ตอนที่ 3 :วัดใจ“มีคุณกำผลตรวจในมือแน่น ถึงเวลาที่เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความจริง ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มให้กำลังใจมารดาในช่วงเวลาที่
ผ่านมา ไม่เคยมีคืนไหนที่มีคุณนอนหลับสนิท เขากังวลไปสารพัด ถ้าทุกอย่างไม่เป็นอย่างทีคิด ถ้าภูริชไม่ยอมรับข้อเสนอเขา
ถ้าฝ่ายโน้นใช้สิทธิ์ความเป็นพ่อแย่งหลานไปและตัดการติดต่อกับฝ่ายแม่เขาจะทำอย่างไร
เขาไม่รู้ว่าการตัดสินใจไปหาภูริชในครั้งนี้ จะทำให้หลานต้องเจอกับอะไรบ้าง จะเอาตัวรอดได้หรือไม่ ถ้าคนรอบข้างรังแก ถ้ามี
คนไม่ชอบหน้าหลาน ถ้าแม่ใหม่เข้ากันไม่ได้ขึ้นมา เพราะเหตุนี้มีคุณถึงเลือกที่จะปิดเรื่องหลานแฝดเอาไว้ ตาภูเข้มแข็งเหมือนน้า
เขาเชื่อมั่นในตัวหลาน ในขณะที่ตาริชอ่อนโยนเหมือนแม่ เขาถึงอดเป็นห่วงไม่ได้
“คิดไว้หรือยังว่าจะทำอะไรต่อ” อธิชาติถามญาติสนิทที่เปรียบเหมือนน้องชายของเขา
“ยื่นข้อเสนอ”
“ข้อเสนออะไร” อธิชาติกลัวใจน้องชาย มีคุณเด็ดเดี่ยวขึ้นมากแตกต่างกับเด็กหนุ่มยิ้มง่ายที่เขารู้จัก ตั้งแต่ต้องแบกภาระดูแล
หลานแฝดทั้งที่เพิ่งจบมหาลัยได้ไม่นาน
“ผมจะให้คุณภูริชเอาลูกไปดูแลได้ก็ต่อเมื่อให้ผมไปอยู่ด้วย”
“ไปอยู่ด้วย!”
“ผมไม่ปล่อยให้หลานไปเผชิญกับคนแปลกหน้าตามลำพังหรอกครับพี่อิก หลานผมผมเลี้ยงมากับมือ”
“คิดดีแล้วเหรอคุน ทำไมเราไม่เลี้ยงของเราไปแล้วให้คุณภูริชไปมาหาสู่กับลูกได้”
“ผมคิดดีแล้วครับพี่อิก เห็นท่าทางของคุณภารวีวันนั้นยิ่งแน่ใจ เขาไม่ปล่อยตาภูตาริชให้ผมหรอก ผมถึงจะไปอยู่กับหลานด้วย
อย่างน้อยก็ไปอยู่ให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี”
“อืม มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอก”
“ต้องมีอยู่แล้วครับ ถ้าไม่ได้พี่อิกที่ผ่านมาผมคงแย่”
“พูดอะไรอย่างนั้น ตาภูตาริชก็หลานพี่เหมือนกัน เอาอย่างนี้ระหว่างคุนไม่อยู่บ้านก็ให้น้าวรรณย้ายมาอยู่บ้านพี่ แม่คงดีใจที่น้อง
สาวมาอยู่ด้วยจะได้หายเหงา เลิกบ่นให้พี่รีบแต่งงานเสียที”
“ขอบคุณครับ แต่รอให้ทางโน้นตกลงก่อนดีกว่า ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาจะยอมไหม”
“ถ้าไม่ยอมคุนจะทำยังไง ถ้าฟ้องร้องขึ้นมารู้ใช่ไหมว่าฝ่ายโน้นชนะแน่”
“รู้ครับ แต่ตาภูตาริชอยากเจอพ่อพี่อิกก็เห็น ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกแล้ว”
“เอาเถอะอย่าเพิ่งคิดอะไรมาก ไปหาอะไรกินกันพี่เลี้ยงเอง”
“พี่อิกไม่มีตรวจเหรอครับ”
“หมดแล้วเริ่มอีกทีช่วงบ่าย ไปกันเถอะ”
“ครับ”
✪✣✤✥✦✣✤✥✦✧✪
“เชิญครับ” มีคุณสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนผลักประตูบานใหญ่เข้าไปในห้องทำงานของภูริช
“นั่งสิ” มีคุณนั่งลงที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน หลังจากอีกฝ่ายผายมือเชื้อเชิญ
“คุณนาวขอกาแฟให้แขกด้วยครับ” ภูริชกดโทรศัพท์ออกไปบอกเลขา โดยไม่ต้องรอให้มีคุณขอ
“นายบอกว่าผลตรวจออกมาว่าภูเป็นลูกของฉัน”
“นี่ครับหลักฐาน” มีคุณหยิบเอกสารออกจากกระเป๋าส่งให้ภูริช อีกฝ่ายรับไปดูเงียบๆ อ่านอย่างตั้งใจก่อนเก็บเอกสารลงในลิ้นชัก
โดยไม่ส่งคืนให้เขา
“นั่นมันของผม” มีคุณรีบทักท้วง
“นายไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ ฉันว่าเรามาเข้าเรื่องดีกว่า บอกความต้องการของนายมา”
“เย็นชาจังนะครับ ทำเหมือนไม่ได้คุยเรื่องลูกของคุณเอง”
“แน่ใจนะว่านายอยากคุยเรื่องลูกของฉัน ไม่ใช่อยากคุยเรื่องความต้องการของนายเอง”
“คุณหมายความว่ายังไง!” มีคุณขมวดคิ้วก่อนค่อยๆ เบิกตากว้างขึ้นเมื่อคิดได้
“นี่คุณคิดว่าผมจะขายหลานกินเหรอ ความคิดอุบาทว์ ถึงผมไม่รวยเหมือนคุณผมก็ไม่ทำอะไรทุเรศแบบนั้น” มีคุณโกรธจนตัวสั่น
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มเอามือเท้าคางมองหน้าเขา
“ไม่ใช่เหรอ”
“คุณมัน!...” มีคุณพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ใจเย็นไว้มีคุณ อีกฝ่ายกำลังยั่วให้เขาเสียการควบคุมตัวเอง
“คุณอาจรักหรือไม่รักลูกของคุณ แต่ผมรักหลานของผม”
“ฉันมั่นใจว่าฉันรักลูกของฉัน ถ้าฉันรู้ว่ามี” ภูริชลงเสียงหนัก เขาอาจไม่โกรธนาบุญแต่ความคับข้องใจไม่หายไป
“ขอให้เป็นอย่างนั้น“ การพูดคุยชะงักเมื่อแม่บ้านเข้ามาเสิร์ฟกาแฟให้มีคุณ ภูริชรอจนแม่บ้านออกไปแล้วจึงเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“ถ้านายไม่มีความต้องการของนาย ฉันจะพูดความต้องการของฉัน ฉันอยากรับลูกมาดูแล” มีคุณคิดไว้ไม่ผิดว่าต้องเจอประโยคนี้
“ความหมายกว้างแค่ไหนครับ”
“ทุกอย่าง รวมถึงการจดทะเบียนรับรองบุตรที่นายต้องการด้วย”
“คุณจะเอาตาภูไปอยู่ด้วย”
“ใช่”
“ผมจะยอมก็ต่อเมื่อคุณให้ผมไปอยู่กับหลานด้วย ถ้าไม่อย่างนั้น...”
“ตกลง”
“ครับ?!” มีคุณกำลังจะพูดว่าถ้าไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางปล่อยให้หลานไปแน่ จึงเป็นอันต้องยุติคำพูดลง
“ฉันพูดว่าตกลง นายเสนอมาก็ดีเพราะฉันจะขอเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ฉันไม่อยากให้ตาภูรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่คุ้นกับใคร ถึงฉันเป็นพ่อ
ก็ยังรู้เรื่องแกน้อยมาก ฉันไม่อยากเห็นลูกไม่มีความสุข”
“ครับ” เป็นครั้งแรกที่สายตาของมีคุณมองภูริชเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“นอกจากเรื่องนี้นายยังมีข้อแม้อื่นอีกไหม ฉันอยากให้เราเคลียร์กันให้จบวันนี้”
“มีครับ คุณไม่มีสิทธิ์ไล่ผมออกจากบ้าน จนกว่าผมพร้อมจะออกเอง ไม่ต้องกลัวว่าผมจะรบกวนคุณทั้งชีวิต ผมย้ายกลับแน่ ถ้าผม
แน่ใจแล้วว่าหลานของผมมีความสุขดี”
“ตกลง”
“ยังไม่หมดแค่นั้น ถ้าผมเห็นแล้วว่าหลานไม่มีความสุข ผมมีสิทธิ์พาแกกลับไป”
“ตาภูเป็นลูกฉัน”
“ผมพูดว่าถ้าแกไม่มีความสุข ไหนคุณบอกว่าอยากให้ลูกมีความสุขไม่ใช่หรือครับ ถ้าอย่างนั้นจะรั้งแกไว้ทำไม”
“ตกลง แต่ฉันบอกไว้ก่อนว่าถ้าจู่ๆ นายคิดจะเอาลูกฉันไปทั้งที่เด็กมีความสุขดี นายรู้ใช่ไหมว่าฉันจะสู้จนถึงที่สุด และนายไม่มีวันชนะ”
“ถ้าผมจะทำแบบนั้นผมคงไม่มาหาคุณ”
“เป็นอันว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วใช่ไหม” ภูริชถามย้ำมีคุณ
“ครับ”
“นายจะให้ฉันไปรับตาภูได้เมื่อไหร่”
“ผมจะพาหลานไปเอง ขอที่อยู่คุณมาก็พอ”
“เมื่อไหร่ คงไม่คิดจะดึงเวลาไว้ใช่ไหม เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะบุกไปรับถึงบ้านนาย”
“ไม่ต้องห่วงผมไปแน่ครับ แต่คุณต้องให้เวลาผมเก็บของบ้าง อย่าเพิ่งคิดอยากเจอเด็กๆ ตอนนี้เลย ผมอยากคุยกับแกให้เข้าใจ
เสียก่อน”
“ได้ อาทิตย์หนึ่งพอไหม”
“ตกลงครับ ผมจะโทรบอกคุณอีกทีว่าเป็นวันไหน ในเมื่อเราตกลงกันเรียบร้อยแล้วผมขอตัว”
“เดี๋ยว!”
“ครับ?”
“ถ้าไม่รีบนั่งคุยกันก่อนสิ ฉันอยากรู้เรื่องลูกบ้างเล่าให้ฉันฟังหน่อย”
“คุณอยากรู้อะไร”
“อะไรก็ได้ ตาภูชอบอะไรไม่ชอบอะไร นิสัยเป็นยังไง เข้าเรียนหรือยัง ข้อนี้สำคัญเพราะฉันต้องจัดการเรื่องนี้ด้วย”
“ตาภูยังไม่เข้าโรงเรียนแกเพิ่งสามขวบกว่า ผมจะให้เข้าอนุบาลเลย”
“ไม่ต้องเตรียมตัวเหรอ”
“ผมเป็นคนสอนเอง ไม่ต้องมองแบบนั้น ผมทำงานฟรีแลนซ์มีเวลาดูแลหลาน แม่ผมก็อยู่ด้วย”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไร เล่าต่อสิ”
“ตาภูเป็นเด็กอารมณ์ดี กล้าหาญ ฉลาด ช่างพูดช่างคุย” ภูริชรู้สึกได้ว่าสีหน้าของมีคุณเปลี่ยนไป พอพูดถึงหลาน ใบหน้าบึ้งตึงที่
เขาชินตา ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาอ่อนแสงลง เขาเชื่อแล้วที่มีคุณบอกเขาว่ารักหลานมาก
“เหมือนฉัน”
“เหมือนผม!”
“หึหึ นายเป็นน้าจะเหมือนนายได้ยังไง เท่าที่ฟังไม่เหมือนนาบุญดังนั้นก็น่าจะมาทางฉัน” นาบุญที่ภูริชจำได้ อ่อนหวาน ขี้อาย
และพูดน้อย
“เหมือนได้ ผมเลี้ยงมากับมือ”
“ตกลงๆ ฉันยอม” ภูริชยกมือขึ้นสองข้างเพื่อบอกให้รู้ว่าเขายอมแพ้ ดูเหมือนไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับหลาน มีคุณจะสู้ยิบตาจริงๆ
“ว่าแต่เด็กอีกคน ชื่ออะไรนะดลฤทธิ์ใช่ไหม ลูกของนายเหรอ”
“จะ..” มีคุณรีบหุบปาก ก่อนจะหลุดคำว่า จะบ้าหรือเปล่าออกไป
“ที่ถามเพราะฉันเห็นว่าเราจะอยู่ร่วมบ้านกันแล้ว แค่จะบอกว่าถ้าใช่ก็พามาอยู่ด้วยกันได้ มีเพื่อนเล่นมาด้วยตาภูน่าจะดีใจ
เอ..แล้วนายมีเมียไหม จะพามาด้วยหรือเปล่า ฉันก็ลืมคิดไปจะได้จัดห้องให้ถูก”
“ผมไม่มีเมียไม่มีลูก”
“ฉันนึกว่าใช่ เห็นหน้าตาเหมือนตาภูมาก นายเป็นแฝดกับนาบุญ ฉันเลยเดาเอาเองว่าเป็นลูกนาย”
“ไม่ใช่ลูกผม ลูกคุณ”
“หะ!” ภูริชเผลออุทานออกมาเมื่อได้คำตอบจากหน้าเรียบนิ่งของมีคุณ
“พี่นาบุญได้ลูกแฝด นี่เอกสารตรวจเทียบดีเอ็นเอของคุณกับตาริช ขอโทษที่ผมทำเรื่องตรวจโดยพลการ” มีคุณคิดจะบอกภูริช
วันย้ายบ้าน แต่คิดอีกทีบอกไปเลยน่าจะดีกว่า
“ทำไมนายไม่บอกฉัน” ภูริชรับเอกสารที่มีคุณยื่นให้มาอ่าน ครั้งนี้เขาอ่านไม่ละเอียดเหมือนเดิม เพราะรู้ว่าใช่แน่
“ผมมีเหตุผลของผมคุณอย่ารู้เลย เอาเป็นว่าคุณรับทราบแล้วว่าคุณมีลูกแฝด อีกอย่างตาริชไม่ได้ชื่อฤทธิ์แต่ชื่อริช ภูกับริช มา
จากชื่อจริงของคุณ” ภูริชนึกย้อนไปถึงวันที่เขาพบลูกชายที่โรงพยาบาล ภูริชเข้าใจแล้วคำว่า ภู..ริชที่เด็กชายภูริวัจน์พูดหมายถึง
อะไร
“แต่นายควรบอกฉัน นายเกลียดฉันมากนักเหรอมีคุณ”
“ไม่ ผมไม่เคยเกลียดคุณ ผมจะเกลียดพ่อของหลานได้ยังไง ผมแค่ไม่ชอบหน้าผมว่ามันเป็นสิทธิ์ส่วนตัว ถ้าคุณห่วงเรื่องความ
คิดของลูกไม่ต้องกลัว ผมไม่เคยปลูกฝังให้หลานเกลียดคุณ ไม่อย่างนั้นตาภูจะดีใจที่ได้เจอคุณเหรอ ผมพูดถึงคุณในแง่ดีเสมอ
ไม่ต้องห่วง อย่างน้อยผมก็อยากให้หลานภูมิใจในพ่อแม้ความจริงจะเป็นยังไงก็ตาม” เป็นอีกครั้งที่ภูริชทึ่ง มีคุณในสายตาเขาดู
เหมือนเด็กหนุ่มเจ้าอารมณ์ไม่มีเหตุผล แต่หากเป็นเรื่องหลานดูเหมือนเจ้าตัวจะใช้เหตุผลอยู่ไม่น้อย
“ขอบใจ”
“ผมทำเพื่อหลานไม่ได้ทำเพื่อคุณ”
“เรื่องนั้นฉันยิ่งต้องขอบใจ ขอบใจนะที่เลี้ยงตาแฝดมาอย่างดี” มีคุณชะงัก ทำไมวันนี้เขาถึงรู้สึกดีกับภูริชมากขึ้น ยิ่งได้พูดคุยยิ่ง
รู้สึกขัดกับสิ่งที่คิดกับความเชื่อที่ผ่านมา
“ต่อไปผมจะเรียกคุณว่าพี่ภูมิ คุณเองก็ควรเลิกเรียกผมว่านาย จะเรียกคุนหรือมีคุณก็ได้ ผมไม่อยากให้หลานรู้สึกถึงความห่าง
เหินและอึดอัด” มีคุณรีบเปลี่ยนเรื่องไม่อยากให้ภูริชจับความรู้สึกเขาได้
“ตกลง”
“ผมจะกลับแล้ว คุณอยากรู้เรื่องอะไรค่อยคุยกันหลังผมย้ายไป ผมมีเรื่องอีกมากที่ต้องจัดการให้เรียบร้อย”
“มีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกมา”
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเองได้” มีคุณลุกขึ้นยืน เขาคิดว่าวันนี้ควรพอแค่นี้ก่อน
“อย่าลืมติดต่อมา พี่ฝากบอกลูกๆ ด้วยว่าพี่คิดถึง”
“ผมจะบอกให้”
“มีคุณ”
“ครับ” มีคุณชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองคนเรียก
“ขอบคุณมากที่ตัดสินใจมาหาพี่”
“คุณควรขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เราเจอกันที่ร้านอาหารวันนั้นดีกว่า”
“ผิดแล้ว”
“อะไรครับ”
“ไม่ใช่คุณต้องเรียกพี่ภูมิ”
“ผมหมายถึงหลังจากผมย้ายไป ไม่ใช่วันนี้”
“หึหึ ตกลง แล้วเจอกันพี่จะตั้งตาคอย”
มีคุณหันกลับเปิดประตูออกมาโดยไม่กล่าวคำอำลาซ้ำ เขาเกือบบุกมาที่นี่เมื่อสี่ปีก่อน หลังจากรู้ว่านาบุญท้องกับภูริช ถ้าไม่
เพราะพี่สาวเขาขอร้องจนเป็นลมไปต่อหน้า ภูริชคงได้เจอเขาตั้งนานแล้ว
ลึกๆ มีคุณไม่เคยเข้าใจการตัดสินใจของนาบุญ ทำไมถึงไม่บอก ทำไมถึงไม่จัดการ ทำไมไม่ให้ภูริชมารับผิดชอบ แต่เพราะนา
บุญอ่อนแอและสุขภาพแย่ลง เขาจึงได้แต่บอกตัวเองว่าคนเราไม่เหมือนกัน เขากับพี่สาวถึงเป็นแฝดก็ไม่จำเป็นต้องคิดอะไร
เหมือนกัน เขาเป็นเพียงน้าไม่มีสิทธิตัดสินใจแทนคนเป็นแม่ มาถึงตอนนี้เมื่อเขาเป็นผู้ดูแลเด็กๆ เต็มตัว เขาจึงตัดสินใจมาที่นี่
หลังจากสี่ปีผ่านไป
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
ใครรอเจ้าแฝดตอนหน้านะคะ มารอแฝดย้ายบ้านกัน
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin