Kiss Love รักวุ่นวายนายสุดหล่อ #21
ตอน : เขาเรียกกันว่า 'หึง' ไง [กาย...♥]ผมงงครับ
บอกตามตรงว่างงเอามาก ๆ
ผมไปเที่ยวกับคุณพ่อมา ท่านเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ หล่อเฟี้ยวมาเชียว ไม่ได้เจอกันนาน ผมอยากให้พ่ออยู่กับผมนาน ๆ เลยเทกระสุนออดอ้อนไปยกใหญ่ แต่พ่อก็ใจแข็งใช่ย่อย ชวนให้เข้าบ้านก็ไม่ยอมเข้า
และตอนนี้ผมกำลังหอบหนัก งุนงงกับคนที่กำลังโหมแรงใส่ผมอยู่ มาถึงพี่แกไม่พูดอะไรนอกจากจับผมปล้ำกลางโซฟาในห้องรับแขกเลย
ยังดีที่แม่บินไปเชียงใหม่แล้ว ไม่งั้นคงยุ่ง
“กาย…นายต้องเป็นของพี่นะ ของพี่เพียงคนเดียวเท่านั้น”
ผมชะงักกับคำที่แกพูด ผมควรจะดีใจใช่ไหม แล้วทำไม พี่ต้องรุนแรงกับผมแบบนี้ด้วย
ผมงงครับ
หรือพี่เอกเมา แต่ก็ไม่ได้กลิ่นแอลกอฮอลจากพี่แกเลยนี่นา
แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น…
ผมนอนหมดแรงโดยมีร่างพี่เอกหอบหนักอยู่ด้านบน พี่แกยกตัวขึ้นมาจ้องตาผม ดวงตาคมเคลือบไปด้วยเพลิงโทสะ
นี่ผมไปทำให้พี่เอกโกรธมาตั้งแต่ชาติปางไหนเนี่ย
“ตอบพี่มาตามตรง”
ก่อนมึงจะถามอะไรกู ช่วยปล่อยให้กูเป็นอิสระก่อนได้ไหม
มันถามพร้อมดันบางส่วนเข้ามาแน่นขึ้น
ตัวผมกระตุกไปวูบ
มึงจะรีดคำตอบอะไรจากกูด้วยวิธีอื่นไม่ได้รึไง
“ผู้ชายที่มาส่งเมื่อกี้เป็นใคร”
ผมปรือตามอง คนที่มาส่งผม…
“เขาเป็น…อื้อ”
กำลังจะตอบ แต่ของพี่แกกระตุกครับ คำพูดผมถูกกลืนหายไป
“อย่าเพิ่งยั่ว! พูดมาก่อน!”
ไอ้เชี่ย! กูยั่วมึงตรงไหน ของมึงมันกระตุกต่างหาก ผมปรือตามองอีกที
“ปล่อยผมออกก่อน”
“ไม่!! พี่จะอยู่อย่างนี้ จนกว่านายจะตอบคำถามพี่ทั้งหมด”
มันว่าพลางถอนร่างและใส่กลับเข้ามาใหม่
โอ๊ย ให้ตายสิ
กูจะบ้าตาย
ผมปรือตามองอีกที
“เขาเป็นอื้ออ…”
กำลังจะตอบครับ แต่ของพี่แกกระตุกอีกแล้ว
“กายตอบมา!!”
พี่แกสั่งเสียงดุ
ไอ้เชี่ยนี่!
“พะ พ่อ”
พี่มันชะงัก
“อะไรนะ”
มันถามย้ำเสียงเบา
ผมปรือตามองอีกที ก็กูตอบไปแล้วจะเอาอะไรกับกูอีก กูอยากตอบให้ชัดเจนกว่านี้ แต่ช่วยเอาน้องมึงออกไปก่อนได้ไหม
…กูเสียว
“พ่อ เขาเป็นพ่อผม”
ผมย้ำอีกที
พี่มันนิ่งครับนิ่งไปนานเลย สบโอกาสให้ผมได้กระเถิบถอนตัวเองออกมาจากแรงดึงดูดของโลก ปล่อยให้พี่มันนิ่งไปก่อน ผมขยับตัวลุก แต่ยังไม่ทันจะหลุดออกจากโซฟา ผมก็ถูกกระชากกลับไปนอนที่เดิมท่าเดิม
“พ่ออะไร”
แน่ะ ยังจะมาถามอีก พ่อก็พ่อสิวะ มีพ่ออะไรอีก
“ก็พ่อ”
“พ่อแบบไหน พ่อแท้ ๆ พ่อเลี้ยง หรือพ่อทูนหัว”
พี่มันให้ช้อยมาสามข้อครับ
ผมทำหน้างง ๆ
“พ่อแท้ ๆ”
พี่มันชะงักอีกรอบ ผมน่าจะอาศัยจังหวะนี้หนีออกไปใช่ไหม แต่กลัวว่าพี่มันจะกระชากผมกลับมาอยู่ที่เดิมอีก
มันจะโกรธอะไรผมนักหนา
“แล้วพี่มาโมโหผมเรื่องอะไร แล้วพ่อมาเกี่ยวอะไรด้วย”
ผมอ้อมแอ้มถาม
พี่มันยังทำหน้ายักษ์อยู่ แม้จะเบาบางลงแล้วก็ตาม
“เปล่า”
พี่มันตอบแค่นั้น คลายแรงรัดที่เอวผมลง
“แล้ววันนี้ไปไหนมา”
พี่มันถามอีกที
แต่ก่อนจะรีดคำตอบอะไรจากกู ช่วยปล่อยให้กูเป็นอิสระก่อนจะได้ไหม
“เอ่อ ผมว่า ใส่เสื้อผ้าก่อนดีไหม”
ผมอ้อมแอ้มขอ
“พี่ถามว่า ไปไหนมา!!”
พี่มันไม่สนใจคำร้องขอของผม กระชากถามเสียงเข้ม
“พ่อพาไปซื้อของขวัญที่ภาพของผมได้รางวัลที่หนึ่งจากการประกวดน่ะ”
ผมรีบรัวลิ้นบอก
พี่มันพยักหน้า พ่นลมหายใจแรง แล้วก้มลงพิงหัวกับไหล่ผมอีกที
“พี่โกรธผมเรื่องอะไร”
ผมถามอีกรอบ
คือ..หาสาเหตุไม่เจอจริง ๆ
“เปล่า”
มึงจะงาบหัวกูอยู่แล้ว ยังมาพูดว่าเปล่าได้ยังไง
“พี่โกรธผม”
“เปล่า พี่ไม่ได้โกรธนาย แต่พี่กำลังโกรธตัวเอง”
งงครับ
มึงโกรธตัวเอง แล้วมาลงที่กูทำไม กูไม่ใช่ที่ระบายของมึงนะโว้ย
“พี่โกรธตัวเองที่โกรธนาย เวลามีคนมาแตะต้องตัวนาย”
เอ่อ พี่ครับ…
ไอ้ความรู้สึกนั้น เขาเรียกกันว่า…‘หึง’ รึเปล่า?
ผมว่าผมไม่ได้กำลังดีใจอยู่นะ แต่มุมปากผมมันกระตุกแปลก ๆ แถมหัวใจยังเต้นแรงอีกด้วย
แต่ผมไม่กล้าบอกพี่แกหรอก ว่าแกกำลังหึงผมอยู่
จะว่าไปวันนี้ผมก็แอบนอยด์ไปนิดหนึ่งเหมือนกัน ตอนเห็นพี่แกควงสาว แต่ลืมครับ พอดีพ่อโทรมาเลยลืมเรื่องพี่เอกไปเลย
ผมไม่มีสิทธิ์พูดอะไรมากอยู่แล้ว เพราะพี่เอกยังไม่ชัดเจนกับผมเท่าไหร่ แต่ถ้าพี่เอกชอบผมขึ้นมาจริง ๆ จะหึงผมก็ไม่ผิด แต่นี่ พี่มันไม่พูดไม่บอกอะไรสักอย่าง ในขณะที่พี่แกก็มีทั้งผมและใครอีกหลายคนเคียงกาย
ผมไม่รู้ว่าพี่เอกจะตาม “หวง” คนที่นอนด้วยทุกคนหรือเปล่า
ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นเพื่อผมคนเดียว หรือกับทุกคนที่พี่เอกควงด้วย
ผมไม่กล้าพูด และไม่กล้าที่จะถามด้วย
กลัวคำตอบที่ได้น่ะ
“ขอโทษที่รุนแรงนะ”
ผมเงียบไม่ตอบโต้อะไร
“งั้นพี่ขอไถ่โทษด้วยการทำเบา ๆ แทนละกัน”
“เอ๊ะ?”
ครับ พี่มันเริ่มกระบวนการไถ่โทษที่ผมมีแต่เสียกับเสีย
แม่ม… หื่นจริง ๆ
..
..
..
..
..
..
..
..
“ไปดูหนังกันไหม”
พี่มันชวนหลังจากผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว
“พี่ดูมาแล้วไม่ใช่เหรอ”
ก็จำได้ว่าวันนี้พี่เอกชวนหญิงไปดูหนังอยู่ นึกแล้วก็ปวดแปลบในใจ ผมรู้ว่าผมไม่มีสิทธิ์ แฟนก็ไม่ใช่ ทวงสิทธิ์อะไรไม่ได้อยู่แล้ว
และที่สำคัญ ผมยังไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองด้วย
พี่มันทำท่าอึกอัก
“พี่อยากดูอีกรอบ”
ให้เหตุผลแค่นั้น แล้วลากผมออกจากบ้านไป
และตอนนี้เราก็มายืนกันอยู่หน้าโรงหนัง แต่ต้องรอเวลาหนังฉายอีกเป็นชั่วโมง พอดีหนังเรื่องที่ผมอยากดูมันเพิ่งเข้าโรง คิวยาวเหยียด เราสองคนเลยพากันไปเดินเล่นฆ่าเวลา พี่แกพาเดินดูเสื้อผ้าบ้าง นาฬิกาบ้าง น้ำหอมบ้างแต่ละอย่าง ราคาพาเอาผมหูตั้งทั้งนั้น
ผมพยายามพาพี่แกออกห่างจากโซนแบรนด์เนมให้มากที่สุด แล้วบังเอิญชั้นล่างสุดของห้าง มีการจัดนิทรรศการภาพถ่ายพอดี ผมเลยรีบลากพี่เอกจากชั้นสี่ลงไปที่ชั้นหนึ่งตรงลานกว้างทันที
ผมยิ้มปากแทบฉีก เมื่อรู้ว่าส่วนหนึ่งของภาพที่นำมาจัดแสดงนั้น มีภาพของคุณชรินทร์ร่วมอยู่ด้วย ผมรีบเดินเข้าไปดูทันที โดยมีพี่เอกยืนหน้าหงิกอยู่ข้าง ๆ แต่ผมไม่สนใจ
ตอนนี้ภาพถ่ายสำคัญกว่า
ผมยืนมองภาพดอกหญ้าสีเหลืองอ่อนกลางดงใบหญ้าสีเขียวขจีบนผืนดินกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา
“เจอกันอีกแล้วนะ”
ผมหันไปตามเสียงทักนุ่ม ๆ ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร
“คุณชรินทร์”
“เรียกพี่ดีกว่า อย่าเรียกว่าคุณเลย”
ผมทำหน้าไม่ถูก ให้เรียกพี่เลยเหรอ โห เป็นเกียรตินะเนี่ย
“ฮะ พี่ชรินทร์”
“เชน”
“เอ๊ะ?”
“ชื่อเล่นของพี่เอง เรียกว่าพี่เชนก็ได้”
ผมยิ้มแป้น
“ไม่รู้มาก่อนเลย”
“ก็พี่ไม่เคยบอกใคร นายเป็นคนแรกที่พี่บอก”
ผมตาโตมองพี่แกแบบไม่เชื่อสายตา ยิ้มกว้างดีใจที่ตัวเองได้รับสิทธิ์พิเศษอันนั้น คนข้าง ๆ ผมกระแอมไอหนึ่งที ผมหันไปมอง
จริงสิ ลืมพี่เอกไปเสียสนิทเลย
“นาย…”
พี่เชนทำท่าคิด
“อ๋อ ดั่งดวงอาทิตย์ นายคือคนในภาพของกายนั่นนเอง”
พี่เชนจ้องหน้าพี่เอกอยู่พัก
“นายนี่เป็นคนที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระอาทิตย์จริง ๆ เลยแฮะ”
“ขอบคุณครับ”
พี่เอกตอบรับเรียบ ๆ
“จัดถึงเมื่อไหร่ฮะ”
ผมถามแทรกด้วยความอยากรู้
“วันพรุ่งนี้”
“ว้า เร็วจัง ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีภาพมาลงที่นี่ด้วย ไม่เห็นมีแจ้งในบอร์ดเลย”
“ตามบอร์ดพี่ด้วยเหรอ”
พี่เชนถามยิ้ม ๆ
“ฮะ”
“งานนี้ไม่ได้ประกาศ พอดีพี่เอางานมาแทนเพื่อนน่ะ ฉุกละหุกไปหน่อย”
“แต่ผมรู้แล้ว”
ผมว่ายิ้ม ๆ
“ได้เวลาหนังฉายแล้ว”
พี่เอกชวนตัดบทสนทนาที่กำลังออกรสออกชาติของผมกับพี่เชนลง
“เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมงแน่ะ”
ผมรีบท้วงอย่างเสียดาย
“ไปก่อนเวลานั่นแหละ พี่อยากดูหนังตัวอย่าง ขอตัวก่อนนะครับ คุณชรินทร์”
พี่มันบอกลาพี่เชนนิดหน่อย แล้วรีบลากผมออกไป ผมหันไปโบกมือให้พี่เชน
สุดท้าย ก็ต้องมายืนแง่วรอพี่แกเลือกขนมอยู่หน้าโรงหนัง เลือกอยู่นั่นแหละ ผมยืนหน้าบูด อุตส่าห์ได้คุยกับพี่เชนทั้งที
“เอ้า”
พี่มันยกป๊อบคอร์นกับโค๊กให้ผมแก้วใหญ่ ผมถือไว้แบบหน้าบึ้ง ๆ
“หนังจบพี่จะพาไปเดินดูอีกที”
ผมหน้าบึ้งยิ่งกว่าเดิม
“หนังจบห้างก็ปิดแล้ว ใครจะมาเปิดให้พี่กัน”
“พรุ่งนี้ก็มี”
“พรุ่งนี้ผมติดทำพรีเซนต์กลุ่ม ไม่รู้จะเสร็จกี่โมง”
เห็นพี่มันกระตุกยิ้มนิดหนึ่ง
“เลิกกี่โมง”
“ไม่รู้ สองหรือสามหรืออาจสี่ทุ่ม แล้วแต่เนื้อหาความยากง่ายของงาน”
ผมหน้างอตอบส่ง ๆ
“เสร็จแล้วโทรบอกพี่ละกัน บอกเบอร์นายมาด้วย”
ผมก็บอกเบอร์ไปแบบนอยด์ ๆ สักพักพี่มันก็ยิงเบอร์เข้ามา
“เอามือถือนายมาด้วย”
พี่มันรับไปกดอะไรนิดหน่อยแล้วยื่นคืน
“ป่ะ ไปกัน”
แล้วก็ลากผมเข้าโรงหนังไป
หนังสนุกครับ ลืมเรื่องพี่เชนไปเลย หนังที่ดูเป็นหนังตลก ขำกันทั้งเรื่อง ไอ้หน้าขรึมข้างผมยังนั่งขำกระจัดกระจาย ออกมาจากโรงหนังกรามแทบค้าง
“ไอ้เต้ยน่าจะชอบนะเรื่องนี้”
พูดแล้วก็ต้องหุบยิ้ม พ่นลมหายใจเบา ๆ
พี่เป้พยายามหลบไอ้เต้ยสุดฤทธิ์ ไอ้เต้ยก็มุ่งมั่นที่จะตามท่าเดียว ผมนี่ปวดหัวไปกับมัน
“ไปเลือกเนกไทช่วยพี่หน่อยสิ”
ผมหันไปมองคนพูด ห้างมันจะปิดแล้ว ร้านไหนมันจะเปิดกัน
พี่มันพยักหน้าไปยังเสื้อผ้าแบรนด์เนมที่ยังมีลูกค้าแน่นขนัด
พวกคนรวยนี่ก็แปลก ของก็ใช่จะถูก ๆ แต่หาซื้อกันอย่างกับของมันราคาสี่ส้าห้าบาท ผมเดินตามพี่มันเข้าไปในร้าน เห็นราคาแล้วแทบจะลากพี่มันออกจากร้านทันที
เนกไทเส้นหนึ่ง ซื้อจักรยานได้ตั้งคัน
“ผมขอเนกไทพี่ไปแลกจักรยานได้ไหมเนี่ย”
ผมพูดลอย ๆ พี่มันหันมามอง
“อยากได้เหรอ”
ผมส่ายหน้า
“เปล่า แค่เห็นราคามันแล้วคิดว่าซื้อจักรยานได้ทั้งคัน”
พี่มันหัวเราะ
“เพื่อออกงานน่ะ บางครั้งเราก็ต้องทุ่มไปกับของไร้สาระเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ”
ผมเบ้หน้า
“ชอบแบบไหน”
พี่มันถาม ผมหันซ้ายหันขวา
“แล้วชุดพี่เป็นแบบไหนล่ะ”
มันต้องดูชุดก่อนครับ จะได้รู้ว่าเข้ากันหรือเปล่า พี่แกเดินไปเปิดสมุดภาพอะไรสักอย่างให้ดู แล้วชี้ไปที่สูทสุดเลิศในนั้น
บอกได้ทำเดียว เท่ครับ
“อยากเห็นของจริงจัง”
พี่มันมองหน้า
“งั้นเลิกงานแล้วจะเอาตัวไปให้ดู”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้”
“เราจะได้รู้ไง ว่าไทที่เราเลือก เข้ากับสูทพี่หรือเปล่า”
โห พูดกันขนาดนี้ เลือกไม่ดีเสียชื่อหมด ผมก้มมองเนื้อผ้ากับสีสันในภาพก่อนเงยหน้าขึ้นมองพี่เอกอีกที หันซ้ายหันขวา จับพี่เอกหมุน ๆ อยู่สองสามรอบ ปัดผมอีกนิดหน่อย พยายามจินตนาการทาบพี่แกกับชุดในภาพ และตัดสินใจเดินไปหยิบไทมาเส้นหนึ่ง ยื่นให้พี่แก
“อันนี้แหละ เหมาะ”
พี่แกเลิกคิ้ว
“ทำไม”
“พี่เป็นพระอาทิตย์ ผมอยากให้พระอาทิตย์ดูสงบลงบ้างเวลาอยู่บนโลกมนุษย์”
พี่แกนิ่งครับ นิ่งอยู่นาน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
กูพูดอะไรผิดวะ
“โอเค พี่เชื่อ ไปกันเถอะ”
แล้วเราสองคนก็เดินแถก ๆ ไปจ่ายเงิน ราคาแพงสุด ๆ ผมไม่ได้มองราคาตอนหยิบ แค่เห็นว่ามันน่าจะเข้าดี เท่านั้นเอง
..
..
..
..
..
..
..
..
“เวลามาเรียนมายังไง”
พี่มันถามขณะขับรถอยู่บนท้องถนน รถราบางตาไปเยอะเลย
“รถเมล์”
พี่มันหันมามอง ก่อนหันกลับไปมองทางตามเดิม
“เอารถไว้ใช้สักคันไหม”
ผมหันไปมองพี่แกงง ๆ
“หะ?”
งงครับ
“เอ่อ... พอดีมีรถว่างอยู่ มันไม่มีคนขับ จอดไว้เฉย ๆ มันเสียง่าย กำลังหาคนมาช่วยขับอยู่”
ผมรีบส่ายหัวทันที
“ไม่ดีกว่า”
พี่แกทำหน้าขัดใจ ผมรีบเสริมทันที
“เกิดผมทำเสียขึ้นมา คงจะหาเงินเป็นค่าซ่อมไม่ไหว ขึ้นรถเมล์นี่แหละ ถูก ประหยัด ไม่ต้องกลัวเสีย มีคนขับรถส่วนตัวให้อีกต่างหาก”
“พี่ออกค่าซ่อมให้”
พี่มันต่อรอง ผมยังส่ายหัวเหมือนเดิม
“อย่าเลย ผมไม่อยากมีภาระ”
“ทำไม”
“มีรถเหมือนมีห่วงอันใหญ่ ๆ มาผูกคอ ต้องวิ่งวุ่นหาที่จอดรถ พอจอดได้ ก็ต้องมานั่งห่วงว่ามันจะหายไหม ต้องมานั่งล้าง นั่งดูแล เติมน้ำมันที่นับวันมันจะยิ่งพุ่งพรวด ๆ และอีกสารพัดปัญหา โอ๊ย ไม่เอาดีกว่า และที่สำคัญ…”
พี่เอกหันมาสนใจฟัง
“ผมขี้เกียจขับ”
พี่เอกหลุดขำพรืด
“โอเค เข้าใจล่ะ ถ้าพี่ไม่ติดงานอะไร จะขับไปรับไปส่งละกัน”
ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าหล่อนั้นงง ๆ แล้วจะมารับมาส่งทำไม หน้าผมคงเป็นคำถามได้ดี พี่แกรีบตอบทันที
“ตอบแทนที่เลือกเนกไทให้”
โห คุ้มกันมากเลย เลือกเนกไทเส้นเดียว ได้นั่งรถฟรี
ผมขำกับข้ออ้างนั้น
เอาเถอะ ถ้าพี่แกว่างอะนะ งานล้นมือขนาดนั้น ผมพยักหน้าส่ง ๆ ไป
“อาทิตย์หนึ่ง รับส่งผมให้ได้สักวันละกัน”
พี่มันขมวดคิ้วสงสัย
“พี่น่ะ งานเยอะจะตาย”
พี่มันพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็บอกให้เรามาช่วย ก็ไม่ยอมนี่นา”
“ไม่ละ ขี้เกียจ”
ผมบอกไปตรง ๆ พี่แกส่ายหน้าไปมา คงระอากับคำตอบผม มือก็หมุนพวงมาลัยเลี้ยวรถเข้าปากซอย นำพาผมส่งเข้าเคหสถานแสนคุ้นเคย
บ้านผมเองครับ
..
..
..
..
..
..
..
..
“นี่กาย กูจะไปทำงานพิเศษที่เดียวกับพี่กู”
ผมพ่นน้ำแป๊ปซี่ที่เพิ่งดื่มเข้าไปอึกใหญ่ทันที
“ซกมกอ่ะมึง”
มันว่าพลางยื่นทิชชู่มาให้
“นี่ มึงก็รู้ว่าพี่มึงต้องการความเป็นส่วนตัว แล้วมึงจะไปทำไม”
“กูไม่ได้ยุ่งกับความเป็นส่วนตัวมัน แต่กูกำลังค้นหาคำตอบที่กูอยากรู้ก็เท่านั้น เมื่อมันไม่บอก กูก็จะหาด้วยตัวเอง”
“เต้ย กูว่า…”
“หยุดไปเลยมึง!!”
กำลังจะพูดต่อ มันรีบเบรกคำพูดผมลงกึก
“ครั้งนี้กูไม่ฟังอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญ มึงต้องไปทำกับกูด้วย”
ผมหน้าเหวอ
“ทำไมกูต้องไปกับมึงด้วยล่ะ!”
“กูไม่อยากทำคนเดียว และอีกอย่าง มึงก็รู้ว่ากูไม่ถนัดงานพวกนี้ มึงไปช่วยกูที”
“กูไม่ไป”
“แต่มึงเป็นเพื่อนกูนะ” มันทำหน้าออดอ้อน
“ไม่”
ผมปฏิเสธเสียงแข็ง
“น่านะ”
“ไม่”
“กาย”
มันเรียกเสียงเบาติดจะเครือน้อย ๆ ผมหันไปมองหน้ามัน
“กูขอเวลาเดือนเดียว ถ้าในหนึ่งเดือนนี้ กูยังไม่ได้คำตอบ กูจะหยุดทุกอย่างลง”
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง ๆ
เดือนเดียวงั้นเหรอ
เดือนเดียวที่มันจะหยุด
เดือนเดียวที่พี่เป้จะเป็นอิสระ
เดือนเดียวที่ทุกอย่างจะจบลง
…หรือเปล่านะ
ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“มึงสัญญาแล้วนะ”
“อืม กูสัญญา”
ผมพยักหน้า หวังว่าในหนึ่งเดือนนี้ พี่เป้จะยังอดทนได้นะ
แล้วผมจะสามารถกันมันออกจากพี่เป้ได้ไหมนะ
“ก็ได้ กูจะไปกับมึง”
มันยิ้มร่า กอดคอผมแน่น
“แต๊งค์ มึงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุดเลย”
“นั่นแหละคือกรรมของกู”
“ไอ้ห่านี่”
มันโบกหัวผมแรง เราสองคนหัวเราะร่วน
แต่ในใจผม กำลังหวาดหวั่น ว่าทุกอย่าง อาจจะไม่ได้จบลงง่าย ๆ อย่างที่ผมคิดก็ได้
TBC...
ช่วงนี้ต่อมง่วงทำงานผิดปกติ ง่วงทั้งวันทั้งคืนเลย = = มีอะไรแก้ง่วงได้บ้าง ที่ไม่ใช่กาแฟน่ะนะ (แพ้กาแฟ) = =
ขอบคุณทุกการติดตามนะคะ ฝากพี่เอกน้องกายไว้ในหัวใจท่านเช่นเดิม ฮิ ๆ
แจ้งเตือนจ้าาา
ใครที่ต้องการหนังสือ Kiss Love รอบแรกไปส่องรายละเอียดได้ที่เวปเด็กดีเน้อ ปิดโอนวันที่ 10 พฤศจิกายนนี้แว้ววว ^^ ^^
"รายละเอียดการจอง
http://writer.dek-d.com/m-e-mew/story/viewlongc.php?id=784728&chapter=48 ^^<" หรือเพจก็ได้ค่ะ (
http://www.facebook.com/Memew28) ^^ ขอบคุณฮับ ^^