องแล้วชวนให้อีกฝ่ายนั่งคุยกันก่อน โซ่ นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับดวงตะวัน ชายหนุ่มส่งยิ้มหวานให้รุ่นพี่ที่ตนแอบชื่นชม
“มาทำงานวิชาอะไรเหรอโซ่”
“ผมนัดกับเพื่อนในกลุ่มมาทำรายงานเคมีครับ แล้วพี่ล่ะมากับใคร”
“พี่มาอ่านหนังสือทีห้องสมุดน่ะ มีเพื่อนต่างคณะมาด้วยหนึ่งคน” ร่างบางเอ่ย พร้อมทั้งสอดส่ายสายตามองหาร่างสูงว่าตอนนี้ต่อคิวซื้อข้าวไปถึงไหนแล้ว มองหาได้ไม่นานก็เห็นร่างคุ้นตายืนอยู่หน้าร้านอาหารตามสั่ง
“อ๋อครับ...แล้วพี่ทานข้าวหรือยัง จะบ่ายสองโมงแล้วนะครับ”
“เพื่อนพี่ไปซื้อให้แล้ว แล้วโซ่ทานแล้วใช่ไหม”
“ทานเสร็จแล้วครับ หลังจากนี้ก็ว่าจะไปเดินดูของที่ห้าง พี่จะไปกับผมไหม”
“ไม่ดีกว่า พี่ต้องทำงานต่ออีกน่ะ”
“พี่ทานข้าวให้อร่อยๆนะครับ ถ้าจะให้ดีนึกหน้าผมไปด้วยทานไปด้วย รับรองอร่อยกว่าเดิมสิบเท่าแน่นอน” พูดเสร็จโซ่ ก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมา สบจังหวะกับภัทรที่เดินถือจานข้าวเข้ามาพอดี ทั้งสองสบตากันเพียงเล็กน้อย และเป็นโซ่ ที่ต้องหลบสายตาคมเข้มที่มองมาอย่างเชือดเฉือน สัญญาณตญาณของบุรุษเพศด้วยกันมองกันแวบเดียวก็รู้แล้วว่า หมายปองสิ่งเดียวกัน
“รุ่นน้องตะวันเหรอ”
“อ๋อใช่! ปีหนึ่งน่ะ เขาเข้ามาทัก”
“...............................” อาการนิ่งเงียบเย็นชามากกว่าปกติของภัทร สร้างความแปลกใจให้กับดวงตะวันอยู่ไม่น้อย
“เป็นอะไรหรือเปล่า....โมโหหิวเหรอ” ดวงตาดำขลับฉายแววใสซื่อทำเอาคนมองสบ หลุดยิ้มออกมาแทบจะทันที จะมีคนซักกี่คนที่ถามว่า ภัทร เกียรติบูรพา โมโหหิวข้าว
“เปล่าครับ ...ตะวันรีบทานนะเดี๋ยวพอมันหายร้อนแล้วจะไม่อร่อย” ภัทรตักเนื้อกุ้งในจานของตัวเองใส่ลงไปในจานของอีกฝ่าย และสิ่งที่ชายหนุ่มได้รับกลับมาก็เป็น รอยยิ้มหวานๆ ที่มองดูแล้วชื่นอกชื่นใจอยู่ไม่น้อย
อาการเกร็งลดหายไปทีละน้อยเมื่อทั้งสองพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิด ดวงตะวันสบตากับภัทรได้นานขึ้น และภัทรก็หลุดยิ้มให้ดวงตะวันเยอะขึ้นเหมือนกัน เจ้าชายน้ำแข็งที่เย็นชาและนิ่งเฉย กลับกลายเป็นผู้ชายธรรมดาเมื่ออยู่ต่อกับดวงตะวัน ถ้าหากพ่อและแม่มาเห็นลูกชายตัวเองยิ้มมากกว่าปกติคงดีใจอยู่ไม่น้อย ต้องขอบคุณผู้ชายตัวเล็กคนนี้ ที่ทำให้โลกในด้านมืดค่อยๆสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
๐ ขออภัยในความสั้น ขออภัยจริงๆ ไม่มีคำใดจะเอื้อนเอ่ย - - 55555555++
๐ ยังรักกันอยู่ไหม....................พี่น้องคนอ่านทั้งหลายยยยยยยยยย ลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือยังงง
๐ กลับมาช้า แต่ก็ดีกว่าไม่มานะคร๊า อิอิ
รักและขอบคุณ
By Chocolate Love ~