รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน พี่บุ้ง
คนอย่างพี่บุ้งนะ ถ้าคนชอบคือชอบเลย แต่ถ้าเกลียดนะแม่งเกลียดเอาตายเลยเหมือนกัน
มันเป็นความจริง
คนอย่างพี่บุ้ง ถ้าใครจะชอบก็คือชอบเลย แต่ถ้าเกลียดแม่งก็คือเกลียดไปเลย
พี่บุ้งไม่เคยปฏิเสธ ไม่เคยอธิบาย ยืนยันมุ่งมั่นที่จะเป็นอย่างที่เป็น
“คนเราจะให้ใครเขามาเข้าใจเราทั้งโลกวะ สนใจคนอื่นมากไปแล้วได้อะไร คนอยากให้เราเป็นอย่างที่เขาต้องการ แล้วเป็นเหี้ยอะไรเราต้องทำตาม พวกมันเป็นพ่อแม่เราหรือไง”
ใช่
คนอย่างพี่บุ้ง ถ้าใครชอบ ก็คือชอบไปเลย แต่ถ้าใครเกลียดก็คงจะเกลียดไปเลย
มันก็จริง
พี่บุ้งไม่เคยโลกสวย ด่าคือด่า ด่าก็ด่าให้เละตายกันไปข้าง กูไม่ปราณี แต่กูก็ไม่ซ้ำใคร
เหมือนจะไร้คุณธรรม แต่ก็โคตรมีคุณธรรม
“มึงบ้าหรือไงไอ้สัด ถ้าของส่งไม่ทันขึ้นมาหมาที่ไหนจะรับผิดชอบ แดกเหล้ากูไม่ว่า แต่แดกแล้วไม่มีปัญญามาทำงาน แล้วมาสร้างปัญหาให้กู มึงก็พักงานไปนอนอยู่บ้านแล้วกัน”
พี่บุ้งไม่ปราณี
ยืนด่าลูกน้องที่เมาค้างจนมาส่งของตอนเช้าไม่ได้ และก็เป็นหน้าที่ของพี่แกที่ต้องไปส่งเอง
ส่วนคนมาส่งไม่ได้ พี่บุ้งให้ไปนอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน
เป็นที่รู้กันคำว่าพักงานมันก็ไม่ต่างอะไรจากไล่ออก
ใบเตือนสามครั้งก็เกินพอแล้ว
ใบที่สี่คงไม่มีอีกต่อไป
“โหดสัส”
สิ่งที่นักศึกษาฝึกงานอย่างเมืองมีนได้ยิน มันฟังดูน่าตกใจ
แต่ตั้งแต่เข้ามาฝึกงาน สิ่งที่จำได้ นอกจากเรื่องงานแล้วก็คงเป็นเรื่องกิตติศัพท์ความโหดของพี่บุ้ง หัวหน้าแผนกส่งของ
คำพูดลอยลมที่ได้ยินมันกระทบหูคนฟัง
และคนฟังก็ไม่มีคำพูดอะไรออกมา นอกจากรู้สึกหลอนอยู่เหมือนกัน
แม่ง โคตรดุเลยว่ะ ทั้งดุทั้งโหดยิ่งกว่าหมา พี่ว้ากที่มหาลัยไม่ได้ครึ่งเลยจริง ๆ
“อยากฝึกงานต่อจนจบน้องก็แค่อย่าไปข้องเกี่ยวกับพี่บุ้งเขาก็พอ”
มันก็คงจริง อย่าไปข้องเกี่ยวด้วยคงจะดีกว่า
พี่บุ้ง เป็นหัวหน้างานแผนกขนส่ง คุมคนงานส่วนขนส่งทั้งหมด สายงานขนส่งที่หนักหนาสาหัส ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องรับทั้งหมด มีแต่ผู้ชายในแผนก สารพัดคน สารพัดปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน
เรื่องเดิม ๆ
กินเหล้า การพนัน ตบเมีย ทิ้งลูก หนี้สิน
ปัญหาของคนที่พี่บุ้งต้องคอยไกล่เกลี่ย ทั้งเรื่องส่วนตัวของลูกน้องและเรื่องทั้งหมดไม่เคยจบ มันลามมาที่โรงงานเสมอ
กินเหล้าไม่จ่าย มาทวงถึงโรงงาน
เป็นหนี้โต๊ะบอล โดนตามฆ่า และมาตามเอาจากที่โรงงาน
ตบเมีย เมียมายืนร้องไห้หน้าโรงงาน
ทิ้งลูก ปัญหาเดิม ที่ได้ฟังมาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองและทำใจ
หนี้สิน ที่หยิบยืมกันแล้วไม่เคยคืน จนมีเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลาระหว่างลูกน้องด้วยกัน
ร้อยแปดปัญหา
กว่าจะจบแต่ละวัน
เหนื่อยมาทั้งวัน
เหนื่อยทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน
แต่ก็ยังทำ
เหนื่อยกับคนทั้งวัน
“บุ้ง”
คนที่ซบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานเงยหน้าขึ้นมา และใครบางคนก็เดินมาตบไหล่เบา ๆ
“บุ้งเป็นคนดีนะ ช่วยทุกคนไปซะทุกเรื่อง”
ไม่ได้ยิ้มตอบรับไม่ได้ปฏิเสธ แต่แค่พยักหน้า
“คนเรามีความสงสารได้ แต่ต้องมีอุเบกขา บุ้งช่วยได้เท่าที่บุ้งมีแรงช่วย ผมคิดว่าไม่ค่อยดีถ้าบุ้งช่วยคนอื่นแล้วต้องมานั่งเป็นทุกข์อยู่ตลอด ว่าทำไมพวกเขายังต้องมาเจอเรื่องซ้ำ ๆ บุ้งควรประมาณตัวเองว่าบุ้งช่วยได้แค่นี้ และปล่อยวางมันบ้าง บุ้งไม่ใช่พระเจ้า บุ้งบันดาลความสุขให้ใครไม่ได้”
ฟัง
และพยักหน้าตาม
พยักหน้าอย่างหงอยเหงา
“กรณีของวันนี้ ผมคิดว่าบุ้งทำถูกแล้ว ผมไม่เห็นเหตุผลที่บุ้งจะต้องเป็นคนรับปัญหาทั้งหมดไว้คนเดียว ผมรู้บุ้งไม่อยากทำ แต่บุ้งเป็นหัวหน้าคน ถ้าบุ้งไม่แสดงอะไรให้รู้บ้าง บุ้งก็คุมคนลำบาก”
ใช่
ลำบาก
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ทุกวันนี้เพื่ออะไร
ทำงานจริง ๆ หรือคอยช่วยเหลือคนอื่นเงียบๆ
ช่วยแบบที่ไม่คิดว่าจะมีใครเห็นค่า ในสายตาของลูกน้องคงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่ และโหดร้ายไปหมดทุกเรื่อง
แต่มันก็เท่านั้นจะให้อธิบายอะไรกับเรื่องทุกอย่าง
“ทำงานมาเจ็ดปี คุณเคยพักร้อนบ้างหรือเปล่า”
ไม่เคยหรอก
พักร้อน ไม่เคยพักและไม่คิดว่าจะพักด้วยในเมื่อปัญหามันมีมาทุกวัน.
“ผมไม่มีเวลา”
ไม่มีเวลาหรือไม่คิดจะให้เวลากับตัวเอง
“คุณเก่งมากนะ กลางคืนเก็บศพ กลางวันทำงาน ถ้าลูกน้องคุณทำได้แบบคุณบ้างก็คงดี”
เป็นคำชมที่บุ้งหัวเราะออกมาเสียงเบา
“จนบางทีผมคิดว่าคุณเก็บศพเป็นงานประจำ และมาทำงานที่โรงงานฆ่าเวลาก่อนรอไปเก็บศพหรือเปล่า”
เป็นคำแซวที่ทำให้บุ้งหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น
“คุณเลขาก็พูดเกินไป เดี๋ยวยังไงผมขอนอนซักตื่นค่อยไปเข้าเวร”
เป็นอันรู้กัน และคุณเลขารัชชานนท์ก็พยักหน้ารับและลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักพนักงานส่งของ
ก้าวขาเดินเรื่อย ๆ และยิ้มออกมาเมื่อเห็นหน้าของคนที่ยืนทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างรถ
“พี่ฟ้า บุ้งเขาเป็นไงมั่ง”
ก็ไม่เป็นไง
“พี่ว่าเขาก็ทำใจได้ในระดับหนึ่ง”
รอบตัวของคุณนัทมีลูกน้อง ลูกน้องที่ฟ้าอยากมั่นใจว่าแต่ละคนที่อยู่รอบๆ ตัวคุณนัทจะไม่สร้างปัญหาให้ในเวลาที่ฟ้าไม่ได้ทำหน้าที่เลขาอีกต่อไปแล้ว
“บุ้งเขามีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง คือเขาไม่ค่อยอธิบายเหตุผลอะไรกับใคร หลาย ๆ ครั้งเขาก็ปล่อยให้คนตีความสิ่งที่เขาเป็นโดยไม่คิดจะแก้ต่างให้ตัวเอง”
เรื่องนั้นนัทก็พอรู้บ้างพี่ฟ้า
เขามาทำงานกับเรา เขาไม่ได้เพิ่งมา เขาอยู่มาถึงขนาดนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย
และบางทีในข้อเสียก็คงเป็นข้อดีก็ได้
“แต่เพราะเขาเป็นแบบนี้ มันเป็นผลดีในเรื่องงาน เพราะถ้าเขาสั่ง นั่นแปลว่าจะมีคนทำตาม”
มันก็มีทั้งดีและไม่ดี
ในความไม่ดีก็มีดีอยู่ในนั้น
“....นัทสบายใจได้ เรื่องสายงานขนส่ง นัทไม่ต้องกลัวใคร บุ้งเขาทำงานให้ได้สบายใจหายห่วง”
อืม
มันก็ดี
“ดีที่เขาอยู่กับเรา”
นัทยิ้มรับกับคุณเลขารัชชานนท์
การทำงานไม่ใช่ทำแต่งาน ต้องรู้จักบริหารคนให้เป็น ใช้คนให้เป็น ใช้อย่างรู้ค่า ไม่ปล่อยทิ้งปล่อยขว้าง และให้มูลค่ากับเขา ให้ความสำคัญกับเขาอย่างสม่ำเสมอ
นัทพยายามเรียนรู้ โดยมีคุณเลขารัชชานนท์คอยช่วยเหลือ
ช่วยเหลือจนนัทใกล้จะยืนได้ด้วยขาของตัวเองแล้ว
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“นี่พวกผมยังคิดกันอยู่เลยว่า ระหว่างให้เลือกระหว่างอยู่กับสาวกับเลือกอยู่กับศพ สงสัยพี่บุ้งจะเลือกอยู่กับศพมากกว่า”
มันเป็นคำแซวของลูกน้องที่ทำให้บุ้งยิ้มออกมาอย่างขำ ๆ
“ก็ศพไม่เคยตามจิก ตามหึงหวง แล้วก็ไม่ต้องเอาใจนี่หว่า ขนาดปักเข็มฉีดฟอร์มาลีนเข้าไปหนัก ๆ ยังไม่งี่เง่าโวยวายร้องออกมาซักแอะ”
ร้องออกมาซักแอะก็คงไม่ใช่แล้วแหละ
พูดไปยิ้มไประหว่างเปลี่ยนจากชุดพนักงานเป็นชุดมูลนิธิเพื่อเข้าเวรในเวลากลางคืน
“ผมก็อยากจะไปทำแบบพี่ทำบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ไหว บอกตรงๆ ว่าใจไม่แข็งพอพี่ กลัวมีคนตามกลับบ้าน”
นิวกำลังยัดเสื้อลงในกระเป๋าและเตรียมตัวกลับบ้าน
เพราะวันนี้เป็นวันหยุด นัดกับ…..ใครบางคนไว้…
ไม่ได้นัดกับมันโดยตรง แต่บอกแล้วว่าจะกลับไปอาบน้ำให้ไอ้กุปปี้ ลูกชายไอ้โจ้มัน ขืนผิดสัญญาไปถึงช้า แม่งก็มางอนไม่พูดกับกูอีก
“มันเป็นความใฝ่ฝันตั้งแต่สมัยเรียนของพี่แล้ว ยังไงโตขึ้นต้องเป็นอาสาสมัครให้ได้ ตอนแรก ๆ เข้าไปก็กลัว แต่อยู่ไปอยู่มา มันก็ชิน”
ชินกับการเก็บศพเนี่ยนะ
ไม่ใช่มั้ง
“ผมคงทำใจให้ชินยากพี่…ยังไงผมกลับก่อนพี่”
นิวเก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้ว และหันกลับมายกมือไหว้หัวหน้างาน
ที่ใครหลายคนอาจมองว่าดุ โหด และพูดจาไม่ค่อยเข้าหูคนเท่าไหร่
แต่ถ้าได้ลองรู้จักกันจริงๆ พี่บุ้งจัดว่าเป็นคนที่คบได้คนหนึ่งเลยทีเดียว
“เออ กลับดี ๆ เว้ย โชคดี”
โบกไม้โบกมือให้และบุ้งก็ก้าวขาออกจากห้องพักพนักงานเมื่อเลยเวลาเลิกงานมาพักใหญ่
เดินไปสตาร์ทมอร์เตอร์ไซด์ที่จอดไว้ที่โรงจอดรถ และก็เห็นว่ามีพนักงานของโรงงานคนหนึ่งนั่งอยู่ในมุมมืด
“ดึกป่านนี้ไม่กลับบ้านวะ”
ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา
นอกจากอาการสะดุ้งของคนที่นั่งอยู่
“เฮ้ย มึงเป็นผีเปล่าเนี่ย คงไม่ใช่ว่าตามกูอยู่หรอกนะ”
แกล้งพูดไป และคนที่นั่งอยู่ก็หันกลับมามองอย่างช้า ๆ
“หันมาดี ๆ นะไม่ต้องเสือกทำหัวหลุดใส่กูด้วย กูกลัว”
แกล้งพูด และคนที่หันกลับมาก็ไม่ได้ทำหัวหลุดใส่
แต่..........
เป็น.....
“อ้าวไอ้เหี้ย สันดาน”
โดนด่า และคนที่หันมาก็นิ่วหน้าใส่และยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา
“มาแนวรันทดเลยเชียวมึง”
บุ้งถึงกับส่ายหน้า และเสียบกุญแจรถ สตาร์ทมอร์เตอร์ไซด์และเตรียมจะขับออกไป
“........พี่ผ่านถนนใหญ่ ไปลงหน้าถนนด้วยกันมั้ยน้อง...”
เอ่ยถามและไอ้น้องคนนั้น
จำได้ว่าพอเห็นหน้าแว่บ ๆ
อ๋อ
เด็กฝึกงาน ที่มากับเพื่อนที่ขี่มอร์เตอร์ไซด์มาทุกวัน
แล้ววันนี้ไม่เห็นเพื่อนมันมา สงสัยจะหยุด
“...ไปพี่ ผมไปด้วย”
ไม่ต้องให้ถามซ้ำ
และคนที่กำลังนั่งร้องไห้ก็เดินมาซ้อนท้ายบุ้งทันที
แค่อาศัยรถไปลงหน้าถนนใหญ่
และบุ้งก็บิดคันเร่งขับออกมาตามทาง ขับมาเรื่อย ๆ
และเมื่อมองที่กระจกข้างก็เห็นว่าเด็กฝึกงานที่ติดรถออกมาด้วยกำลังใช้มือขยี้ตาไปมาไม่ยอมหยุด
สภาพอย่างนี้คงไม่มีอะไรมาก
เรื่องรัก ๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่น
พอผ่านไปซักพัก เดี๋ยวมันก็รู้ว่าไอ้เรื่องพวกนั้น บางทีมันก็ไม่ได้จำเป็นอะไรเลย ถ้าชีวิตมีอะไรให้ทำมากกว่ามานั่งคิดเรื่องปวดหัว รัก ๆ ใคร่ ๆ กับใครซักคน
ต่อไปพอมันเห็นความเป็นจริงบนโลกนี้มากขึ้น
มันก็จะเริ่มรู้ .....บางทีความรักอาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรเลย....
รถมอร์เตอร์ไซด์มาจอดที่ป้ายรถเมล์หน้าถนนใหญ่
และคนซ้อนก็ลงมายืนเรียบร้อย
ยกมือไหว้รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้าแผนกขนส่งในโรงงานที่เข้าไปฝึกงานและฝ่ายนั้นก็พยักหน้าให้ก่อนจะตบที่ไหล่ของเมืองมีนเบาๆ สองสามครั้งและพูดบางอย่างให้ฟัง
“เออ กลับบ้านดี ๆ น้อง ชีวิตคนเรามันก็แบบนี้แหละมีทุกข์มีสุข ปน ๆ กันไปอย่าคิดอะไรมาก พรุ่งนี้ก็เช้า”
พรุ่งนี้ก็เช้าเหรอ
พรุ่งนี้ก็เช้า
รถมอร์เตอร์ไซด์แล่นผ่านไปแล้วและนักศึกษาฝึกงานอย่างเมืองมีนก็มองตาม
มองตาม
และก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะเริ่มมีรอยยิ้มเล็ก ๆ จุดขึ้นที่มุมปาก
ทั้งที่เพิ่งจะมีเรื่องให้ต้องทุกข์ใจ
เรื่อง............การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...ของเพื่อนคนสำคัญ
การพลัดพราก
ที่ไม่อยากจะพบเจอ
..........แต่ต้องยอมรับมัน..........
พรุ่งนี้ก็เช้า
ใช่ พรุ่งนี้ก็เช้า
เมืองมีนก้มหน้ากลับลงมา เช็ดน้ำตาอีกครั้ง
และหันไปมองถนนใหญ่ที่คนขับมอร์เตอร์ไซด์มาส่งขับจากไปแล้ว
……..ไม่รู้ว่ายังไงหรอกนะ......... แต่ที่ใคร ๆ บอกว่าพี่บุ้งร้าย โหด และดุ จนไม่มีใครกล้าอะไรด้วย
เมืองมีนคงต้องคิดใหม่
......ไม่เคยคิดจะข้องเกี่ยวด้วยหรอกนะ......
แต่ฝ่ามือที่แตะเบาๆ ที่ไหล่และยิ้มเหมือนให้กำลังใจนั้นมันก็ทำให้รู้สึกดีได้ไม่น้อย
“พี่บุ้งเหรอ.....”
พูดชื่อของคนที่มาส่งออกมาเบา ๆ
และเมืองมีนก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มยิ้มได้อีกครั้ง
ยิ้มได้.........หลังจากที่จมอยู่กับความทุกข์มานานพักใหญ่
ยิ้มได้
เพียงเพราะคำพูดเรียบง่ายของคน ๆ นั้น
“เออมันก็จริงวะ.....พรุ่งนี้ก็เช้าแล้วโว้ย เล้ง....กูจะอยู่ดูพรุ่งนี้เช้าแทนมึงนะเล้ง....กูจะอยู่ดูพรุ่งนี้เช้าแทนมึงทุก ๆ วัน”
TBC.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รักเกิดในแผนกขนส่ง.....ตอน งานเข้าแล้วนะมึง
“เอ้ย....ไปกินข้าวได้แล้วมึงเหี้ยมีน”
พากเพียรเดินเรื่อยมาถึงเครื่องถ่ายเอกสารและก็เห็นเพื่อนกำลังถ่ายเอกสารอย่างขะมักเขม้น
“เออ เดี๋ยวกูตามไป”
คนที่กำลังถ่ายเอกสารตอบกลับและพากเพียรก็พยักหน้าให้
“เอาเหมือนเดิมป่าวมึง”
เออ เหมือนเดิมแหละ
“ไม่เอาข้าวเยอะแล้วนะ กูแสบ ๆ ท้องว่ะ สงสัยโรคเก่าจะมาเยือน”
บอกเพื่อนและพากเพียรก็พยักหน้าให้
ที่จริงอยู่กันคนละคณะ แต่มาเจอกันที่นี่
ไอ้มีนมันตามมาทีหลัง จำหน้ากันไม่ได้ แต่เห็นเข็มกับหัวเข็มขัด มันก็ไม่ยากที่จะรู้ว่ามาจากสถาบันเดียวกัน
ไม่ได้สนิทกัน ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน
เพิ่งจะมารู้จักกันที่นี่
แต่ก็ดี ยังไงก็ยังถือว่ามีเพื่อน แม้จะทำกันคนละแผนก แต่ยังไงก็เด็กฝึกงานเหมือนกัน สถาบันเดียวกัน
เลยกลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย
“เออมีน วันนี้พี่กูมาส่ง ขากลับมึงกลับพร้อมกูป่าว”
หันไปถามเพื่อนที่กำลังถ่ายเอกสารอยู่แล้วก็เห็นว่าไอ้มีนยืนเหม่ออีกแล้ว
เหี้ยนี่ก็เหม่อจัง
แม่งคิดอะไรอยู่วะ
อะไรก็ดีหรอก เสียอย่างเดียว แม่งชอบเหม่อ ยืนเอ๋อเรื่อย
“ไอ้มีนนนนนนนน”
เอ้อ
ถึงกับสะดุ้งและเมืองมีนก็หันไปมองเพื่อนที่เอ่ยถามบางอย่าง
“ห๊ะ”
เออ เรียกจนคอกูจะแตกแล้วมั้ง เพิ่งได้ยินว่ากูเรียกเหรอวะ
“มึงถ่ายเอกสารมึงไปเห้อะ”
อ่อ
อืม
ก็เร่งอยู่ เรียกแค่นี้เหรอวะ อะไรของแม่งวะ ไม่เห็นเข้าใจเลย
ส่ายหน้าและหยิบกระดาษแผ่นถัดไปขึ้นมาเปิดหน้าถัดไปและวางใส่เครื่องถ่ายเอกสาร
ที่จริงไม่ได้ตั้งใจจะมาฝึกที่นี่
ตั้งใจจะไปฝึกที่ที่เล้งแนะนำเอาไว้ วางแผนเอาไว้ว่าจะไปด้วยกัน
แต่ก็ไม่ได้ไป
เพราะคนที่จะไปด้วยกัน ไม่อยู่แล้ว
เล้งมัน..........ไม่.......อยู่แล้ว
ก้มหน้าลงอีกครั้ง
และเรื่องราวเก่า ๆ ในหัวก็ไหลเรื่อยเข้ามา
มันไม่น่าอายุสั้นขนาดนั้น ไม่น่า..........
แต่มันก็เท่านั้น คนเรามีใครจะอยู่ค้ำฟ้า แต่สิ่งที่ไม่เข้าใจทำไมต้องเป็นไอ้เล้งด้วยวะ
ทำไมต้องเป็นมึงด้วยวะเล้ง
ทำไมต้องเป็น........มึง..........ด้วย
เสียใจ เป็นใครก็ต้องเสียใจ สิ่งสำคัญ เพื่อนคนสำคัญ
มันเร็วเกินไป
แบบนี้มันเร็วเกินไป
กูจะทำใจได้ยังไง
กูไม่มีทางทำใจได้หรอกวะ
ก้มหน้านิ่ง และในหัวก็ยังคิดวนเวียนแต่เรื่องเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมา
ความเจ็บปวดของการสูญเสีย
เสียคนสำคัญไป
“.........................”
ได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร และถอนหายใจเฮือกใหญ่
มาฝึกงาน
มาทำงาน
แม้อยากจะเศร้าเท่าไหร่ แต่ชีวิตก็ต้องไปต่ออยู่ดี
อีกครั้งที่เมืองมีนพยายามสลัดความคิดในหัวออกไปให้หมด และก็เงยหน้าขึ้นเมื่อมีคนมายืนอยู่ข้าง ๆ
“เฮ้ย น้อง ไปไหนกันหมด พี่เอาบิลค่าน้ำมันกับค่าทางด่วนมาเบิก”
อ่า...........
พี่บุ้ง
“อ๋อ พักพี่ เขาพักกลางวันกันหมดแล้ว”
อ้าวเหรอ
พักกลางวันกันหมดแล้ว
แล้วนี่ใคร อะไรยังไง
“พักหมดแล้วอะไรน้อง ยังเหลือน้องยืนอยู่นี่อีกคน”
มันก็ใช่พี่ แต่ว่า.......
“ผมยังทำงานไม่เสร็จ”
งานอะไรวะ
ถ่ายเอกสารกองเท่าภูเขาเนี่ยนะ มึงถ่ายทั้งวันจนถึงปีหน้าก็ไม่เสร็จหรอกไอ้น้องเอ้ย
“ไปกินข้าวก่อนไม่ดีกว่าเหรอน้อง เร่งเหรอ”
เร่งหรือเปล่าก็ไม่รู้
เขาให้มาถ่ายผมก็มา เห็นบอกว่าด่วนทุกอัน ผมก็ไม่ได้ถามว่าด่วนขนาดไหน
“พี่เขาจะเอาด่วน”
ด่วนอะไรวะ
บุ้งหยิบเอกสารมาดูและก็ขมวดคิ้วมุ่น นี่ด่วนเหรอ นี่เรียกด่วนแล้วเหรอ
“ไปกินข้าวเหอะ เชื่อพี่”
ไปกินข้าว
แต่ว่ามัน..........ด่วน...ไม่ใช่เหรอครับ กองนี้
“แต่ว่า...........”
เอ้าไอ้นี่
มึงนึกว่ากูโกหกหรือไงวะ ด่วนเหี้ยอะไร แม่งก็พูดว่าด่วนทุกอันแหละ มันเอกสารเก่าเก็บ เขาก็ให้มึงมาถ่ายไปงั้นแหละ สงสัยกลัวมึงว่างงานมั้ง
“เฮ้ยน้องนี่ยังไงเนี่ยะ ไม่เชื่อพี่เหรอ”
เอ่อ
ไม่
ไม่ใช่ไม่เชื่อพี่ แต่.........พี่ยังไงอ่ะ คือแบบว่า อยู่ดีๆ พี่ก็โผล่มา บอกว่าจะเอาบิลมาเบิก เสร็จแล้วพี่ก็มาบอกว่าให้ผมเลิกถ่ายเอกสารก่อน
“แต่ว่า........”
กำลังจะอ้าปากพูด แล้วเมืองมีนก็ถึงกับเอ๋อหนักกว่าเดิม เมื่อพี่บุ้งหัวหน้าแผนกขนส่ง กำลังทำหน้าเหมือนโกรธคนทั้งโลกแล้วมาลงที่กูซะงั้น
แถมยังออกอาการกระฟัดกระเฟียดใส่อีก
เฮ้ยยยยยยยยยย กูยังไงล่ะ กูทำอะไรผิดวะเนี่ย กูตั้งใจทำงานอยู่นะเฮ้ย
“บอกให้ไปกินข้าว”
เอ้ออออออออ
ก็
ก็ได้ครับพี่ ผมก็ไม่ใช่ว่าจะดื้อไม่ยอมไป
แต่พี่เล่นตะคอกซะผมไปไม่เป็นเลย ผม........ยังไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเลยนะเฮ้ย
“เอ้า ยังไม่ไปอีก เหี้ย พูดยากจังวะน้อง”
อ้าวเฮ้ย แล้วมาเหี้ยอะไรใส่กูเนี่ยะ
เต็มหน้ากูเลย
กู........ไม่....
เมืองมีนยังงง แต่บุ้งจัดการดึงเอกสารจากเครื่องถ่ายเอกสารออกมาเรียบร้อยและวางเอกสารทั้งปึกใส่ตะกร้าเอาไว้
เท่านั้นไม่พอ ยังดึงแขนให้เด็กฝึกงานอย่างเมืองมีนเดินตามมาด้วย
“พอ ๆ เลิก ๆ ไม่ต้องถ่ายแล้ว เวลากินข้าวก็ต้องกินข้าว”
มันก็ใช่อยู่
แต่.........
ไม่รู้ยังไง
ไม่รู้อะไรเลย
เมืองมีนเดินออกมาจากออฟฟิศอย่างมึนงง
เดินตามหลังหัวหน้าแผนกขนส่งที่มีกิตติศัพท์เรื่องความ ดุ โหด และพูดจาไม่ค่อยเข้าหูใครเท่าไหร่นัก
เดินตามมาด้วยความไม่เข้าใจ
และก็ยิ่งงงหนัก มากขึ้นเมื่อพี่บุ้งหันมามองและขมวดคิ้วใส่
“นี่เรียกว่าโรงอาหาร รู้จักใช่มั้ย โรงอาหารเขาเอาไว้กินอาหารตอนพักกลางวัน ช่วงนี้คนเยอะ ถ้าหิวจนตาลายวันหลังก็ห่อข้าวมากินเอง จะได้ไม่ต้องแย่งกับใคร”
ครับพี่
คือพี่ครับ ผมรู้จักโรงอาหารและมากินข้าวที่โรงอาหารเป็นปกติครับพี่ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้จักโรงอาหาร แล้วนี่พี่พาผมมาเพื่อจะบอกว่าให้ผมมากินข้าวที่โรงอาหารใช่มั้ย
“กินเสร็จแล้วค่อยไปถ่ายเอกสารต่อ”
ครับพี่
พี่บุ้งเดินจากไปแล้ว
แต่เมืองมีนยังงง
เดินเอื่อย ๆ เข้าไปหาเพื่อนที่เงยหน้ามาเห็นพอดี และพากเพียรก็ยกมือเรียกเพื่อนที่เดินให้เข้ามานั่งด้วยกัน
“นี่ข้าวมึง”
ดึงจานข้าวของตัวเองมา และเมืองมีนก็เงยหน้ามองเพื่อนก่อนจะเอ่ยปากถามอะไรบางอย่าง
“มึงรู้จักพี่บุ้งเปล่าวะ พี่บุ้งหัวหน้าแผนกขนส่ง”
พี่บุ้งเหรอ
รู้ดิ
“เหี้ย พี่แม่งโหดเกิ๊น”
เออ กูก็ว่างั้น
“แม่งพากูมาส่งโรงอาหารเฉยเลยว่ะ”
อ่า
พากเพียรกำลังตักข้าวเข้าปาก แต่ก็ชะงักค้างเพราะสิ่งที่เพื่อนพูด
พามึงมาส่งถึงโรงอาหารเลยเหรอวะ
มึง........
คือกูก็ไม่ได้อยากจะอะไรมากหรอกนะ
แต่กูได้ยินเรื่องพี่แกมาเยอะมาก คือมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของกูหรอก แล้วพี่แกก็ไม่ได้มีผลอะไรกับการประเมินผ่านงานของกูด้วย
แต่ยังไงดีวะ
กูก็ไม่อยากพูดให้มึงเสียกำลังใจเท่าไหร่หรอกนะ
“ยินดีด้วยวะมีน........กูว่า.....ท่าทางงานจะเข้ามึงแล้วแบบเต็ม ๆ เลยว่ะ”
TBC.