Chapter – 36
หมอครับ ป๊ารู้แล้ว
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวและปวดตัว พอก้มมองดูสภาพตัวเองแล้วถึงกับร้องเชี่ยออกมา
ไอ้รอยแดงยังพอว่า แต่รอยช้ำมันคืออะไร?
เดี๋ยวนะ...
เสียงเปิดประตูห้องทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว เงยหน้าขวับหันไปมองคนที่เข้ามาโดยไม่ขออนุญาตแล้วถอนหายใจ นัยน์ตาสีเขียวที่ผมเห็นชัดเจนเพราะไม่มีเลนส์แว่นมาบดบังจ้องมองมาทางผมนิ่งๆ ในมือถ้วยแก้วใสที่ด้านในน่าจะเป็นชาติดมาด้วย คุณหมอปิดประตูก่อนจะเดินเข้ามาเอามือวางทาบหน้าผากทาบคอผม
“ปวดหัวมั้ยครับ หรือปวดปากอีก?”
“หมอ!”
ผมแว้ดออกไป ถลึงตามองคนที่อมยิ้มขำ
“ลุกไหวมั้ย ดื่มนี่ก่อนแก้แฮ้งค์ครับ”
ผมรับชาแก้แฮงค์สูตรบ้านผมมาดื่มอึกๆ โดยไม่ทันระวังความร้อนจนทำให้แผลที่ปากโดนลวกนิดหน่อย ผมร้องออกมาจนหมอตกใจหยิบถ้วยออกจากมือแล้วจับคางผมให้เชิดขึ้นเพื่อดูแผล
“ทำไมไม่ระวัง เจ็บมากมั้ยครับ”
นิ้วโป้งของเขาแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากที่มีแผลแตกเพราะสงครามเมื่อคืน ผมหน้างอปัดมือเขาออก น้ำตาคลอเบ้า ชามันไม่ได้ร้อนหรอก แค่อุ่นๆ แต่แผลที่ปากทำให้มันรู้สึกแสบเหมือนโดนลวกเท่านั้นเอง
“ความผิดหมอนั่นแหละ”
“หืม ใส่ร้ายกันแบบนี้ไม่ดีนะปั้น คิดให้ดีก่อนครับว่าเมื่อคืนใครเริ่ม”
ผมอ้าปากพะงาบๆ อยากสวนกลับ ก่อนจะค่อยๆ หุบปากเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน หน้าของผมร้อนฉ่าจนต้องยกมือมาทาบแก้ม ผม... ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
คุณหมอยิ้มมุมปาก วางถ้วยชาไว้บนโต๊ะหัวเตียงแล้วหันมาเอามือคร่อมช่วงล่างของผมที่นั่งตัวเปลือยโดยที่มีแค่ผ้าห่มคลุมไว้ ใบหน้าหล่อๆ เข้มๆ สไตล์ลูกครึ่งเอียงมองผมก่อนจะจูบเบาๆ ที่ปลายคาง
“ถ้าไม่ปิดปากไว้ เฮียว่าคงได้ยินเสียงดังไปจนถึงไร่ชา”
“หมอ!!”
...
เหตุการณ์เมื่อคืน
หลังจากที่ผมโดนหิ้วกลับห้องด้วยสภาพทุลักทุเลและโวยวายตามประสาคนเมา ร่างเปลี้ยๆ ถูกโยนลงบนเตียง ผมกระเด้งขึ้นมาก่อนจะงอแง ขณะที่คนตัวใหญ่เตรียมปลดกระดุมเสื้อออกเพราะความร้อนจากฤทธิ์แอลกอฮอล์
“หมอลากปั้นออกมาทำไมอ่ะ กำลังสนุกเลย”
ผมที่หน้าแดงเห่อจากฤทธิ์ยาดองโวยวาย ส่วนคนที่โดนโวยใส่ถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นลวกๆ แล้วคลานตามขึ้นมาบนเตียง ก่อนจะดันผมลงไปนอน
“นอนได้แล้วครับ เมามากแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้ปวดหัวนะ”
“ไม่เอา ปั้นต้องอยู่ฉลองก่อนนนนน”
“ไม่งอแงสิข้าวปั้น”
“ทำไมครับ หมอยอมให้พวกเฮียปุ้นดูถูกได้ไง หมอไม่ได้สามนิ้วครึ่งสักหน่อย หมอยอมแต่ปั้นไม่ยอมนะ!”
ผมน้ำตาคลอเบ้า ความโมโหแล่นขึ้นมาริ้วๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของพวกพี่ๆ
คนโดนดูถูกเบิกตามองผมปริบๆ ก่อนจะหัวเราะขำพรืดออกมา เล่นเอาผมที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนสะบัดหน้าหนี ยกมือขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ คนตัวโตเขยิบเข้ามาจนชิด ได้ทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นบุหรี่ และกลิ่นน้ำหอมผสมปนเปจนผมมึนเมา คลายแขนที่กอดอกไว้แล้วค่อยๆ สอดเข้าไปกอดเขาจนแนบแน่น
“โมโหอะไรขนาดนั้นครับข้าวปั้น”
มือใหญ่ลูบหัวลูบหลังผมอย่างปลอบโยน ผมมุดหน้าลงกับแผ่นอกตึงที่โผล่พ้นสาบเสื้อ
แน่นดีจัง... ชอบ
ผมเริ่มเอามือสอดเข้าไประหว่างสาบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกปลดกระดุมออกจนเกือบหมด ปลายนิ้วลูบไล้ไปตามแผ่นอกแน่นอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อจนผมอิจฉา แบะเสื้อออกจนเผยให้เห็นผิวขาวเนียน คุณหมอเอนตัวไปด้านหลัง เท้ามือใหญ่ลงบนเตียงข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างยกมาไล้แก้มของผมอย่างเอ็นดู
“หมอ... หุ่นดีจัง”
เสื้อเชิ้ตของเขาหลุดออกไหล่หนาไปแล้ว ผมยกตัวคลานขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัก ตาเยิ้มๆ เพราะฤทธิ์ยาดองหลุบมองยอดอกสีสวย ผมไม่เข้าใจความรู้สึกว่าทำไมหมอชอบดูดชอบเลียผมตรงนี้นัก วันนี้ขอลองเป็นคนทำสักทีแล้วกัน
“อา... ทำอะไรน่ะครับปั้น”
เสียงครางต่ำหลุดออกมาจากปากของคนที่ลดมือลงมาที่บั้นเอวผม ร่างสูงเหมือนจะเอนไปข้างหลังมากขึ้นเพื่อให้ผมเล่นกับเนื้อตัวเขาได้ถนัด ผมดูดดึงติ่งเนื้อพลางใช้ลิ้นไล้วนเวียนให้เหมือนกับที่เขาเคยทำ ดูดเสียงดังเหมือนกำลังดูดหอยจุ๊บจนกระทั่งมันแข็งจนผมรู้สึกผ่านลิ้น ถึงได้ถอนหน้าออกมามอง ผมเอียงคอก่อนจะลากลิ้นไปยังอีกข้าง ได้ยินเสียงลมหายใจกระชั้นเหมือนกำลังอดทนของคนที่เปลี่ยนมาโดนกระทำบ้าง
ผมจูบวนเวียนอยู่แถวๆ หน้าท้องที่อัดแน่นด้วยกล้ามเนื้อของเขา หมอเอาเวลาไหนไปฟิตหุ่นกันนะ วันหลังผมคงต้องเข้าฟิตเนสบ้างแล้ว... มือของผมรั้งอยู่ที่ขอบกางเกงยีนส์สีเข้มยี่ห้อแพง พยายามจะดึงมันลงแต่ก็ดึงไม่ออกเพราะติดกระดุมกับเข็มขัดจนผมขัดใจ ขมวดคิ้วแน่นจนเจ้าของต้องลดมือลงมาช่วยปลดมันออกอย่างเอาใจ
“อย่าหงุดหงิดสิครับ ใจเย็นๆ”
คุณหมอจัดการปลดเข็มขัดออก ตามด้วยกระดุมแข็งๆ ผมจัดการรูดซิปลง แหวกจนกว้างพอที่ผมจะงัดเอาของที่โดนดูถูกออกมา
มันกำลังตื่น...
ผมกระพริบตาปริบๆ มองสิ่งที่อยู่ในมือ แม้มันจะยังไม่ตื่นเต็มที่ แต่แค่นี้ก็เต็มไม้เต็มมือแล้วนะ
ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“หะ... ให้ปั้นทำให้นะครับ”
พูดจบก็จัดการขยับมือ รูดรั้งสิ่งที่แข็งเกร็งจนเห็นรูปร่างชัดเจน ผมได้ยินเสียงครางเบาๆ จากคนที่เริ่มเปลี่ยนจากลูบหัวเป็นสอดนิ้วเข้าไปขยุ้มเส้นผมแทน แต่ท่านี้ไม่ถนัดเอาซะเลย ผมจึงลุกขึ้นลงไปนั่งด้านล่างของเตียงพลางตบเบาๆ ให้หมอเปลี่ยนมานั่งห้อยขา
“ปั้นไม่ถนัด”
“จะทำจริงๆ เหรอครับ”
เขาลูบหัวผมซ้ำๆ ก้มมองคนที่ใจกล้าเฉพาะเวลาเมาอย่างเอ็นดู ก่อนจะสูดปากเสียงแผ่วเมื่อผมเริ่มแตะลิ้นลงไปแทนคำตอบ
“แฟนปั้นไม่ได้สามนิ้วซักหน่อย เห็นมะ”
ผมโบกสิ่งที่กำลังเติบโตตรงหน้าตัวเองไปมา จ้องมองมันด้วยสายตาปรือๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานให้เขา การกระทำที่ไม่รู้ตัวสักนิดว่ามันจะทำให้ผมต้องรับมือกับศึกหนัก โดยเฉพาะเมื่อคุณหมอหรี่ตามองผมเครียดๆ เขากัดฟันแน่นเมื่อผมละเลงลิ้นอีกรอบ
“ของหมอคือที่สุดแล้วครับสำหรับปั้น”
“ข้าวปั้น... เจ็บหนักอย่ามาว่าเฮียนะ”
“จัดมาเลยค้าบบบบบบบบบบบบ”
...
ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปทานข้าวหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายแล้ว พอดีกับที่พี่ดินออกมาจากห้องที่อยู่ข้างๆ เล่นเอาผมสะดุ้งโหยงเมื่อเจอรอยยิ้มของพี่แก
พี่ดินยิ้มมุมปากก่อนจะหัวเราะหึ ผมทำหน้าแหยกลับก่อนจะถามเสียงเขียว
“ยิ้มอะไรพี่ดิน”
พี่ดินหรี่ตา ไม่พูดอะไร ยักไหล่แล้วเดินจากไป ทิ้งให้นายข้าวปั้นเคว้งคว้างอยู่หน้าห้องเพียงลำพัง
เวลาตอนนี้พึ่งจะแปดโมงกว่า แขกจากต่างจังหวัดพากันกลับจนเกือบจะหมด เหลือเพียงกลุ่มเพื่อนๆ ของผมที่กำลังเอาของไปเก็บในรถของพี่ดินที่จอดไว้หน้าบ้าน พี่เจี้ยนกลับไปก่อนแล้วด้วยเครื่องบินไฟลต์เช้า เห็นเฮียปุ้นบอกว่าแฮ้งค์หนักจนกลัวว่าจะไปอ้วกบนเครื่อง แต่ลองโทรไปถามเมื่อกี้พี่เจี้ยนก็บอกว่าถึงบ้านแล้ว เลยทำให้หมดห่วง
“หอมขอบคุณทุกคนที่อุตส่าห์มาร่วมอวยพรตั้งไกลนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
เจ้หอมและพี่กรลงมาส่งแขกที่กำลังจะกลับกรุงเทพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มร่าเริง ผมเดินลงจากบ้านมาเพื่อส่งก่อนเพราะน่าจะกลับทีหลัง แต่สิ่งที่ผมเจอก็คือสายตาอมยิ้มของเพื่อนร่วมงานที่พากันจ้องมา เล่นเอาผมขมวดคิ้วยุ่ง
“ทำไมมองอย่างนั้น”
“เปล๊า เอาไว้มึงอยากพูดค่อยพูดแล้วกัน” ไอ้เนเสียงสูงหันไปโยกหัวฟางที่หัวเราะคิกคัก
“เอาล่ะ เจอกันกรุงเทพนะ” พี่ดินหันมาบอกผมพลางยกมือโบก ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างสูงใหญ่แล้วกระซิบถาม
“เมื่อคืนผมทำอะไรแปลกๆ รึเปล่าพี่ ทำไมพวกนั้นมันมองผมแบบนั้นอ่ะ”
พี่ดินที่กำลังจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับเลิกคิ้ว คว่ำปากนิดๆ พลางยักไหล่
“ก็ไม่แปลกเท่าไหร่สำหรับกู แต่อาจจะ... แปลกสำหรับพวกมัน”
“หา? ยังไงพี่?” ผมงงเป็นไก่ตาแตกกับคำพูดของพี่ดิน แต่พี่ชายคนล่ำกลับหัวเราะน่าขนลุกแล้วเปิดประตูรถ สอดร่างหนาๆ ของตัวเองเข้าไป ก่อนปิดประตูพี่แกยื่นหน้าออกมาพูดกับผมด้วยสีหน้ามาเหนือ
“ต่อไปคงต้องเป็นฉายา ลูกรักเจ้าอัฐ เป็น ข้าวปั้นโป๊ะแตก ล่ะนะ”
“วัท?”
พี่ดินปิดประตูใส่หน้าผมที่ยังคงไม่เข้าใจกับคำส่งท้าย ไอ้เนกับฟางยกมือสวัสดีผู้ใหญ่ทั้งสองที่ลงมาส่ง ก่อนจะขึ้นรถยังมีการทิ้งท้ายให้ผมคาใจเล่น
“อย่าลางานเพราะเจ็บคอนะไอ้ข้าว”
“อะไรของมึง?”
“เดินทางปลอดภัยนะพี่ข้าว ฟางจะรอฟังคำสารภาพจากพี่”
“อะไรวะ???”
ผมทำหน้า ง่าว มองดูรถที่แล่นจากไปของเพื่อนร่วมงาน ก่อนจะหันไปมองพี่สาวกับพี่เขยที่พากันเบือนหน้าไปมองฟ้าพร้อมกัน
“ว้า หิวจังที่รัก ไปหาอะไรกินกันเถอะ” พี่กรยกมือโอบไหล่ภรรยาหมาดๆ ขึ้นบ้านไป เจ้หอมหัวเราะคิกคัก ส่วนผม...
“เชี่ยอะไรอ่ะ...”
ผมเดินขึ้นบ้านเพื่อจะไปหาอะไรกิน วันนี้เหลือแค่คนในครอบครัวกับแขกอีกหนึ่งคน อาหารเช้าจึงถูกจัดที่โต๊ะอาหารเล็กตรงโถงกลางบ้าน บนโต๊ะอาหารมีทุกคนอยู่พร้อมตั้งแต่ป๊าม๊า เฮียปุ้น เจ้ฟ่าง เจ้หอม พี่กร และคุณหมออคิน โดยที่บางคนเริ่มลงมือทานกันไปบ้างแล้ว
ผมสอดตัวลงนั่งข้างๆ หมอ ทันทีที่ผมนั่งลง สายตาของคนบนโต๊ะก็พากันจับจ้อง โดยเฉพาะสายตาของม๊าที่ดูจะคมกริบผิดปกติ
อะไร?
ผมเริ่มวางตัวไม่ถูก ป้าสรเสิร์ฟข้าวต้มทะเลให้พร้อมกับน้ำส้มคั้น ผมเอ่ยขอบคุณก่อนจะยกน้ำส้มขึ้นดื่มก่อนจนเกือบหมดแก้ว ทันทีที่วางแก้วลง ม๊าก็เอ่ยถามทันที
“ดื่มน้ำเยอะเชียว เจ็บคอเหรอเจ้าปั้น”
“ฮะ? อะไร ปั้นก็แค่หิวน้ำ”
ผมทำหน้างงเต๊ก มองแก้วน้ำส้มสลับกับหน้าม๊า ในขณะที่ทุกคนพากันก้มหน้าไหล่สั่น มีเพียงเฮียปุ้นที่นั่งลูบคางตัวเองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“ออเหรอ... ม๊าก็คิดว่าเจ็บคอเพราะเมื่อคืนเห็นร้องซะลั่นดอยเชียว”
“ร้องอะไรครับ!”
ผมเบิกตากว้าง หันขวับไปมองหน้าหมอที่ยกชาขึ้นดื่มเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะหันกลับไปมองหน้าม๊าอีกครั้ง
“เอ้า! ร้องเพลงไง จับไมค์ไม่ปล่อยเชียวนะ”
ผมหน้าร้อนก่อนจะตักข้าวต้มเข้าปากไม่อยากพูดอะไรอีก
“อคินจ๊ะ เมื่อคืนหลับสบายรึเปล่า ข้าวปั้นงอแงอะไรมั้ย ได้ข่าวว่าเมาหนักเลยนี่นา” ถึงคราวเจ้ฟ่างพูดบ้าง ผมถึงกับหยุดเคี้ยวข้าว หูผึ่งรอฟังคำตอบจากหมอ
“ไม่ค่อยได้นอนเท่าไหร่ครับ”
“แค่กๆๆๆ”
ผมที่กำลังจะกลืนข้าวสำลักลมหายใจจนแทนที่ข้าวจะไหลลงคอ เกือบไหลขึ้นจมูกแทน ผมคว้าทิชชู่มาปิดปาก ไอตัวโยนจนหมอที่นั่งอยู่ข้างๆ ลูบหลังช่วยอย่างตกใจปนขำ ดีนะไม่พ่นข้าวใส่หน้าพี่กรที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“เจ้ถามอคิน เราไปสำลักอะไรขนาดนั้น ทำไมจ๊ะ หรือรู้ตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้อคินเขาไม่ได้นอน” เจ้ฟ่างหรี่ตามองอย่างจับพิรุธ ส่วนผมน้ำตาคลอเบ้าเพราะแสบจมูก
“เจ้ฟ่าง! แค่กๆ พะ... พูดอะไรน่ะครับ”
“สั่งน้ำมูกก่อนครับ”
หมอเอาทิชชู่มาเพิ่มให้ ผมหันตัวลุกออกจากโต๊ะไปเพื่อสั่งน้ำมูกออก ก่อนจะกลับเข้ามานั่งเหมือนเดิม ม๊าดูชอบใจกับความทรมานของผม
ก่อนที่โต๊ะกินข้าวจะเลิกสนใจเรื่องของผมแล้วเปลี่ยนบทสนทนาเป็นอย่างอื่นแทน ปล่อยให้คนมีชนักติดหลังเคี้ยวปลาหมึกอย่างเชื่องช้าเพราะความกังวลที่มีอยู่เต็มสมอง หลังจากอาหารเช้าจะจบไป ทุกคนกำลังจะแยกย้าย ผมเตรียมไปเก็บของเพื่อกลับกรุงเทพ แต่ก่อนจะเลี้ยวเข้าห้องตัวเอง ป๊าก็เรียกผมเอาไว้ก่อน
เสียงของป๊าทำเอาใจผมหล่นตุบ
“ข้าวปั้น ป๊ามีเรื่องจะคุย”
แต่ละคนที่กำลังจะแยกย้ายพากันชะงักขามองมาทางผมเป็นตาเดียว แม้กระทั่งเฮียปุ้น
ซวยแล้วข้าวปั้น...
ผมเดินตามป๊าเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว ป๊าเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หวายตัวโปรด สีหน้านิ่งสงบเหมือนปกติ แต่ผมเองแหละที่ไม่ปกติ จากที่เคยเข้ามาแล้วก็จะทิ้งตัวนั่งตามสบายบนตั่งไม้ กลับกลายเป็นยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตูไม่กล้านั่งเสียอย่างนั้น
“แล้วทำไมไม่นั่ง”
“เอ่อ... ป๊ามีไรเหรอครับ”
ผมแอบเม้มปากนิดๆ เอามือประสานหน้าไว้เหมือนตอนถูกบังคับให้สารภาพผิดว่าแอบดื่มเหล้าครั้งแรก ไม่กล้าสบตาคนเป็นพ่ออย่างที่เคย ร่างสูงสมส่วนที่แม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังดูดีนั่งไขว่ห้าง วางศอกข้างหนึ่งไว้บนพนักแขนแล้วเท้าคางมองผม
ป๊าผมใจดี แต่เวลาดุ... ผมยอมโดนม๊าเอาหวายฟาดดีกว่าเจอสายตาของป๊า
“นั่งก่อน ป๊าแค่มีเรื่องจะคุยก่อนเรากลับกรุงเทพ”
“ครับ”
ผมเดินตัวลีบมานั่งลงบนตั่งไม้ที่มีเบาะนุ่มๆ รองไว้ แอบกุมมือตัวเองแน่น มองแจกันบนโต๊ะเตี้ยๆ เหมือนกับกำลังพิจารณาเทกเจอร์อยู่
“มีเรื่องอะไรอยากบอกป๊ามั้ย”
คำถามยอดฮิตเวลามีใครทำผิดแล้วปิดไว้ เจอคำถามนี้ทีไร ทุกคนในบ้านเป็นอันต้องเลือกเรื่องที่สารภาพให้ดีๆ...
แต่ผมจะสารภาพยังไงล่ะ?
“ปั้น... ปั้น...”
“ปั้นรู้ใช่มั้ยว่าบ้านเราคุยกันได้ทุกเรื่อง”
“...”
ป๊าลุกจากเก้าอี้เดินมานั่งข้างๆ ผมที่น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ไม่รู้แหละว่าป๊าอยากให้ผมสารภาพเรื่องอะไร แต่ตอนนี้ผมกลัว... กลัวไปหมดทุกสิ่งอย่าง ถึงแม้ตอนที่เฮียปุ้นพูดเรื่องความต้องการของตัวเองแล้วป๊าม๊าจะไม่ว่าอะไร แต่ผมรู้ว่าลึกๆ แล้วป๊าเองก็คงจะผิดหวัง
ผมแค่ไม่อยากทำให้ป๊าผิดหวัง... เพราะลูกชายคนสุดท้องที่ไม่เคยทำอะไรให้ป๊าภูมิใจสักอย่าง กำลังจะทำให้ป๊าหมดความภาคภูมิใจสุดท้ายไป
“ป๊ารู้ว่าปั้นอึดอัด บ้านเราถือคติไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ถ้าเรื่องนั้นมันทำให้ลูกของป๊ารู้สึกแย่ ป๊าก็อยากจะยุ่ง”
“ป๊า... ปั้น... ปั้นขอโทษครับ”
ป๊าลูบหัวผมที่ก้มหน้างุด ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ผมยอมปริปากออกมาเสียที
“ปั้น... ปั้นแค่ไม่อยากให้ป๊าผิดหวัง แต่ปั้นขอโทษครับ ปั้น... ปั้นรักหมอ”
“ป๊ารู้แล้ว”
“ฮึก... ครับ?”
ผมหันมองหน้าป๊าที่ยิ้มให้บางๆ สายตาแห่งความสับสนและไม่เข้าใจส่งผ่านออกไป แต่ป๊ากลับโคลงหัวแล้วย้ำอีกครั้ง
“ป๊ารู้นานแล้ว รู้ตั้งแต่วันที่ปั้นเข้าโรงพยาบาลเพราะโดนลักพาตัวนั่นแหละ ป๊าไม่ได้โง่นะที่จะดูไม่ออก”
“ปะ... ป๊า”
“ป๊าไม่เคยว่าข้าวปุ้น แล้วเรื่องอะไรป๊าจะไปว่าข้าวปั้น หืม?”
“ฮึก... ปั้น... ปั้นกลัวว่าป๊าอยากได้ลูกสะใภ้”
ผมเริ่มฟูมฟาย พอได้สารภาพบาปก็ทำให้พูดออกมาจนหมด ยกมือปาดน้ำตาเป็นเด็กสามขวบ ป๊าหัวเราะก่อนจะโยกหัวผมไปมาอย่างเอ็นดูสุดใจ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของป๊าทำให้ก้อนหินแห่งความรู้สึกผิดถูกยกออกไปจนเบาหวิว
“เฮ้อ... ลูกเอ๊ย ป๊าน่ะไม่สนใจหรอกนะว่ามีจะสะใภ้ มีเขย มีทาย้งทายาทอะไร ทุกวันนี้ที่ป๊ามีลูกที่ดีถึงสี่คน ป๊าว่ามันก็เป็นที่สุดที่ป๊าต้องการแล้วนะ นอกนั้นป๊าถือว่าเป็นกำไร แล้วอีกอย่าง อคินเป็นคนดี ป๊าสามารถฝากฝังลูกที่ไม่ได้เรื่องของป๊าไว้กับเขาได้”
ผมปาดน้ำตาก่อนจะหัวเราะแก้เขิน
“ป๊าก็รอว่าเมื่อไหร่ปั้นจะพูดออกมา แต่กลายเป็นว่าก่อนที่ปั้นจะพูด อคินเขาเป็นคนเดินมาพูดกับป๊าตัวต่อตัวก่อนเลยนะ ไม่งั้นป๊าคงไม่กล้ามาถามปั้นตรงๆ แบบนี้หรอก”
“เฮะ?... ป๊าว่าไงนะ หมอเขามาคุยกับป๊าเหรอครับ”
ผมเบิกตากว้าง นี่หมอเขาทำอะไรไม่บอกผมอีกแล้วเหรอวะเนี่ย
“เขารู้ไงว่าข้าวปั้นปากหนัก เขาไม่อยากทำให้คนที่บ้านเข้าใจปั้นผิดๆ เขาเลยเป็นฝ่ายเดินมาอธิบายเสียเอง แต่ก็ช้ากว่าม๊านะ ม๊าดูออกนานแล้วเหมือนกันแต่ไม่ยอมบอกป๊า”
“นี่สรุปว่า ทุกคน... รู้เรื่องปั้นกับ... หมอ?” ผมเอียงคอทำหน้าเหวอ แล้วไอ้ที่พยายามปิดๆ กับไอ้ที่เจ้ฟ่างมาเรียกไปกินข้าวนั่น... อย่าบอกนะว่าก็รู้กันน่ะ... เชี่ย จะเอาหน้าไปซุกไว้หลุมไหนดีวะ?
“ก็รู้แหละ แต่รู้กันเองทั้งนั้นไม่มีใครบอกใคร ป๊ารู้ป๊าก็เงียบ ม๊ารู้ม๊าก็เงียบ เจ้าปุ้นยิ่งแล้วใหญ่ อคินโทรไปสารภาพตั้งแต่ก่อนคบกับปั้น มันก็เงียบ ป๊าว่าไอ้นิสัยไม่ยุ่งเรื่องกันและกันของบ้านเรานี่มันก็มีข้อเสียเหมือนกันนะ” ป๊าขมวดคิ้วยุ่งก่อนจะคลายแล้ววางมือบนไหล่ผม
“ปั้นรู้มั้ย วันที่เค้ามาถึงที่นี่ เค้าเดินเข้ามาคุยกับป๊าแล้วบอกว่ากำลังคบหากับข้าวปั้นอยู่ เค้ายกมือไหว้ขอโทษป๊าที่ทำให้ลูกชายป๊าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นป๊าประทับใจมากถึงแม้จะรู้อยู่แล้วก็ตาม แทนที่คนที่น่าจะมาบอกป๊าก่อนจะเป็นปั้น แต่กลับเป็นคนอื่นซะงั้น นิสัยปากหนักของปั้นควรแก้นะ”
“ก็ปั้น... ปั้นไม่กล้า แล้วอีกอย่าง ปั้นก็... ไม่ได้เป็นเหมือนเฮียปุ้น”
ผมอ้อมแอ้มไม่รู้จะพูดยังไง ป๊าเลยถอนหายใจอัดอีกรอบ
“ไม่ว่าปั้นจะเป็นยังไง ปั้นคือลูกชายที่ป๊าภูมิใจนะ”
ผมยิ้มให้ ยกมือไหว้ขอขมาป๊าที่เป็นลูกชายไม่ได้เรื่องแต่ป๊าก็ยังภูมิใจ
“ดูแลเขา ให้เหมือนกับที่เขาดูแลเรานะลูก”
“ครับป๊า”
“ไงไอ้ตูด ยกภูเขาออกจากอกเลยสิ เฮียบอกแล้วมีอะไรก็พูด”
หลังจากที่ผมเปิดประตูออกจากห้อง เหล่าคนที่มายืนแนบหูฟังคำสารภาพบาปอยู่หน้าห้องทำงานป๊าก็ก้าวถอยหลังแทบไม่ทัน ไล่ตั้งแต่เฮียและบรรดาเจ้ๆ ของผม
ผมย่นหน้า เฮียปุ้นที่กอดอกพิงระเบียงไม้ยิ้มมุมปาก เจ้หอมกับเจ้ฟ่างเข้ามาเกาะแขนผมก่อนจะเขย่าเบาๆ
“ไปคบกันตอนไหน ทำไมเจ้ไม่เห็นรู้เลย” เจ้หอมเข้าสู่วงการเผือกร้อนทันที ผมเลิกคิ้วส่ายหัว
“ไม่บอก”
“ข้าวปั้นไม่บอกหอมได้ แต่ต้องเล่าให้เจ้ฟังนะ” เจ้ฟ่างเอาบ้าง เธอเอียงคอซบไหล่ผมอย่างออดอ้อนพลางกระซิบ “ไม่งั้นเจ้แฉเรื่องวันนั้นแน่ อย่าคิดนะว่าเจ้ไม่ได้ยิน”
“เจ้ฟ่าง! โว้ย ไม่สนใจแล้ว ปั้นจะไปเก็บของ”
“เดี๋ยว ข้าวปั้น มาเล่าให้ฟังก่อน เจ้จะเก็บไว้ทำรีเสิร์ช!” เจ้ฟ่างตื๊อ เจ้หอมก็ดูจะไม่ยอมเหมือนกัน
“รีเสิร์ชบ้าอะไรครับ เจ้ฟ่างสอนวิศวะนะ” ผมเดินหนี แต่ตอนเลี้ยวตรงหัวมุมก็ชนเข้ากับร่างสูงใหญ่จนแทบจะหงายหลัง ดีที่คนถูกชนคว้ารวบแขนของผมไว้แล้วดึงเข้ามาจนเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย
“ว้าว...”
สองสาวที่เดินตามหลังมาเบรคแทบไม่ทัน ก่อนจะยกมือปิดปากแล้วหัวเราะกันสองคน ส่วนผมเงยหน้าขึ้นแล้วรีบยันตัวออก หน้าแดงก่ำจนคนตัวโตยกมือขึ้นแตะเหมือนปกติ
“หน้าแดง”
“แหงสิครับ” ผมลูบหน้าตัวเองก่อนจะหันไปชี้นิ้วใส่พี่สาวทั้งสองอย่างโมโห “เลิกถามปั้นได้แล้วครับ จะไปเก็บของ ไม่ต้องตามมานะ”
ผมเดินเบี่ยงออกมา กระแทกเท้าปึงปังกลับเข้าห้องไป ไม่อยากสนใจพวกผู้หญิงขี้ตื๊ออีก ให้ตายเถอะ...
เรื่องน่าอายแบบนั้น ใครจะไปเล่าได้ล่ะฟะ!
ชอบบ้านข้าวปั้นนะ เป็นบ้านในอุดมคติของน้องยู
ต่างคนต่างไม่ยุ่งเรื่องของกันและกัน แต่ก็ไม่ได้ละเลย คอยเฝ้ามองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ
ป๊าม๊าของข้าวปั้นถือเป็นพ่อแม่ยุคใหม่ที่ยอมรับได้ทุกเรื่อง รับฟังและเคารพการตัดสินใจของลูก
ส่วนหมออคิน ชอบความโชว์แมนของนางนะคะ
ต้องใช้ความกล้าแค่ไหนเดินเข้าไปบอกพ่อเขาว่าทำให้ลูกเขาชอบผู้ชาย
ถ้าเราเป็นพี่หมอ เราคงไม่กล้าค่ะ คงเป็นเหมือนข้าวปั้นที่กลัวจนวินาทีสุดท้าย
ตอนหน้า บทส่งท้าย...
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้นhttps://twitter.com/_SeenYu