มาแล้วๆ หลังจากปิดปีใหม่ไปได้ซักพักนึง ^^ มาต่อกันเลยครับ ตอนนี้แอบยาวหน่อยนะครับ^^ตอนที่ 9
เคยเป็นไหม กับการที่ต้องอดทนกับเรื่องบางเรื่อง เราไม่สามารถเล่าหรือว่าพูดให้คนคนนั้นฟังได้ ผมได้แต่คิดว่าการที่ได้อยู่ใกล้ชิดดูแลและคอยรับใช้ให้กับผู้เป็นพ่อนั้น สำหรับผมมันมากเกินพอ จนบางครั้งแทบอยากจะลืมความคิดที่จะเปิดเผยความจริงออกมา แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะลืมแม่ไปได้ในระยะเวลาสั้นๆอย่างนี้ จริงๆแล้วผมก็รู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ดูแลแม่ ผมคงถูกคนอื่นมองว่าเป็นลูกไม่เอาไหนเลยไปแล้วสินะ
“น้องเน ตื่นได้แล้ว นี่สายแล้วนะ”
“อืมครับๆ พี่เลียงเนกำลังตื่น” ผมงัวเงียตอบพี่ลียงสุดหล่อที่ใส่สูทนั่งอยู่ข้างเตียงนอนห้องผม
“รีบๆตื่นเข้าเถอะ จะได้ไปกินข้าว ”
“ครับๆ ตื่นแล้ว เห็นรึยัง นี่ไงเนลืมตาแล้ว พี่เลียงไปรอข้างนอกก่อนนะ เนขออาบน้ำแต่งตัวแปปเดียว”
“อ้าวทำไมหละ พี่เลียงขอนั่งรอที่เตียงนี่ไม่ได้หรอ”
“อ้าว ซะงั้น แปลกๆนะพี่เนี่ย ทุกวันไม่เห็นอยากจะมารอเลย”
“ใครว่าไม่อยากมารอ แต่พี่นี่ถูกใช้ให้ไปนั่นบ้าง โน่น นี้บ้าง แต่วันนี้นายท่านให้ไอ้หยวนไปแทนพี่ ก็เลย...”
“ก็เลย…. ว่าง ว่างั้น”
“อืม”
พี่เลียงก็ตอบออกมาพร้อมกันกับรอยยิ้มที่ไม่เผยฟัน แอบเผยลักยิ้มออกมา ดูแล้วก็ อืม โอเค ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิอยาก
จะรอก็รอ ผมไม่ถืออยู่แล้ว ผู้ชายด้วยกันนี่นา
ผ่านไป 20 นาทีในการอาบน้ำของผม ผมเตรียมเสื้อกล้าม กางเกงใน บล็อกเซอร์ ไปใส่ในห้องน้ำด้วยเรียบร้อยแล้ว ผมเดินออก
มาจากห้องน้ำ ทันทีที่เปิดก็พบเสื้อผ้าหนึ่งชุดเตรียมไว้ให้แล้ว
“เป็นไงมั่งเน นายท่านเป็นคนให้พี่จัดหามาให้เนเองแหละ”
“ชุดนิสิต!”
“อืมใช่ ซื้อตัวใหม่มาให้เพราะนายท่านบอกมาว่าตัวเดิมมันใหญ่ไปหน่อย ดูแล้วเหมือนเด็กใส่เสื้อผู้ใหญ่”
“เปล่าซะหน่อย นายท่านพูดเกินไป ผมเป็นคนตัวเล็กต่างหาก ไม่ใช่เด็กอย่างว่านะครับ”
“เอาเถอะ มาๆพี่จะช่วยใส่ให้”
“ครับ”
ผ่านไปอีก 10 นาทีผมก็แต่งตัวเสร็จ พอหันไปส่องกระจกแค่นั้นแหละ พระเจ้าช่วย นี่เป็นผมหรอเนี่ย น่ารักมาก ขอชมตัวเอง
หนึ่งวัน บางทีผมต้องพิจารณาการใส่เสื้อผ้า รึแม้กระทั่งสิ่งของที่มันเข้ากับผมอย่างลงตัวแล้วหละ ผมเดินออกจากห้องมุ่งไปที่
ห้องครัวนั่งกินข้าวกับพี่เลียงสองคน ไม่นานก็เสร็จ พร้อมที่จะเดินทางไปมหาวิทยาลัยแล้ว ระหว่างนั่งรถไปมหาวิทยาลัย จน
เกือบใกล้จะถึงผมเลยตัดสินใจพูดออกไป
“คุณวิน วันนี้ผมจะกลับช้าหน่อยนะครับ ”
“ทำไมต้องกลับช้า!”
นี่คือบุคลิกของพี่วินไปซะแล้วแหละมั้ง เวลาคัยกับผมแต่ละทีถ้าไม่หันมาตะคอก ก็จะถามออกมาทั้งๆที่ไม่หันหน้ามามอง ดู
เหมือนจะเป็นการบังคับให้ตอบมากกว่า
“รุ่นพี่ที่คณะ จะนัดแนะกิจกรรม น้องใหม่ที่จะเริ่มในสัปดาห์หน้าครับ”
“ไม่เป็นไร ฉันรอได้”
“ฮะ!”
“หุบปาก ไม่ต้องมาทำหน้าสงสัย ถึงคณะแกแล้วลงไปเร็วๆ”
“ขอบคุณครับ”
วันนี้วันอะไรกันเนี่ย ทำไมพี่วินยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดนี้ ไม่รู้ซินะแต่ผมสัมผัสได้ว่าพี่เค้าไม่เหมือนเดิม ใจเย็นลง
มาก หรืออาจจะเป็นแค่ฉากละครที่เค้าพยายามแสดงออกมาในมหาวิทยาลัย
“เน มาแล้วหรอ นี่ถามหน่อยนะ นายเป็นอะไรกับรุ่นพี่ลูกชายมาเฟียสุดหล่อคนนั้น”
“ถามทำไมหรอน้ำ”
“เปล่า แค่อยากรู้ ฉันไม่สบายใจที่เห็นสายตาคนอื่นๆตั้งคำถามมาที่แก เวลาแกอยู่ใกล้รุ่นพี่คนนั้น”
ผมละสายตาที่มองน้ำ แล้วกวาดสายตาหันมามองคนที่อยู่ในบริเวณนั้นรอบๆตัวผม ทุกๆคนเป็นอย่างที่น้ำพูด สายตาแบบ
นั้น ท่าทางสงสัยแบบนั้น กำลังมุ่งมาที่ผม
“น้ำ เราอยากไปจากตรงนี้แล้ว”
“เออๆ ไปก็ไปสิ ปล่อยให้เค้ามองไปเถอะ เย็นนี้พี่คณะนัดที่ลานกิจกรรมหน้าตึกนะ”
“อืมๆ รู้แล้วหละ ”
การเรียนวันนี้ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเมื่อวานให้น่าปวดหัว วันนี้ผมเรียนได้ดีเข้าหัวทุกอย่าง อาจจะเป็น
เพราะเป็นวิชาตอนมอปลายที่ผมเคยเรียนมาแล้ว มันเลยดูง่ายขึ้นมามาก จากวิชาแรก ไปเป็นวิชานึง อย่างรวดเร็วจริงๆ เวลา
ตั้งใจเรียนรึว่าเรียนวิชาที่ตัวเองชอบมันมักจะผ่านไปเร็วเสมอสินะ รึเปล่า
จนเวลาดำเนินมาถึงตอนเย็น ผมกับน้ำมารอที่ลานกิจกรรมหน้าตึกคณะพร้อมเพื่อนๆคนอื่นๆ ไม่นานนักรุ่นพี่คณะก็เดินเข้ามา
เปิดประชุมทันที ผมหันไปมองหาพี่บิลัน แต่ก็ไม่เห็นจะมีวี่แววว่าพี่เค้าจะมา
“เนๆ มองหาใครหรอ”
“เปล่าๆ ไม่มีอะไร”
“นั่นไง กำลังมองหาพี่บิลันอยู่ใช่ไหมหละ ฮ่าๆๆ มิน่าหละพี่บิลันถึงได้กำชับฉันมาบอกแกว่า พี่เค้ามาเข้ามาร่วมฟังประชุมช้า
หน่อยนะ เพราะติดธุระ”
“อ้อๆ อย่างนั้นหรอกหรอ”
ผมตอบน้ำไปพร้อมกับหันหน้ามาตั้งใจฟังพี่ประธานจักกิจกรรมของคณะ
“……….ครับแล้วก็ วันกิจกรรมที่จะถึงนี้ เราจะร้องน้องคณะด้วยนะครับ แต่เป็นการรับน้องของทางคระเราเองเนาะ แต่ไม่ต้องกลัว
ไปนะครับ ทางคณะของเราไม่จัดงานรับน้องที่โหดๆแน่นอนครับ ส่วนเรื่องอื่นๆ ใกล่ถึงวันแล้วพี่จะมาแจ้งอีกครั้งนะครับ ขอบคุณ
ครับ มีน้องๆคนไหนสงสัยอะไรไหมครับ”
“………”
“ถ้าไม่มีแล้ว พี่ขอปิดการประชุมครั้งนี้ครับ”
“แป๊ะๆๆๆๆๆๆ”
เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากพี่ประธานได้กล่าวปิดประชุมไป ผมหันหน้ากลับไปข้างหลังก็พบว่ามีคนจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
และเป็นเพื่อนที่คณะด้วยกำลังมองมาด้วยแววตาแน่นิ่งก่อนจะยิ้มที่มุมปากนิดๆให้ผมอย่างเป็นมิตร
แต่ผมก็ต้องหยุดโฟกัสไว้ที่เพื่อนคนนั้น เพราะข้างหลังเพื่อนคนที่มองผม กลับปรากฏเป็นชายร่างเล็กเท่าผม ถูกชายหน้า
ตาหล่อสูงสองคนจับแขนล็อคตัวคนละข้าง และถ้าผมมองไม่ผิดเพื่อนร่างเล็กคนนั้นกำลังขัดขืนอยู่ และถูกพาตัวผ่านไปทางหลัง
ตึกเรียนรวมแห่งนั้น
“น้ำๆ เดี๋ยวฉันมานะ”
ผมหันไปบอกเพื่อนสาวแล้วรีบลุกตามไปที่ตึกเรียนหลังนั้น โดยไม่ได้ฟังคำทักท้วงของน้ำที่ดังตามหลังมา ผมเดินมาตาม
ทางที่พวกนั้นพาเพื่อนร่างเล็กมาที่นี่ สิ่งที่ผมเดินมา ท้องฟ้าเริ่มมืดเพราะนี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว อาคารเรียนหลังนี้ก็อยู่ลึกจนเกินไป
และเปลี่ยวมาก ที่สำคัญตอนนี้ไม่มีนักศึกษาคนไหนอยู่บริเวณนี้เลย ผมเดินตามมาจนถึงที่หน้าตึกนี้ ใจนึงก็กลัว ใจนึงก็อยากจะ
ช่วยเพื่อนคนนั้น แต่ช่วงเวลานั้น
“ปล่อยกู! …….ฮือๆ ปล่อยยยยยย”
เสียงร้องไห้ได้ดังลงมาจากชั้น 4 ของตึกนี้ ถึงมันจะเบามากแต่แถวนี้ตอนนี้มันเงียบสงัด ซะจนผมได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง
เต้น ผมรีบวิ่งขึ้นไปอย่างเร็วและให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้พอผมขึ้นมาผมก็ต้องกลัวกับบรรยากาศที่ทั้งมืดและไม่มีแสงไฟ ถ้า
ผมเปิดไฟตอนนี้ พวกนั้นต้องผิดสังเกต และสงสัยขึ้นมาแน่นอน
“ทำไงดีนะเรา จะช่วยยังไงดี”
พอผมไปถึงที่เท่านั้นแหละ สิ่งที่ผมเห็นถึงกับต้องสลดใจอย่างมาก เพื่อนร่างเล็กถูกปรนเปรอด้วยลิ้นของสองหนุ่มที่กำลัง
ตอบสนองความต้องการของตัวเองไม่ต่างจากสัตว์ที่มันถึงฤดูผสมพันธุ์
“ปล่อยกู ปล่อย ฮือๆ พวกมึง มันก็ดีแต่ได้ ข่มขู่คนไม่มีทางสู้” เสียงของเพื่อนร่างเล็กพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง
พอกันทีผมทนไม่ได้แล้ว ต้องช่วยเพื่อนคนนี้ซะแล้ว
“หยุดนะ พวกพี่จะทำอะไรหนะ”
ได้ผล เสียงที่ผมพูดออกไปมันทำให้ชายสองคน หน้าตาหล่อเหลา หันมามองที่ที่ผมยืนอยู่
แต่คิดไปอีกทีนี่ผมกำลังหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว“นาย……………เป็นใคร” เสียงเย็นยะเยือกที่ผิดกับมนุษย์ปกติที่จะเป็น แต่ผมชินซะแล้ว ถึงแม้ว่าจะยังกลัวๆอยู่บ้าง แต่พวกนี้ยังน่ากลัวไม่สู้พี่วินนักหรอกนะ
“เป็นใครไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ พวกพี่กำลังทำร้ายเพื่อนผมอยู่” ผมตอบชายสองคนตัวสูง เกือบ 190 ไปอย่างกล้าๆกลัวๆ ใน
ความมืด
“เพื่อนหรอ ฮ่าๆๆ นี่เพื่อนแกอย่างนั้นหรอ ว้าว ฮ่าๆๆๆ”
ชายที่ส่งเสียงหัวเราะ เดินไปที่สวิตไฟพร้อมเปิดไฟ เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็ปรากฏต่อหน้าผม เพื่อนที่ผมขึ้นมาช่วย
เหลือเสื้อผ้าแค่ชิ้นเดียว นี่ถ้าผมขึ้นมาไม่ทันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
“อืม ฉันเองก็งงๆอยู่ว่า ทำไมร้อยวันพันชั่วโมงที่มาเรียนที่นี่ ไม่ยักกะเห็นจะมีใครกล้าที่จะเข้ามาขัดขวางการเล่นเกมส์ของเรา
ได้ แต่นาย เป็นคนแรกที่ทำ ว้าว น่ารักไม่เบานี่ ไงสนใจมาเป็นของเล่นของพวกเราหน่อยไหม” เสียงและคำพูดของรุ่นพี่หน้า
ตาหล่อเหลาคนนี้ มันทำให้ผมเกลียดที่สุด
“หยาบคายที่สุด ทำไมถึงเป็นคนแบบนี้ พวกพี่ยังมีความเป็นคนอยู่รึเปล่า”
“ฮ่าๆๆๆว้าว เอส ฟังสิเพื่อน น้องน่ารักคนนี้กำลังสั่งสอนเรา” ชายที่เดินไปเปิดไฟเมื่อกี้หันไปหาเพื่อนอีกคนที่ไม่ค่อยพูดเท่า
ไหร่ แต่แววตาที่มองมามันน่ากลัวมากๆ ก่อนจะพูดออกมา
“เอาหละนะ ฉันถือว่านายกล้าหาญมากที่ขึ้นมาช่วยเพื่อนนายถึงที่นี่ แต่จะบอกอะไรให้นะว่า พอยซันไอวี่ อย่างพวกเรา จะไม่
ยอมให้ใครหน้าไหนเอาความลับนี้มาฉีกหน้าพวกเราเป็นอันขาด” ชายที่ชื่อเอสพูดขึ้นมาหลังจากยืนนิ่งอยู่ซักพัก
“พอยซันไอวี่! อีกแล้วหรอ ” ผมตกใจจนถอยหลังไปสองก้าวไปอัตโนมัติ
“ขอโทษทีนะที่ทำให้ตกใจ ไงเด็กน้อย พอรู้ว่าเราเป็นใครแล้วยังจะอยากช่วยเพื่อนคนนี้อยู่อีกรึเปล่า เอาหละนะวันนี้ฉันใจดี
มาก ฉันมีข้อเสนอให้นายสองอย่าง อย่างแรก ฉันจะปล่อยให้นายกลับไปซะแต่มีข้อแม้ว่าห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร สองก็คือ
ถ้านายยังยืนกรานที่จะช่วยเพื่อนนายคนนี้อยู่หละก็ ฉันก็จะให้ไป แต่วันหลังถ้าฉันคิดอยากจะ ทำ อะไร ที่ สนุกๆขึ้นมานายต้อง
มาทุกเมื่อเข้าใจไหม” เอสพูดต่อขึ้นมา
“ไม่นะเอส เราจะแย่ได้นะ ถ้าปล่อยเด็กพวกนี้ไป”คนที่ชื่อเซฟเอ่ะอ่ะขึ้นมา
“ใจเย็นเซฟ เพื่อนรัก ไม่มีใครกล่าวหาเราได้ เรายิ่งใหญ่แค่ไหนใครๆก็รู้ ถึงทุกคนจะเชื่อจริงๆแต่ก็ทำอะไรเราไม่ได้อยู่ดี ”
“ผมไม่มีทางหลงกลพวกพี่หรอกนะ ผมรู้ดีถึงแม้ผมจะต้องเลือกซักข้อ แต่สุดท้ายยังไงซะผมก็หนีไม่พ้นกำมือของพวกพี่หรอก
เพราะพวกพี่มันไม่ใช่คน”
“ฮ่าๆ เอสฟังสิ เด็กคนนี้ฉลาดไม่เบา”
“นั่นสินะ โจเซฟ ฉันว่าเราปล่อยเด็กคนนี้ไปไม่ได้แล้วหละ เข้าไปจับมันเร็ว”เอสร้องสั่งให้เซฟเข้ามาจับผม ผมแทบจะหันหลัง
กลับวิ่งลงบันไดไปไม่ทัน ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะรนหาที่ตายอีกแล้วเพียงเพราะอยากจะช่วยเพื่อนคณะตัวเองเท่านั้น แต่ผมก็
ต้องหยุดคิดและหยุดวิ่งจากชายร่างสูงที่ยืนอยู่ทางลงบันได
“หยุดนะ!”
ชายคนนั้นส่งเสียงดังขึ้นมาก่อนจะวิ่งสวนผม ไปยังทางพวกพอยซันไอวี่ นั่นมันนายคนนั้นหนิ คนที่ผมเคยหันไปมองเค้า
ก่อนจะเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ อย่าบอกนะว่าเค้าตามผมมา ไม่นะเค้ากำลังจะได้รับอันตราย เขาไม่รู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่
“อย่ายุ่งกับเค้า แล้วปล่อยเพื่อนผมมาได้แล้ว”
นายคนนั้นยืนพูดต่อหน้าพวกพอยซันไอวี่ แล้วชี้ไปที่ชายร่างเล็กที่พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นมาหลังจากจัดใส่เสื้อผ้าแล้ว
“อยากตายหละสินะ พ่อฮีโร่ เซฟเพื่อนรัก จับมัน”เอสบอกเชฟ
พอพูดถึงแค่นั้น ผมก็เห็นเหตุการณ์ตรงหน้านายคนนั้นถูกเซฟเล่นงานอย่างหนัก ส่วนเอสกำลังเอาคว้าไม้แถวนั้นจับขึ้นมาก่อน
จะลงมือฟาดไปที่หลังขาอย่างแรง ในขณะที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย
“พลัวะ ”เสียงดังมาจากแรงกระแทกของท่อนไม้ที่ฟาดลงหลังขาอย่างแรงจนนายคนนั้นเข่าทรุดลงทันที
“ไง พ่อฮีโร่ ทีนี้เห็นรึยังหละว่าการแส่หาเรื่อง มันไม่ดีเอาซะเลย แต่เอาเถอะวันนี้พวกเราใจดี และอีกอย่างกลุ่มของเราไม่มีความ
คิดที่จะฆ่าคนหรอกนะ อย่างดีก็……..”เอสก้มลงไปจับคางเพื่อนคนนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินลงบันไดไป
“ฮ่าๆๆ ก็ เชือดเชือนแกทีละนิดๆ ฮ่าๆ ขอโทษทีนะที่ต้องพูดต่อเอสให้จบ ไม่ชอบค้างคาไปแล้วพวกฮ่าๆๆ” เชฟพูดขึ้นพร้อมกับ
เสียงหัวเราะที่น่าหมั่นไส้ที่สุดในสามโลก
ผมวิ่งพรวดเข้าไปหาเพื่อนคนนั้นทันที
“นายๆ เป็นไงบ้าง เจ็บขามากไหม”ผมถามเพื่อนคณะด้วยกันอย่างเป็นห่วงจริงๆ
“ไม่ต้องห่วงเรา ไปช่วยนนท์แทนเราทีเถอะ”
เพื่อนคนที่เจ็บอยู่นี้ ชี้ไปที่ชายร่างเล็กที่ชื่อนนท์ ผมทำตามที่เค้าบอกก่อนจะลุกขึ้นไปหานนท์
“นาย ไม่เป็นไรนะ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน! ” เพื่อนใหม่ที่ชื่อนนท์ตวาดเสียงดังทำเอาผมนี่ตกใจทีเดียว
“นนท์ ทำไมไปตวาดเพื่อนหละ เขาเสี่ยงมาช่วยนนท์นะ และที่เกอร์มาช่วยนนท์ได้ ก็เพราะตามเพื่อนคนนี้มานะ”
“เกอร์หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ นนท์บอกเกอร์กี่ครั้งแล้วว่าอย่าพยายาม ยังไงซะเล่นกับพวกพอยซันไอวี่ก็มีเจ็บตัวเปล่าๆ ทำไมไม่
ปล่อยนนท์ไปให้มันซะเรื่องจะได้จบ”
“อย่านะนนท์ ถ้านนท์จะทำแบบนั้น ปล่อยให้มันฆ่าเกอร์ตายซะดีกว่า”
“ฮือๆ ฮือๆ นนท์เกลียดเกอร์ที่สุดเลย! เกลียดๆๆ”
ผมที่เป็นคนกลางยืนมองพวกเค้าสนทนากันไปสนทนากันมา แล้วเพื่อนที่ชื่อนนท์ก็วิ่งลงบันไดไป แล้วเพื่อนที่เจ็บขาหละ
ผมต้องช่วยเค้าก่อนแล้ว จะทิ้งไปแบบนี้ไม่ได้หรอก เจ็บขาอยู่อย่างนี้มีหวังเดินลงบันไดเกิดล้มลงไปอีกทำไงได้ นี่มันชั้น 4
เชียวนะ อีกอย่างก็มืดแล้วด้วย
“นายไหวไหม”
“เราโอเค ขอโทษแทนนนท์ด้วยนะ ”
“ไม่เป็นไรเราไม่ถือหรอก มาเดี๋ยวช่วยพยุงนะ”
“ขอบใจมากนะ นายเป็นเพื่อนที่ดีมากเลย เรามองคนไม่ผิดจริงๆ เราป๊อกเกอร์ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“อืมๆ เราเนนะ เอาหละเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเราจะถือซะว่าเราไม่รู้เรื่อง และจะไม่ถามด้วยว่าระหว่างพวกนายสองคนกับแก๊งค์
ปีศาจ เรื่องราวเป็นมายังไง แต่ตอนนี้เราต้องรีบกลับบ้านแล้วหละ”
“ฮ่าๆ นี่ไปเรียกกลุ่มเค้าแบบนั้นไม่กลัวว่าเค้าจะได้ยินรึไง”
“เฮ้อ เราปลงแล้วหละนะ ไม่รู้สิตลอดเวลาที่ผ่านมาเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้เราก็เจอมาแล้ว มันเป็นตัวสอนให้เราเริ่มรู้จักเข้ม
แข็งอีกด้วย”ผมตอบยิ้มกลบเกลื่อนความเศร้าหมองของตัวเอง
“ดูท่า นายคงจะผ่านอะไรมาไม่น้อยเลยนะ”
“คงงั้นมั้งป๊อกเกอร์ ปะ! ลงกันเถอะเดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้”
ผมพยุงพาป๊อกเกอร์ลงมาจนถึงหอพักนักศึกษา ถ้าผมอยู่หอพักเหมือนกันกับเพื่อนๆคนอื่นๆก็คงจะดีสินะ จะได้มีเพื่อนคุย
เพื่อนเล่น อย่างน้อยๆตอนนี้ก็มีน้ำ กับป๊อกเกอร์นี่แหละ
“ส่งเราแค่นี้แหละเน ขอบใจมากพรุ่งนี้คงได้เจอกันที่คณะ”
“อืมๆ ว่าแต่เดินดีๆนะ เดี๋ยวล้มลงไปอีก”
“ฮ่าๆ ขอบใจมาก นี่ถ้านนท์เค้าเป็นห่วงเรา เหมือนกับที่เนห่วง คงจะดีกว่านี้”
“อืม เราไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน แต่ที่สำคัญคือการให้อภัยนั้นดีที่สุด มันผ่านไปแล้วปล่อยให้มันผ่านไป เริ่มต้น
ชีวิตใหม่ยังไม่สาย”
“โห เนไปบวชได้เลยนะเนี่ย”
“ตลกแล้วป๊อกเกอร์ กลับเข้าหอดีๆนะแล้วเจอกัน”
“ไอ้เน!”
“พี่ชีวิน”
ผมตกใจมาก มองหันไปที่ต้นเสียงพี่เค้ายืนอยู่ห่างผมไปแค่ 10 เมตรเท่านั้น เอาแล้วไงพี่ชีวินมา แล้วพี่เค้ามาได้ยังไง ในตอนนี้ความเป็นมาเฟียในตัวเค้ามันจับราสีไปหมด มันหน้ากลัวมาก พี่ชีวินเดินเข้ามาพร้อมกับกระชากแขนผมแล้วบีบที่ข้อมือผมแน่นจนผมเจ็บ
“ไอ้บัดซบ พ่อฉันให้แกมาเรียนที่มหาวิทยาลัย เพื่อมาหาสามีใหม่หรือไง” ผมพูดไม่ออก มันจุกที่อก
“คุณวิน”“ทำไม รึว่าฉันพูดถูก หึ มีพ่อฉันคนเดียวยังไม่พออีกหรือไง ถึงได้มาอ่อยให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อ เลวสิ้นดี” พี่ชิวินตะคอกใส่หน้าผมอย่างคนโมโหสุดขีด จนผมตกใจกับอารมณ์ครั้งนี้ของพี่ชาย
“เอ่อพี่ครับ ผมว่าคุยกันดีๆก่อนนะครับ”ป๊อกเกอร์พูดขึ้นมา
“อย่าแส่เรื่องคนอื่น ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ทำไม! ที่มหาวิทยาลัยคนน้อยไปรึไง ทำไมถึงต้องมาแย่งของๆคนอื่น”
ของของคนอื่นหรอ ใครเป็นของของใคร ผมรึเปล่า
“เอ่อ พี่ครับไปกันใหญ่แล้ว ผมกับเนเป็นแค่…..”ป๊อกเกอร์จะพูดต่อแต่ก็ไม่ทัน
“หุบปาก จะเป็นอะไรไปได้นอกจาก……….”พี่ชีวินหันหน้ามามองผมก่อนจะพูดคำคำนี้ออกจากปาก
“คู่สำส่อนซ่อนเงื่อน แต่เสียดายที่มันถูกเปิดเผยออกมาก่อน กลับบ้าน!”
จากนั้นพี่ชีวินก็ลากแขกผมกลับขึ้นรถไป ผมหันหน้าไปหาป๊อกเกอร์ที่ให้กำลังใจแค่ชูสองนิ้วขึ้นมาบอกให้รู้ว่า สู้ๆ แค่นั้นเอง แต่อยากจะแย้งนิดหนึ่งทำไมพี่ชีวินถึงชอบพูดจายัดเยียดผมให้กับพ่อด้วย ทั้งๆที่พ่อเคยบอกไปแล้วหนิว่ารับผมมาเลี้ยงเพราะเอ็นดูเท่านั้นเอง รึว่าพี่ชายยังไม่พอใจในตัวผมอยู่อีกหรอ ตลกสิ้นดีพี่วินคิดแบบนี้ก็ไม่แปลกหรอก เค้ายังไม่รู้นี่ว่าผมกับพ่อเป็น พ่อลูกกัน ไม่ใช่อย่างที่พี่ชีวินคิดหรอกนะ
ประโยคตัวสีแดงนั้นไม่มีอะไรหรอกครับแค่ เป็นประโยคที่อยู่ใน Intro เท่านั้นเอง^^