ก่อนเริ่มตอนใหม่ขอเข้าสู่ช่วงคนเขียนขอบ่นหน่อยครับ
ที่หายไปนี่เป็นเพราะอินเตอร์เน็ตที่บ้านเจ๊งครับ ตามช่างมาซ่อมปรากฏก็พังอีก
ปรากฏว่าช่างบอกว่าเราท์เตอร์เสีย ต้องซื้อใหม่ พอไปซื้อที่ศูนย์ รุ่นที่ให้ไวไฟได้เท่ากับที่ใช้อยู่หมด! ดี้ดี
งานก็เลิกค่ำมืด นี่เพิ่งไปซื้อมาได้เมื่อวันก่อน แต่ก็ยังติดไม่ได้เพราะคิวว่างของช่างไม่ตรงกับที่ว่างเลย
อันที่จริงตอนนี้แต่งเสร็จมาสักพักแล้ว แต่ลงไม่ได้เพราะแบบนี้นั่นเอง
จะแอบโพสต์ที่ออฟฟิศก็ไม่ได้เพราะว่าอยู่ไม่ติดออฟฟิศเลยสักวัน (วันนี้พอดีเข้าออฟฟิศเลยแอบโพสต์ซะเลย)
ความเดิมตอนที่แล้ว หลังจากส่งสายตาพิฆาตกัน บักจ้อยก็แจวเรือกลับบ้าน แต่แอบมาหาน้องเรียมใหม่ตอนดึก
บังเอิญว่าน้องก็ช่างประจวบเหมาะแอบหนีลงมาเล่นน้ำในคลองไปซะได้
ผลก็คือโดนบักจ้อยแทะโลมไปตามระเบียบ ซึ่งน้องเรียมก็นั่งคุยกับเขาเสียได้ วอนมาก
จะเป็นยังไงต่อ โปรดติดตามตอนต่อไปฮับ เป็นตอนที่ยาวหน่อย ตัวหนังสือก็แน่น ค่อยๆ อ่านนะ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ ๑๕“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใคร อย่างน้อยก็ต้องพูด”
คำพูดของจ้อยยังคงติดค้างอยู่ในพระทัยของเรียมลลิตร ทรงสลัดไม่หลุดแม้จะผ่านไปเกือบชั่วโมงแล้ว แม้การที่ทรงว่ายน้ำในคลอง ดำริกับองค์ว่าน่าจะสนุก แต่เมื่อพระทัยยังทรงพะวักพะวนอยู่กับหลากถ้อยคำเหล่านั้น เรื่องที่น่าเบิกบานพระทัยก็กลายเป็นเรื่องที่ทรงทำไปอย่างนั้นเอง
ทรงลอยองค์นิ่งๆ อยู่ในลำคลอง กระทั่งเงาตะคุ่มปรากฏขึ้นที่ท่าน้ำติดกัน เรียมลลิตรทอดพระเนตรร่างสูงกำยำค่อยๆ ก้าวอย่างผึ่งผายออกมาสู่ลำแสงสีเงินยวงของพระจันทร์ พระโอษฐ์จึงคลี่แย้มออก
เป็นอีกคืนที่ขวัญสรวงเบิกบานใจเกินกว่าจะข่มตานอน เมื่อหัวใจตระหนักแน่แก่ความรู้สึกอ่อนหวานอันมีต่อคนที่อยู่ข้างบ้าน ดวงจิตดวงใจก็เหมือนอัดแน่นไปด้วยห้วงอารมณ์ละมุนละไมจนไม่อาจหลับลงง่ายๆ
เขาลงในน้ำ ตั้งใจจะดำผุดดำว่ายจนกว่าจะลืมความคิดอันไม่สมควรนี้ ได้ข่มตาหลับลงเสียที
ขวัญสรวงวักน้ำเย็นๆ ในคลองขึ้นลูบหน้า พอหันพลิกตัวกลับ หมายมาดจะดำน้ำ ก็เห็นคนที่อยู่ในความคิดตลอดวันมาลอยอยู่ตรงหน้า ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าตัวเองคงตาฝาด แต่เมื่อมองดูชัดๆ ว่ามันหาใช่ภาพมายาที่ตัวเองสร้างขึ้นมาด้วยห้วงความคิดถึงไม่ ความรู้สึกตกใจและดีใจก็จู่โจมในอกพร้อมๆ กัน
“เรียม” เขาเอ่ยขึ้นแล้วนิ่งไปนานเหมือนสรรหาคำพูดที่เหมาะควร อึดใจใหญ่ น้ำเสียงทุ้มนุ่มจึงค่อยๆ ถักทอถ้อยคำต่อ “ทำไมมาอยู่ที่นี่ น้ำเย็น เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
เรียมลลิตรแหงนพระพักตร์ ทิ้งองค์ลอยบนผิวนที พยุงพระวรกายเหมือนกับทรงว่ายน้ำอยู่ในท่ากรรเชียง เพียงแต่พระกรทั้งสองข้างแนบอยู่กับพระปรัศว์ มิได้ทรงตวัดวาดบนสายน้ำ
ครู่หนึ่งจึงตรัสตอบด้วยพระสุรเสียงแผ่วเบา “ไม่เป็นไรหรอกครับ ตอนเรียนอยู่ที่ฝรั่งเศส ผมอยู่สวิมมิงคลับในมหาวิทยาลัย ถึงจะไม่ใช่ระดับนักกีฬา แต่ก็พอว่ายพอได้ ช่วงฮอลิเดย์ก็ไปว่ายบ่อยๆ”
ขวัญสรวงพินิจร่างประเปรียวที่ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำโดยละเอียด สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ว่ายพอได้ แต่น่าจะเรียกว่าว่ายได้ดีด้วยซ้ำ ตระหนักได้เช่นนี้ความกังวลก็ค่อยบรรเทา แต่ก็ใช่ว่าจะหมดสิ้นเสียทีเดียว
“ที่นั่นไม่มีใครว่ายน้ำในคลองหรือแม่น้ำ เราว่ายน้ำกันในสระ ไม่นานก็ขึ้น นึกไม่ออกว่าประเทศไทย คนสามารถว่ายน้ำในคลองกันได้ทั้งวันนั้นเป็นไปได้ยังไง น้ำในคลองต่างกับน้ำในสระตรงไหน จนได้มาว่าย”
ตั้งใจจะทักท้วง แต่เมื่ออีกฝ่ายที่ปรกติไม่ค่อยพูดกลับเอ่ยเหมือนชวนคุย ใจของขวัญสรวงก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด คำห้ามปรามในใจเปลี่ยนเป็นคำถามกลัดรอยยิ้มนิดๆ ขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“แล้วได้รู้หรือยัง”
ไม่มีคำตอบออกจากริมฝีปากฝาดสีเรื่อจนอิ่มนั้น มีแต่รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจของผู้มองพองแน่นอยู่ในอก
เจ้าของรอยยิ้มนั้นกระพุ้งน้ำช้าๆ เคลื่อนตัวที่นอนหงายอยู่มาใกล้จนศีรษะที่ลอยเหนือริ้วน้ำ แนบลงกลางแผ่นอกของขวัญสรวง โดยปรกติแล้วเขาควรถอยตัวออกห่าง แต่ชายหนุ่มกลับยืนนิ่ง มองเรือนผมสีน้ำตาลเข้มคลี่สยายในสายน้ำ และเพียงเขายกมือขึ้นสัมผัสเบาๆ พู่ไหมเส้นเล็กละเอียดเหล่านั้นก็ช่างราวกับมีชีวิต เส้นผมหนานุ่มค่อยๆ สอดลอดผ่านนิ้วมือแต่ละนิ้วราวกับจะยั่วเย้า ดวงตาของผู้เป็นเจ้าของมันก็ไม่ได้ต่างสักเท่าไรเลย
มือกว้างค่อยๆ ยกขึ้น ลากปลายนิ้วเคลื่อนผ่านเบาๆ จากใบหู ไล่ลงสู่คาง ดวงตาเข้มคมทอดมองใบหน้าที่อยู่ห่างกันแค่ไม่กี่คืบด้วยประกายแห่งความอ่อนหวาน
สบตากัน ต่างฝ่ายก็ต่างเงียบกันไปพักใหญ่ นึกขึ้นได้ก็รีบหลบสายตากันทั้งคู่
ขวัญสรวงเป็นฝ่ายที่ผลักสายตาของตนกลับไปยังดวงหน้างามดุจภาพวาดนั่นก่อน คลอเคลียอยู่อย่างนั้นในระยะที่ค่อยๆ บีบเข้าหากันทีละน้อยๆ จนเหลือไม่ถึงคืบ กระทั่งเสียงผะแผ่วแว่วขึ้น
“พี่ขวัญ” เรียมลลิตรเปล่งพระสุรเสียงขึ้น สบพระเนตรกับดวงตาอ่อนหวานคู่นั้นอยู่นิ่งนาน แล้วตรัสเรียบๆ “ผมชอบพี่ขวัญ”
คนได้ยินชัดเต็มสองหูผงะอึ้งไปหลายนาที ซ้ำยังเผลอกลั้นลมหายใจโดนไม่รู้ตัว ตาสบตา ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่ง มีเพียงเสียงจังหวะเร่งเร้าในอกที่ค่อยๆ แรงขึ้น...แรงขึ้น
คล้ายกับว่าละเมอเพ้อพกหรือหูแว่วไปเอง จู่ๆ ขวัญสรวงก็เอ่ยขึ้นราวกับได้ยินประโยคเมื่อครู่ไม่ถนัด
“เมื่อกี้...ว่าอะไรนะ”
“ถ้าเป็นลูกผู้ชายจริง ชอบใครก็ต้องกล้าพูด เพราะคำพูดก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการแสดงออก”
ดวงตาคมเข้มดั่งสีของท้องฟ้าในเวลานี้จ้องมองคนตรงหน้าอยู่อึดใจ เมื่อตั้งหลักจากท่าทางและคำพูดของอีกฝ่ายได้ เขาก็จูงมือ รีบพาว่ายมาที่เรือที่จอดเลียบแอบอยู่ข้างๆ ท่าน้ำ
เรือลำนี้ถูกคลุมผ้าใบไว้ไม่ให้แสงแดดเลียจนไม้ดูเก่าชำรุดไวกว่าอายุการใช้งานที่ควรจะเป็น เมื่อก่อนจะไปไหนมาไหน ขวัญสรวงก็จะใช้เรือลำนี้ แต่สองสามปีที่ผ่านมา ถนนหนทางของบางกะปิเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนจำแทบไม่ได้ ขัตติยพงศ์นั้นไม่ใช่ลูกหลานบางกะปิแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาจึงถนัดเดินทางบนบกมากกว่าทางน้ำ เมื่อมีถนนลาดยางมะตอยตัดผ่าน มีทางสำหรับเดินได้สะดวกขึ้นมาก เรือจึงถูกเก็บไว้ ไม่มีใครสนใจ บริเวณที่เก็บเรือแห่งนี้ก็ร้างลาถูกลืมจากผู้คน ทั้งจากพวกขัตติยพงศ์ และชาวบางกะปิ
เขาจูงมืออีกฝ่ายว่ายหลบมาที่นี่ ตั้งใจจะพูดคุยไถ่ถามกันเสียให้รู้เรื่อง แต่เมื่อพอได้มาอยู่ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆ รินรดกันแบบนี้ ที่อยากจะพูดกลับพูดไม่ออก ขวัญสรวงเป็นฝ่ายหลุบสายตาหลบ จนอีกฝ่ายเป็นคนถามขึ้นเสียเอง
“พี่ขวัญรังเกียจหรือ”
รังเกียจนั่นหรือ เขาอยากจะหัวร่อนัก
ถ้าความคิดในเชิงต่อต้านนั้นบังเกิดเพียงเสี้ยวเพียงน้อยในใจ ขวัญสรวงคงสบายใจกว่านี้ แต่นอกจากจะไม่มีอาการดังกล่าวแล้ว เขายังทำตัวเป็นปรปักษ์ด้วยการก้าวไปยืนอยู่ในซีกความรู้สึกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง ไม่รู้สึกเดียดฉันท์แม้แต่นิด ซ้ำยังรู้สึกปรีดาปราโมทย์เสียด้วยซ้ำ
ใบหน้าคมคายไหวไปมาเล็กน้อย ก่อนจะบ่ายเบี่ยงด้วยเสียงขรึมๆ “เอาไว้คุยกันวันหลังเถอะ ตอนนี้ขึ้นมาจากน้ำก่อน”
“ไม่เอา”
เห็นแววตาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ทั้งอ่อนใจ ทั้งหนักใจ น้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นความอ่อนหวาน เอาน้ำเย็นเข้าลูบ “ขึ้นมาเถิด เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“ไม่เอา”
ขวัญสรวงพยุงตัวเข้าไปใกล้จนชิด ยกสองแขนสวมกอดร่างเล็กบางจากด้านหลังอย่างแผ่วเบา กังวลเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะได้ล้มหมอนนอนไม่สบาย ชายหนุ่มค่อยๆ ตะล่อมถามอีกครั้งด้วยความห่วงใย ไม่สบายใจ
“ตัวสั่นๆ ไม่หนาวหรือ”
“หนาว”
“หนาวแล้วทำไมจึงดื้อ ไม่ขึ้นไปข้างบน พี่เป็นห่วง ประเดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“ตอนนี้อุ่น ไม่ค่อยหนาวแล้ว”
เจ้าของเสียงอ้อมแอ้มขานตอบผะแผ่วพร้อมหลุบหน้าลง คนตั้งคำถามจึงเพิ่งตระหนักถึงวงแขนของตนที่ตระกองกอดด้วยความห่วงใย ขวัญสรวงโอบร่างที่ฝังอยู่ในอ้อมแขนแน่นขึ้น เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหลียวกลับมามองแบบเขินๆ ประเดี๋ยวมอง ประเดี๋ยวก็หลบสายตา เขาจึงเป็นฝ่ายโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จ้องมองดวงตากลมสวยคู่นั้น หนีไปทางใด ขวัญสรวงก็ดั้นด้นตามไปจ้องมองอยู่อย่างนั้นด้วยรู้สึกอยากต้อนให้จนมุม ดูสิว่าจะหนีไปไหนพ้น
แต่ใครเลยจะคิดว่าเมื่อยิ่งจ้อง ยิ่งมอง จะยิ่งกลายเป็นเขาเองที่ตกอยู่ในอาการเคอะเขิน ไม่อยากสู้สบตาเอาเสียเอง
ก็ความแวววาวที่สะท้อนอยู่ใต้แพงานตาหนางอนนั้นเล่าที่ทำให้ชายหนุ่มเป็นเช่นนี้ ใช่เพียงแต่มันจะหยอกแสงสะท้อนของดวงจันทร์กลางฟ้าเสียเมื่อไร ดวงตาหวานสวยคู่นั้นดูจะกำลังหยอกเย้ากับห้วงอารมณ์ที่ยากจะสะกดกลั้นในใจของเขาให้กระโจนสู่ดินแดนแห่งความรัญจวนโดยไม่รู้ผิดชอบชั่วดีไปพร้อมๆ กันด้วยนี่สิ
หลายครั้งที่ขวัญสรวงออกคำสั่งกับตัวเองว่าให้เลิกมองดวงตาวาววับคู่นั้น แต่ห้ามเท่าไร ถ้อยคำที่ควรเปล่งออกมาได้อย่างเต็มน้ำเสียงก็กลืนหายไปสิ้น ได้แต่พูดเลี่ยงๆ ไปเสียทุกครา ครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงมาพูดกับพี่” เขาถามเสียงขรึม
ไม่มีคำตอบออกจากปากของอีกฝ่าย คนที่อยู่ตรงหน้ายังคงเงียบ มองสบตาเขาอยู่อย่างนั้นอย่างชั่งใจ
“เรียม น้องต้องบอกพี่ เกิดอะไรขึ้น”
“เมื่อกี้ จ้อยพายเรือผ่านมา เขาขึ้นมาคุยที่ศาลาริมน้ำ”
เพียงได้ยินเท่านั้น ดวงตานิ่งสุขุมของชายหนุ่มก็แทบจะโชนเป็นคบเพลิงร้อนแรงในพริบตา แต่คนพูดดูจะไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับความร้อนที่แผดเผาจนทุรนทุรายอยู่ในใจของเขาเลย ใบหน้างามสง่านั้นยังนิ่ง ปราศจากความรู้สึกเช่นทุกครั้ง
“เขาบอกว่าลูกผู้ชาย ถ้าชอบใครก็ต้องกล้าพูด ยังบอกอีกว่า ผู้ชายเรา ลองถ้าชอบใคร ก็อยากจะนอนด้วยทั้งนั้น”
“เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน” ขวัญสรวงส่งเสียงตะกุกตะกัก ทั้งฉุน ทั้งตื่นตระหนก เขาทบทวนความคิด เมื่อแน่ใจว่าคุมอารมณ์โทโสได้นิ่งแล้วจึงเอ่ยถามให้มั่นใจ “จ้อยมาที่นี่ เขา...นายจ้อยพูด...เกี้ยวพาราสี ชวนน้องไป เอ่อ...นอนอย่างนั้นหรือ”
แทนคำตอบ เรียมลลิตรกดพระพักตร์ลงนิ่ง
ในทีแรก ความโกรธนั้นทำเอาเนื้อตัวของขวัญสรวงแทบสั่นเต้น เขาอึ้งไปพักใหญ่ด้วยกระแสอารมณ์อันหลากหลายที่บังเกิดขึ้นในใจพร้อมๆ กัน ทั้งโมโห ทั้งเป็นห่วง แต่ทั้งหมดนั้นกลายเป็นเพียงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเทียบกับอารมณ์หวามไหวหลังจากปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ จ้อยมาที่นี่ เกี้ยวพาราสี เอ่ยชักชวนอย่างสามหาว ซึ่งด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง คงถูกเจ้าตัวปฏิเสธกลับไป แล้ว...
“ก็เลยมาพูดแบบนี้กับพี่หรือ” เขาเอ่ยสรุปเรื่องราวทั้งหมดออกมาเพียงประโยคสั้นๆ
“ครับ”
รู้สึกเหมือนถูกอะไรบางอย่างฟาดเข้ากลางกระหม่อมแรงๆ ขวัญสรวงกะพริบตาหลายครั้ง กลืนน้ำลายหนืดเหนียวลงลำคอ แล้วเงียบงันไปพักใหญ่
“ผมอยากนอนกับพี่ขวัญ”
“ใครพูดอะไรก็เชื่อไปเสียหมดเลยหรือ หรือไม่คิดว่าจะถูกจ้อยหลอกเอาบ้างเทียว” น้ำเสียงทุ้มนุ่มแข็งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โกรธจ้อยก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็คือโกรธที่อีกฝ่ายช่างไร้เดียงสาจนน่าตีให้เข็ดเสียนี่กระไร และที่โกรธที่สุด คงไม่พ้นตัวเองที่อยากจะตำหนิคนตรงหน้าให้เข็ดหลาบ แต่ใจนั้นสิ อ่อนยวบจนพูดอะไรไม่ออกได้เสียทุกครั้ง
ขวัญสรวงพ่นลมหายใจกรุ่นด้วยโทสะ ตัดบทด้วยน้ำเสียงระอิดระอาใจ “คนแบบนั้นไปเชื่อถือคำพูดได้กระไรกัน”
“ไม่ได้เชื่อไปทุกคน แต่พอลองคิดดูแล้วก็เห็นด้วย เพราะรู้สึกแบบนั้น”
หมายความว่า... ขวัญสรวงขึ้นประโยคคำถามนั้นในใจ แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยสิ่งที่อยู่ในความคิด อีกฝ่ายก็ชิงพูดขึ้น
“เรานอนกัน ได้หรือเปล่า”
สีหน้าเรียบเรื่อย ดวงตานิ่งเฉย ทว่ารวงแก้มนั้นกลับปลั่งเป็นสีผลหมากสุก คนตัวโตถึงกลับหยุดลมหายใจที่ได้เห็นภาพนั้น แต่ขวัญสรวงก็สู้อุตส่าห์ทำเป็นไม่เห็น กลั้นใจตอบปัดไปด้วยเห็นว่าไม่สมควรจะฉวยโอกาสจากความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
“ไม่ได้ เพราะว่าพี่ไม่คิดจะนอนกับน้อง”
ความสงัดเข้ามาแทนที่ทุกสรรพเสียง เงียบจนแม้แต่ผู้พูดก็ยังรู้สึกใจหาย
ขวัญสรวงเงยหน้าขึ้นด้วยความร้อนใจ เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่งอยู่ก็พูดอะไรไม่ออก เขาจะตอบว่ากระไรได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกัน ซ้ำยังรู้เรื่องรู้ราวกับคำพูดของตนแค่ไหน ชายหนุ่มไม่อาจมั่นใจได้เลย
ปีติในใจนั้นก็ใช่ แต่แล้วเป็นอย่างไร เขาก็จำต้องเก็บซ่อนเอาไว้ให้มิดเม้นด้วยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น...มิใช่หรือ
“เข้าใจแล้ว”
ในที่สุด ความเงียบงันอันน่าอึดอัดก็คลี่ออก ได้ยินแล้วขวัญสรวงก็ลอบถอนใจโล่งอก แต่ยังไม่ทันจะได้ผ่อนระบายความหนักอึ้งสักเสี้ยว คำถามใหม่กลับจู่โจมแทบจะทันใด
“แล้วเมื่อไรจะคิด”
“หา?” คนตัวโตร้อง
“ช่วยคิดเร็วๆ หน่อยได้ไหม”
อ้ำอึ้งอยู่สักพัก ขวัญสรวงก็ยืนยันคำปฏิเสธแข็งขัน “พี่หมายถึงไม่ ไม่แบบจะไม่เลย”
“ทำไม”
“เพราะเราทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไม”
คราวนี้ชายหนุ่มถึงกับถอนใจจนหมดปอด เขาควรจะพูดว่ากระไรเล่า
“รู้หรือเปล่าว่า ‘นอน’ มันหมายถึงอะไร” ขวัญสรวงถามกลับ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดื้อดึงตอบแทบจะทันที
“ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ประสาอะไรเสียหน่อย โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ทำไมจะไม่รู้”
ก็นั่นแหละที่เรียกว่าเด็ก ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง จับหัวไหล่ของอีกฝ่ายพลิกกลับมาเผชิญหน้า “น้องพี่ ความรู้สึกพวกนี้ มันเป็นเรื่องที่มีไว้สำหรับผู้ชายแบบเราๆ ใช้พูดกับผู้หญิง”
“แล้วผมพูดกับพี่ขวัญไม่ได้หรือ”
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผู้ชายกับผู้ชาย”
“เราแค่ยังไม่ได้ทำต่างหาก แต่ถ้าทำก็จะเป็นไปได้” เรียมลลิตรตรัสกลับ ไม่ลดละ “ที่ต่างประเทศ ผมเห็นผู้ชายกับผู้ชายคบกันตั้งมากมาย”
“นั่นก็ใช่ แต่เราสองคนอยู่เมืองไทย เราเป็นคนไทย เป็นผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน คนไทยถือว่ามันคือสิ่งแปลกประหลาด ไม่ใช่สิ่งที่ยอมรับได้แบบเมืองฝรั่ง”
“เหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้านั่นหรือ”
“เครื่องใช้ไฟฟ้า?” ขวัญสรวงทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
“ครั้งหนึ่งคนไทยก็ไม่เคยเห็นโทรทัศน์ ตู้เย็น พัดลม ทุกคนมองว่าประหลาด เป็นเหมือนเวทย์มนตร์ของภูตผี แต่ตอนนี้ทุกคนก็รู้จัก และเห็นว่าการมีโทรทัศน์ ตู้เย็น หรือมีพัดลมไว้ที่บ้านเป็นเรื่องปรกติ ส่วนใครจะไม่มีก็ไม่ใช่เรื่องที่ถือว่าแปลก มิใช่หรือ”
ทรงตรัสทีละคำๆ พลางทอดพระเนตรสีหน้าเคร่งเครียดของอีกฝ่ายด้วยท่วงทีสบายๆ
“อย่างการประกวดนางงาม สมัยก่อนก็เป็นเรื่องน่าละอาย รับไม่ได้ แต่วันหนึ่งก็คนไทยนี่เองมิใช่หรือที่ส่งนางงามไปประกวดเวทีเมืองฝรั่ง จนคุณอาภัสรา หงสกุลได้รับตำแหน่งนางงามจักรวาลกลับมา กลายเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาให้กับแผ่นดินไทย ทุกคนก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี ชื่นชมกันหลายวัน”
ความแยบคายเฉียบคมทำให้คนฟังได้แต่นิ่ง จนคำพูดจนแย้งไม่ออก ขวัญสรวงไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้มาก่อน ประหลาดใจจนไม่คิดว่าจะมีคนคิดแบบนี้
“นั่นก็จริง” เขายอมรับ
“ผมเห็นว่าประเทศไทยกำลังเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ต่อให้สิ่งนั้นเป็นการฝืนความเชื่อที่มีมานาน แต่ถ้าวันหนึ่ง ทุกคนได้รู้ความจริงว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรแบบที่คิดกันไปก่อนหน้า การที่ผมกับพี่ขวัญจะรักกันก็จะไม่ใช่เรื่องแปลก” เรียมลลิตรตรัสต่อเป็นจังหวะคงที่สม่ำเสมอ “อีกอย่าง สิ่งนี้ก็เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ใช่ความพยาบาทริษยา อยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ผมจึงไม่คิดว่าความรู้สึกผมเป็นสิ่งผิด”
น้ำเสียงนั้นไม่มีวี่แววของความอึดอัด ยังคงช้าเนิบ ดูเป็นการสนทนาปรกติทั่วไป คล้ายเป็นเรื่องง่ายๆ เหมือนการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ขวัญสรวงกลับปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้อยคำทั้งหมดทั้งมวลนั้นช่างไม่ต่างอะไรกับคมหอกนับร้อยพันที่พุ่งตรงเข้าทะลวงทะลุหัวใจ กำแพงความคิดที่สร้างขึ้นเสียแน่นหนาก่อนหน้านั้น พังภินท์ลงจนแทบไม่มีเหลือ แต่ละถ้อยคำที่เอ่ยจึงไม่ได้เต็มน้ำเสียงอย่างทุกครั้ง
“ใช่ว่าทุกคนจะรับได้”
“นั่นก็ใช่ครับ แต่คนไทยเป็นคนมีเหตุผล เมื่อเข้าใจก็จะยอมรับสิ่งใหม่ๆ เหล่านั้นเช่นเดียวกับที่ชาวต่างชาติยอมรับ ผมเชื่อว่าสักวัน ความรู้สึกระหว่างผู้ชายกับผู้ชายจะกลายเป็นเรื่องปรกติ เหมือนการประกวดนางงาม เหมือนการมีเครื่องใช้ไฟฟ้า มีรถยนต์หรือเรือยนต์ในบ้าน”
ขวัญสรวงมองใบหน้าของอีกฝ่าย พินิจพิจารณา ปรกติแล้ว ชายผู้นี้มีวิธีพูดที่แตกต่างจากทุกคนที่เขาเคยรู้จัก นั่นคือการพูดผ่านดวงตา แต่ในครั้งนี้อีกฝ่ายกลับเลือกที่จะใช้คำพูดในการสื่อสาร นั่นคงเป็นเพราะว่าเหตุผลเหล่านี้นั้นมีความจำเป็นและเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเจ้าตัวอยู่ไม่น้อย ข้อนี้เองทำให้ชายหนุ่มตระหนักว่าความรู้สึกที่ต้องการเผยให้เขารับรู้นั้นเป็นเรื่องที่จริงจังเพียงไร หากแต่เขาที่ผ่านโลกมาเยอะกว่า ความอาวุโสของประสบการณ์ชีวิตทำให้ชายหนุ่มไม่อยากไว้วางใจ
“พี่เองก็เชื่อว่าสักวันคงเป็นเช่นนั้น ถึงเราจะยังไม่รู้จุดสิ้นสุดของระยะเวลาที่ว่าก็ตามที” เขาพูด “แต่เรียมเอย น้องเป็นคนไหวพริบดี ซื่อตรงต่อความรู้สึกกว่าใคร แต่น้องก็บริสุทธิ์นัก เราสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ความรู้สึกของน้องอาจเพียงเกิดขึ้นชั่วครู่ ไม่ได้หล่อหลอมผ่านกาลเวลา สั่งสมจนมั่นคงดุจหินผา จะแน่ใจได้อย่างไรว่าน้องรู้สึกแบบนั้นต่อพี่จริงๆ ไม่ใช่แค่อารมณ์หวั่นไหว”
ทั้งที่ลึกๆ ในใจก็หวาดกลัวกับความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่ขวัญสรวงก็จำกลั้นใจ ซ่อนความรู้สึกหวามไหวในใจของตนเองเอาไว้ใต้ความสุขุมแน่นิ่ง จวบจนกว่าจะมั่นใจแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้มันเล็ดลอดออกมาทำร้ายทั้งตัวเอง และคนที่เขาห่วงใยกว่าใคร
เห็นอีกฝ่ายสบตานิ่ง เจ้าของเสียงทุ้มกังวานก็ทั้งปรามและท้วงให้สะกิดใจอีกครั้ง “น้องเป็นคนดื้อ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่เคยแพ้ก็จริง แต่โปรดอย่าแข็งกล้าเสียจนไม่รู้จักกลัวต่อสิ่งใดแบบนี้เลย พี่ไม่สบายใจ”
“ใจร้าย”
หากแต่ครั้งนี้ ยากเย็นเหลือเกิน
“พี่เปล่า ไม่เคยแม้แต่จะคิดสักครั้ง” เขาตอบคำสัตย์
“ใจร้าย”
ยากจริง...ยากมาก และยากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะทนกับแววตาและน้ำเสียงแบบนั้นได้นานสักแค่ไหนกัน
“เข้าใจแล้ว ไม่ต้องมาพูดกัน” มือเล็กๆ แกะอ้อมแขนที่โอบรอบของเขา แต่ขวัญสรวงกลับดื้อแพ่ง ยิ่งกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น
“เข้าใจว่าอะไร”
“เข้าใจก็แล้วกัน”
“ก็แบบนี้แหละที่ไม่เข้าใจ ฟังก่อน ฟังพี่” จากโอบประคองหลวมๆ ขวัญสรวงออกแรงกอดจนแน่น เต็มแขนทั้งสองข้าง
“ไม่ฟัง ปล่อยนะ”
“ไม่ ยังไงก็ไม่ปล่อย จะกอดมันแบบนี้แหละ”
เขาปฏิเสธชัดถ้อยชัดคำ แต่เมื่อเห็นดวงตาหวานสวยคู่นั้นมีหยาดน้ำฉ่ำคลอขึ้นมา ส่วนแข็งในใจก็พลันโอนอ่อนโดนไม่รู้ตัว เผลอเผยความรู้สึกส่วนลึกออกมาทั้งหมด
“เรียม...พี่ไม่ได้ใจร้าย ไม่เคยคิดรังแกน้ำใจเจ้า ขอให้เจ้าโปรดรับรู้ไว้เถิด ความรู้สึกของพี่นี้ห่างไกลเกินกว่าความชอบ มันอาจไกลเกินที่เจ้าเคยคะเนถึง เพราะพี่รัก...รักเจ้าคนเดียว รักแบบที่ไม่เคยรักใคร”
(ยังมีต่อครับ)