CHAPTER 11
“Do you still think of me like I think about you
Do you still dream of me 'cause I can’t sleep without you”
(Addicted – Stevie Hoang)
พริม... พริมาน่ะหรือ?
ในหัวผมกำลังพยายามหาข้ออ้าง อะไรก็ได้ที่จะบ่งบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้กำลังพูดความจริง อะไรก็ได้ที่บอกว่าอินทร์ไม่ได้กำลังมีใครอยู่ แต่ผมกลับไม่เจอข้ออ้างที่มากเพียงพอจะมาบอกว่ามันกำลังโกหก นึกย้อนไปถึงวันที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้นยิ่งทำให้ผมไม่สามารถพูดได้ว่าทั้งสองคนไม่ได้สนิทกันในระดับหนึ่ง
“คุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายเรียกชื่อผม “ปล่อยได้แล้ว...”
“...”
“ปล่อยผมไปเถอะ”
มันไม่ได้ร้องขอให้ผม ‘ปล่อย’ มันในตอนนี้ แต่ผมรู้ คำพูดนั้นหมายถึงการที่ให้ผม ‘ปล่อย’ มัน ปล่อยให้มันมีชีวิตที่ดี ปล่อยให้มันไปมีความสุข และให้ผมทำได้เพียงมองเห็นแผ่นหลังของมัน
กชอินทร์ค่อยๆ ผละกายออกจากผม เลื่อนมือที่สั่นเล็กน้อยมาผลักไหล่ของผมและขยับริมฝีปาก
“ขอโทษนะ” คำนั้นแผ่วเบาจนผมรู้สึกว่าตัวเองฝันไป
ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในตอนที่มันเอ่ยคำนั้นออกมา ในวินาทีนั้นเองที่ผมหมายจะเอื้อมมือไปสัมผัสแต่ก็ต้องหยุดชะงัก ในหัวตั้งคำถามมากมายไปหมด โดยเฉพาะคำถามที่มันถามมาก่อนหน้านี้
เมื่อคืนผมไม่เข้าใจหรือ... ว่าทำไมอินทร์ถึงบอกว่าเรื่องของเราเป็นไปไม่ได้
ผมไม่เข้าใจความทุกข์ใจนั้นของมันแน่นอน พ่อกับแม่ของผมรู้เรื่องรสนิยมทางเพศของผมมาสักพักก่อนที่เราจะเปิดใจคุยกันตอนผมเรียนจบใหม่ๆ ทั้งสองเปิดรับเรื่องนี้มากพอแม้จะแอบเลียบๆ เคียงๆ อยู่บ่อยครั้งตอนผมบอกว่าผมชอบผู้ชายว่าผมมีโอกาสจะกลับมาชอบผู้หญิงบ้างหรือเปล่า แต่ตอนนี้พวกท่านก็ไม่ถามอะไรอีก เพราะฉะนั้นผมไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกทุกข์ใจของมันแน่นอน
“คุณพีรพัฒน์” มันสูดลมหายใจลึก “ปล่อยผมไปเถอะนะ”
“...”
“หลังจากผมก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไป เราช่วยเป็นแค่นักเขียนกับบก. ที่ไม่สนิทกัน คุยกันเฉพาะเรื่องงานได้หรือเปล่า” น้ำเสียงของมันอ่อนจนผมคิดว่านี่คือการเว้าวอน
“ทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันไม่ได้หรือ” “...”
กชอินทร์เอื้อมมือของมันมา สัมผัสปลายนิ้วผมอย่างแผ่วเบา ออกแรงกำเล็กน้อยก่อนที่จะผละออกไป มันหันหลังเดินออกไปในขณะที่ในหัวผมกำลังมีความคิดมากมายวิ่งพล่าน ผมควรจะรั้งมันไว้อีกครั้งหรือไม่ ควรจะเอื้อมมือไปรวบตัวมันมากอดหรือเปล่า ถ้าหากผมทำเช่นนั้นมันจะทำอย่างไร กอดผมตอบหรือว่าผลักไสและหนีออกไปใหม่ แล้วถ้าผมกอดมันไว้ผมจะกอดมันได้แน่นแค่ไหน แน่นเพียงพอที่จะทำให้มันข้ามผ่านช่วงเวลาที่มันต้องขัดแย้งกับครอบครัวหรือเปล่า
ผมไม่มั่นใจอะไรสักอย่าง
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมผมถึงยืนนิ่งอยู่กับที่ตอนที่มันเดินออกไปจากบ้าน ปิดประตูอย่างแผ่วเบา แต่ดังพอที่ทำให้ผมรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
ผมปล่อยมันไปอีกแล้ว ‘ขอโทษนะ’
ผมคิดว่าเป็นตัวผมเองที่ควรเอ่ยคำขอโทษ
ขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะรั้งมันไว้และบอกว่าเราจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปด้วยกัน และขอโทษที่ไม่มั่นใจในตัวเองมากพอที่จะทำให้มันมั่นใจในตัวผม
เพราะผมเป็นแบบนี้ ขี้ขลาดและน่าสมเพช
และผมตระหนักได้ในตอนนั้นเอง
ว่าตัวผมไม่ได้แตกต่างจากเด็กเมื่อสิบปีก่อนเลยแม้แต่น้อย ผมใช้เวลาไปกับการดูแลร้านเสียส่วนใหญ่ ต้องขอบคุณที่จังหวะนั้นลูกจ้างคนหนึ่งลาออกไป เหลือแค่ลูกจ้างประจำอย่างไอ้เป้กับพ่อครัว ผมเลยทำตัวให้ยุ่งมากกว่าเดิมได้ ยิ่งไอ้เก้ที่บางทียังมีสอบตามประสาเด็กปีสี่ มันเลยต้องลางานมากกว่าปกติ ทำให้ผมยุ่งกว่าปกติ
กชอินทร์ติดต่อผมมาบ้างในเรื่องการตามงานบทความ พูดถึงเรื่องหน้าปกรวมเล่มบทความหนังสือว่าผมต้องการแบบไหน และส่งหัวข้อในการเขียนบทความถัดมาให้พร้อมกับคำวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องที่ผมพลาดไปในบทความครั้งก่อน นอกจากนั้นพวกเราไม่ได้คุยอะไรกันอีก
ผมนึกขอบคุณที่อินทร์ใช้วิธีคุยกันผ่านข้อความ ไม่เช่นนั้นผมอาจจะเป็นบ้ามากกว่านี้
นอกจากนั้น กชอินทร์ยังเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นภาพตนเองคู่กับหญิงสาวที่ผมพอจะคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้ามาก่อน พริมาที่เขาเรียกว่า ‘พริม’
ต้องยอมรับว่าในภาพนั้นอินทร์มีรอยยิ้มที่กว้าง...แบบที่ผมไม่ได้มองเห็นมานานแล้ว
ยิ่งตอกย้ำกันเข้าไปใหญ่ว่าเรื่องที่มันพูดกับผมไม่น่าจะใช่เรื่องโกหก
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมสูบบุหรี่มากทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าควรจะหยุดได้แล้ว ซ้ำยังซื้อเหล้ามาดื่มคนเดียวหนึ่งครั้งและเมาเหมือนหมาจนลำบากไอ้เก้ที่มาเคาะประตูบ้านเพราะผมไม่ยอมไปเปิดร้านให้มัน
“เฮียเป็นไรวะ” มันเอ่ยถาม “อกหักเหรอ”
“มั้ง” ผมตอบส่งๆ
พอได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ทำตาโต “จริงเหรอเฮีย”
ผมไม่ได้ตอบอะไรไปอีก ไอ้เก้เลยจัดการไล่ผมไปอาบน้ำก่อนที่จะคว้ากุญแจร้านไปจัดการเสร็จสรรพโดยไม่ถามอะไรเพิ่มเติม คิดว่าสภาพของผมน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว
วันนี้ก็เหมือนที่ผ่านมา เวลาของผมผ่านไปอย่างน่าสับสน ขุ่นมัว และไม่สบอารมณ์ หนึ่งอาทิตย์ที่ผมรู้สึกว่ามันรวดเร็วกับการนั่งคิดคะนึงถึงเรื่องราวต่างๆ แต่กลับช้าจนแต่ละวันผมใช้เวลามากกว่าปกติหลายเท่า
“เอาจริงๆ นะเฮีย” ไอ้เก้พูดขึ้นตอนเก็บร้าน “สภาพเฮียตอนนี้ทุเรศมาก”
“อื้อ” ผมพยักหน้า ไม่คิดจะปฏิเสธ
ตอนนี้หน้าโทรมกว่าปกติหลายเท่าทั้งๆ ที่ผมก็ไม่ใช่คนช่างสำอาง หนวดเริ่มผุดขึ้นมาบนใบหน้า มีเคราเขียวที่ดูไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่ผมก็ยังคงปล่อยมันไป
มันวางไม้กวาด เอาหัวโล้นๆ ของมันยื่นเข้ามาใกล้ “แล้วทำไมเฮียไม่ทำตัวดีๆ หน่อยวะ”
“ทำงานไป๊”
“อะไร” มันบ่นอุบ “คนเรารึอุตส่าห์หวังดี เฮียก็ไม่ได้แย่ เป็นนักเขียนพอมีชื่อ อกหักมันจะตายรึยังไง”
ผมถอนหายใจ “ใช่เรื่องเอ็งไหมเนี่ย” นั่นเป็นคำสุภาพของคำว่าเสือก “โทรมก็มีเงินจ้าง ทำงานเร็วๆ ก่อนที่จะไม่ได้เงิน” ว่าแล้วก็ตบเกรียนมันไปหนึ่งทีด้วยความหงุดหงิด
“ทำไมไม่เนรมิตตัวเองให้ดูดีกว่านี้อีก เขาจะได้เสียใจ” มันไม่วายบ่นแต่ก็เดินถือไม้กวาดไปจัดการกวาดร้านตามที่ผมชี้นิ้วสั่ง
คำพูดของมันทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมา ไอ้เป้คิดอะไรง่ายๆ ประหนึ่งผมโดนอีกฝ่ายตบหน้าบอกเลิกเหมือนในละครจะได้ไปแก้แค้นเขาเหมือนนางเอก แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ได้ต้องการให้มันเสียใจ ขณะเดียวกันก็ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้
คืนนั้นเองที่ผมได้รับข้อความจากคนที่หายหน้าหายตาไปพักหนึ่งอย่างกานต์
‘ไปเที่ยวกันเถอะพี่พีท!’
ผมมองข้อความนั้นอย่างเหนื่อยใจ ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะต่อสายหาเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่ได้โทรหาบ่อยๆ
“ว้าว!” ปลายสายส่งเสียงร้องระรื่นอย่างน่าหงุดหงิด “พี่พีทโทรมา จริงเหรอเนี่ย”
ผมถอนหายใจ “นึกยังไงถึงได้ชวนไปเที่ยว จะไปไหน”
“พี่พีทตามใจกานต์เหรอ” น้องยังคงทำเสียงตื่นเต้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะคิกคัก
“อยากทำอะไรก็ทำ พี่ว่างๆ พอดี...”
ผมตอบไปตามจริง หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อนแต่ก็ต้องลืมตาขึ้นมาใหม่เมื่อมีภาพของใครคนเดิมติดค้างอยู่ที่ใต้เปลือกตา ทันทีที่หลับตาก็เห็นกชอินทร์ นี่มันยิ่งกว่าภาพหลอนเสียอีก... แย่ชะมัด
“มาแปลก เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า” น้ำเสียงคนปลายสายดูจริงจังขึ้นมาหน่อย
“นิดหน่อย” ผมไม่โกหก หากแต่ตอบแบบไม่คิดจะขยายความ
กานต์ส่งเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงครางในลำคอ คิดว่าน้องน่าจะรับรู้ว่าผมไม่ต้องการพูดเรื่องนี้
“อยากไปไหนล่ะ” ผมเบี่ยงเบนประเด็น
“กานต์แค่อยากจะดูหนัง แต่ไม่รู้จะไปกับใคร ไปด้วยกันไหมพี่พีท”
“ได้สิ นัดมาเลย”
พวกเรานัดกันเสร็จสรรพ พรุ่งนี้เป็นวันหยุดพอดีทำให้พวกเราสะดวกกันทั้งคู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกๆ ที่พวกเราชวนกันไปทำกิจกรรมที่ดีมากกว่าการออกกำลังบนเตียง สำหรับผมแล้วกานต์เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ค่อยได้ ต้องมีคนไปเที่ยวด้วยเป็นประจำ ผมมักจะเป็นตัวเลือกท้ายๆ ของน้องเพราะไลฟ์สไตล์เราไม่ค่อยตรงกัน แต่การไปเจอกันข้างนอกเป็นบางครั้งบางคราแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นักหรอก
พอวางสายจากกานต์แล้วผมก็ได้แต่พ่นลมหายใจ ในห้องนอนยังคงเป็นห้องที่เงียบสงบตามประสาคนอยู่คนเดียว หากแต่ครั้งนี้ผมกลับรู้สึกว่าได้ยินเสียงของคนที่ติดอยู่ในความคิดดังก้องในหัว
เสียงหัวเราะที่มันเคยมีตอนยังเป็นเด็กมัธยม เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของมันเมื่อไม่กี่วันก่อน เสียงลมหายใจที่บ่งบอกถึงการมีตัวตนของมันในห้องนี้
และบ่งบอกถึงการมีตัวตนของมัน...ในความทรงจำของผม
ผมมาตามนัดกับกานต์ช่วงสาย ที่ห้างคนแน่นเหมือนเคย นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมไม่ชอบมาห้างใหญ่ๆ
พวกเราตกลงไปเลือกรอบดูหนังกันก่อน แม้กานต์จะเป็นเกย์ที่ออกสาวแต่รสนิยมการดูหนังก็เหมือนกับธรรมดา หนังแอคชั่น – ไซไฟแบบที่ผมเองก็ค่อนข้างชอบ เราเลยไม่มีปัญหาเรื่องการเลือกหนัง หลังจากนั้นพวกเราก็ไปทานข้าวกันโดยที่กานต์เป็นฝ่ายเลือก
“ทำไมวันนี้พี่พีทตามใจกานต์จัง” น้องถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
ผมยักไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร ปล่อยให้คนเดินข้างกายพูดจ้อไปเรื่อย เหมือนกับปกติ...กานต์ไม่ค่อยหยุดพูด ผมมักจะเป็นฝ่ายที่ฟังแบบไม่ค่อยใส่ใจ
“พี่พีท” อีกฝ่ายยิ้ม เรียกชื่อผมเมื่อพวกเราเดินเข้ามานั่งในร้านอาหาร “มีอะไรรึเปล่า”
“ฮึ?” ผมส่งเสียงตอบรับในลำคออย่างแปลกใจ
“วันนี้พี่พีทดูสภาพ...” น้องไล่สายตาจากหัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาทนิดหน่อยใส่ผม แต่ผมไม่คิดจะถือสาอะไร “ดูไม่ได้เลยว่ะ” ก่อนที่จะมาหยุดบนใบหน้าผม “ปล่อยหนวดขึ้นเป็นตอเลย”
ผมเค้นยิ้ม เผลอเอามือจับใบหน้าตนเองอย่างลืมตัว “นั่นสินะ...” พึมพำเบาๆ
“เอาเหอะ วันนี้พี่พีทมาเป็นเพื่อนดูหนังกานต์ กานต์เป็นคู่ควงให้เอง” กานต์ทำเสียงขันแข็งจนผมอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปขยี้ผมอีกฝ่ายด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อยากควงตาย”
คนตรงหน้าหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร
ถึงบนเตียงจะดูเป็นคนร้อนแรงแต่จริงๆ แล้วกานต์เป็นเด็กใสซื่อไม่ใช่น้อย เด็กแบบที่ให้ความรู้สึกว่า ‘เด็ก’... เอาแต่ใจ ขี้อ้อน ยิ้มเก่ง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมค่อนข้างเอ็นดูน้อง พอๆ กับที่น้องมองผมว่าเป็นพี่ชาย ครั้งหนึ่งตอนกานต์อกหัก เมาจนหัวราน้ำ น้องเคยถามว่าพวกเราควรจะคบกันหรือเปล่า แต่พอน้องสร่างเมาน้องก็ทำหน้าแขยงพอรับรู้เรื่องที่ตัวเองถามผม
‘กานต์ไม่ได้เกลียดพี่นะ แต่คิดแล้วมันแปลกๆ...ไม่รู้สิ มันไม่ใช่อ่ะ ยังไงๆ ก็ไม่ใช่’
นั่นเป็นเรื่องยืนยันว่าผมกับกานต์คิดเหมือนกัน ไม่ได้รังเกียจ แต่ก็ไม่เคยคิดจะจินตนาการว่าพวกเราจะเป็นอย่างไรในฐานะคนรักอย่างจริงจัง พอจินตนาการขึ้นมาสักครั้งก็รู้สึกว่ามัน ‘ไม่ใช่’... กานต์ไม่เคยทำให้ผมลำบากใจในความสัมพันธ์ พวกเรารู้ดีว่าจุดไหนที่ควรจะพอ ตอนใครสักคนมีแฟนก็หยุด เหมือนมาหาความสุขกันชั่วครั้งชั่วคราวในตอนที่เราไม่มีใครอยู่ข้างหลัง ว่ากันแล้วมันก็วิน – วินแหละนะ
ขณะที่ผมนั่งฟังในสิ่งที่กานต์พูดไปเรื่อยเปื่อยรออาหารมาเสิร์ฟ สายตาผมก็เห็นใครบางคนเดินผ่านไปจากบริเวณกระจก
กชอินทร์... ผมเผลอเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้กระจกแทบจะในทันที กชอินทร์เดินเคียงคู่กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมมองไม่ชัดว่าอีกฝ่ายคือใคร หัวใจผมเต้นรัวตอนเห็น ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นพริมา แต่ดูเหมือนคำภาวนาของผมจะไม่เป็นผลเมื่อเห็นว่าทั้งสองหยุดที่ประตูร้านแห่งนี้
ดูเหมือนการจับจ้องของผมจะเป็นการแสดงออกที่ค่อนข้างมากเกินไป กานต์เลยจับสังเกตได้ น้องหันมองไปตามสายตาผมก่อนที่จะหันกลับมาทางผม
“เจอคนรู้จักเหรอ”
ผมไม่ได้ตอบ พนักงานต้อนรับพากชอินทร์เดินตรงเข้ามาในร้าน ผมรู้ตอนนั้นเองว่าอินทร์ไม่ได้มากับสตรีคนนั้นคนเดียว แต่มากันสี่คน ทั้งสองกับหญิงสาวที่ดูสูงอายุอีกสองคน
หนึ่งในนั้นผมจำหน้าได้...
แม่ของกชอินทร์ ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าหากันลึก รู้สึกมวนในท้องพร้อมกับแรงบีบรัดจากก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย ตอนที่อินทร์เดินผ่านพวกผมเหมือนอินทร์จะเห็น แววตาของเราสบกันเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องราวมันแย่กว่านั้นเมื่อพริมาร้องออกมาอย่างแผ่วเบา
“อ๊ะ” เธอมองผม ส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “พี่พีทนี่นา”
ผมเห็นแววตาอึดอัดของคนที่เดินเคียงคู่กับเจ้าหล่อนผุดขึ้นมาแทบจะในทันที
“สวัสดีครับ” พอถูกเธอทักทายเช่นนั้นผมก็ได้แต่คลี่ยิ้ม เอ่ยทักทายกลับไปตามมารยาท ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้กชอินทร์ยิ่งเหมือนถูกผูกมัดให้ต้องทักทายผมไปด้วย
“สวัสดีครับคุณพีรพัฒน์” อีกฝ่ายยิ้ม... ด้วยแววตาที่แสนว่างเปล่า “มาทานข้าวกับเพื่อนหรือ”
ผมพยักหน้า เหลือบตามองกานต์ที่ยิ้มให้ทั้งสองคนด้วยความเป็นมิตรเช่นกันยามที่พริมาทักทายน้องอย่างคนมีมารยาท
จังหวะนั้นเองที่สตรีสูงวัยเอ่ยถามกับลูกชาย “เจอเพื่อนหรือลูก”
ผมลังเลตอนที่เห็นเจ้าหล่อนมองผม แม่ของอินทร์ดูแก่ไปมาก แต่นั่นไม่แปลก... มันผ่านมาร่วมสิบปีแล้วนับตั้งแต่เจอกันครั้งสุดท้าย สิ่งที่ผมทำมีเพียงการยกมือไหว้อีกฝ่ายตามที่คนอายุน้อยกว่าพึงทำ
“เอ๊ะ” เธอทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย นั่นทำให้ลมหายใจผมกระตุก คิดย้อนไปถึงคำพูดที่อินทร์พูด... พ่อของอินทร์รู้เรื่องของเรา... “นี่ไม่ใช่ เดี๋ยวนะจ๊ะ น้าจำไม่ได้...” เธอขมวดคิ้ว “ชื่ออะไรนะอินทร์ เพื่อนสนิทลูกตอนมัธยมน่ะ”
ผมรับรู้ถึงการสะดุดของลมหายใจของร่างสูงแต่ติดผอมของกชอินทร์ ความเงียบถูกปกคลุม
“พีท...ครับ” สุดท้ายคนถูกถามก็ตอบมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
มันเรียกชื่อผมแบบที่มันเคยเรียก...
เป็นครั้งแรก... “อ๋อใช่! พีท!” คุณแม่ของอินทร์ร้องออกมา คลี่ยิ้มให้ผมอย่างใจดีแบบที่ผมคุ้นว่าเคยได้รับในสมัยเป็นเด็ก “ไม่ได้เจอนานเลย เป็นยังไงบ้างจ๊ะ?”
“ก็...ดีครับ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มแก่นๆ เต็มไปด้วยความอึดอัดใจล้นอยู่ในอก
“สมัยก่อนอยู่กับเจ้าหนูนี่บ่อยจะตาย หายหน้าหายตาไปเลย” เธอยิ้ม “นึกว่าเลิกสนิทกันแล้วเสียอีก”
“ฮ่ะๆ” คำพูดของเธอทำให้ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ต้องส่งเสียงหัวเราะแห้งๆ ไปอย่างเสียไม่ได้ เหลือบสายตาไปสบตากับแววตาสั่นระริกของกชอินทร์ ไล่มองไปพบว่ามือของมันกำเข้าหากันแน่นจนผมต้องรั้งตัวเองไม่ให้ไปจับมันไว้
“เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลยน้า สนิทกันตั้งนาน”
คุณแม่ของอินทร์ยังคงเป็นคนที่ดูใจดีเสมอเพียงแต่น้ำเสียงนุ่มๆ ที่ทำให้ผมอบอุ่นตอนเด็กๆ กลับทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเสียเหลือเกินในตอนนี้ เพราะมีคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกสะดุด
ผมมองอินทร์แทบจะในทันทีเมื่อสมองประมวลผลเสร็จ อินทร์ไม่มองผม ไม่ยอมสบตา ก้มหน้าและเอ่ยปากชวนให้แม่กับพริม พร้อมกับผู้ใหญ่อีกคนไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับอ้างเหตุผลว่าบริกรรอนาน
‘เป็นเพื่อนที่ดีกันจริงๆ เลย’ อย่างนั้นหรือ?
ผมหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่นั่งข้างๆ กับแม่ตนเอง แต่ตรงข้ามกับพริมาอีกครั้งก่อนที่จะเอาลิ้นดุนกระพุ้งแก้ม
“มีอะไรหรือพี่พีท” คนตรงหน้าเอ่ยปากถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“เปล่า...” ผมโกหก “ไม่มีอะไร”
น้องพยักหน้า ไม่เซ้าซี้ถามต่อเพียงแต่มองผมที่กำลังนิ่งไปเพราะพยายามใช้ความคิดอย่างหนักเงียบๆ
แม่ของอินทร์...ไม่รู้เรื่องของเราเมื่อสิบปีก่อนอย่างนั้นหรือ?--------------------------------------
ขอสาปแช่งให้พวกนี้โดนรถชนตาย จะเอากานต์กับน้องเก้มาเป็นคู่พระ-นายแล้ว!
มีความสุขกับสงกรานต์กันไหมคะทุกคน ยะโฮ้วววว