ตอนพิเศษ
ดินแดนแห่งหน้ากากทองคำ
การกลับมาเยือนยังอาณาจักรไมซีเนียนครานี้ ทำให้เธเซียสรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง อาจเพราะเขาคุ้นชินกับความเรียบง่ายในแบบฉบับของเจ้าชายมิโนสมาเนิ่นนาน จึงทำให้แม้แต่กำแพงเมืองที่โอบล้อมดินแดนท่ามกลางหุบเหวค่อนข้างขัดตา เนื่องจากพระราชวังนอสซัสของจักรวรรดิครีตัน สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์จากทั่วบริเวณโดยมิมีสิ่งใดบดบัง ทว่าไมซีเนียนกลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งของศิลาที่ถูกเทินสูงเหนือศีรษะ อีกทั้งศิลปะความอ่อนช้อยลวดลายธรรมชาติก็มิมีให้เชยชม
เหตุเพราะไมซีเนียนคืออาณาจักรของนักรบ ดังนั้นลวดลายบนเครื่องปั้นดินเผาจึงเต็มไปด้วยภาพของการล่าสัตว์และการออกรบ อีกทั้งลายเส้นที่ใช้ก็มิได้มีความพลิ้วไหว แต่กลับแข็งกร้าวตามแบบฉบับของชาวไมซีเนียน
“เหตุใดการคลังจึงร่อยหรอเช่นนี้ ?” เธเซียสเอ่ยถามเสมียนนายหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลรายรับรายจ่ายของพระราชวัง ซึ่งรายจ่ายอันหนักหนาล้วนเกิดจากการทำศึกสงคราม ทว่ากลับมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการค้ามากกว่ารายรับอย่างมิสมเหตุสมผล บุรุษผู้ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนในการจัดการด้านการค้าจึงต้องเร่งไต่สวนเป็นการด่วน
“หลายปีมานี้เจ้าชายลูซีอัสและอะนักซ์ มีความประสงค์ที่จะขยายอาณานิคมทางด้านการค้าไปจนถึงดินแดนอนาโตเลียทุกภาคส่วนพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งเมืองทรอยถือเป็นเมืองหน้าด่านและยังเป็นคู่แข่งทางด้านการค้าที่น่ากลัว อีกทั้งยังมีเมืองบริวารมากมาย ทางเราจึงต้องระดมกำลังล้มล้างเมืองบริวารเหล่านั้น” สิ้นคำตอบของเสมียนรายนั้นเธเซียสก็ลุกออกจากเก้าอี้ พลางเดินไปมาในห้องหนังสืออย่างมิสบอารมณ์ เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกว่าการทำศึกดังเช่นชาวไมซีเนียนค่อนข้างมุทะลุและบ้าบิ่นเกินเหตุ
“ก่อนตัดสินใจทำศึก พวกขุนนางมิมีผู้ใดมองเห็นปัญหาในภายภาคหน้าเลยหรือ ถึงได้เห็นพ้องต้องกันเช่นนี้” เธเซียสตวาดลั่นอย่างเหลืออด เพราะการมุ่งหวังแต่ชัยชนะกำลังจะทำให้บ้านเมืองแร้นแค้น และยังตามมาด้วยการถูกรุกราน
หากเพลานั้นมาถึง..
ไมซีเนียนที่เคยภาคภูมิใจในชาตินักรบ คงต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว หากพ่ายแพ้ก็เท่ากับสูญเปล่า..” เคออสกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางยืนกอดอกพิงกำแพงหินใกล้ปากประตู พร้อมส่งสัญญาณให้เสมียนผู้โชคร้ายรีบเดินหลบฉากออกไป
“กระหม่อมเห็นด้วยกับเคออสพ่ะย่ะค่ะ มาถึงขั้นนี้แล้วหากไต่สวนกันไปมา เกรงว่าจะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ มิสู้เอาเวลานี้มาช่วยกันระดมสมองคิดแผนการรับมือกับคู่แข่งทางการค้าจะดีกว่า” เซอร์ซีกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล และมันก็ทำให้เธเซียสเริ่มใจเย็นลง สมองของเขาจึงประมวลผลได้ว่า ขุนนางเหล่านั้นล้วนเข้าฝักฝ่ายกับองค์ราชินี จึงมิมีความจำเป็นที่จะต้องคัดค้าน เพราะถ้าหากเสด็จพี่ลูซีอัสสามารถขยับขยายอาณานิคมทางการค้าสำเร็จ ตำแหน่ง ‘อะนักซ์’ คงมิไกลเกินเอื้อม ขุนนางเหล่านั้นจึงพากันทุ่มหมดหน้าตัก
ดังนั้นการศึกกับครีตันจึงต้องพึ่งพานครรัฐเอเธนส์ผู้มั่งมี
‘ไฟทะเล’ ของเธเซียสจึงกลับกลายเป็นเพียงเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์
“กำลังคนมีน้อยนิดจะทำสิ่งใดคงต้องคิดให้รอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างวิเคราะห์สถานการณ์ เนื่องจากเขามิอยากรบกวนเจ้าชายมิโนส และอยากถือโอกาสนี้แสดงความสามารถให้เต็มที่
“แค่เพียงเจ้าเอ่ยปากก็มิเห็นจะมีสิ่งใดให้น่าหนักใจ เพราะถึงอย่างไรการจัดการทางด้านการค้าก็อยู่ในความรับผิดชอบของจักรวรรดิครีตัน” เคออสบอกกล่าวข้อเสนอ ราวกับเขาเปิดใจปล่อยวางเรื่องราวในอดีต และยอมรับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
“ครีตันยังมีเรื่องต้องใช้งบประมาณแผ่นดินในการฟื้นฟูบ้านเมือง อย่ารบกวนจะดีกว่า..” เธเซียสเอ่ยแย้งแทบจะทันที เนื่องจากศึกสงครามสร้างความเสียหายให้กับพระราชวังและบ้านเรือนของราษฎร์เป็นจำนวนมาก อีกทั้งไร่องุ่นอันเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของครีตันก็ยังได้รับความเสียหายอย่างแสนสาหัส แต่โชคดีที่เจ้าชายมิโนสสั่งสมพืชพันธุ์ธัญญาหารเอาไว้มาก องุ่นรวงงามจึงถูกแปรรูปเป็นเหล้าองุ่นรสชาติดี โดยส่วนหนึ่งถูกส่งออกเพื่อการค้า และอีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเสบียงอาหารให้กับชาวครีตันทุกภาคส่วน
ขณะเดียวกันเครื่องปั้นดินเผาลวดลายวิจิตรก็ถูกกวาดต้อนลงเรือสินค้าจนหมดสิ้น
นับได้ว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมิมีสิ่งใดน่าเป็นกังวล แต่กระนั้นการฟื้นฟูก็ยังต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก
“กรุงทรอยเมืองเป้าหมาย ตั้งอยู่ตรงช่องแคบเฮลเลสพอนด์หรือไม่ ?” เธเซียสเอ่ยถามโครนัสที่นั่งใกล้กับช่องเก็บหนังสืออย่างมิแน่ใจนัก เนื่องจากช่วงหลังเขาแทบจะตัดขาดจากไมซีเนียนอยู่รอมร่อ ดังนั้นการศึกเพื่อแย่งชิงพื้นที่ทางด้านการค้ามิว่าจะเป็นทางบกอันเป็นเส้นทางที่เชื่อมกับดินแดนต่าง ๆ ในเขตอนาโตเลีย หรือว่าทางน้ำบริเวณแถบคาบสมุทรอีเจียนและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนฝั่งตะวันออกย่อมมิเคยผ่านหู
“เป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ หากจำมิผิดบ้านเมืองถูกล้อมรอบด้วยป้อมปราการมิต่างจากไมซีเนียน แต่กว่าจะก้าวไปถึงใจกลางเมือง จะต้องผ่านเกราะกำบังอย่างเมืองบริวาร 9 ชั้น” โครนัสกล่าวอย่างฉะฉาน ซึ่งเธเซียสก็มิแปลกใจนัก เนื่องจากเส้นทางการค้าของครีตันถือเป็นเส้นทางเดียวกับเมืองดังกล่าว ทหารคนสนิทจึงทราบข้อมูลเชิงลึกถึงเพียงนี้
และเธเซียสก็เริ่มหายข้องใจ ว่าเหตุใดการเงินของไมซีเนียนจึงร่อยหรอจนถึงขั้นวิกฤต
“เราจะไปหารือกับเสด็จพ่อเพื่อความรอบคอบ” เธเซียสกล่าวอย่างกระตือรือร้นจากนั้นก็เดินออกจากห้องหนังสือ พร้อมเจรจาอยู่หลายเพลา เนื่องจากเขาต้องการทราบกำลังทหารและความคืบหน้าของการศึก เพื่อประเมินสถานการณ์ว่าตนควรจะออกอุบายอย่างไรให้เสียกำลังพลน้อยที่สุด และได้รับชัยชนะเป็นการตอบแทน
ซึ่งเขาก็เตรียมตัวเตรียมใจต่อการโต้วาทีมาอย่างดี
ทว่าเสด็จพ่อกลับมิตรัสแย้งแต่อย่างใด
เธเซียสจึงกลับมานั่งครุ่นคิดอย่างหนัก เพราะเขามิอยากให้วันเวลาผ่านพ้นไปโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจากมันหมายถึงการสูญเสียงบประมาณแผ่นดินที่มากขึ้น
“เมืองบริวารตอนนี้ถูกทำลายไปกว่า 5 ส่วน หากใช้กลอุบายที่ค่อนข้างแนบเนียนและรัดกุม..” บุรุษในคราบของเจ้าชายฮาเดรียนกล่าวอย่างใช้ความคิด พลางเดินกอดอกไปมาในห้องหนังสือ พร้อมนึกถึงเหตุการณ์พลิกกระดานเกมของเจ้าชายมิโนสอย่างถี่ถ้วน
เพราะมันคือบทเรียนชั้นดี
“ครีตันมิได้มีป้อมปราการล้อมรอบ จึงเป็นเรื่องง่ายต่อการบุกโจมตี อีกทั้งการเป็นเจ้าบ้านก็ทำให้รู้จุดบอดอย่างชัดแจ้ง มิมีสิ่งใดถือเป็นการเสียเปรียบ แต่สถานการณ์ของกรุงทรอยมิเหมือนกัน” เคออสกล่าวอย่างรู้ใจ ซึ่งเธเซียสเองก็คิดเช่นนั้น
การเลือกใช้ ‘บัวอียิปต์’ จึงมิเหมาะสมนัก
“เช่นนั้น.. หากเราถอยทัพ แล้วส่งเครื่องบรรณาการกลับไป..” เธเซียสที่เดินกลับมานั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือได้เพียงครู่ จู่ ๆ ก็เกิดความคิดลึกล้ำ จึงดีดตัวออกจากที่นั่งด้วยความตื่นเต้น
“ฝ่ายนั้นคงต้องคิดว่าเรายอมศิโรราบเป็นแน่” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มเจ้าเล่ห์ คล้ายกับมีแผนการอันเป็นรูปร่างในหัว เหลือเพียงแค่เนรมิตขึ้นมาเท่านั้น
“พระองค์หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?” ฝ่ายเซอร์ซีแม้จะเข้าขากันดีกับนายเหนือหัว แต่เพลานี้ก็คร้านจะหยั่งถึงความคิดของอีกฝ่าย
“เราจะสร้างม้าไม้ตัวใหญ่ส่งไปเป็นของบรรณาการ แสดงถึงความยำเกรงและยินยอมต่อความพ่ายแพ้ เพียงแต่ม้าไม้ตัวนี้คือม้าศึกมากคุณภาพ เพราะภายในนั้นจะบรรทุกทหารจำนวนมากเท่าที่เรามี จากนั้นเมื่อความไว้วางใจบังเกิด ม้าตัวนี้ก็จะก้าวเข้าสู่เขตเมืองทรอยชั้นใน พอสบโอกาสเหมาะต่อการพลิกฝ่ามือ เมืองทรอยที่เคยเป็นขวากหนามขัดขวางเส้นทางการค้าก็จะต้องพ่ายแพ้”
“หากถอยทัพเกรงว่าจะเป็นการเปิดช่องว่างอันมิพึงประสงค์ เราควรส่งเครื่องบรรณาการไปพร้อมกับการส่งสารถึงทหารกลุ่มนั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ในภายภาคหน้า พร้อมละทิ้งคนผู้หนึ่งที่มีไหวพริบเป็นตัวประกัน ม้าไม้ถึงจะเคลื่อนเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างราบรื่น” เคออสกล่าวอย่างตรงไปตรงมา อาจเพราะเขามีประสบการณ์ทางด้านการวางแผน จึงมีความรัดกุมในด้านมุมมอง
“เช่นนั้นตัวประกันคือเราเอง” สิ้นวาจาหนักแน่นเธเซียสก็เริ่มสั่งการสำหรับเช้าวันพรุ่ง เนื่องจากการสร้างม้าไม้ขนาดมหึมาจะต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก ส่วนค่ำคืนนี้เขาจะสร้างแบบจำลองอย่างละเอียด โดยคำนึงถึงผู้คนที่ต้องแอบซ่อนตัวอยู่ในนั้น
กระทั่งแบบจำลองเสร็จสิ้นท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าขุนนาง ทว่าเธเซียสก็มิหวั่นเกรง เพราะเขายังมีเสด็จพ่อคอยเป็นกำลังเสริม ดังนั้นแผนการจึงดำเนินต่อไปอย่างง่ายดาย ทหารครีตันและกำลังฝีพายจากนูเบียส่วนหนึ่ง จึงถูกเกณฑ์ออกมาช่วยงานสำคัญดังกล่าว โดยเธเซียสเลือกใช้สถานที่ในการประดิษฐ์เครื่องบรรณาการนอกเขตพระราชฐาน เพื่อที่จะได้มิต้องขนย้ายไปมาให้ลำบาก
สายลมเรียบชายฝั่งบริเวณใกล้เขตหุบเขาสมาเรียของจักรวรรดิครีตัน ทำให้การตระเตรียมเครื่องบรรณาการที่ต้องใช้แรงงานในการสรรสร้าง มิต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความร้อนระอุมากนัก เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะจึงดังระงมไปทั่วบริเวณ โดยสองมือของพวกเขาต่างหยิบจับทรัพยากรธรรมชาติมาดัดแปลงเป็นส่วนหัวของม้าตัวใหญ่
ฝ่ายเธเซียส เคออส โครนัส และเซอร์ซีต่างพากันกะเกณฑ์ความกว้างของช่องท้อง ที่ใช้บรรทุกทหารเจนศึกอย่างเคร่งเครียด เพราะถ้าหากสร้างใหญ่เกินไป การขนย้ายก็จะลำบาก แต่ถ้าหากสร้างเล็กเกินไป กำลังคนก็จะมิเพียงพอ เนื่องจากทหารไมซีเนียนที่ยกทัพไปก่อนหน้า ล้วนกรำศึกมาเป็นระยะเวลายาวนาน ความเหนื่อยล้าท้อถอยจึงยิ่งบังเกิด
“เราตัดสินใจแล้ว ม้าไม้ควรสร้างให้เพียงพอต่อการบรรทุกกำลังคน ส่วนแรงงานขนย้าย เราจะเดินทางไปเจรจากับครีตันด้วยตนเอง” หลังจากลั่นวาจาอย่างจริงจังแล้ว บุรุษผู้ต้นคิดก็มิรอช้ารีบลงมือสร้างสรรค์ม้าศึกตามจินตนาการ โดยมิรู้จักเหน็ดเหนื่อย
จนกระทั่งแสงสุริยะใกล้ลาลับ พวกเขาก็ยังมิหยุดเร่งมือ
ทว่าเมื่อเสียงท้องร้องของผู้คนบริเวณนั้นดังระงมด้วยความหิวโหย มื้อเย็นเคล้าแสงไฟสีเหลืองนวลจึงถือกำเนิด
“พระองค์กับเพอร์ดิกส์ช่างนำมื้อเย็นมาได้จังหวะเสียจริง” เธเซียสกล่าวทักทายบุรุษสูงศักดิ์จากต่างแดน พร้อมนั่งพิงต้นไม้ใหญ่และมองจ้องเด็กชายตัวจ้อยเดินแจกจ่ายดอลมาเดซให้กับทุกผู้ที่ใช้แรงงาน
“เราได้ยินมาว่าเจ้าจะเข้าร่วมศึกกรุงทรอย” เจ้าชายมิโนสตรัสอย่างมิอ้อมค้อมพลางประทับเคียงข้างบุรุษในดวงใจ
“ข่าวคราวช่างถึงพระเนตรพระกรรณเร็วนัก” เธเซียสกล่าวอย่างมิคิดปฏิเสธ พลางลิ้มชิมดอลมาเดซคำใหญ่ จากนั้นความทรงจำในวันวานก็ลอยอบอวนไปทั่วความรู้สึก
“เจ้าต้องการกำลังพลและอาวุธเท่าใด ขอให้บอกกล่าวโดยมิต้องเกรงใจ” เจ้าชายมิโนสตรัสราวกับล่วงรู้ความคิดของเธเซียสอย่างกระจ่างแจ้ง ฝ่ายเธเซียสจึงส่ายหน้าเป็นคำตอบ
“การศึกครานี้ถือเป็นการขยายอาณานิคม หากกระหม่อมพึ่งพาตนเอง นับได้ว่ากระหม่อมสามารถโอบกอดอาณาจักรไมซีเนียนด้วยสองแขน และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเอง ดังนั้นกระหม่อมจึงมิขอน้อมรับความหวังดีของพระองค์ในเรื่องดังกล่าว แต่หากเป็นการหยิบยืมแรงงานทาสโดยมิกระทบต่อการฟื้นฟูครีตัน กระหม่อมยินดีตอบรับพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางจ้องมองเด็กชายตัวจ้อยที่เอาแต่นิ่งเงียบเคียงข้างโครนัส ซึ่งแววตาของเขาดูหม่นหมองอย่างน่าหวาดหวั่น มิรู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด
“หากต้องการเช่นนั้น ขอเพียงเจ้าแจ้งวันและเวลาที่แน่นอน..” สิ้นดำรัสของเจ้าชายมิโนส เธเซียสจึงละสายตาออกจากภาพตรงหน้า เพื่อหันมายกยิ้มให้กับบุรุษผู้แสนใจกว้าง
“อันที่จริงเราเองก็มีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าเช่นกัน..” บุรุษผู้มีเกศาราวกับระลอกคลื่นตรัสด้วยสุรเสียงแผ่วเบา ขณะที่สีพระพักตร์กลับฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ ?” เธเซียสย้อนถามอย่างใส่ใจ พลางปัดมือทั้งสองข้างทันทีที่มื้อเย็นเสร็จสิ้น
“เพอร์ดิกส์.. เด็กคนนั้นนับตั้งแต่ดิดะลัสจากไป เขาก็เริ่มเก็บตัว แต่พอทราบว่าเรากำลังจะมาหาเจ้า ดวงตาก็เป็นประกายสดใส เราจึงอยากให้เจ้ารับเขาไว้เลี้ยงดู อย่างน้อยก็จนกว่าเด็กคนนั้นจะเข้มแข็งมากพอที่จะต่อสู้กับการสูญเสีย และเหยียบยืนด้วยสองขาของตนเองเช่นเจ้า” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสคล้ายกับนำพาเธเซียสย้อนกลับไปยังวันวานอันรางเลือน ภาพลานกว้างสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนาจึงปรากฏพร้อมกับบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งคุกเข่าเหม่อลอยแน่นิ่ง จากนั้นเศษเนื้อเว้าแหว่งในความทรงจำก็กระจัดกระจายไปทั่วลานกว้าง ส่งผลให้กลิ่นคาวคละคลุ้งติดปลายจมูก
หัวใจของเธเซียสจึงเสียดแน่นอย่างบอกมิถูก
เนื่องจากการตายของขุนพลผู้นั้นล้วนเต็มไปด้วยความทรมาน
“หากเขาเต็มใจ กระหม่อมก็ยินดีพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มจนตาปิด พร้อมลุกขึ้นยืนและบิดขี้เกียจอยู่หลายครา
“…”
“กระหม่อมต้องไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว คงส่งเสด็จได้เพียงเท่านี้” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงมิเต็มใจนัก แต่ก็มิอาจรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะบุรุษในดวงใจมีภาระหน้าที่อีกมากมาย หากพักผ่อนมิเพียงพอเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อราชกิจบ้านเมือง
“หากเรามิกลับและมิทำตัววุ่นวาย เจ้าจะอนุญาตให้เราอยู่ต่อหรือไม่ ?” ทว่าเจ้าชายมิโนสกลับมิยอมให้เป็นเช่นนั้น เพราะความห่างไกลทำให้พระองค์รู้สึกอ้างว้าง อาจเพราะที่ผ่านมาข้างกายมิเคยไร้เงาของอีกฝ่าย
“พระองค์มิหวั่นกลัวว่าครีตันจะเกิดเรื่อง ตอนที่มิได้ประทับอยู่ที่นั่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสทูลถามพลางทำสีหน้าเคร่งเครียด อาจเพราะเหตุการณ์ที่ตนถูกองค์ราชินีแห่งไมซีเนียนใช้เป็นหมากบนกระดาน เพื่อหลอกล่อเจ้าชายมิโนสให้ออกห่างจากจักรวรรดิครีตันยังคงฝังใจ
“นับตั้งแต่ผู้คนล่วงรู้ว่าแอสเตเรียนมีอยู่จริง ก็มิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามายังเขตแดนของจักรวรรดิครีตันโดยมิบริสุทธิ์ใจ” ดำรัสของเจ้าชายมิโนสบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างชัดเจน และยังเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกองทัพครีตันเป็นอย่างดี ดังนั้นแผ่นดินทองคำที่ใครต่างก็หมายปอง ล้วนต้องหยุดยั้งความคิดไว้เพียงแค่นั้น
บวกกับการศึกแบบรุกฆาตระหว่างไมซีเนียนและครีตันก็สร้างความน่าเกรงขามมิใช่น้อย
เนื่องจากการพลิกสถานการณ์ด้วยฝ่ามือเดียวมิใช่เรื่องง่าย
“เช่นนั้นพระองค์ควรประทับที่กระโจมทะเลทรายพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผายมือไปยังกระโจมสีขาวหลังหนึ่ง พร้อมก้าวนำไปอย่างมั่นคง ซึ่งเดิมทีกระโจมหลังนั้นคือที่พักของตน เพียงแต่การเวลามิเคยคอยท่า เธเซียสจึงมิมีกะจิตกะใจจะหลับนอน
“เราทำตัวว่าง่ายและอยู่ในโอวาทถึงเพียงนี้ มิมีของกำนัลหน่อยหรือ ?” เมื่อเธเซียสตั้งท่าจะเดินออกจากกระโจม บุรุษสูงศักดิ์จึงไขว่คว้าข้อมือของอีกฝ่าย พร้อมเอื้อนเอ่ยราวกับออดอ้อน ริมฝีปากของเธเซียสจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“หากพระองค์ทำตัวว่าง่ายเช่นนั้นจริง รีบเข้าสู่บรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางผลักดันวรกายของเจ้าชายมิโนสให้ประทับลงบนพรมขนสัตว์ พร้อมจัดแจงท่าทางเพื่อเตรียมความพร้อมสู่การพักผ่อนด้วยท่าทีขึงขัง แต่กระนั้นริมฝีปากก็ยังมิวายจะเปื้อนยิ้ม เนื่องจากท่าทีราวกับวัยเยาว์ของบุรุษในดวงใจกำลังทำให้เธเซียสนึกเอ็นดู ซึ่งความสัมพันธ์ดำเนินมาจนถึงระดับนี้ได้ อาจเพราะความลึกซึ้งในค่ำคืนนั้น
กำแพงใจที่เคยขวางกั้นด้วยความเก้อเขินจึงถูกขจัดออกจนหมดสิ้น
ความกล้าที่จะเอาแต่ใจจึงเริ่มก่อเกิด
“รีบเข้าบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เธเซียสกล่าวพลางโน้มตัวจุมพิตบริเวณพระนลาฏเพียงแผ่ว จากนั้นจึงผละใบหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย ขณะที่พระหัตถ์อันอบอุ่นที่เคยกอบกุมเริ่มปลดปล่อยให้เป็นอิสระ พร้อมกับดวงเนตรสีรัตติกาลที่เริ่มปิดสนิทอย่างว่าง่าย
“การมาเยือนของพระองค์ครานี้ ทำให้กระหม่อมรู้สึกอุ่นใจ ราวกับถูกโอบล้อมอยู่ในวัยเยาว์ที่ครีตัน” สิ้นเสียงกระซิบเพียงแผ่ว มุมโอษฐ์ของเจ้าชายมิโนสก็เริ่มกดลึกมากกว่าเดิม
แต่กระนั้นเธเซียสก็ต้องทำเป็นมิใส่ใจ
เพราะถ้าหากก้าวเดินไปตามเกม เกรงว่าเขาอาจจะมิได้ทำงานทำการในคืนนี้
กระทั่งยามเช้ามาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า การเนรมิตเครื่องบรรณาการก็ยังคงมิหยุดพัก ขอบตาของแต่ละฝ่ายจึงดำคล้ำอย่างเห็นได้ชัด จะมีก็แต่เพอร์ดิกส์ที่ดูสนุกสนานจนหลงลืมฝันร้าย เธเซียสจึงยังมิสบโอกาสที่จะเจรจากับอีกฝ่ายตามที่ได้รับการฝากฝัง ขณะเดียวกันเจ้าเด็กตัวจ้อยก็มิได้กังวลที่ถูกทอดทิ้งไว้ยังไมซีเนียน
“หากราตรีนี้ทุกอย่างเสร็จสิ้น พวกเราจะได้พักผ่อนก่อนออกศึกสองวันเต็ม!” เธเซียสประกาศกร้าวอย่างกระตือรือร้น เนื่องจากเพลานี้ ‘ม้าไม้’ ขนาดมหึมาเทียบเท่ากับบ้านสองชั้นของชาวครีตัน เริ่มมีทั้งส่วนหัวและลำตัวอันกว้างขวาง ขาดก็แค่ส่วนขาทั้งสี่ข้าง ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปตามหวัง แรงงานชั้นดีก็จะได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ จากนั้นหนึ่งวันให้หลังก็ยังสามารถซุ่มซ้อมศิลปะการป้องกันตัวก่อนออกศึก
“ท่านพี่เธเซียส” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางวิ่งเข้ามาหาเธเซียสที่กำลังนั่งประกอบท่อนขาของม้าไม้ตัวใหญ่
“ห้องด้านในกว้างมาก ข้านอนกลิ้งได้สบายเลย!” เจ้าเด็กตัวจ้อยรีบคุยโวทันทีที่การทดสอบความแข็งแรงของห้องบรรทุกทหารฝีมือดีเป็นไปตามคาดหวัง
“เช่นนั้นเจ้าคงต้องรีบนอนกลิ้งให้สาแก่ใจ เพราะอีกมินานมันจะกลายเป็นม้าศึกที่น่าเกรงขาม” เธเซียสกล่าวพลางยกยิ้มให้กับเพอร์ดิกส์ด้วยความเอ็นดู เพราะหลังจากนั้นแววตาของเจ้าเด็กตัวจ้อยก็เริ่มเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
“พวกเขาต้องคาดมิถึงแน่! ข้าอยากเห็นเหตุการณ์ด้วยสองตาของตนเองเสียจริง!” เด็กชายตัวจ้อยยังคงพูดเจื้อยแจ้วจนทำให้เธเซียสนึกอยากรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดรัด แต่กระนั้นภารกิจก็ยังติดพัน เพอร์ดิกส์จึงได้แต่ทำปากยื่นปากยาวต่อไป เพราะความฝันของเขาคือการเป็นทหารผู้แข็งแกร่งเหมือนกับขุนพลดิดะรัสหรือท่านอาของเขา
เหตุการณ์พิชิตกรุงทรอยจึงตกอยู่ในความสนใจอย่างมากล้น
“หากมียาวิเศษเร่งความสูงของเจ้าได้ การล่าอาณานิคมคงถูกบันทึกไว้ด้วยสองตาของเจ้าแน่” ท้ายที่สุดเธเซียสก็อดใจมิไหว จำต้องวางมือจากการประกอบส่วนขาของเครื่องบรรณาการชั้นสูง เพื่อหันมายีศีรษะของเจ้าเด็กช่างพูด
“ก็เพราะไม่มีน่ะซี ข้าถึงได้แต่อิจฉาท่านพี่เธเซียส!” เพอร์ดิกส์กล่าวพลางทำหน้างองุ้มพร้อมจัดแต่งทรงผมอันยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“หากเจ้าโตขึ้น มีภาระหน้าที่ให้รับผิดชอบ ความสนุกสนานที่เคยมองเห็นในวัยเยาว์ อาจเจือจางจนแทบจดจำมิได้ เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สอนสั่งให้เราต้องแบกรับความคาดหวัง ความกดดัน เพื่อที่จะได้รับชัยชนะหรือเดินไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมันมิง่ายเลย” เธเซียสกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา พลางแย้มยิ้มติดมุมปาก
เนื่องจากในใจลึก ๆ กำลังเป็นกังวลต่อการทำศึกครานี้
เหตุเพราะมันมิอาจมีคำว่า ‘พลาดพลั้ง’
กระทั่งอาทิตย์อัสดงมาเยือน แสงสีทองอร่ามจึงอาบไล้ไปทั่วต้นไม้ใหญ่ จนสะท้อนเป็นเงาร่างบนยอดหญ้า แรงงานจำนวนมากต่างพากันดึงเชือกเส้นใหญ่เพื่อประคับประคองให้ ‘ม้าไม้’ ยืนขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย ส่งผลให้ทุกครั้งที่ความใหญ่โตโออ่าบดบังแสงสุริยะ ความมืดมิดของแสงเงาก็เริ่มอาบไล้ผู้คนและยอดหญ้าในบริเวณนั้น
ส่งผลให้ม้าพันธุ์ดีที่มีเพียงหนึ่งกลับกลายเป็นสอง
จากนั้นบุรุษเจ้าของผลงานก็เลือกปีนป่ายเข้าไปยังห้องลับด้านใน ขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันกระโดดลงสู่ผืนน้ำอันเยียบเย็น เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ห้วงแห่งนิทราในราตรีนี้
ไม่เว้นแม้กระทั่งเพอร์ดิกส์ที่มักจะตัวติดกับเธเซียสเสมอมา
“มิน่าเชื่อว่าด้านในจะแอบซ่อนห้องลับที่แข็งแรงถึงเพียงนี้” เจ้าชายมิโนสตรัสหลังจากเฝ้ามองเธเซียสเงยหน้าหมุนตัวท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมขนาดเพียงพอสำหรับบรรทุกผู้คนหลายร้อยชีวิต เพียงแต่ต้องนั่งเกยกันสักหน่อย
“กระหม่อมก็มิอยากเชื่อ” เธเซียสกล่าวพลางยื่นหลังมือออกไปเคาะกำแพงไม้ ราวกับต้องการตรวจตราความคงทนให้ถี่ถ้วน เสียงกระทบไม้จึงดังเป็นระยะตามการชักนำของผู้สรรสร้าง
-อ่านต่อด้านล่าง-