ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
……………………..
ตอนที่ 19
วาระสุดท้ายของไพศาลกลายเป็นข่าวโด่งดังชั่วข้ามคืน จากพ่อค้าผู้มีอิทธิพลในจังหวัดที่ใครหลายคนเพ่งเล็งว่าเขาจะมาโค่นผู้มีอิทธิพลรายเดิมอย่างคุณเทียม กลับกลายเป็นชีวิตตกอับ มีคดีติดตัว และลมหายใจสุดท้ายหมดลงเบื้องหลังลูกกรง
แน่นอนว่าการฆ่าตัวตายในเรือนจำเป็นประเด็นที่น่าสนใจโดยเฉพาะการตั้งคำถามว่าเป็นการฆ่าตัวตายจริงหรือไม่ ข่าวลือลอยตามลมมีอยู่สองกระแส
กระแสแรกคือเป็นการฆ่าตัวตายจริง เพราะตระหนักว่าอย่างไรก็ไม่รอด พ้นคดีค้ามนุษย์ก็ไปติดที่คดีจ้างวาน พ้นคดีจ้างวาน ก็ไร้ซึ่งบุญวาสนาจะได้กลับมาเป็นใหญ่
ส่วนกระแสที่สอง...ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย กระแสนี้มีหลายมูลเหตุ เหตุหนึ่งคือแก้แค้น โดยเสือเฒ่าผู้ทรงอิทธิพลในพื้นที่เดียวกันที่หลานชายถูกยิง หรือมิเช่นนั้นก็เป็นงูพิษหญิงชราเจ้าของธุรกิจพันล้านที่หลานชายถูกหมายหัว อีกเหตุหนึ่งคือการปิดปากจากขบวนการค้ามนุษย์
อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อหมดวาสนาก็ไม่เหลือแม้สักกระผีก เพราะจู่ๆ สื่อก็ขุดคุ้ยคดีทุจริตโครงการก่อสร้างแห่งหนึ่ง ความสนใจของคนทั้งประเทศก็แห่แหนกันไปลงยังเรื่องนั้น การตายที่ดูจะมีเงื่อนงำแม้จะโด่งดังชั่วข้ามคืน แต่อีกไม่กี่คืนต่อมาก็จางลง ส่วนลูกน้องลูกพี่ของไพศาลก็ไม่อยากกวนน้ำให้ขุ่น เรื่องนี้จึงเงียบหาย
ชีวิตคนตายจะโด่งดังหรือไม่ก็เป็นส่วนของคนตาย ส่วนชีวิตคนเป็นก็ยังคงดำเนินต่อไป
ชีวิตของพิทักษ์และจิณณะเป็นไปในทิศทางที่สงบมากขึ้น นอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ของครอบครัวจะรู้เห็นและไม่มีวี่แววขัดขวางแล้ว ยังไม่มีศัตรูใดๆมาสร้างความเดือดร้อนให้อีก นับว่าแต่ละเช้าที่ตื่นขึ้นมาล้วนสดใสและสงบสุข ยกเว้นก็แต่...ใครบางคนกำลังก่อเรื่อง
แต่คราวนี้ไม่ใช่คนก่อเรื่องเกรดพรีเมี่ยม
“พาไปหาน้าภา? พี่บ้าเหรอ?!!” จิณณะร้องลั่นหน้าตาตกใจ ช้อนที่ถือถึงกับหล่นลงกับจานดังเคร้ง ทั้งข้าวทั้งกับที่อยู่บนช้อนกระเด็นกระดอนเลอะเทอะเสื้อเชิ้ต แต่เจ้าตัวไม่มีสติจะสนใจความสกปรกบนเสื้อตัวเองเลยสักนิด เพราะสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือคำพูดประโยคที่แล้วของพิทักษ์ต่างหาก
‘จิณว่างเมื่อไร พี่อยากพาไปหาแม่ภา’
เป็นฝ่ายพิทักษ์เสียเองที่หันไปดึงกระดาษเช็ดหน้าบนโต๊ะมาส่งให้ แต่ทว่าก็ยังนิ่งมองราวกับเป็นการย้ำว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ เขาพูดจริง และตั้งใจจริง
นับตั้งแต่เกิดเรื่องพิทักษ์ถูกยิง จนกระทั่งวันนี้ ความสัมพันธ์ของพิทักษ์และจิณณะเป็นที่รับรู้ของคนรอบข้าง แม้จะไม่มีใครชื่นชมยินดีออกหน้าออกตา แต่ก็ไม่มีใครออกตัวขัดขวางเช่นกัน ส่วนหนึ่งต้องยกให้เป็นความดีความชอบของคุณกอบกุลที่ยืนกรานหนักแน่นว่าหล่อนไม่มีปัญหากับการที่ทั้งสองจะคบหากัน คนอื่นเลยพากันเงียบและกลายเป็นยอมรับไปโดยดุษณี แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นที่รู้กันดีว่าจิดาภาและจิณณะไม่เคยพบกันในฐานะแม่ของพิทักษ์และคนรักของพิทักษ์เลยสักครั้ง
เสียดายความสัมพันธ์น้าหลานที่ครั้งหนึ่งเคยเคารพรักใคร่เอ็นดู
พิทักษ์ในฐานะคนกลางระหว่างแม่เลี้ยงและคนรัก จึงต้องหาทางช่วยเหลือ ด้วยวิธีการที่แม้แต่จิณณะเองก็ถึงกับตาโตตกตะลึงคาดไม่ถึง
“พี่ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ น้าภา...ไม่อยากพบผมหรอก” จะบอกว่าเกลียดก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะมันยอกอก แค่ทุกวันนี้จิดาภายอมปิดหูปิดตาให้พิทักษ์และเขาคบหากันก็นับว่าบุญมากแล้ว แล้วจะให้เขาเสนอหน้าไปพบทั้งๆที่เคยรับปากว่าจะไม่ทำให้พิทักษ์ลำบากอีกอย่างนั้นหรือ
...เดี๋ยวสิ จะว่าไป...ตอนนั้นสัญญาว่าจะไม่ทำให้ชีวิตพิทักษ์ลำบากอีก แต่ไม่ได้พูดสักคำว่าจะไม่กลับมาอยู่กับพิทักษ์อีก...
...เอ่อ...พูดเอง ตีความเอง แล้วก็เข้าข้างตัวเองเสร็จสรรพ มันก็ดูหน้าด้านจริงๆนั่นล่ะ! แถมยังจะให้เอาหน้าด้านๆไปพบจิดาภาในฐานะคนรักของพิทักษ์อีก! จิดาภาไม่รักเขาก็ไม่แปลก แต่จะเกลียดขี้หน้าเป็นของแถมมาด้วยนี่สิ!...
“แล้วเราจะอยู่กันอย่างนี้หรือ” พิทักษ์ย้อนถาม ทำเอาคนฟังชะงักกึกเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ของเช้านี้
“ทำไมพี่พูดเหมือนผมกับพี่หนีตามกันมา หวังว่าพี่จะไม่ลำบากที่หนีตามผมมานะ กัดก้อนเกลือกินบ้างรึเปล่า เมื่อคืนนอนหนาวยุงไรไต่ตอมบ้างไหม” แล้วตัวแสบก็หาทางเปลี่ยนเรื่อง พลางกลั้วหัวเราะ แต่พิทักษ์ยังนั่งนิ่งราวกับไม่คิดจะพูดเล่น ทำเอาเสียงหัวเราะของจิณณะหายไปทันที หลานชายของจิดาภากลืนน้ำลายอึกใหญ่ รู้ตัวดีว่าคงไม่รอดแน่ๆ
“อ่า...ไม่ขำแหะ”
“ไม่ขำ” เชื่อแล้วว่าไม่ขำเพราะไม่มีรอยยิ้มสักนิด
“ดุด้วยเว้ย”
“ไม่ได้ดุ” ส่วนนี่ไม่เชื่อ เพราะจ้องกันตาเขม็ง อีกนิดคงฆ่ากันตายได้แล้ว
“เอ้อ...แล้ว...แล้วพี่...แน่ใจเหรอ...”
“มีอะไรที่ต้องไม่แน่ใจ จิณเป็นคนรักของพี่ แม่ภาเป็นแม่ของพี่ ทั้งจิณและแม่ภามีปัญหากันเพราะพี่ พี่อยู่เฉยๆจนมาถึงวันนี้ เพราะคิดว่าเวลาน่าจะช่วยได้ แต่จนตอนนี้ทั้งจิณและแม่ภาก็ยังไม่คุยกันใช่ไหม”
“ก็...ไม่รู้ว่าต้องคุยอะไร” คนเป็นหลานตอบอ้อมแอ้ม ทั้งๆที่นอกจากสถานะคนรักของพิทักษ์แล้ว จิณณะยังเป็นหลานชายแท้ๆของจิดาภา หนำซ้ำยังไม่ใช่ญาติห่างไกลเจอกันแค่ตอนบังสุกุลโกฐบรรพบุรุษปีละครั้งอะไรเทือกนั้น
จะว่าสนิทกันพอสมควรก็ว่าได้ แต่จะมาไม่สนิทก็ตอนมาอยู่กินกับพิทักษ์ทั้งๆที่คำสัญญายังแทงหลังอยู่นี่ล่ะ
“ตอนเป็นน้าหลานคุยอะไรกัน ตอนนี้ก็คุยเหมือนตอนนั้น”
“จะให้คุยเหมือนเดิมได้ไง ตอนนี้ผมกับน้าภาอย่างกับ...”
พอมาคิดถึงสถานะของตนเองกับจิดาภา ก็ทำเอาจิณณะฉุกใจ จะว่าไปแล้วระหว่างเขาและพิทักษ์ก็ไม่มีการตกลงว่าใครจะเป็นผัวเป็นเมีย พวกเขาอยู่ด้วยกัน เป็นห่วงเป็นใย พึ่งพาอาศัย ความสัมพันธ์เป็นไปในเชิงคู่รักก็จริง แต่ยังไปไม่ถึงขั้นแนบชิด เอาจริงๆก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าการนอนข้างกันทุกคืน ทำไมความสัมพันธ์ถึงไม่ขยับ พิทักษ์ไม่เร้าใจสำหรับเขาหรือ หรือเป็นเขาเองที่ไม่หวือหวาสำหรับพิทักษ์ แต่เพราะต่างคนต่างก็ยุ่ง แม้จะหมดเรื่องไพศาลแล้ว แต่หน้าที่การงานในแต่ละวันก็ล้วนผลาญพลังงานไปแทบหมด หัวถึงหมอนก็หลับสนิท เอ่อ...คนหลับก่อนก็เขานี่ล่ะ
แต่เอาเป็นว่า จนกระทั่งวันนี้ ความสัมพันธ์ของพวกเขาเรียกว่าแฟนน่ะได้ แต่เรียกว่าผัวเมียยังไม่ถึงขั้น พอเป็นอย่างนั้นก็เลยไม่รู้ว่าจะนับตนเองเป็นลูกสะใภ้หรือลูกเขยของจิดาภาดี
...จะเรียกว่าเป็นศึกแม่ผัวลูกสะใภ้ หรือแม่ยายลูกเขยดีล่ะ…
แต่เขาเป็นผู้ชาย ก็สมควรจะเป็นลูกเขยของจิดาภา อ่า...แต่พิทักษ์ก็เป็นผู้ชาย...
เพศกำเนิดไม่ใช่เรื่องปวดหัว แต่จะมาปวดหัวก็ตอนระบุสถานะทางสังคมให้กลายเป็นคำที่เข้าใจง่าย จริงๆก็ไม่ยาก ถ้าระบุได้ชัดเจนว่าใครจะเป็น ‘ผัว’ ใคร
แล้วเรื่องแบบนี้ ควรเอามาถามเป็นคำพูดไหม ‘เฮ้! พี่ทิศ สรุปว่าเราสองคน ใครเป็นผัวหรือเมียดีล่ะพี่’ แค่คิด จิณณะก็เหมือนจะต้องไว้อาลัยให้ตัวเอง ไม่ใช่แค่จะโดนดุแต่มีหวังโดนพิทักษ์สวดแน่นอน
“มองอะไร ทำตาหลุกหลิก” พิทักษ์ย้อนถาม เมื่อเห็นดวงตาซุกซนมองเขาอย่างคลางแคลงใจ
...เห็นไหม ยังไม่ทันได้ถาม แค่มองอย่างเดียวยังถูกดุ...
...อย่างงี้สงสัยต้องใช้วิธีโยนหินถามทาง หยอดทีละนิดว่าจิดาภาเป็นแม่ยาย สุดท้ายก็จะเป็นฝ่ายจิณณะที่ได้ตำแหน่งลูกเขยมาครอง!...
“เปล่า เอ่อ...ผมแค่ไม่คิดว่าน้าภาจะอยากเจอผม”
“แต่พี่กลับคิดว่าแม่ภาอยากเจอจิณ แม่ภาเอ็นดูจิณมากนะ แต่แม่ภาเองเป็นคนยื่นข้อเสนอนั้น จะให้แกเป็นฝ่ายมาหา ก็เหมือนอะไรสักอย่างค้ำคอ” จิณณะพยักหน้าอย่างเข้าใจ กรณีแบบนี้ต้องมีใครสักคนเป็นฝ่ายยอมลงให้ก่อน ไม่เขาก็จิดาภา แต่ฝั่งจิดาภาถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ เลยไม่กล้าถอยศักดิ์ศรี หากฝ่ายเขาเองมองว่าศักดิ์ศรีสำคัญไปด้วยอีกคน ก็จะต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ไปตลอด
แล้วมันดีต่อใคร?
ฝ่ายผู้ใหญ่ไม่ถอยให้เด็ก เพราะเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ ฝ่ายเด็กไม่ถอยให้ผู้ใหญ่เพราะคาดหวังว่าอีกฝ่ายต้องมีวุฒิภาวะและรู้จักปลงตกให้อภัย สุดท้ายก็เลยไม่มีใครเป็นผู้ใหญ่จริงๆสักคน
จิณณะเหลือบมองพิทักษ์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม การต่างคนต่างอยู่ของเขาและจิดาภาดีต่อใครไม่รู้ แต่ที่รู้คือมันไม่ดีต่อคนกลางอย่างพิทักษ์เลย
“พี่ก็อยากให้ผมไปพบน้าภาใช่ไหม”
คนถูกถามพยักหน้า
ศักดิ์ศรีทำให้เรากล้าผายอกอยู่ในสังคม แต่สำหรับจิณณะผู้ซึ่งเป็นหลานชายของคุณกอบกุลนั้น ได้สายเลือดของพวกประโยชน์นิยมมาแทบจะเต็มร้อย ศักดิ์ศรีทำให้มีหน้ามีตาก็จริง แต่เมื่อวันหนึ่งมีบางสิ่งที่สำคัญกว่าศักดิ์ศรี เขาก็พร้อมจะทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อประโยชน์บางอย่างที่เทียบกันแล้วมากกว่า ซึ่งในคราวนี้ ประโยชน์ที่ว่าก็คือความรู้สึกของพิทักษ์
“ก็ได้ ผมจะไปพบน้าภา” เจ้าตัวออกปาก สีหน้าหนักใจเล็กน้อย “...แต่ขอเป็นสักสัปดาห์หน้าได้ไหม ขอผมคิดก่อนว่าจะพูดกับน้าภายังไงดี” ลูกเลี้ยงของจิดาภาหัวเราะเบา ดูเบาใจไปเปราะที่คนรักยอมตกปากรับคำ
“อยากพูดอะไรกับแม่ภาก็พูด ไม่เห็นต้องคิดว่าจะพูดยังไงเลย” ทว่าคนกำลังจะต้องไปพบ ‘แม่ของแฟน’ กลับส่ายหัวดิก
“ไม่ได้สิ ผมไปพบน้าภารอบนี้ก็เหมือนไปขอพี่ ตอนนี้ผมอยู่กินกับพี่ก่อนแล้ว อย่างน้อยก็ต้องขอขมา ไหนจะเรื่องที่ผมหน้าด้านไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับน้าภาอีก สองกระทงแล้วนะ พี่ว่าผมไปตอดมรดกคุณย่ามาอีกสักหน่อยดีไหม เอาไปเป็นสินสอดวางตรงหน้าน้าภา แต่น้าภาจะเรียกเยอะไหมก็ไม่รู้ พี่เคยถูกยิงเพราะผมด้วย...อ่า ไม่ได้ถูกยิงเพราะผม แต่ถูกยิงเพราะปกป้องผม วุ้ย! ซีนนี้พูดผิดไม่ได้เลยนะ”
ประโยคหลังนั้น จิณณะจำต้องเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ เพราะถูกคนรักจ้องตาขวาง แต่ถ้าจะสังเกตมากกว่านั้นสักนิด พิทักษ์เริ่มหน้าตึงมาตั้งแต่ตอนที่เจ้าตัวออกปากว่าจะไปตอดมรดกคุณย่ามาสู่ขอแล้ว
มีบางคนไม่รู้ตัวจริงๆด้วย ว่าที่อยู่รอดปลอดภัยมาทุกวันนี้ เป็นเพราะอีกคนทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ‘ยอม’ ลงให้ก่อน ทว่าก็เป็นการยอมที่อยู่ในสายตามาโดยตลอด
เห็นว่าช่วงนี้งานหนัก กลับถึงบ้านก็หมดสภาพ หัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย ไหนจะผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เพิ่งจะหลังจากที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันนี่เอง จิณณะถึงได้เริ่มมีเนื้อหนังขึ้นบ้าง
เหยื่อถูกขุนให้อ้วนไม่รู้ตัวสักนิดว่านักล่ากำลังรอเชือดตอนที่กำลังอร่อยได้ที่
“พี่ว่าผมพูดอะไรอีกดี ผมจะรับผิดชอบพี่ทั้งตอนทุกข์ตอนสุข เรื่องที่เคยสัญญาว่าจะไม่ทำให้พี่ลำบากก็จะยึดมั่นแน่วแน่ จะไม่วอกแวกนอกใจ จะไม่ทิ้งให้พี่เดียวดาย โห...คำศัพท์น้ำเน่ามากไม่น่าเชื่อถือสุดๆ แต่ผมอยากพูดประมาณนี้อ่ะ พี่ช่วยปรับคำพูดให้หน่อยสิ เอ?...พูดยังไงดี เอาแบบไม่ละคร แบบคนปกติพูดกันน่ะ...” จิณณะคิดไป ตักข้าวเข้าปากไป ดูเจ้าตัวจะจริงจังเสียเหลือเกินกับการคิดบทพูดที่จะไปสู่ขอพิทักษ์จากจิดาภา พิทักษ์ไม่ขัด เขาปล่อยให้คนช่างพูดได้พูดอย่างที่คิด แต่แน่นอนว่าสิ่งที่จิณณะคิดกับเขาคิดในเวลานี้ย่อมไม่เหมือนกัน
จิณณะคิดว่าจะไปพบจิดาภาในฐานะ ลูกเขยแม่ยาย
แต่พิทักษ์คิดว่าจะใช้วิธีไหนดีที่จะทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้ารู้ว่าสถานะที่แท้จริงของตนเองนั้น ไม่ใช่การยกสินสอดไปสู่ขอใคร แต่แค่ไปพบแม่เลี้ยงของเขาในฐานะคนรักที่ผู้ชายคนหนึ่งปกป้องด้วยชีวิต
หรือบางที...นี่อาจถึงเวลาบอกจิณณะให้รู้ตัวได้แล้ว ว่า ‘ฐานะคนรักของพิทักษ์’ เป็นเช่นไร
……………………..
จิณณะค่อนข้างเครียด ทั้งๆที่มีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม และคนที่เขาจะไปพบคือน้าสาวแท้ๆของตนเองก็ตามที แต่ประเด็นที่จะไปพบไม่ใช่เรื่องที่จะพูดกันอย่างยิ้มแย้มแจ่มใสเลยสักนิด
จะพูดอะไรดี จะพูดยังไงดี ควรมีของขวัญของฝากติดไม้ติดมือไปด้วยไหม ถ้ามีควรจะเป็นอะไร จิดาภาชอบอะไรไม่ชอบอะไรบ้าง ก็ไม่รู้ กระเช้าผลไม้จะพอไหม สำหรับการไปพบในโอกาสขอขมาลาโทษที่หน้าหนาฮุบพิทักษ์กลับมาเป็นของตนเองทั้งๆที่รับปากเอาไว้แล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวทำให้ชีวิตของลูกเลี้ยงของจิดาภาต้องลำบากอีก จิดาภาจะยอมฟังไหม จะยอมรับหรือไม่ หรือจะไล่ตะเพิด เขวี้ยงของขวัญของฝากตามหลัง แล้วถ้าอย่างนั้นควรเอาผู้ใหญ่ไปสักคนเผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้มีคนกลางไกล่เกลี่ยไปในตัว
ทั้งๆที่ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่กับเรื่องนี้จิณณะมองให้เป็นเหตุการณ์ดีๆไม่ได้เลย บุญหัวเท่าไรแล้ว ที่พิทักษ์ยอมรับให้พอสบายใจว่าจิดาภารับนัดที่จะให้เขาเข้าไปหา
จิดาภายอมเจอเขา แต่...ไม่รู้จะยอมเจอแบบไหนนี่สิ
หลานชายผู้เคยเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ยิ่งใกล้วันนัดพบ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนใกล้ถึงวันประหาร ทางที่ดีเขาควรลางานล่วงหน้า เผื่อไปพบจิดาภาแล้วชอกช้ำถูกแม่ของคนรักรังเกียจเดียดฉันท์จนไปทำงานไม่ไหว
...เอ่อ...เหตุผลนี้ถ้ารู้ถึงหูคุณกอบกุล มีหวังโดนด่าเปิง โทษฐานเซนซิทีฟเกินเหตุ...
คิดแล้วก็ถอนหายใจอีกเฮือก เกิดเป็นจิณณะ วงศ์กีรตินั้นแสนลำบาก จะมีเมียสักคนก็ยุ่งยาก ต้องฝ่าฝัน อุตส่าห์ได้รับการยอมรับจากญาติผู้ใหญ่ฝั่งตัวเองแล้ว แต่ไม่วายมามีปัญหาคาราคาซังกับญาติฝั่งคนรักอีก
...เรื่องของคนรักกันมันไม่ใช่แค่คนสองคนจริงๆด้วย...
คิดพลาง ถอนหายใจพลาง กว่าจะติดกระดุมเสื้อเชิ้ตครบทุกเม็ดก็ถอนหายใจไปแล้วไม่ต่ำกว่าห้ารอบ จนกระทั่งพิทักษ์ที่เห็นคนรักยังไม่ลงไปทานอาหารเช้าเสียทีต้องขึ้นมาตาม
“ยังแต่งตัวไม่เสร็จอีกหรือ เดี๋ยวก็ไปทำงานสายหรอก”
แม้จะเพิ่งเจ็ดโมง แต่เพราะย้ายมาอยู่บ้านเดียวกับพิทักษ์เป็นการถาวร จากบ้านในเขตรอยต่อของกรุงเทพฯกับจังหวัดข้างเคียง แม้จะขึ้นทางด่วน แต่ก็ใช้เวลาในการเดินทางร่วมชั่วโมงอยู่ดี แถมก่อนหน้านี้ที่ยังไม่สมหวังในความรัก ตื่นแต่เช้าไปทำงานก่อนเวลาทุกวัน พอมาอยู่กินกับพิทักษ์แล้วทำตัวเอ้อระเหอลอยชาย เข้างานสายโด่ง เป็นได้โดนคุณกอบกุลด่าอีก
...เนี่ย...เกิดเป็นจิณณะ วงศ์กีรติมันลำบากจริงๆนะ…
“เสร็จแล้ว...” คนเพิ่งแต่งตัวเสร็จ ฉีดน้ำหอม หวีผมลวกๆ แต่หน้าตาไม่สดชื่นสักนิด
“เป็นอะไร ไม่สบายรึเปล่า” เห็นท่าทางเคร่งเครียดของคนรัก พิทักษ์ก็ชักเป็นห่วง
“เปล่า แต่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะไปพบน้าภายังไงดี วันนี้แวะไปดูกระเช้าผลไม้ดีไหม”
“กระเช้าผลไม้? เอาไปทำไม”
“อ้าว ก็...ผมไม่รู้ว่าจะต้องเอาอะไรไปบ้าง...” พิทักษ์ส่ายหน้า
“ไม่ต้องเอาอะไรไปทั้งนั้น แล้วก็เลิกคิดมากเรื่องนี้ได้แล้ว ไป ลงไปกินข้าว เดี๋ยวก็สายพอดี” เจ้าของบ้านหมุนตัวจะเดินนำออกจากห้อง แต่เสียงของจิณณะดังขึ้นเสียก่อน
“จะให้ผมเลิกคิดมากได้ไง น้าภาตอนนี้ไม่ใช่แค่น้าของผมแล้วนะ แต่พี่เป็นแฟนผม น้าภาก็เหมือนแม่ย...” คำสุดท้ายไม่ทันพ้นริมฝีปาก คนที่กำลังจะเดินนำออกจากห้องก็หันกลับมามอง สีหน้าท่าทางขึงขังจริงจังจนจิณณะชักกลืนน้ำลายลำบาก
“วันนี้มีประชุมไหม” แล้วจู่ๆ คำถามของพิทักษ์ก็เปลี่ยนเรื่อง
“ม...ไม่มี” จะมีได้ยังไง ในเมื่อสัปดาห์นี้จิณณะไม่มีสมาธิสักนิด ประชุมไปก็ฟังไม่รู้เรื่อง เขาก็เลยให้ดนัยโยกทุกนัดทุกประชุมไปไว้ภายหลังพบจิดาภา ส่วนประชุมหรือนัดไหนที่ด่วนมากก็ขอให้บิดาช่วยไปแทน ซึ่งการให้บิดาไปทำงานแทนนี่ก็โดนคุณกอบกุลค่อนขอดมาตามลมไปแล้วรอบหนึ่ง เพียงแต่ว่าจิณณะหน้าหนาเหลือทน เลยทำเมินไม่ได้ยินไปเสีย
“มีพบลูกค้าไหม”
“ม...ไม่มี...” ตอบแล้วจิณณะก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นพิทักษ์เดินกลับเข้ามาในห้อง พร้อมกับปิดประตูเบื้องหลัง
“พ...พี่เข้ามาทำไม ร...เราต้องลงไปกินข้าว...ต...ต้องไปทำงาน...”
“จิณบอกว่าไม่มีประชุม ไม่มีนัด วันนี้น่าจะว่าง พี่เองก็ว่างเหมือนกัน และพี่คิดว่าเราควรทำความเข้าใจเรื่องของเราให้ชัดเจนไปเลยก็ดี”
“ข...เข้าใจอะไร...เฮ่ย!!” ไม่ทันได้คำตอบ ร่างของจิณณะก็ถูกรวบเอวเข้าไปกอดเรียบร้อย หลานชายตัวแสบของจิดาภาก้มลงมองแขนของพิทักษ์ที่โอบเอวเขาเอาไว้ ในขณะที่มือลูบบั้นเอวเลื้อยไปยังแผ่นหลัง
“ค่อยมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อย”
“พ...พี่ทิศทำอะไรวะ! เฮ้ย! ไม่ลูบ...”
“ไม่ทำแล้วจะรู้ตัวหรือ”
“ร...รู้อะไร”
“รู้ว่าเป็นอะไรกับพี่ และควรเรียกแม่ภาว่ายังไง” จิณณะกะพริบตาปริบๆ อย่างตามไม่ทัน ที่สำคัญคือไม่ทันย้อนถาม ริมฝีปากของเขาก็ถูกจู่โจมด้วยจูบของพิทักษ์แล้ว
ริมฝีปากของพิทักษ์บดเบียดแนบแน่นทำเอาคนถูกจูบไม่ทันตั้งตัวได้แต่ครวญอยู่ในคอ สองมือพยายามดันอีกฝ่ายออกห่าง แต่ไม่เป็นผลสักนิด ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกต้อนจนเดินไปชนเตียงหงายหลังผึ่งลงไปนอนแผ่หราตาเหลือกอยู่บนเตียงอีกต่างหาก
“ทำอะไรของพี่วะ! ผมต้องไปทำงาน! เฮ้ย! ถอดเสื้อทำไม?!” พอผงกศีรษะขึ้นมาตั้งท่าจะโวยวาย จิณณะก็มีอันต้องตาเหลือกอีกรอบ เพราะพิทักษ์ถอดเสื้อเชิ้ตแล้วโยนไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว คนบนเตียงตาค้างหนักกว่าเดิม แผ่นอกกว้างของพิทักษ์นั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วน ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวแข็งแรงเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ที่ไหล่ขวามีร่องรอยของแผลที่หายสนิทดีแล้ว แม้มันจะยอกในอกอยู่บ้างยามเห็นรอยแผลเป็นนั้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันกลายเป็นเครื่องประดับบนผิวเนื้อของผู้ชายที่ส่งให้รัศมีความดุยิ่งกลายเป็นน่าเกรงขามมากกว่าเดิม
น่าเกรงขามเสียจน...จิณณะยังกลืนน้ำลายไม่ลงคอ
สองมือยันไปด้านหลังเพื่อกระถดตัวหนี นอกจากรัศมีความดุแล้ว รังสีบางอย่างที่พิทักษ์แผ่ออกมายามจับจ้องเขานั้น ยิ่งชวนให้หัวใจเย็นวาบ ช่องท้องโหวงเหวงไปหมด
อาการตาค้าง แต่พยายามถอยร่างออกห่างทีละน้อยนั้นย่อมไม่รอดพ้นสายตาของนักล่าที่จ้องเหยื่อคนนี้มานานนับเดือน มาวันนี้ถึงจะยังขุนให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ได้ไม่เท่าที่อยากทำ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้ก็เกรงว่าเหยื่อจะไม่รู้ตัวเสียทีว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร
พิทักษ์สืบเท้าเข้าหาช้าๆ ดวงตายังจับจ้องร่างบนเตียง
ดวงตาของคนดุที่มองตรงมาทำเอาคนถูกจ้องกลืนน้ำลายไม่ลงคอสักอึก ในหัวมีแต่เร่งหาทางหนีทีไล่จากสถานการณ์ชวนหวั่น
...หวั่น?...นั่นสิ...หวั่นอะไร...
ผู้ชายเหมือนกัน ผู้ชายที่แข็งแรงเหมือนกัน มีอะไรให้ต้อง...
. ..เอ่อ...แต่สมควรหวั่น ถ้าผู้ชายคนนั้นชื่อพิทักษ์ และกำลังจ้องตาไม่กะพริบแบบนี้!
จิณณะกวาดตาหลุกหลิกมองซ้ายขวา สมรภูมิของเขาในเวลานี้ดูเสียเปรียบชนิดที่ต่อให้ข้างหลังเป็นภูเขา ข้างหน้าเป็นแม่น้ำ ก็ไม่มีทางปรับฮวงจุ้ยให้ดีขึ้นมาได้ในพริบตาแน่ ในเมื่อชัยภูมิใช้ไม่ได้ ทางเดียวที่ใช้ได้ก็คือสมองเท่านั้น
ทว่าจิณณะลืมไปหนึ่งอย่าง ต่อให้สมองของเขาจะอัปเกรดให้มีไอคิวระดับเทียบเท่าอัจฉริยะ แต่ร้อยละ 99.99 พิทักษ์อ่านความคิดเขาออกเสมอ ดังนั้นเมื่อคนย่างสามขุมก้าวเข้ามาหยุดที่ข้างเตียง เห็นจิณณะพลิกตัวจะกระโดดลงจากเตียง ก็ฉวยเอาข้อเท้าคนหนีแล้วกระชากกลับมานอนแอ้งแม้ง ก่อนจะทิ้งตัวลงทับปิดกั้นการหนีไปได้อีก
“โอ๊ย!” แม้หลานชายคุณกอบกุลจะเป็นชายหนุ่มอกสามศอก แต่การถูกชายหนุ่มที่อกสามศอกไม่น้อยไปกว่ากันทิ้งตัวลงทับชนิดที่ไม่มีออมแรงสักนิดก็เล่นเอาจุกแอ้กหน้าบิดเบี้ยว พิทักษ์สงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ข่มใจเอาไว้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาก็เนื่องมาจากความสงสารนี่ล่ะ จนกระทั่งวันนี้จิณณะยังคิดจะเรียกจิดาภาว่าแม่ยายอยู่เลย
“จะหนีไปไหน” คนทำตัวเป็นกำแพงหนา ทับจากข้างบน สองแขนชันศอกประกบข้าง ถามเสียงเข้ม
“ป...ไปทำงานไง...” คนกะล่อนพยายามอย่างยิ่งที่จะหาทางหนีให้ตัวเอง แต่มองซ้ายก็ติดแขนของพิทักษ์ มองขวาก็ติดแขนอีกข้างของพิทักษ์ แล้วดูแขนแต่ละข้างเถอะ แอบไปยกน้ำหนักก็น่าจะบอกกันสักคำ เขาจะได้ไม่ประมาทคู่ต่อสู้
แต่ดูเหมือนคำตอบของเขาจะไม่ใช่คำตอบที่ช่วยสร้างความขบขันในใจคนฟังเลยสักนิด พิทักษ์ทิ้งน้ำหนักตัวเองลงทับคนข้างใต้มากขึ้นอีก ทำเอาจิณณะชักนิ่วหน้า
“ก็ได้ ถ้าพี่อยากจะตกลงเรื่องของเราก็ได้ แต่...เอ่อ...เรา...เราควรจะนั่งคุยกันดีๆ ไปคุยร้านกาแฟก็ได้ ผมรู้จักร้านกาแฟบรรยากาศดีเยอะ...อื้อ...” ปกติพิทักษ์เป็นคนชอบฟัง ในขณะที่จิณณะก็ชอบพูด แต่เวลานี้เขาไม่นึกอยากจะฟังคำพูดเลื่อนเปื้อนของคนรักอีกแล้ว ดูเอาเถอะ จะตกลงเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ยังมีหน้าเสนอให้ไปคุยกันที่ร้านกาแฟ ถ้าจะไปคุยร้านกาแฟแต่แรก แล้วเขาจะถอดเสื้อทำไม?
ชายหนุ่มจูบปิดปากที่มีไฝเม็ดเล็กที่มุมปากนั่นไปอีกที โดนไปอีกหนึ่งจูบ ที่กินเวลายาวกว่าเดิมเล็กน้อย พอถอนจูบออกจิณณะก็ถึงกับหอบ
“อ...โอเค ไม่คุยที่ร้านกาแฟก็ได้ แต่พี่ขยับออกไปหน่อยได้ไหม ตัวพี่ไม่ใช่เบาๆ ทับลงมาแบบนี้กระดูกผมหักขึ้นมาทำ...อื้อ...” พูดจาไม่สมเหตุสมผล น้ำหนักของพิทักษ์ไม่ทำให้ชายฉกรรจ์อย่างจิณณะกระดูกหักได้ภายในชั่วโมงนี้หรอก คนที่ถูกกล่าวหาเลยจูบลงโทษโทษฐานหมิ่นประมาทไปอีกที คราวนี้ยาวนานกว่าจูบเมื่อครู่ พอถอนจูบออก นอกจากคนถูกจูบจะหอบแล้ว ริมฝีปากก็ชักบวมแดงขึ้นมาเล็กน้อย
แต่...ยัง...ยังไม่หมด
เกิดเป็นหลานเศรษฐินีนักเจรจาต่อรองเพื่อประโยชน์ส่วนตนจะให้เสียชื่อกอบกุล วงศ์กีรติได้อย่างไรกัน
“ม...ไม่ต้องขยับแล้วก็ได้ แต่เรากลับมาคุยกันเย็นนี้ดีไหม ขอผมไปทำงานก่...!...”
พิทักษ์ก้มลงจะปิดปากคนพูดอีกครั้ง แต่ถูกกระทำครั้งแรกถือว่าไม่รู้ ถูกกระทำซ้ำเป็นครั้งที่สองถือว่าโง่ ถ้าถูกกระทำซ้ำเป็นครั้งที่สามถือว่าเต็มใจ จริงๆแล้วจิณณะก็เต็มใจ แต่สถานการณ์แบบนี้หวั่นใจว่าจะเกินเลยไปมากกว่าที่คิดเยอะ เลยต้องรีบตะปบหน้าอีกฝ่ายไว้ก่อน
“ถ...ถ้าพี่จูบอีก ผมจะถือว่าพี่ไม่ฟังคำเตือนของผมแล้วนะ!”
“คำเตือนอะไร” พิทักษ์ดึงมืออีกฝ่ายออก ทำเอาคนขู่ถึงขั้นเหวอหน้าตาเหรอหรา เหวอแรกคือพิทักษ์ดึงทีเดียว มือของเขาก็หลุดออกจากหน้าของอีกฝ่ายเหมือนนางเอกใจง่ายที่พระเอกทำอะไรก็โอนอ่อนไปหมดไร้เรี่ยวแรงขัดขืน เหวอที่สองคือ...คำเตือน...อะไร...นั่นสิ! คำเตือนอะไร...
“อ...เอ่อ...เตือน...เตือนว่าอย่าจูบ”
“ถ้าจูบแล้วจะทำไม” อดีตปลาไหลแห่งตระกูลวงศ์กีรติ ระดับความกะล่อนในการต่อปากต่อคำถึงขั้นทำให้คุณกอบกุลยังเต้นเป็นเจ้าเข้า แต่พอมาเจอพิทักษ์ถามจี้เข้าแบบนี้ ปลาไหลที่ว่าก็ไม่ต่างจากปลาไหลตายแล้ว ปราศจากทักษะหลบเลี่ยงแต่อย่างใด
“ก...ก็...ผ...ผมเป็นผู้ชาย จูบมากๆก็...อึ๋ย!” จิณณะสะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักตัวลงมามากกว่าเดิม หากเป็นการทิ้งน้ำหนักทั้งตัว เขาคงร้องโวยวายว่าอีกฝ่ายจงใจทับกระดูกเขาหักแน่ๆ แต่นี่...พิทักษ์กลับทิ้งน้ำหนักแค่เฉพาะจุดที่ต่ำกว่าเอวลงไป
ส่วนสูงที่ต่างกันไม่มากนัก พอนอนราบทับกันแบบนี้ อะไรๆก็เหมือนจะอยู่ตรงกันไปโดยปริยาย ใบหน้า แผ่นอก หน้าท้อง และ...ส่วนที่ต่ำลงไปกว่านั้น ซึ่งไวต่อสัมผัสเป็นพิเศษ
พิทักษ์ยิ้มจาง เห็นปฏิกิริยาของคนรักแล้วทั้งขำทั้งเอ็นดู เขายอมยกตัวขึ้นเล็กน้อย เลยได้เห็นการถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่แค่วินาทีต่อมา บางอย่างก็เข้าแทนที่ ทำเอาคนที่อุตส่าห์ถอนหายใจด้วยความเบาใจเมื่อครู่นี้ถึงกับตาเหลือก ขนสันหลังตั้งชันจนต้องห่อไหล่
“พ...พี่...ม...ไม่เล่น...” มือข้างหนึ่งยังถูกพิทักษ์จับเอาไว้ เลยเหลือมือแค่ข้างเดียวลงไปยื้อยุดกับมือของคนรักที่กำลังสัมผัสส่วนกลางลำตัว เดิมทีมันสงบอยู่ใต้กางเกงสแล็ก แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งความเครียดสะสม ทั้งความเหนื่อยล้า ไหนจะงานหนัก จนจิณณะก็แทบลืมความรู้สึกแบบนี้ไปแล้ว ไหนจะเพราะมาคบหากับพิทักษ์อีก เรื่องปลดปล่อยกับคนอื่นก็ลืมไปได้เลยเช่นกัน พอมาวันนี้ ความรู้สึกเหล่านั้นกำลังถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำมือของคนรัก อารมณ์กำหนัดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความเหนื่อยล้าเคร่งเครียดมานาน ก็เริ่มปะทุผ่านรอยแยก
“ไม่ได้เล่น...” เสียงทุ้มดังกระซิบข้างหูเมื่อพิทักษ์ก้มหน้าลงหา คลอเคลียติ่งหูและผิวแก้มลงมายังซอกคอที่มีกลิ่นน้ำหอมเย็นๆแบบผู้ชายกรุ่นอยู่บนผิว ฝ่ามือของเขาบดเบียดลงกับเนื้อผ้าอยู่แค่ครู่เดียวก็เริ่มรับรู้ความตั้งชันภายใต้กางเกง เขาหัวเราะเบาๆ แต่ก็ทำเอาคนที่หลับตาปี๋พยายามกลั้นเสียงครางสลับกับเปล่งเสียงห้ามอย่างยากลำบากต้องลืมตาขึ้นมอง
“ห...หัวเราะอะไร ซี้ด...พ...พอ...”
“ให้พอจริงหรือ มีอารมณ์แล้วนี่...” ดวงตาของจิณณะมีแววขวาง
“ก็แล้วใครไปยุ่งกับมันวะ! อื้อ!” ยอกย้อนไปหนึ่งที เลยโดนตอบโต้ด้วยการรูดซิปกางเกงลงแล้วส่งปลายนิ้วเข้าไปเย้าแหย่บนชั้นในแทน จิณณะรู้สึกเหมือนนอกจากขนแขนจะลุกเกลียวแล้ว กระแสเย็นวาบจากสันหลังยังวิ่งขึ้นมาจนถึงศีรษะ