มาส่งตอนที่สิบค่ะ
เรื่องที่โดนติงเรื่องศัพท์บางคำที่เอาภาษาพูดมาเขียน ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วนะคะ
ขอโทษจริงๆ เขียนไปเพราะความเคยชิน แหะๆ
ถ้ายังไงขาดตกบกพร่อง หรือมีคำไหนยังผิดอยู่อีกตักเตือนได้เลยนะคะ ยินดีปรับปรุงค่ะ
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะสำหรับการติดตาม
----------
หัวใจหลังเลนส์
#10
กวินก้าวเข้ามาในบริษัทด้วยท่าทีนิ่งขรึมเหมือนอย่างที่ทำทุกวัน สองขาพาชายหนุ่มมาหยุดอยู่ตรงหน้าเคาท์เตอร์ต้อนรับ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยถามขึ้นเรียบๆ
“วันนี้พาราโบลาเล่มใหม่มาส่งหรือยัง”
พนักงานสาวส่ายหน้าช้าๆ “ยังเลยค่ะพี่วิน”
พื้นที่บริเวณเคาท์เตอร์ในยามเช้าแบบนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะเห็นลูกน้องหนุ่มๆตัวแสบมานั่งขายขนมจีบให้น้องกิ๊ฟท์ สาวสวยประจำเคาท์เตอร์อยู่ทุกเช้าทุกเย็น เต้กับน็อตที่เสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างหญิงสาวจึงได้ยินคำถามจากคนเป็นหัวหน้าเช่นเดียวกัน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก...
“ทำไมช่วงนี้ถึงมาถามหาพาราโบลาเล่มใหม่ทุกวันเลยอ่ะพี่” เต้ถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะปกติ พอนิตยสารรายเดือนที่บริษัทเป็นสมาชิกส่งมาถึง เขาก็จะเป็นคนเอาเข้าไปวางไว้ในห้องทำงานส่วนตัวของกวินให้เอง พูดง่ายๆคือมาเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หัวหน้ารูปหล่อของเขาไม่เคยต้องมาถามหาพวกมันด้วยตัวเองแบบช่วงนี้หรอก
แต่คนถูกถามก็ทำเพียงสั่นศีรษะเนือยๆ ก่อนเดินผละออกมา
ชายหนุ่มตรงเข้าห้องทำงานก่อนปิดประตูบานเลื่อนสีดำลง คอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่บนโต๊ะถูกเปิดขึ้นเพื่อเตรียมตัวทำงานทันที หากแต่เมื่อรูปภาพวอลเปเปอร์บนเดสก์ท็อปปรากฏขึ้นมา ร่างสูงที่ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ก็อดถอนหายใจออกมาเบาๆไม่ได้
ใช่...เขาตั้งมันไว้อย่างนั้นเองแหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรในภาพนั้นมันทำให้เขารู้สึกอยากเอามันขึ้นหน้าจอ อาจจะเป็นแสง โทนสี และองค์ประกอบที่ดูสมบูรณ์แบบของมันเนื่องจากเขาเป็นคนถ่ายเองกับมือ
หรือบางทีอาจจะเป็น...คนที่อยู่ในรูป...
เอาเป็นว่าเขาตอบไม่ได้ก็แล้วกัน รู้แต่ว่าอยากเห็นมันบ่อยๆเท่านั้นเอง
หลังจากจบงานเลี้ยงฉลองที่มีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้เมาแอ๋กลับบ้านไปก่อนในครั้งนั้น กวินก็ไม่ได้เจอกับไอ้เด็กคนที่ว่านั่นอีกเลย จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาเป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์แล้ว จะมีก็เพียงแต่ข้าวของทั้งหมดที่เคยให้ไปถูกฝากพี่วิทย์กลับมาคืน โดยที่ไอ้คนคืนมันหายต๋อมไร้ร่องรอยไปเลย
ไม่มีทีท่าว่าจะติดต่อมา...
สงสัยคงจะเกลียดยักษ์หน้าดุคนนี้อย่างที่เคยว่าไว้จริงๆ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“กูกลับก่อนนะเว่ย” เสียงแหบห้าวของอ้นกล่าวขึ้นขณะที่มือก็รวบเอาอุปกรณ์สำหรับทำโปรเจ็คชิ้นสุดท้ายของเทอมที่เขาทำคู่กับไอ้เจ้าของห้องยัดใส่กระเป๋า “มึงรีบอาบน้ำเข้านอนนะ ไม่ต้องนั่งเวิ่นเว้อต่อล่ะ”
คนถูกสั่งหันมาขมวดคิ้วใส่เพื่อนสนิท “เรียกพ่อดีไหมเนี่ย”
“ไม่ต้องมาประชดเลยนะไอ้ตูดหมึก มึงไม่รู้ตัวหรอกว่าช่วงนี้มึงดูโทรมขนาดไหน”
ร่างบางได้ยินอย่างนั้นก็ได้แต่กัดปากหลุบตามองต่ำ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อไอ้อาการกระสับกระส่ายนอนไม่หลับมันเข้ามาอยู่กับเขาตลอดระยะเวลาเกือบเดือนมานี้แทบทุกคืน
เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนรักอ้นก็ถึงกับต้องผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ
“ปอม กูไม่แน่ใจหรอกนะว่าช่วงนี้มึงเครียดอะไรอยู่หรือเปล่า แต่เห็นมึงเป็นแบบนี้กูกับไอ้พวกที่เหลือก็ไม่สบายใจ ถ้ามีอะไรที่อยากระบายก็มาระบายกับพวกกูได้นะเว่ย”
ร่างบางเงยหน้ามองคนพูด ในอกตื้นตันไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ แต่กระนั้นถ้าจะให้เขาเล่าก็คงเล่าไม่ได้หรอก เพราะเขาเองก็ยังจัดระเบียบให้ความคิดตัวเองไม่ได้เลย สุดท้ายเด็กหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ
อ้นก้มมองสภาพสีเทาของเพื่อนรักด้วยความกลุ้มใจ แต่ในเมื่อเจ้าตัวเลือกที่จะไม่พูดอะไร เขาจะสามารถไปละลาบละล้วงอะไรได้ “เอาเถอะ ยังไงก็ทำใจให้สบายนะมึง อย่าคิดมากไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม” ฝ่ามือหนายกขึ้นขยี้หัวไอ้คนที่ลุกมาปิดประตูส่ง “รีบๆกลับมาหล่อเหมือนเดิมได้แล้ว เกิดอาทิตย์หน้าโทรมบักโกรกไปงานแต่งอาจารย์วิทย์ เดี๋ยวยามก็ไม่ให้เข้าโรงแรมกันพอดี” อ้นกล่าวติดตลกก่อนจะก้าวออกจากห้องไปในที่สุด
เมื่อทั้งห้องว่างเปล่าเหลือเพียงตัวเอง จักรวาลก็เดินกลับมานั่งพิงขอบเตียงพลางเหม่อมองท้องฟ้ามืดมิดนอกหน้าต่าง ลมหายใจถูกพ่นออกมาเป็นระยะเพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ
หลังจากการถ่ายโฟโต้เซ็ทจบลงก็เท่ากับว่าสิทธิ์ที่เขาได้รับจากรางวัลสิ้นสุดลงแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นของงานเลี้ยงฉลองในวันนั้นเขาก็เพียงตื่นขึ้นมาในคฤหาสน์หลังงามของพี่เมษ โดยที่ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้เกี่ยวกับ 'คนๆนั้น' คือใบหน้าเรียบเฉยที่นั่งกินเงียบๆอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ ไม่แม้แต่จะปรายตามองมาทางเขาเลยแม้แต่น้อย
คนปากเสียแบบเขาคงโดนเกลียดเข้าแล้วจริงๆสิ...
แต่ความจริงก็สมควร...
สุดท้าย เมื่อไม่เหลือข้ออ้างอะไรให้เข้าไปที่บริษัท เด็กหนุ่มก็ได้แต่มานั่งจมอยู่กับตัวเอง
ของทั้งหมดที่เคยได้รับมา เขาก็ไม่มีหน้าที่จะเก็บมันไว้หรอก และก็ไม่มีหน้าจะเอามันไปคืนด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน
น้ำหนักที่ลดลงไปสองสามกิโลบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าพฤติกรรมการอยู่การกินของตนนั้นเปลี่ยนไป แต่จักรวาลก็ไม่มีอารมณ์ที่จะแก้ไข ในหัวของเด็กหนุ่มมีเพียงภาพตอนที่เขาหันไปเจอกวินยืนอยู่ข้างหลังฉายซ้ำไปซ้ำมา
อยากบอก..อยากขอโทษ
แต่คนๆนั้นคงไม่อยากฟัง...เพราะอย่างไรเขามันก็แค่เด็กที่ไม่มีความสำคัญอะไรในชีวิตของคนยิ่งใหญ่ระดับนั้นอยู่ดี
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นข้างตัวเรียกเด็กหนุ่มให้หลุดออกจากห้วงความคิดของตนเอง เบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอทำให้เขายิ้มออกมาบางๆแม้จะยังมีเรื่องไม่สบายใจวนเวียนอยู่เต็มหัว
“สวัสดีครับแม่”
“เป็นไงบ้าง เจ้าหมาน้อยของแม่” น้ำเสียงอ่อนโยนอันคุ้นเคยที่ส่งกลับมานั้นแทบจะทำเอาเขาน้ำตาไหลออกมาด้วยความคิดถึงเสียให้ได้
“ก็ดีครับ เดี๋ยวมะรืนนี้ก็ปิดเทอมแล้ว แม่กับน้าเป็นยังไงบ้าง สบายดีกันหรือเปล่าครับ”
“แข็งแรงดีเป็นปกติเหมือนเดิมนั่นแหละจ๊ะ ไม่ต้องห่วง ลูกเถอะ ปิดเทอมนี้จะกลับบ้านหรือเปล่า”
“ปอมตั้งใจว่าจะหางานพิเศษเก็บเงินอีกสักก้อนน่ะครับแม่” ช่วงเวลาปิดเทอมใหญ่เขามักจะอยู่กรุงเทพหางานทำเพิ่มแบบนี้เสมอ
“งั้นเหรอ ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างนะลูก” ในที่สุดน้ำเสียงปลอมประโลมของผู้เป็นมารดาก็ทำเอาเด็กหนุ่มต้องน้ำตารื้นขึ้นมาจนได้ “แล้วนี่มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า เสียงฟังดูไม่สดใสเหมือนเดิมเลย”
ราวกับอ่านใจได้ คำถามที่ถูกส่งมาทำเอาน้ำตาที่ทำท่าจะแตกไม่แตกต้องไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่ เสียงสั่นเครือของลูกชายที่ปลายสาย ทำเอาคนเป็นแม่ตกอกตกใจ “ปอม เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
เด็กหนุ่มกลืนก้อนสะอื้นให้กลับลงคอก่อนปฏิเสธออกไป “เปล่าครับแม่”
“มีอะไรเล่าให้แม่ฟังได้นะ”
“ปอมไม่เป็นไรครับ” เมื่อตอบไปแบบนั้นบททนาก็เงียบลงชั่วครู่ ก่อนจะเป็นเด็กหนุ่มที่ถามออกมาเบาๆ
“แม่ครับ ปอมเป็นเด็กนิสัยไม่ดีหรือเปล่า”
“ลูกหมาที่แม่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กไม่ใช่เด็กไม่ดีหรอกลูก ทำไมเหรอ ถามอย่างนี้แสดงว่าไปทำอะไรไม่ดีใส่ใครไว้ล่ะสิท่า” คนเป็นแม่ถามขึ้นอย่างรู้ทัน
“ครับ ไม่ดีมากๆเลย”
“แล้วขอโทษเขาหรือยัง”
คนถูกถามนิ่งไปอึดใจ ก่อนส่ายหน้าออกมาเบาๆแม้รู้ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่เห็นก็ตาม “ยังครับ แต่เขาก็คงไม่ได้อยากฟังเท่าไหร่”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“ก็...ผมไม่ใช่คนสำคัญ...”
“โถ่ลูก ไม่เอาน่า อย่าคิดไปเองเลย” หญิงวัยกลางคนปลายสายกล่าวสอนด้วยความเป็นห่วงแกมเอ็นดู “แต่ต่อให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำผิดอะไรไว้ยังไงเราก็ควรจะขอโทษ ไม่ว่าเขาจะอยากฟังหรือไม่อยากฟังก็ตาม เข้าใจหรือเปล่า”...
แม่ของเขาวางสายลงไปแล้ว แต่คำสอนด้วยเสียงอ่อนโยนนั้นก็ยังดังก้องวนเวียนไปมาอยู่ในหัว
ก็ถ้ามันขอโทษกันง่ายๆขนาดนั้นเขาคงกล้าทำไปนานแล้วล่ะ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“อาจารย์! ยินดีด้วยครับ!” เสียงแสดงความยินดีจากลูกศิษย์วัยฉกรรจ์ทั้งหลายเรียกเอารอยยิ้มร่าเริงจากเจ้าของงานที่ยืนต้อนรับอยู่ได้อย่างครึกครื้น
“หมิวครับ นี่ลูกศิษย์ผมที่คณะ” กรวิทย์หันไปแนะนำกับเจ้าสาวที่ยืนยิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่ข้างๆ ก่อนที่คนทั้งหมดจะเคลื่อนตัวมายืนจัดท่าทางอยู่ ณ บริเวณซุ้มสำหรับถ่ายภาพที่ระลึกซึ่งถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี
แล้วเด็กหนุ่มที่ยกมือขยับเสื้อให้เข้าที่เข้าทางก็ต้องสะดุ้งขึ้นเมื่อเงยหน้าเตรียมตัวมองกล้อง สายตาคู่คมจากคนร่างสูงในชุดสูทหรูหราที่ถือกล้องอยู่ในมือนั้นจับจ้องมาที่ตนพอดี แต่เมื่อเห็นเขามองมาเช่นกันชายหนุ่มก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น
...และอาการแบบนั้นก็ทำเอาร่างบางใจเสียไปไม่น้อย
ไม่รู้ว่าเขาลืมไปได้อย่างไรว่างานแต่งงานของอาจารย์กรวิทย์ คนเป็นน้องชายอย่างกวินจะต้องมาด้วยแน่นอน...
เมื่อถ่ายรูปเสร็จ เด็กหนุ่มก็เดินตามเพื่อนๆเข้างานไปด้วยอารมณ์ขุ่นหมอง
งานฉลองในวันนี้เป็นไปอย่างราบลื่น ทั้งการตกแต่งภายในงานที่ถูกออกแบบมาอย่างดีที่พาให้แขกเหรื่อรู้สึกเจริญหูเจริญตา หรือว่าจะเป็นกำหนดการต่างๆที่ไม่เยิ่นเย้อก็ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างไม่น่าเบื่อเหมือนงานอื่นๆ
แต่หากจะมีใครสักคนที่ไม่ได้รู้สึกดีไปกับปัจจัยเหล่านี้เลยก็เห็นจะเป็นจักรวาลนี่แหละ...
อาหารเลิศรสที่วางอยู่ตรงหน้าแทบไม่ได้รับความสนใจอย่างที่ควร ไม่ว่าเผลอเมื่อไหร่ ดวงตาคู่เรียวสวยก็จะต้องเหลือบไปยังช่างภาพที่เดินตามเก็บภาพบรรยากาศตามสองบ่าวสาวไปรอบๆงานอยู่เสมอ...
โต๊ะของจักรวาลและเพื่อนๆอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะของครอบครัวจารุกิตติ์นัก
“คุณพ่อคุณแม่ครับ นี่พวกลูกศิษย์ผมที่คณะ” กรวิทย์เอ่ยแนะนำขึ้นเมื่อเดินมาถึงละแวกนี้ เด็กๆนักศึกษาทั้งโต๊ะยกมือขึ้นไหว้ไปทางผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม
และมันควรจะจบแค่นั้นถ้าคนเป็นเจ้าบ่าวไม่เดินมาดึงตัวร่างบางให้ลุกขึ้นเสียก่อน
“คนนี้ไงครับ นายจักรวาล ที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” กรวิทย์เอ่ยกับบุพการีพลางชี้ไปที่เด็กหนุ่มที่ทำหน้าตาเหรอหราอย่างงุนงง
หากแต่คนตอบออกมาคนแรกกลับเป็นน้องสาวคนสุดท้อง “โห คนนี้เหรอพี่ ตะกี้วรรณเพิ่งนั่งเล็งอยู่นะเนี่ย น่ารักจัง”
ชายหญิงวัยกลางคนแย้มรอยยิ้มขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายพ่อที่กล่าวก่อน “ที่บอกว่าส่งตัวเองเรียนด้วยใช่ไหม เก่งจริงๆเลย”
จักรวาลที่ไม่รู้ว่าอาจารย์ของตนเอาเรื่องอะไรไปเล่าไว้บ้าง ได้แต่กล่าวขอบคุณพร้อมยกมือขึ้นไหว้
“ใช่คนที่ตาวินเคยบอกว่าอยากเป็นช่างภาพใช่ไหมจ๊ะ” คราวนี้คำถามจากผู้เป็นแม่ก็ส่งไปยังชายหนุ่มร่างสูงผู้รับหน้าที่ตากล้องภายในงานที่ยืนอยู่ด้านหลังคู่บ่าวสาวแทน
อยู่ๆเด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนหายใจติดๆขัดๆเมื่อได้ยินอย่างนั้น
คนถูกถามตีสีหน้านิ่งเฉยอย่างที่ถนัด ดวงตาคมดุปรายมองจักรวาลเพียงแวบเดียวก่อนจะตอบมารดากลับไปเรียบๆ
“ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วล่ะครับ”
เพียงเท่านั้น ความรู้สึกชาบนใบหน้าก็แล่นริ้วขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เด็กหนุ่มทำได้เพียงฝืนยิ้มไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่นั่งอยู่อีกโต๊ะ รอจนกระทั่งคู่บ่าวสาวเดินจากไปจึงค่อยๆลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม
“เห้ยปอม เป็นไรเปล่าวะ หน้าซีดชิบหาย” อ้นถามขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก เมื่อบังเอิญหันมาเห็นหน้าของเพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างๆ
เมื่อถูกถามแบบนั้นเด็กหนุ่มก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ ก่อนส่งยิ้มตอบกลับไป “เปล่าๆ สบายดี แต่กูปวดฉี่วะ ขอตัวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
พูดจบคนตัวเล็กก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเดินดุ่มๆออกจากห้องจัดงานไป...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทันทีที่ช่วงสำคัญของงานจบลงกวินก็ส่งหน้าที่ตากล้องต่อให้ลูกน้องที่มาด้วยกัน ก่อนขอตัวออกมาเดินตามหาใครบางคนรอบงาน
ไม่เอาแล้ว...เขาไม่อยากจะสนอีกแล้วว่าอีกฝ่ายจะเกลียดเขาขนาดไหน
ที่ชายหนุ่มอยากทำตอนนี้คือจับตัวไอ้เจ้าเด็กปากดีคนนั้นมาถามให้หายสงสัยกันไปเลยว่าตกลงยังอยากเป็นอยู่หรือเปล่าอาชีพช่างภาพเนี่ย เล่นหายตัวไปเป็นเดือน ไหนจะยังส่งของทั้งหมดกลับมาคืนแบบนั้น จะบอกว่าเปลี่ยนใจแล้วหรือไงกัน
ตลอดเวลาที่รู้จักกับจักรวาล เขาคิดอยู่เสมอว่าอยากจะทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นช่างภาพที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ไม่รู้หรอกว่าด้วยเหตุผลอะไร รู้แต่ว่าอยากถ่ายทอดทุกอย่างที่ตัวเองรู้ไปให้เด็กหนุ่มเท่านั้น
สองขายาวก้าวตามหาร่างเล็กๆนั่นไปทั่วงาน หันไปมองที่โต๊ะ เก้าอี้ตัวที่เจ้าเด็กปากดีเคยนั่งก็ว่างเปล่า เดินไปแถวบริเวณบุฟเฟ่ก็ไม่มีร่องรอย จนในที่สุดชายหนุ่มจึงต้องเดินมาถามเอากับเพื่อนๆของคนที่เขาตามหาอยู่แทน
“ขอโทษครับ พอจะมีใครรู้ไหมว่าปอมไปไหน”
เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นทำเอานักศึกษาหนุ่มสาวหลายชีวิตบนโต๊ะเงยหน้าขึ้นมองอย่างสนอกสนใจ แต่ทั้งหมดก็ทำได้เพียงส่ายหน้าออกมาเบาๆ จะมีก็แต่อ้นที่นั่งติดกับเก้าอี้ว่างเปล่าตัวนั้นที่หันมาตอบด้วยสีหน้าเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว
“เออจริงด้วย ลืมไปเลย คือตะกี้เห็นมันบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำน่ะครับ แต่ออกไปนานแล้วยังไม่เห็นกลับมา” เขานั่งโฟ่กับไอ้เจนานไปหน่อยจนลืมเพื่อนรักตัวเล็กอีกคนไปเลย “เดี๋ยวผมออกไปตามมันดีกว่า ใกล้เวลางานเลิกแล้วด้วย” เมื่อหันไปมองรอบตัวก็พบว่าเป็นอย่างที่พูด เพราะแขกบางส่วนเริ่มทยอยกันกลับบ้านไปบ้างแล้ว
หากแต่แรงกดที่ไหล่ก็ทำให้อ้นที่กำลังจะลุกจากเก้าอี้ต้องนั่งกลับลงไปอีกครัง
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปตามเอง” ชายหนุ่มพูดเพียงเท่านั้นก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงความงุนงงของคนรอบโต๊ะ
ร่างสูงใหญ่เดินออกจากห้องจัดงาน จุดหมายคราวนี้อยู่ที่ห้องน้ำบริเวณล็อบบี้ด้านนอก แต่เมื่อชายหนุ่มสาวเท้าเข้ามาจนใกล้ถึงที่ๆต้องการ สองขาก็ต้องหยุดการเคลื่อนไหวลง เมื่อร่างเล็กของเด็กที่เขาตามหาเดินห่อไหล่ออกมาจากห้องน้ำชายด้วยดวงตาปูดโปนแดงก่ำ
จักรวาลก้มหน้าก้มตาเดินไม่ทันสังเกตเห็นผู้ที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อต้นแขนด้านหนึ่งถูกดึงเอาไว้
ใบหน้าเรียวเล็กเงยขึ้นมองเจ้าของแรงดึงอย่างตื่นตระหนก ยิ่งเมื่อพบว่าเป็นใครอาการเกร็งกล้ามเนื้อก็กัดกินไปทั่วร่าง
“คุณกวิน...” มีเพียงเสียงเรียกเบาหวิวเท่านั้นที่หลุดออกมาจากริมฝีปากบาง
ชายหนุ่มขมวดคิ้วสำรวจใบหน้าเด็กหนุ่มชัดๆ ก่อนเอ่ยถามออกมาอย่างไม่สบายใจ
“ร้องไห้ทำไม..”
คนถูกทักยกสองมือขึ้นลูบใบหน้า เขาว่าเขาเช็คสภาพตัวเองก่อนออกจากห้องน้ำดีแล้วนะ แต่สงสัยมันจะไม่เนียนจริงๆ คนตรงหน้าถึงได้ดูออก
“ม..ไม่มีอะไรหรอกครับ” เสียงที่ตอบชายหนุ่มกลับมาฟังดูบางเบาเหลือเกินในความรู้สึก เรื่องที่เตรียมมาจะพูดกับเจ้าเด็กดื้อถูกดูดกลืนลงคอไปจนหมดเมื่อเห็นอีกฝ่ายมีสภาพแบบนี้
คนที่เกิดมาไม่เคยต้องมานั่งปลอบใครอย่างเขาถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก มือใหญ่ได้แต่เอื้อมขึ้นมาลูบผมคนเด็กกว่าตรงหน้าเบาๆด้วยท่าทีเงอะๆงะๆ
หากแต่เจ้าตัวกลับไม่รู้หรอกว่า ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมือนี้ออกไปมันยิ่งเรียกน้ำตาที่แห้งไปแล้วของเด็กหนุ่มให้กลับมาไหลอีกครั้ง
และขณะที่กวินยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นน้ำตาเม็ดโตค่อยๆไหลอาบแก้มใส จะชักมือกลับก็ไม่อยาก จะลูบต่อไปก็ไม่กล้า จักรวาลก็ทำเรื่องที่เขาไม่คาดคิดขึ้นในวินาทีนั้น
สองมือเล็กยกขึ้นประกบกันไหว้เขา ก่อนที่หัวทุยๆจะก้มลงพร้อมกับเสียงอู้อี้ที่ดังรอดริมฝีปากสีแดงสดคู่นั้นออกมาอย่างสั่นเครือ
“...ผมขอโทษครับคุณกวิน...”
โดยไม่ต้องบอกชายหนุ่มก็รู้ได้ทันทีว่าร่างเล็กขอโทษเขาเรื่องอะไร...
ก็เรื่องเดียวกับที่เขานั่งคิดถึงมันซ้ำไปซ้ำมาทุกครั้งที่เผลอนั่นแหละ...
แต่แทนที่จะรับไหว้ของคนที่เด็กกว่า กวินเลือกที่จะทำสิ่งที่ยิ่งเรียกก้อนสะอื้นจากเด็กหนุ่มให้ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่แทน
ร่างสูงใหญ่ดึงตัวคนตรงหน้าให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขน ฝ่ามือหนึ่งกดหัวสวยๆนั่นให้ซบลงกับอกข้างซ้ายของเขาอย่างปลอบประโลม ไม่รู้หรอกว่าปกติคนอื่นเขาทำอย่างนี้กันหรือเปล่าเวลาเห็นคนร้องไห้ เขารู้แต่ว่าทุกอย่างที่ตัวเองทำลงไปนั้นมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ
เจอแบบนี้ คำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากกลีบปากบางอย่างบังคับไม่ได้อีกต่อไป
“ผมขอ..ฮึก..ขอโทษครับ ผมไม่ได้..ต...ตั้งใจจะพูดแบบนั้น ฮึก” เสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ที่มาพร้อมแรงสะอื้นจากคนตรงหน้ายิ่งเรียกให้ชายหนุ่มออกแรงกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นไปอีก “ผมไม่ได้..ฮึก..ไม่ได้หมายความ...ฮึก...อย่างที่คุณได้ยิน..ว..วันนั้น...ฮึก”
ฝ่ามือหนาลูบกลุ่มผมนิ่มไปมาอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ ฉันเข้าใจ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาด้วยโทนที่จักรวาลไม่เคยได้ยินมาก่อน
อย่าว่าแต่จักรวาลเลย แม้แต่ตัวคนพูดเองก็ยังแปลกใจในน้ำเสียงของตัวเองเช่นกัน...
ร่างสองร่างยืนกอดกันอยู่อย่างนั้นบริเวณทางเดินหน้าห้องน้ำ โชคยังดีที่ไม่มีคนเดินผ่านพลุกพล่านนัก คนเป็นผู้ใหญ่กว่าได้แต่ลูบหัวลูบหลังร่างในอ้อมแขนไปมาอยู่นานสองนาน จนกระทั่งในที่สุดเสียงสะอื้นก็เงียบลง
จังหวะเดียวกันนั้น เสียงพูดคุยโหวกเหวกคุ้นหูก็ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล
“ไอ้ปอมมันเป็นลมอยู่ในห้องน้ำหรือเปล่...” เสียงแหบห้าวของอ้นถูกดูดกลับเข้าไปทันทีเมื่อเดินมาเจอเพื่อนตัวเล็กที่ตามหายืนอยู่ในอ้อมกอดของช่างภาพคนดังในสภาพน้ำตานอง
ผู้มาใหม่ทั้งสี่ผงะไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เม้งถึงกับอ้าปากพะงาบๆอย่างตกใจ
ทันทีที่รู้สึกตัว คนที่ตกเป็นเป้าสายตาทั้งสองก็รีบผละออกจากกัน
อ้นที่ตั้งตัวได้เป็นคนแรกเอ่ยกับเพื่อนรักด้วยน้ำเสียงสุภาพกว่าปกติ “เอ่อ..งานข้างในเลิกแล้ว งั้นเดี๋ยวพวกกูไปรอที่รถไอ้เจนะ เสร็จเมื่อไหร่ค่อยตามมาแล้วกัน...ไม่ต้องรีบก็ได้...”
หากแต่ยังไม่ทันที่ร่างทั้งสี่จะหมุนตัวกลับออกไป คำพูดจากผู้อาวุโสกว่าก็เรียกคนทั้งหมดให้ต้องหยุดฟังพลางเหลือบมองหน้ากันไปมา
“ไม่ต้องรอหรอก เดี๋ยวผมไปส่งเขาเอง...”
TBC.