จิ่นสือจากไปครู่หนึ่งข้าจึงสงบอารมณ์รวดร้าวลงได้ ยามกลับเข้ามาในห้องบรรทมที่คุ้นเคยเฝ้าพิศมองในห้องอย่างละเอียดลออ ไม่มีสิ่งใดถูกเคลื่อนย้ายโดยพลการทุกอย่างยังคงอยู่ดั่งเดิมเหมือนที่เคยเป็น หย่อนตัวลงนั่งข้างเตียงหันกลับมามองร่างงดงามที่กำลังหลับใหลก็พลันถอนหายใจคราหนึ่ง
“จะแสร้งหลับไปทำไม ลืมตาขึ้นมาคุยกันเดี๋ยวนี้” เจ้ากระต่ายน่าชังสะดุ้งทันทีที่ถูกจับได้ คิดจะเสแสร้งต่อหน้าข้าหรือ...เร็วไปพันปี กลแสร้งนิทรานี้ข้าฝึกฝนฝีมือมากี่ปีจนเลิศล้ำมีหรือเด็กเพิ่งตั้งไข่หัดเดินจะหลอกตาข้าได้
“ท..ท่าน” คนงามผู้หนึ่งทำสีหน้าสะดุ้งตกใจได้น่ารักถึงเพียงนี้เชียว ด้วยท่าทางเช่นนี้คงเด็ดเอาใจคนได้ทั้งปฐพีเลยกระมัง อ้อ ยกเว้นข้าไว้ผู้หนึ่ง ข้ามองดูอย่างเฉยชาตอบกลับอย่างรำคาญเพียงสองคำ
“ข้าเอง”
“ท..ท่านแกล้งข้าหรือ” สีหน้าราวมุสิกน้อยถูกแมวเหมียวร้ายกาจรังแกนี่มันอะไรกัน ใบหน้าข้าก็ทำสีหน้าเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? ข้าเผลอเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ เจ้าหนูร้ายกาจชี้นิ้วสั่นระริกไปที่ชามยาข้างเตียง ข้ายักคิ้วคราหนึ่งตอบอย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“ใช่ ข้าแกล้งเจ้า”
“ท...ท่านทำไม..ใจร้าย” ข้าหัวเราะร่วน...ข้าหรือใจร้าย... กลอกตามองด้านบนสองสามทีจึงค่อยสงบใจเอ่ยประโยคตอบกลับเขาได้
“เพราะเจ้าใจร้ายกับข้าก่อน”
“ข..ข้า..ม..” ข้าถอนหายใจหนักๆอีกครา มิอาจทนมองร่างกายตัวเองแสดงท่าทีราวกับลูกเต่าน่าเวทนาเช่นนี้ ความอดทนที่อุตส่าห์รวบรวมมาสิ้นสุดลงง่ายดายต่อหน้าศศกน่าชังบนเตียง
“จะติดอ่างอีกนานหรือไม่ ข้าไม่ใช่ภูตผีเจ้าจะขลาดกลัวอันใดกันนักหนา หากเจ้ายังเป็นลูกเต่าหดหัวทำตัวน่าสงสาร ไม่ต้องรอให้ข้าเปิดโปงเจ้าทุกคนในวังก็คงรู้ได้เอง!”
“ข้า..ข้า..” ไม่รอให้เขาแสดงท่าทีน่าสมเพชต่อ ข้าพลันตัดบทขึ้นมาเสียก่อน
“ข้ามีนามว่าเหวินฉีลี่ฉาง เป็นผู้เลิศล้ำอันดับหนึ่งแห่งตำหนักหมื่นวสันต์ อายุสิบสองเจนจบศาสตร์แลศิลป์ ข้าเกลียดความพ่ายแพ้ ไม่ชมชอบการเป็นรองผู้อื่น ข้าไม่ก้มหัวให้ใคร ไม่เคยกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ใครดีมาข้าย่อมดีตอบ ใครร้ายมาข้าจะร้ายคืนร้อยเท่าพันทวี ผู้เลี้ยงดูข้าคือท่านเหมยคนที่รักษาเจ้า ข้าเป็นคนรักของหวงตี้รัชกาลนี้ ชัดเจนพอหรือไม่” เจ้าขอทานกระพริบตาปริบๆอย่างงุนงง ข้ารินน้ำชาข้างเตียงอย่างไม่รีบร้อน ชาโมลี่ฮวาชั้นดีเช่นนี้คงเป็นของที่ท่านเหมยนำมา
“ข้าเล่าประวัติข้าแล้ว ถึงคราวของเจ้าบอกเรื่องราวของเจ้ามาให้ละเอียด เรื่องเมื่อวานข้ายังมีบางส่วนไม่กระจ่างแจ้ง” เด็กคนนั้นรีบละล่ำละลักตอบมิกล้าชักช้า
“ข..ข้ามีนามว่าซีหยาง อายุสิบห้าปี แต่เดิมข้าเป็นเด็กที่เกิดจากหญิงคณิกา เนื่องจากเป็นเด็กชายจึงถูกนำไปขายเป็นทาส กลายเป็นคนรับใช้อยู่หลายบ้านสุดท้ายกลายไปเป็นทาสพิษอยู่สองปี ข้าไม่อาจทนทานพิษของพวกเขาไหว ร่างกายอยู่ก็เหมือนตาย พอดีกับที่ทางคนเลวพวกนั้นหยุดกิจการพวกเขาตั้งใจจะกำจัดข้าแต่ข้าหนีออกมาได้ก่อน แต่กระนั้นร่างกายก็บอบช้ำไร้เรี่ยวไม่มีแรงขยับเขยื้อนสุดท้ายก็อดตายอยู่ข้างกองขยะ แต่ไม่ทราบว่าอย่างไรจู่ๆก็ตื่นมาในร่างท่าน”
ข้าพยักหน้าคราหนึ่งอดเวทนาเขาไม่ได้ ความทุกข์ยากที่เด็กคนนี้ผ่านมานับว่าสาหัสกว่าข้าอยู่มากนัก เราทั้งสองเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ ข้ากำลังคิดถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้วิญญาณของเราสองสลับกัน เด็กน้อยกลับผู้นั้นเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
“ท่าน..เกลียดข้ามากหรือไม่”
“...เกลียด...?” ข้าถอนหายใจคราหนึ่งวางถ้วยชาลงมองเขา ท่าทีลังเลแลขลาดกลัวอย่างเด็กๆทำให้ใจข้าอ่อนลงอยู่หลายส่วน เจ้าขอทานอายุน้อยกว่าข้าสี่ปี..เด็กจะอย่างไรก็ยังเป็นเด็กล่ะนะ “ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า...ข้าชังเจ้า”
“ช..ชังข้า?
“ชีวิตข้าถูกเจ้าช่วงชิงไป จะให้ข้ายิ้มแย้มสุขใจได้หรือ หากข้าบอกไม่ชังเจ้านั่นคือข้าปดเจ้าเสียแล้ว” เด็กน้อยผู้นั้นหน้าสลดลงวูบหนึ่งพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านอยากได้ร่างคืน?”
“แน่นอน ข้าย่อมอยากได้ “
“แต่ข้าไม่รู้วิธีคืนร่างให้ท่านแล้วเราจะคืนร่างกันอย่างไรเล่า..ห...หากว่าเราสลับร่างคืนไม่ได้จะทำเช่นไรดี” ข้าเงียบอยู่ครู่หนึ่ง มือที่หมุนถ้วยชาหยุดลง
“ถึงตอนนัันหากไม่ได้ร่างคืนก็ช่าง แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าแย่งชิงอย่างอื่นไปจากข้า” ข้าจ้องมองเขากระตุกยิ้มอย่างเยือกเย็นดั่งคำเตือน “จำเอาไว้หลิวซีหยาง แค่ร่างกายข้ายอมยกให้เจ้าได้ แต่หัวใจของข้าข้าไม่มีวันมอบมันแก่เจ้า แม้ว่าเจ้าจะอยู่ในร่างข้าแต่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าปีนขึ้นเตียงเขาเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่” ข้าจ้องมองเขาอย่างจริงจัง สายตาไม่ผ่อนปรนปราณีดั่งก่อนหน้า เด็กน้อยเงียบลงคราหนึ่งสุดท้ายเอ่ยพึมพำออกมาด้วยท่าทางขลาดเขิน
“ข..ข้าเป็นผู้ชาย ไม่ชมชอบบุรุษ”
“สำหรับข้าความรักใยต้องแบ่งแยกบุรุษสตรี คนที่เติบโตมาในตำหนักหมื่นวสันต์เรารู้เพียงแต่ว่าความรักมีเพียงรักกับไม่รัก คำว่าบุรุษหรือสตรีไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น” ข้าดมกลิ่นหอมอันสุขสงบจากถ้วยชาอันเรียบหรู เด็กน้อยไม่นั่งตัวเกร็งแล้วเขาขยับเข้ามาหาข้าใกล้ขึ้นกว่าเดิม
“ลำดับที่สองจำไว้ให้ดี หากอยู่ในร่างนี้เจ้าต้องรักษากริยาอยู่เสมอ สูงส่งเลิศล้ำคือเหวินฉีลี่ฉาง ห้ามเจ้ายิ้ม กินมูมมาม ซุ่มซ่ามซุกซน หากข้าเห็นข้าจะส่งยาขมมาให้เจ้าดื่มหลังอาหารทุกมื้อ” ข้าหยิกปรางค์งามของร่างตัวเองที่กำลังฉีกยิ้มอย่างประจบประแจง เจ้าหนูน้อยสะดุ้งโหยง
“ท..ท่านใจร้าย” เด็กคนนั้นทำสีหน้าหวาดกลัวได้อย่างน่ารัก ข้ามองใบหน้าของตัวเองที่ประเดี๋ยวเปลี่ยนสีก็นึกขัน
“เรื่องหวงช่างเจ้าไม่ต้องกังวล ช่วงนี้เขาจะไม่มาพบหน้าเจ้า ส่วนเจ้าก็หลีกห่างเขาเอาไว้ให้มาก”
“ดียิ่ง! ทุกคืนเขามานั่งข้างเตียงเอาแต่จ้องข้าจนข้านอนหลับไม่สนิทสักคืน” ข้าหลับตาลงอย่างรวดร้าวเมื่อคิดถึงความหลังเก่าก่อน ยามที่ข้าโกรธจะปีนขึ้นเตียงคลุมผ้าห่มไม่ขอพบหน้าเขา จิ่นสือนั่งอยู่ในที่ที่ข้านั่งอยู่ยามนี้เฝ้ามองข้าอย่างเงียบเชียบ มือข้างนั้นลูบตัวข้าผ่านผ้าห่มอย่างปราณี สัมผัสอ่อนโยนของเขายังตราตรึงราวกับพึ่งผ่านมาไม่กี่ราตรี
“ข้าขอโทษ..ท่าน..ท่านรักเขามากหรือ” ข้าลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้าคลี่ยิ้มให้แก่เด็กเบื้องหน้าอย่างขื่นขม แม้แต่เด็กน้อยผู้หนึ่งยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดของข้าได้
“ข้ารักเขา..รักมาก..มากจนไม่อาจตัดใจปล่อยมือจากเขาไปได้”
“ข้าขอโทษ..ข้าไม่ได้ตั้งใจมาอยู่ในร่างท่าน ถ้าข้าไม่มาท่านกับเขาคงได้รักกันไม่เจ็บปวดเหมือนตอนนี้” เด็กน้อยในร่างข้าพลันเกิดตาแดงขึ้นมากะทันหัน ข้ามองเด็กที่ปาดน้ำตาสะอื้นอย่างน่าสงสาร ความรู้สึกชิงชังเขาอ่อนลงไปหลายส่วนจึงได้ยิ้มละไมสายหนึ่งใช้ปลายนิ้วซับหยดน้ำตาให้เขาอย่างปราณี ไม่ลืมดุที่เขาทำท่างอย่างเด็กกะโปโลเหมือนคราวที่อาจารย์ดุข้า
“เด็กโง่ข้าเพิ่งเตือนเจ้าให้รักษากริยาอยู่หยกๆ”
อาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงแรงกล้า ข้าเร่งฝีเท้ากลับคืนเรือนพักอาการปวดหัวตั้งแต่เมื่อวานยังคงไม่หายดีนัก อาณาเขตเรือนพักยังคงเงียบสงบแต่พี่จื่อหรงกลับไม่ปรากฏตัวเป็นดั่งสัญญาณบอกว่ามีบุคคลอื่นอยู่ภายในเรือนนี้ ข้าสลัดท่าทางเหนื่อยล้าทิ้งไปยืดตัวขึ้นตรงเดินเข้าไปด้านในอย่างสงวนท่าที เมื่อได้กลิ่นชาที่คุ้นเคยก็ยิ้มละไมขึ้นสายหนึ่ง
“ลี่ฉางกลับมาแล้วหรือ” ท่านเหมยนั่งอยู่ที่ห้องโถงเล็กด้านหน้า ท่าทีเยือกเย็นอย่างในตอนเช้าดูอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน ด้านข้างเขาคือหลี่ฮุ่ยเหอที่กำลังแสดงสีหน้ากังวลใจ ข้าหยุดยิ้มมองเขาสองคนสลับไปมาดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีนัก
“ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ฝ่าบาทประทานแพรขาวสามฉื่อ[6]แก่เฉวียนหวงกุ้ยเฟย[7]” ฮุ่ยเหอวางจอกน้ำดื่มลงถอนหายใจคราหนึ่งอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก ข้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจเรื่องร้ายแรงเพียงใดถึงต้องมอบความตายให้แก่นาง
“ในรายงานสำนักตรวจสอบบอกว่าเฉวียนเฟยเป็นผู้วางยาท่าน” ข้าส่ายหน้านี่นับเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างยิ่ง จริงอยู่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยที่ข้ารู้จักเป็นคนร้ายกาจนางเคยลอบวางยาข้าสุดท้ายถูกจับได้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นนางบังคับให้ขันทีน้อยที่ข้าเอ็นดูที่สุดเป็นผู้วางยาในอาหารข้าเพียงแต่ข้าจับได้เสียก่อนและไม่คิดจะเอาผิดอะไรนาง อีกอย่างข้าเอ็นดูเด็กคนนั้นรู้ว่าเขาถูกบังคับจึงสั่งให้ทุกคนที่รู้ปิดปากเงียบถือว่าแล้วกันไป กลับกลายเป็นว่าภายหลังจิ่นสืออ้างเรื่องที่ข้าอดอาหารคร่าชีวิตเด็กผู้นั้นไปกลายเป็นสาเหตุให้ข้าไม่พูดคุยกับเขา
“คนของเฉวียนหวงกุ้ยเฟยที่แฝงตัวอยู่ในตำหนักหลวงล้วนถูกกำจัดออกไปจนสิ้น อีกอย่างข้ามั่นใจว่านางไม่มีทางคิดฆ่าข้าอีก” บุตรชายคนเดียวของสกุลเฉวียนถูกส่งไปอยู่ชายแดนอย่างกะทันหัน ด้วยเป็นคุณชายหน้าขาวอ่อนแอผู้หนึ่งตรากตรำเดินทางจึงล้มป่วยลง แต่ข้ารู้ดีคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมเป็นเขา ราชโองการประทานรางวัลเลื่อนขั้นไปชายแดนไม่ต่างจากเนรเทศไปอยู่ในกรงขังของจิ่นสือ ตระกูลเฉวียนมีหรือจะกล้าคิดทำร้ายข้าได้อีกเมื่อมีลูกชายคนเดียวเป็นตัวประกันอยู่ในมือฮ่องเต้
“เช่นนั้นหากไม่ใช่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยแล้วจะเป็นผู้ใด” ข้าสบตากับท่านเหมย หลังจากฟื้นตื่นในร่างนี้ข้าเคยสงสัยอยู่บ้างว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้วางยาสุดท้ายหลังจากไตร่ตรองถี่ถ้วนดีแล้วก็ได้ผู้ต้องสงสัยมาสองคน แต่ในครานี้เมื่อจิ่นสือเล่นงานเฉวียนเฟยข้าก็กระจ่างใจเสียแล้ว คนที่วางยาข้ามิใช่หวงโฮ่ว[8]แต่เป็นสวี่ไท่เฟย[9]...อดีตสนมของจักรพรรดิรัชกาลก่อน
จิ่นสือเชือดเฉวียนหวงกุ้ยเฟยเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่วังหลังแม้จะรู้ดีว่าเรื่องนี้นางไม่ผิด แต่เฉวียนหวงกุ้ยเฟยเป็นลูกหลานของตระกูลเฉวียนตระกูลข้างมารดาของสวี่ไท่เฟย เขาไม่แตะต้องไท่เฟยเพราะนางมีบุญคุณที่เลี้ยงดูมาแต่ยังเยาว์แม้จะไม่ใช่มารดาแท้ๆ จึงมาลงที่หลานสาวของนางแทน อีกอย่างตระกูลสวี่ในตอนนี้รากฐานคลอนแคลนคนในตระกูลถูกเข่นฆ่าไปก็มากเหลือหัวหงอกไม่กี่คน สู้มาลงที่ตระกูลเฉวียนที่กำลังเรืองอำนาจย่อมคุ้มค่ากว่ามาก
นี่ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องข้าแต่เขากำลังแสดงอำนาจในอีกทางหนึ่ง ข้าเริ่มเข้าใจคำสอนของอาเตียแลอาจารย์กระจ่างแจ้งขึ้นมาก เมื่อก่อนข้าเชือนแชการเมืองในราชสำนักวันๆใช้ชีวิตสำราญอยู่ในหมื่นวสันต์ แต่ในตอนนี้จะวางเฉยต่อไปไม่ได้ การกระทำของจิ่นสือในครานี้จะก่อให้เกิดรอยร้าวในราชสำนักมากขึ้น แต่เดิมตอนเป็นองค์ชายเหล่าขุนนางบุ๋นก็ไม่ฝักใฝ่ข้างจิ่นสือเรียกว่าไม่อยู่ในสายตา พลังของเขาล้วนมาจากแรงสนับสนุนของขุนนางบู๊ทั้งสิ้น
หลังจากเหตุการณ์แย่งชิงบัลลังค์ รัชทายาทถูกวางยาพิษ องค์ชายสามและองค์ชายห้าแก่งแย่งบัลลังค์เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย ในตอนนั้นจิ่นสือรุดกลับเมืองหลวงสุดท้ายยุติการต่อสู้อันบอบช้ำขึ้นครองบัลลังค์กลายเป็นหวงตี้รัชกาลที่สิบเจ็ด เฉลิมพระนามหย่งเสียนหวงตี้ เริ่มรัชสมัยเหยียนผิงเมื่อสองปีก่อน แรกขึ้นครองราชย์จิ่นสือถอนรากถอนโคนขุนนางกังฉินไปจำนวนมากทำเอาขุนนางน้อยใหญ่นอนหลับไม่สนิทเลยสักคืน เกิดความบาดหมางร้าวลึกในราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊ไม่เสวนาแยกฝั่งฝ่ายอย่างชัดเจน ระยะสองปีมานี้เกิดกบฎอยู่บ่อยครั้งพี่ร่วมสาบานทั้งสี่ของเขาวุ่นวายไม่ได้หยุดพัก มาถึงตอนนี้บัลลังค์เขายังไม่มั่นคง ข้าไม่อาจให้เรื่องของข้ากลายเป็นชนวนเหตุให้แผ่นดินต้าหลงลุกเป็นไฟขึ้นมาได้อีก
“ได้ยินมาว่าท่านแม่ทัพหลี่ต้องไปจากเมืองหลวงหลายวัน” ท่านเหมยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยรอยยิ้มจางๆ ฮุ่ยเหอพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วตอนนี้ข้าเหลือเวลาไม่มาก ฝ่าบาทให้ข้าเดินทางไปด่านตะวันออกเพื่อดูแลคุ้มครองคณะทูต” ข้าทราบมาจากท่านเหมยแล้วว่าคณะทูตในคราวนี้มาจากแคว้นผิง แคว้นผิงเป็นแคว้นที่อยู่ไกลทางตะวันออก ถูกคั่นไว้ด้วยทะเลทราย มีพวกชนเผ่าเร่ร่อนหลายกลุ่มคอยสร้างปัญหาให้ทั้งดินแดนต้าหลงแลต้าผิง ระยะหลังเคยได้ยินจิ่นสือบ่นเรื่องชนเผ่าเร่ร่อนเหล่านี้หลายครั้ง ทั้งสองแคว้นต่างต้องการกำจัดพวกมันเพียงแต่พวกมันชำนาญชายแดนอย่างยิ่ง ยามถูกทหารต้าหลงไล่ตามก็หนีเข้าไปในเขตต้าผิง เมื่อถูกต้าผิงกำจัดก็หนีมายังต้าหลง ถึงเวลาที่ทั้งสองแคว้นจะร่วมมือกันปราบปรามแล้วกระมัง
“ทางนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนที่อยู่ในร่างข้ามีนามว่าหลิวซีหยาง เขาเป็นเด็กขอทานไม่ประสาคนหนึ่งที่อดตายเพราะความหิวโหย จากที่ดูเขาเป็นคนหัวอ่อนว่าง่ายไม่ยากที่จะควบคุม” สีหน้าฮุ่ยเหอดูไม่ตื่นตระหนกคงทราบเรื่องนี้จากท่านเหมยแล้ว
“ท่านต้องระมัดระวังให้มากอย่าได้ประมาท” ข้าคลี่ยิ้มจางๆ รับทราบถึงความห่วงใยของเขา
“อย่าห่วงเลยข้าจะทำทุกอย่างด้วยความรอบคอบ จะไม่ชักนำภัยสู่สกุลหลี่แน่นอน” ฮุ่ยเหอพยักหน้า หยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยท่าทางองอาจสมเป็นแม่ทัพใหญ่
“เช่นนั้นข้าต้องไปเตรียมตัวแล้ว นายท่านเหมยโปรดรักษาตัว น้องสะใภ้ห้ารักษาตัวด้วย” ข้าพลันคลี่ยิ้มจางๆ นานแล้วที่เขาไม่ได้เรียกข้าว่าน้องสะใภ้ พลันรู้สึกคิดถึงเรือนไผ่อันสงบสุข รอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนของฮุ่ยหรงแลเจ้าดำของข้า
“ท่านเองก็เช่นกันโปรดรักษาตัวด้วย”
เชิงอรรถ
[1] ยาดีกินขมปาก – จริงๆแล้วประโยคนี้ผู้เขียนนำมากจากสามก๊ก ประโยคเต็มคือ ‘ยาดีกินขมปากแต่เป็นประโยชน์ต่อคนไข้ คนซื่อกล่าวคำไม่ไพเราะหูแต่เป็นประโยชน์ต่อการภายหน้า’
[2] จรรยาสามคุณธรรมสี่ – จรรยาสามและคุณธรรมสี่คือหลักการอันพึงปฏิบัติของหญิงสาวจีนในยุคโบราณ จำแนกเป็นจรรยาสามคือก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย คุณธรรมสี่คือรูปร่างหน้าตาจะต้องสะอาดสะอ้าน อีกทั้งกริยามารยาทเพียบพร้อม กล่าวมธุรสวาจา อีกทั้งการบ้านการเรือนไม่ขาดตกบกพร่อง
[3]นอกเขายังมีเขา – นอกเขายังมีเขาเป็นสำนวนจีน ประโยคเต็มคือ นอกเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า (山外有山,天外有天) โดยในเนื้อเรื่องปรับเป็นนอกเขายังมีเขา เหนือเหวินฉีลี่ฉางยังมีท่านเหมย
[4] ยามซือ – เวลา 9.00 – 10.59 นาฬิกา
[5] สารทฤดู – ฤดูใบไม้ร่วง
[6] แพรขาวสามฉื่อ (白绫三尺) – แพรขาวที่จักรพรรดิประทานให้สตรีในวังหลังผู้ต้องโทษตายเพื่อจบชีวิตตนเอง
[7] หวงกุ้ยเฟย (皇貴妃) – หมายความว่าพระอัครราชเทวีผู้สูงศักดิ์ในองค์จักรพรรดิตำแหน่งรองลงมาจากฮองเฮา เป็นพระมเหสีรองซึ่งมีอำนาจในการปกครองวังหลังรองจากฮองเฮา ตำแหน่งนี้จึงมีได้เพียง 1 คน
[8] หวงโฮ่ว (皇后) - ตำแหน่งจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันของจักรพรรดิ มักรู้จักกันในชื่อ "ฮองเฮา" พระอัครมเหสีเอกซึ่งมีตำแหน่งเดียวและมีศักดิ์สูงสุดในการปกครองฝ่ายใน ไม่นับรวมขั้นกับพระชายาและพระสนมอื่นๆ
[9] หวงไท่เฟย (皇太妃) หรือ ไท่เฟย (太妃) – พระชายาหรือพระสนมผู้มีชาติกำเนิดต่ำต้อยแต่ให้กำเนิดพระโอรสผู้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ไม่สามารถขึ้นเป็นฮองไทเฮาได้แต่จะได้รับตำแหน่งเป็นไท่เฟย ซึ่งเป็นตำแหน่งรองจากฮองไทเฮาอีกขั้นแทน อีกกรณือพระเทวีชายาหรือพระสนมที่เป็นพระมารดาเลี้ยงให้แก่จักรพรรดิตั้งแต่ยังเป็นองค์รัชทายาท เมื่อทรงขึ้นครองราชย์แล้วอาจจะแต่งตั้งพระมารดาเลี้ยงให้มีตำแหน่งไท่เฟยได้เช่นกัน
ทักทายนักอ่าน
สวัสดีค่านักอ่านที่น่ารักทุกคนวันนี้เมษามาเสิร์ฟตอนที่สิบร้อนแล้วค่า เนื้อเรื่องตอนนี้กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยเพราะเดินทางเข้าสู่องก์สองของเรื่องแล้วนะคะ องก์สองนี้จะเริ่มเข้าสู่การเมืองในราชสำนักขึ้นเรื่อยๆ จริงๆมีรายละเอียดค่อนข้างซับซ้อนมากกว่านี้ แต่เนื่องจากเมนหลักของเรื่องเป็นโรแมนติคดราม่าเนื้อความรักไม่ใช่การเมืองเลยยัดเข้ามาพอให้เข้าใจสถานการณ์กันคร่าวๆ อีกอย่างคือตัวลี่ฉางเป็นประเภทไม่สนใจการเมืองอยู่แล้วด้วยเลยทำให้เขียนได้ยากขึ้นไปอีก
ส่วนน้องซีหยางของเรามีบทแล้วๆๆ >< จริงๆขอชี้แจงอย่างนึงนะคะ อายุสิบห้าของยุคนี้ไม่เรียกเด็กถือว่าโตพอที่จะสร้างครอบครัวแล้ว สาวๆนี่ออกเรือนตั้งแต่สิบสาม(วัยเริ่มมีประจำเดือน) อย่างรัชทายาทที่ตายไปก็มีลูกชายตั้งแต่อายุสิบสี่ จิ่นสือของเราก็เข้าร่วมกองทัพตั้งแต่สิบสี่เช่นกัน แม้แต่ลี่ฉางก็ขึ้นตำแหน่งเป็นอันดับหนึ่ง(พูดง่ายๆคือเริ่มรับแขกถึงแม้ว่าในทางปฏิบัติจะไม่ได้รับแขกจริงๆและส่วนมากคนในหมื่นวสันต์จะเริ่มตอนอายุสิบห้าปี)ตั้งแต่อายุสิบสอง เพียงแต่น้องซีหยางของเราโมเอ้เกินไป ดาเมจลี่ฉางรัวๆ ฉางๆเลยเอ็นดูนางมากเรียกแต่กระต่ายน้อง หนูน้อย เด็กน้อย 5555555
ส่วนคู่จิ่นสือลี่ฉางยิ่งเขียนยิ่งมีโมเม้นท์ ด้วยความที่ว่าเขาผูกพันกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้มือลั่นสั่นรัวๆอยากเขียนพาร์ทอดีตของจิ่นสือคนช่างตื๊อกับลี่ฉางคนซึนจริงๆเลย >///<