บทที่7
โซนประวัติศาสตร์ชั้นสามถูกจับจองอีกครั้งจากนายตำรวจหนุ่ม พิชญุฒม์พาตัวเองมารื้อๆค้นๆในกองหนังสือประวัติศาสตร์ หนังสือในโซนประวัติศาสตร์นับพันๆเล่มถูกไล้ไปตามสันเพื่อหาชื่อเรื่องที่พอจะสื่อถึงสิ่งที่ต้องการได้ พอเจอเล่มไหนที่คิดว่าน่าจะมีเนื้อหาที่ตัวเองต้องการก็หยิบมาถือไว้จนตอนนี้มีหนังสือร่วมสิบเล่มอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรง
พิชญุฒม์พาตัวเองมานั่งอ่านหนังสือตรงโต๊ะที่ทางหอสมุดจัดไว้สำหรับอ่านหนังสือบริเวณใกล้ๆชั้นหนังสือ มือเรียวเปิดผ่านไปหลายต่อหลายเล่มก็ยังไม่เจอเนื้อหาที่ถูกใจ เกือบทุกเล่มมีเนื้อความและใจความเดียวกันประมาณแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ในส่วนยี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่แตกต่างกันพิชญุฒม์คิดว่ามันมาจากความคิดส่วนตัวของนักเขียนคนนั้นๆ
“เฮ้อ”
ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับกองหนังสือที่เปิดผ่านๆไปแล้วร่วมยี่สิบเล่ม คีย์เวิร์ดสำคัญที่ได้มาตีความได้แต่หาความหมายไม่เจอมันก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งมองประตูทางออกทั้งๆที่กำกุญแจไว้แต่หาวิธีไขไม่เจอนั่นแหล่ะ
นายตำรวจหนุ่มหันไปมองหนังสือที่ยังเรียงอยู่บนชั้นพลางถอนหายใจก่อนจะเท้าแขนลงกับโต๊ะแล้วพยุงตัวลุกขึ้นไปรื้อค้นชั้นหนังสืออีกรอบ ช่วงเวลาร่วมสามชั่วโมงที่ขลุกอยู่กับหนังสือประวัติศาสตร์นับพันทำให้พิชญุฒม์กรองหนังสือในส่วนที่น่าจะมีผลต่อการสืบคดีออกมาได้สามเล่ม คนตัวสูงได้บอกกับบรรณารักษ์ที่ดูแลเพื่อขอนำหนังสือทั้งสามเล่มกลับมายังสำนักงานเพื่อทำการอ่านแบบละเอียดหลังจากที่เปิดอ่านคร่าวๆและคิดว่ามันควรจะมีอะไรที่พอจะเป็นจิ๊กซอว์อีกชิ้นให้เขาได้
ร้านกาแฟใกล้สำนักงานกลายเป็นสถานที่นัดพบอีกครั้งของพิชญุฒม์ นายตำรวจหนุ่มในชุดวอร์มกับเสื้อมีฮู๊ดเดินเข้าไปสั่งอเมริกาโน่เย็นก่อนจะพาตัวเองไปนั่งมุมในสุดของร้าน ยกกาแฟขึ้นดูดหนึ่งอึกก่อนจะนั่งรอเวลาซักพักจนกระทั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่ว่างเปล่าถูกแทนที่ด้วยร่างของคนๆหนึ่ง
“สงครามเย็น” ยังไม่ทันที่ร่างฝั่งตรงข้ามจะหย่อนก้นถึงเก้าอี้พิชญุฒม์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน แต่ผู้ร่วมบทสนทนายังไม่ได้ตอบบทสนทนาในทันทีก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“อีกครึ่งชั่วโมง” คำตอบที่ไม่สัมพันธ์กับคำถามทำเอาพิชญุฒม์คิ้วกระตุก “นายมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมงคุณตำรวจ ฉันช่วยเท่าที่ช่วยได้ไม่ได้ว่างมาช่วยนายได้ตลอด”
พิชญุฒม์พยายามรักษาท่าทีไม่ให้เผลอยกมือขึ้นมาชกหน้าคนตรงหน้า แฮคเกอร์มือหนึ่งคนนี้ยังมีประโยชน์กับเขาอีกมาก
“เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนเวลาอันมีค่าของนายช่วยตอบฉันหน่อยได้มั๊ยว่าทำไมต้องสงครามเย็น ฉันหาจนจะหมดหอสมุดอยู่แล้วไม่เห็นจะมีอะไรคืบหน้า”
“จะหมด แต่นายก็ยังหาไม่หมด นายมีกุญแจร้อยดอกไขไปเก้าสิบแปดดอกแล้วปาอีกสองดอกทิ้งคิดว่านายจะเปิดประตูมั้ยหล่ะ?” อดิศรขยับเปลี่ยนท่านั่งเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “นายฉลาดนะคุณตำรวจแต่ถ้ามีไหวพริบซักนิดนายจะรู้ว่าฉันส่งกุญแจไปให้นายนานแล้วโดยที่นายไม่เคยจะหยิบมันขึ้นมาไขประตูเลย นายมัวแต่มองหาสิ่งใหม่ๆจนลืมใส่ใจของที่มีอยู่” อดิศรลุกขึ้นยืนเอามือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างหันหลังให้ก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไปแต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายไว้ด้วยประโยคที่ทำให้พิชญุฒม์รู้สึกหน้าชาเบาๆ
“ถ้าให้ช่วยมากกว่านี้ก็ลาออกแล้วให้ฉันแก้คดีแทนเถอะ”
ความรู้สึกชาทั้งๆที่ไม่ได้โดนตบยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า พิชญุฒม์ยังนั่งนิ่งๆอยู่ในร้านกาแฟร้านเดิมแล้วปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ ในหัวพยายามคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายเพิ่งพูดไป อะไรบ้างที่เขาได้มาจากอดิศรนอกจากคำใบ้บ้าๆบอๆที่ตีความออกมากว้างจนเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร มือเรียวยกขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเองแรงๆก่อนจะก้มมองแก้วกาแฟที่ตอนนี้มีหยดน้ำเกาะพราวอยู่รอบๆแก้ว อยู่ๆความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาจนรู้สึกอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าตัวเองแรงๆ
พิชญุฒม์ลุกขึ้นจากโต๊ะก่อนจะออกวิ่งกลับไปยังคอนโดที่พักของตัวเอง กุญแจที่ตามหา กุญแจที่อดิศรส่งให้เขา กุญแจที่ทำให้เขาต้องเป็นคนลงมือแก้คดีนี้เองทั้งหมด กุญแจที่ป่านนี้กำลังนอนสบายอยู่ในคอนโดของเขา อาชวิน
“โธ่เว้ย! ทำไมไม่คิดให้เร็วกว่านี้วะว่าอดิศรมันรู้ทุกการเคลื่อนไหวของหมู”
พิชญุฒม์รีบพาตัวเองวิ่งมาจนถึงที่คอนโด เปิดประตูเข้าไปด้วยความเร่งรีบตอนนี้เขาอยากจะพุ่งตัวเข้าไปแล้วปลุกอาชวินมาเขย่าๆถามทุกอย่างให้รู้เรื่อง ใครจะไปคิดว่าเด็กธรรมดาๆที่วันๆดูไม่สนใจอะไรนอกจากการทดลองจะมาเป็นกุญแจได้
“หมู” ทันทีที่เปิดประตูบ้านเข้าไปก็ตะโกนเรียกคนที่กำลังนอนหลับอุตุเสียงดังจนอาชวินสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะเดินดุ่มๆเข้าไปหาจนเจ้าของชื่อต้องมองอย่างงงๆ
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็น” อาชวินที่เพิ่งลืมตาสติยังไม่ครบถ้วนดีได้แต่ส่ายหน้างงๆ
“โธ่เว้ยอาชวิน!” พิชญุฒม์ตะคอกเสียงดังจนอีกคนสะดุ้งตัวโยน ก่อนจะไล่อาชวินไปล้างหน้าล้างตาแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองเรียกสติ
โอเค อาชวินไม่ผิด อาชวินก็แค่เด็กคนนึงที่ไม่รู้อะไรซักอย่าง ถ้าเขาจะเอาความวู่วามไปลงที่ใครคนๆนั้นควรเป็นอดิศร พิชญุฒม์พยายามระงับลมหายใจตัวเองให้อยู่ในภาวะปกติระหว่างที่รออาชวินจัดการธุระส่วนตัว
“เป็นบ้าอะไรอีก” อาชวินเดินมาทิ้งตัวนั่งลงตรงโซฟาที่ตัวเองใช้นอนในขณะที่ที่มือก็ใช้ผ้าขนหนูซับน้ำที่หยดพราวอยู่บนใบหน้า
“นายรู้อะไรเกี่ยวกับสงครามเย็นมั่ง” พิชญุฒม์พยายามถามอย่างใจเย็นแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหัวแทบจะในทันที
“งั้นเอาใหม่นายรู้จักสงครามเย็นใช่ไหม?” อาชวินพยักหน้า
“โอเคดีมาก งั้นนายเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?” อาชวินยังคงพยักหน้าจนพิชญุฒม์รู้สึกใจชื้น
“จำชื่อหนังสือได้มั๊ย?”
“ใครจะไปจำได้” เหมือนลูกโป่งแห่งความดีใจของพิชญุฒม์ถูกปล่อยลม บางทีอดิศรอาจจะประเมินอาชวินสูงเกินไป “แต่ถ้านายอยากอ่าน อ่ะเอาไป” อาชวินเอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าที่อยู่ข้างโซฟาขึ้นมาเปิดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาให้พิชญุฒม์
พิชญุฒม์รับมามองหน้าปกก่อนจะเปิดผ่านๆ หนังสือที่แสดงให้เห็นถึงความเก่า เนื้อหาที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่แต่อะไรบางอย่างที่อยู่ภายใต้ตัวอักษรพวกนั้นดึงดูดจนพิชญุฒม์อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้
“Thanks my master key” พูดพลางยกมือขึ้นขยี้ผมอีกคนจนยุ่งก่อนจะลุกออกไป
“มาสเตอร์คีย์บ้าอะไร” อาชวินตะโกนตามหลังไป ไม่ได้หวังให้อีกคนได้ยินหรอกเพราะป่านนี้อีกคนคงปิดประตูห้องแล้วไปขลุกตัวเองอยู่กับหนังสือที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนั่นแล้วแหล่ะ แต่มาว่าเขาเป็นกุญแจผีนี่มันใช่ที่ไหนหล่ะ
พิชญุฒม์พาตัวเองขึ้นมายังบนห้องปิดประตูโดยใช้เท้าแบบส่งๆก่อนจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงานของตัวเอง วางหนังสือลงบนโต๊ะแล้วตั้งใจอ่านจนเกือบทุกบรรทัด อย่างที่อดิศรบอกไม่มีผิดกุญแจถูกส่งมาให้เขาตั้งนานแล้ว เขาก็ไม่รู้หรอกว่าอาชวินไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหนแต่ก็ต้องขอบคุณที่หยิบหนังสือเล่มนี้ติดมือมาให้เขา
ร่างสูงเปลี่ยนจากการอ่านทุกบรรทัดเป็นการกวาดสายตาเมื่อรู้สึกได้ว่าการนั่งอ่านทุกบรรทัดไม่ได้ช่วยอะไรให้ตัวเองรู้เรื่องมากกว่าเดิมเลย ในขณะที่มือกำลังจะเปิดผ่านไปอีกหน้าตาสายตาดันไปสะดุดกับตัวอักษรที่ดูเหมือนจะผิดรูปลักษณ์ไปหน่อย พอลองเปิดไปเรื่อยๆตัวอักษรประหลาดๆก็แอบแฝงอยู่ภายในเนื้อหาหากไม่สังเกตุดีๆก็คงจะคิดว่าเป็นความผิดพลาดจากเครื่องพิมพ์ พิชญุฒม์เปิดมาหน้าสุดท้ายก่อนจะลองพลิกหนังสือกลับหัวแล้วไล่เปิดจากหน้าหลังกลับไป ตัวอักษรประหลาดแปลงได้เป็นตัวอักษรและตัวเลขจนพิชญุฒม์ต้องหากระดาษมาจด
ข้อความหนึ่งบรรทัดที่พิชญุฒม์แกะออกมาได้จากหนังสือเล่มนั้นเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่อีกชิ้นที่ทำให้การสืบคดีแทบจะออกมาสมบูรณ์แบบ พิชญุฒม์เปิดหนังสืออีกรอบเพื่อดูว่าตัวเองไม่ได้พลาดหรือขาดตกบกพร่องตรงไหนไปก่อนจะปิดหนังสือเก็บไว้ที่นอนแล้วลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมออกไปข้างนอก
“เดี๋ยวฉันมานะ ไม่เกินอาหารเที่ยง”
พิชญุฒม์วิ่งลงมาจากชั้นสองก่อนจะแวะบอกอีกคนเป็นนัยๆว่าไปไม่นาน แต่ไม่ได้กำชับเรื่องที่กลัวเขาจะหนี ซึ่งนั่นอาชวินมองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ไม่ต้องมานั่งฟังอีกคนค่อนขอด เลยถือโอกาสทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาต่อและเพราะไม่รู้จะทำอะไรด้วยในเมื่อหนังสือแก้เบื่อก็โดนยึดไปแล้ว
พิชญุฒม์พาตัวเองมายังหอสมุดหลังเดิมยกนาฬิกาข้อมือดูก็พบว่าตัวเองมาเร็วกว่าเวลาที่นัดเอกภพไว้เกือบสิบนาที ทันทีที่แกะตัวอักษรจากหนังสือออกเขาก็รีบพุ่งตัวออกจากบ้านแถมไม่ลืมโทรไปงัดเอกภพให้ออกจากเตียงเพื่อมาเจอกันที่นี่
รอเพียงไม่นานเอกภพก็มาถึง ทั้งคู่แค่มองตากันแทนคำพูดก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน ตอนที่ออกมาจากบ้านเขาได้โทรเล่าเรื่องที่พบเจอมาให้กับเอกภพจนหมดแล้วเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เพราะมาถึงก็ควรที่จะต้องไขคดีเลยถึงจะเป็นการดี เขาไม่รู้ว่าถ้าช้าไปแม้แต่นาทีหรือวินาทีเดียวจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คีย์เวิร์ดต่างๆที่ได้มาอาจทำให้เกิดการบิดเบือนถ้ามีคนรู้มากกว่าหนึ่ง
“นี่ตำรวจ เราขอตรวจสอบคอมพิวเตอร์เครื่องที่บันทึกการยืมคืนหนังสือหน่อยครับ” พิชญุฒม์โชว์ป้ายประจำตัวให้กับบรรณารักษ์ที่ยืนประจำเครื่อง ก่อนที่บรรณารักษ์คนนั้นจะถอยออกให้อย่างงงๆเมื่อเห็นป้ายประจำตัว
มือหนาคลิกเม้าส์ไปตามฟังก์ชั่นต่างๆเพื่อดูรายชื่อคนที่ยืมคืนหนังสือเพื่อตรวจสอบความแน่ใจว่าหนังสือเล่มนี้เคยผ่านมือใครมาบ้าง แม้จะมีรายชื่อคนยืมหรือคืนหนังสือนับร้อยๆแต่สายตาคมก็กวาดไปไม่สะดุดกับชื่อของอาชวิน แสดงว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนยืมหนังสือเล่มนั้นมานั่นหมายความว่าต้องมีใครซักคนจงใจให้หนังสือเล่มนี้ไปตกอยู่ในมือของอาชวินและสำหรับตอนนี้คนที่อยู่ในความคิดเขาจะเป็นครไม่ได้เลยนอกจากอดิศร
“หรือจะเป็นอดิศร” พูดกับตัวเองเสียงเบาก่อนจะพยายามกวาดสายตาหาคนที่ชื่ออดิศรในเดต้าเบส แต่แล้วก็ต้องสบถออกมาเบาๆเมื่อนึกได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะใช้ชื่อที่เป็นนามแฝงของตัวเอง เขามองพลาดเองที่ไม่สืบเรื่องนี้มาให้ดีก่อน
เมื่อเห็นว่าการตามเช็คว่ามีรายชื่ออดิศรเป็นคนยืมไปหรือเปล่าเป็นเรื่องไร้ประโยชน์พิชญุฒม์ก็เปลี่ยนจากหน้าจอโปรแกรมบันทึกขอมูลคนยืมคืนหนังสือเปลี่ยนเป็นเอ็กเซลไฟล์ กดคอนโทรลโอเพื่อเปิดก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนคีย์เวิร์ดออกมา
Excel>Ctrl+O>Password>F3
ไฟล์ที่พิชญุฒม์เปิดมามีแค่หน้าจอตารางเอ็กเซลล์ที่ว่างเปล่าพร้อมกับเลขศูนย์ที่อยู่ตรงช่อง F3 จนบางทีมันอาจจะเหมือนเรื่องตลกที่ตีความแทบตายแล้วสุดท้ายเหมือนโดนหลอกให้เปิดไฟล์เปล่า มือเรียวคลิกไปที่ช่องเลขF3 แถบฟอมูล่าร์ด้านบนปรากฎสูตร =A2+B4+C1+E5 ซึ่งทำให้ได้ผลออกมาเป็นคำตอบของช่องF3
พอลองคลิกในหลายๆช่องของตารางก็ไม่ปรากฎอะไรขึ้นที่ช่องฟอมูล่าร์ ซึ่งพิชญุฒม์คิดว่าคนที่ทิ้งคีย์เวิร์ดให้เขาเจอไว้คงไม่ได้แค่ทำอะไรแบบนี้เล่นๆเป็นแน่ พิชญุฒม์ทิ้งตัวนั่งพิงหลังไปกับพนักเก้าอี้ก่อนจะยกมือขึ้นมาประสานแล้ววางคางไว้บนมือ พิจารณาอะไรก็ตามแต่ที่ใครซักคนทิ้งไว้ให้เขา
กึก
“โทษทีสารวัตร ผมไม่ได้ตั้งใจ” เอกภพที่เดินถอยหลังมาชนเก้าอี้พิชญุฒม์เอ่ยขึ้นเบาๆ ซึ่งคนตำแหน่งสูงกว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่พยักหน้าตอบ เอกภพมองสำรวจชั้นด้านหลังไปเรื่อยๆก่อนจะหันมาสะกิดพิชญุฒม์ให้หันกลับไปมองที่ชั้นแล้วพยักเพยิดหน้าให้หันกลับไปมองที่จอคอม พิชญุฒม์ที่ยังไม่เข้าใจที่อีกคนสื่อได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นจนเอกภพต้องใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หน้าจอคอมแล้วหันนิ้วโป้งไปชั้นข้างหลังแล้ววาดเป็นวงกลม
“ขอบใจมากเอกภพ” พิชญุฒม์ตบเข่าฉาดใหญ่ก่อนจะรีบลุกขึ้นไปรื้อๆค้นๆชั้นที่อยู่ด้านหลังตามเอกภพ ชั้นไม้ขนาดใหญ่สูงห้าชั้นกว้างสามล็อกสองอันตั้งอยู่ข้างกันทำให้ลักษณะของมันเหมือนกันตารางเอ็กเซลล์ที่พิชญุฒม์เปิดเจอในจอคอม พิชญุฒม์เลือกที่จะค้นชั้นอันแรก แล้วปล่อยให้เอกภพค้นชั้นอันที่สองไป
“เป็นไงมั่งครับสารวัตร” เอกภพถามในขณะที่ตัวเองกำลังหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากชั้น
“A2 1983 B4 1984 แล้วก็ C1 1999” พิชญุฒม์ตอบในขณะที่มือก็วางใบประกาศเกียรติคุณอะไรซักอย่างลงที่เดิม
“ส่วนของผม E5 คือ 2005 แล้วก็นี่” เอกภพชูกล่องใบหนึ่งขึ้นมาให้พิชญุฒม์ดู กล่องเหล็กขนาดเล็กที่ด้านทั้งสี่ปิดสนิทที่ถูกเอกภพค้นพบอยู่ด้านในสุดของมุมชั้นซึ่งมีหนังสือมากมายบดบังอยู่ กล่องเหล็กที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนาด้วยตัวเลขสี่ตัวทำเอาสองคู่หูมองตากันอย่างรู้ความหมาย
พิชญุฒม์เดินไปปิดโปรแกรมไมโครซอฟต์เอ็กเซลล์ที่ตัวเองเปิดค้างไว้ก่อนจะขอตัวกลับแล้วไม่ลืมที่จะขอบคุณบรรณารักษณ์ที่ดูแลส่วนงานนั้นในความร่วมมือ
“คิดว่าไงครับสารวัตร” ทันทีที่พาตัวเองเข้ามายังรถยนต์ส่วนตัวของพิชญุฒม์ เอกภพก็เป็นคนเปิดบทสนทนา
“ไม่ใช่ตรงนี้ผู้กอง มันดูอันตรายเกินไป” พิชญุฒม์พูดพลางสตาร์ทเครื่องรถแล้วดึงสายเข็มขัดนิรภัยมาคาดก่อนจะเหยียบคันเร่งให้รถพุ่งตัวออกไป สำหรับเขาถ้าไม่ใช่ที่สำนักงานและคอนโดที่พักเขาจะพยายามหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องสำคัญแม้จะปลอดคนแค่ไหนก็ตาม แต่หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ยังไงเขาก็ขอเซฟตัวเองไว้ก่อนดีกว่า
ห้องทำงานที่สำนักงานถูกปิดล็อกด้านใน สองคู่หูนั่งล้อมกล่องปริศนา ตัวเลขที่ค้นเจอตามจุดต่างๆตามที่ไฟล์เอ็กเซลล์บอกไว้ถูกนำมาแปลงให้เหลือเพียงแค่สี่ตัว พิชญุฒม์เป็นคนหมุนล็อคตัวเลขโดยมีเอกภพนั่งลุ้นอยู่ฝั่งตรงข้าม เสียงกริ๊กดังเบาๆเรียกสีหน้าดีใจได้จากทั้งคู่ ในขณะที่มือเรียวเปิดฝากกล่องเล็กออกหัวใจก็สูบฉีดเลือดเป็นจังหวะที่ค่อนข้างรัวด้วยเพราะลุ้นว่าภายในจะเป็นอะไร
ฝากล่องถูกเปิดออกปรากฎแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นที่ถูกใส่กล่องซีดีอย่างเรียบร้อย บนแผ่นซีดีและกล่องใส่ไม่ระบุข้อความหรืออะไรซักอย่างจนต้องขมวดคิ้วขณะที่หยิบขึ้นมาพิจารณาก่อนจะเดินไปเสียบแผ่นซีดีใส่แลปท็อป รอซักพักให้เครื่องอ่านแผ่นก่อนจะปรากฎโฟลเดอร์ที่ไม่ได้ระบุชื่อ พอคลิกเข้าไปก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองโฟลเดอร์ซึ่งไม่ระบุชื่อเหมือนกัน พอลองคลิกเข้าไปหนึ่งโฟลเดอร์เป็นข้อมูลของบุคคลในวงการธุรกิจระดับสูงในหลายๆประเทศ ส่วนอีกโฟลเดอร์นึงเมื่อคลิกเข้าไปดูก็เจอเข้ากับโฟลเดอร์ย่อยอีกสองอันที่เขียนชื่อโฟลเดอร์ให้รู้ว่าเป็นไฟลเสียงและข้อมูลการทำผิด
พิชญุฒม์กับเอกภพมองหน้ากันนิ่งเมื่อเห็นข้อมูลที่บรรจุอยู่ในแผ่นซีดีก่อนที่พิชญุฒม์จะทำการแบ็คอัพไฟล์ไว้ในเครื่องและไม่ลืมที่จะก็อปปี้ไว้อีกสองชุดเพื่อให้เอกภพเก็บไว้และเก็บไว้ในเซฟของตัวเอง เพราะเรื่องที่เขาพบในไฟล์นี้มันค่อนข้างที่จะใหญ่เกินกว่าจะทำอะไรด้วยตัวเองแต่มันก็อันตรายเกินกว่าที่จะเอาไปเข้าที่ประชุมใหญ่ เกลือเป็นหนอนมีอยู่ในทุกที่เพราะฉะนั้นคนที่ควรจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ควรเป็นคนที่เขาไว้ใจได้เท่านั้น
“จะเอายังไงต่อไปครับสารวัตร” เอกภพมองแผ่นซีดีที่พิชญุฒม์ก็อปปี้มาให้ในมือแล้วถอนหายใจ “งานนี้มันยิ่งกว่าเอาน้ำร้อนไปราดรังมดดำอีกนะ”
“ก็แแล้วใครจะไปคิดหล่ะว่าจะขุดเจอรังมดดำหน่ะ”
สองคู่หูปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบครองพื้นที่ห้องทำงานอีกครั้ง พิชญุฒม์กับเอกภพนั่งกันคนละมุม ต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เมื่อเลือกที่จะเดินทางนี้แล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปคือเดินให้สุดทาง พิชญุฒม์ไม่ได้เกรงกลัวต่ออิทธิพลมืดเขารู้ตั้งแต่เลือกเดินทางสายนี้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรแบบนี้ แต่สิ่งที่กำลังคิดอยู่คือจะทำยังไงดีให้อิทธิพลมืดมันลดลงได้มากที่สุด
“บางทีนะครับสารวัตร เราต้องพึ่งเด็กนั่น” เป็นเอกภพที่ทำลายความเงียบขึ้นมา “ศุภวิชญ์จะช่วยเราได้มากนะเรื่องนี้ ผมเชื่ออย่างงั้น”
“แต่เรื่องนี้มันไม่ได้อยู่ที่ความเชื่อ แค่เชื่อว่าทำได้มันไม่พอหรอกผู้กอง” พิชญุฒม์ตอบกลับเสียงนิ่ง
“แล้วสารวัตรคิดว่านอกจากเด็กนั่นใครที่จะสามารถเจาะข้อมูลได้มากกว่านี้หรือไงครับ” พิชญุฒม์เงียบ ไม่โต้กลับแต่เอกภพรู้ว่าสำหรับพิชญุฒม์ความเงียบไม่ใช่การยอมรับแต่มันคือคลื่นใต้น้ำลูกใหญ่
“ถ้านายไม่มีใครดีกว่านี้ฉัน..”
“แมวจร”
“ห๊ะ?”
“แมวจร ถ้านายอยากยืนยันจะให้ศุภวิชญ์ช่วยในส่วนขอนาย ฉันขอใช้แมวจรเป็นตัวเลือกในส่วนของฉัน” น้ำเสียงที่จริงจังของพิชญุฒม์บอกให้เอกภพรู้ว่าถ้าเขายืนยันว่าจะใช้ศุภวิชญ์เป็นผู้ช่วย และพิชญุฒม์ก็จะไม่มีทางยอมให้เด็กนั่นมายุ่มย่ามในส่วนของตัวเอง
“แมวจร? สารวัตรหมายถึงแฮกเกอร์ที่ไม่เคยมีใครจับไอพีแอดเดรสได้นั่นหน่ะหรอ? สารวัตรต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ จะติดต่อเขายังไงก็ยังไม่รู้” เอกภพทำหน้าตาเหลือเชื่อเมื่อผู้บังคับบัญชาของตัวเองเอ่ยถึงใครอีกคนออกมา
“อืม” ท่าทีนิ่งเฉยแถมไม่มีการปฏิเสธยิ่งทำให้เอกภพทำหน้าเหลือเชื่อมากขึ้นกว่าเดิม สารวัตรของเขาไปตามสืบจนเจอคนๆนี้ได้อย่างงั้นหรอ? แล้วพิชญุฒม์จะมั่นใจแค่ไหนว่าถ้าเจอแล้วแมวจรจะยอมช่วย ทั้งๆที่อีกคนได้ฉายาว่าแฮคเกอร์เงาแท้ๆไม่เคยมีใครรู้ว่าตัวจริงเป็นยังไงแล้วพิชญุฒม์ไปเอาความมั่นใจพวกนี้มาจากไหนกัน
หลังจากตกลงกันได้ว่าเอกภพจะขอให้ศุภวิชญ์มาช่วยในส่วนของตัวเองและพิชญุฒม์ที่ยืนยันว่ายังไงก็จะให้แมวจรเป็นตัวช่วยแรกที่นึกถึงเอกภพเลยไม่อยากขัด เพราะรู้ว่าขัดไปก็เปล่าประโยชน์ถ้าพิชญุฒม์บอกจะทำนั่นแสดงว่ามันดีแล้วจริงๆ แล้วก็ไม่ลืมที่จะตกลงกันว่าทั้งหมดนี่คือความลับ คนรู้มากไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่
พิชญุฒม์พาตัวเองมายังสวนสาธารณะที่เดิมที่เคยเจอกับอาชวินหลังจากแยกกับเอกภพ ก่อนจะยกมือถือขึ้นมากดส่งข้อความหาอดิศรเพื่อบอกว่าเขามาถึงแล้ว ตั้งแต่แยกกับเอกภพเขาก็รีบส่งข้อความหาอดิศรให้มาเจอกันที่นี่เพื่อคุยรายละเอียดในบางเรื่อง
“ทำไมฉันต้องรับปาก” อดิศรเปิดฉากถามทันทีที่มาถึงก่อนจะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆอีกฝ่าย พิชญุฒม์กระตุกยิ้มมุมปาก คิดไว้แล้วแหล่ะว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะตอบตกลงง่ายๆ
“อดิศร.. ไม่สิ แมวจรนามแฝงของนาย” อดิศรหันขวับมามองอีกคนด้วยสายตาไม่พอใจ สืบรู้จนได้ซินะ
“คิดว่าการรู้นามแฝงของฉันแล้วจะช่วยให้ข้อเสนอมันง่ายขึ้นหรอสารวัตรพิชญุฒม์”
“อ่า… ไม่ต่างจากที่คิดเลยนะนายเนี่ย งั้นถ้าเปลี่ยนเป็นมาคุยเรื่องของอาชวินกันดีกว่า นายจะตอบตกลงง่ายกว่าไหมแฮกเกอร์เงาแมวจร” พิชญุฒม์หันมามองอีกคนตรงๆด้วยสายตาเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า
“ข้อมูลทุกอย่างของนายกับอาชวินอยู่ในนี้” พิชญุฒม์ชูแผ่นซีดีที่อยู่ในกล่องขึ้นมาตรงหน้า “ข้อมูลที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่งจากหน้าม่านอยู่ในนี้” พูดไปก็โบกซีดีในมือไปอย่างจงใจกวนอารมณ์อีกฝ่าย
“เชื่อเถอะอดิศรตองสามใหญ่กว่าเอจโพดำเสมอ” พูดจบก็ลุกขึ้นยืนตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเดินออกไปปล่อยให้อดิศรปล่อยคำสบถหยาบคายออกมาเพื่อระบายอารมณ์
พิชญุฒม์อยากจะขอบคุณใครก็ตามที่เก็บข้อมูลเชิงลึกของบุคคลที่เีก่ยวข้องกับธุรกิจมืดไว้ในซีดีนั่นแต่ที่ยังสงสัยไม่หายคือทำไมประวัติของอดิศรและอาชวินถงไปโผล่อยู่ในนั้นทั้งๆที่ทั้งคู่ดูไม่น่ามีส่วนเชื่อมโยงอะไรถึงกลุ่มบุคคลเหล่านั้น ความสัมพันธ์ของอดิศรและอาชวินเป็นความสัมพันธ์ที่เขาจับตามองมาซักพักแล้วจนไปเจอข้อมูลในซีดีนั่นเหมือนคำตอบของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกเฉลย
ครืด ครืด
มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นจนพิชญุฒม์ต้องยกมาดู ขมวดคิ้วแปลกใจไม่ได้เมื่อเบอร์ที่เคยคุยกันเพียงแค่ข้อความกลายเป็นสายเรียกเข้า ทั้งๆที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อกี้แต่อดิศรจะโทรมาหาเขาทำไมกัน?
“ว่า..”
“ตอนนี้” ยังไม่ทันที่พิชญุฒม์จะพูดจบประโยคเสียงร้อนรนของอีกฝ่ายก็แทรกขึ้มาก่อน “รีบกลับบ้านตอนนี้ซิวะสารวัตร!”
เสียงตะคอกที่ส่งมาตามสายร้อนรนจนพิชญุฒม์รู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดี ปกติอดิศรไม่ใช่คนใจเย็นแต่ก็สุขุมพอที่จะไม่ทำอะไรโฮกฮากแบบนี้
“หมูโดนมันจับไปแล้ว ถ้าน้องฉันเป็นอะไรนายตายแน่สารวัตร!!”
สิ้นประโยคดุดันพิชญุฒม์ก็กดตัดสายก่อนจะรีบออกวิ่ง เขาประมาทเกินไป เพราะคิดว่าว่าเด็กธรรมดาๆคงไม่มีใครจ้องจะจับตัวไปไหน นี่ซินะที่อดิศรบอกว่ายอมช่วยเขาแลกกับความปลอดภัยของอาชวิน ไม่ใช่ความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่แต่เป็นเพราะต้องการมั่นใจว่าอาชวินจะปลอดภัยจากมือมืดต่างหาก
“โธ่โว๊ย!”