คืนนั้นทั้งคืนผมได้แต่หมกตัวอยู่ในห้องและร่างแบบตกแต่งภายในจนเสร็จก่อนจะโทรหาเพื่อนสนิทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์เพื่อสั่งของตามแบบที่ต้องการ วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ ณ ที่แห่งนี้
ที่ที่เปรียบเสมือนสวรรค์บนดิน
เช้าวันรุ่งขึ้นรถบรรทุกของก็มาจอดเรียงรายก่อนที่แผนกขนย้ายจะมาช่วยกันจัดวางข้าว
ของให้เข้าที่ตามแบบที่เขียนไว้ เพียงไม่นานทุกอย่างก็ดูเพอร์เฟคเกินคำบรรยาย
เตียงสี่เสาขนาดคิงไซส์ถูกจัดวางลงกลางห้องที่ด้านบานกระจกใสเห็นบรรยากาศของทะเลยามเช้า แสงสีทองอาบไล้ให้ภายในห้องอบอุ่น เมื่อเปิดบานกระจกลมทะเลก็หอบเข้ามาพัดคลอเคลียผ้าม่านผืนบางสีสะอาดตา
ใกล้ๆหัวเตียงมีโต๊ะกระจกใสตัวเล็กตั้งอยู่ใกล้ๆเพื่อวางแจกันทรงสูงที่ตอนนี้มีกุหลาบสีขาวประดับอยู่และก็ยังมีที่ที่ผมเว้นไว้เพื่อตั้งใจจะวางกรอบรูปของคู่รักไว้ตรงนั้น
ยามบ่ายคล้อยเมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่ความเงียบอีกครั้งผมก็รู้สึกอยากงีบสักพักแต่คงไม่ดีแน่ถ้าผมจะไปนอนบนเตียงหลังนั้น…เตียงที่เขาจะนอนกับเจ้าสาวแสนสวย
เมื่อคิดได้อย่างนั้นจึงไปแอบเอนกายบนเก้าอี้ชายหาดที่ตั้งอยู่ที่ระเบียงบ้าน
แต่เมื่อมารู้สึกตัวอีกที…
กลับรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งร่าง แสงสีส้มนวลจากโคมไฟทำให้ผมมองเห็นต้นเหตุอย่างชัดเจน
ท่อนแขนแกร่งพาดโอบเอวผมไว้ เสี้ยวใบหน้าคมเข้มหลับใหลทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะก้มลงใกล้หมายจะหอมแก้มเขาสักครั้งเพื่อจดจำไว้ แต่ความจริงแล้วกลับทำแค่เพียงค่อยๆยกท่อนแขนเขาออกจากกายและนั่งลงกับพื้นข้างเตียงเพื่อมองดูเขาห่างๆ
ผมไม่รู้ว่าแววตาของผมฉายแววแบบไหนเวลาที่มองเขา แต่ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายมองตอบกลับมาก็คงเข้าใจในความหมายที่ต้องการสื่อออกไป
ภาพของเขาเริ่มพร่ามัว ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าวก่อนที่หยาดใสจะร่วงหล่นลงบนที่นอน ผมเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่อาจจะเล็ดรอดออกมาจนเขารู้ว่าผมเสียใจ
ผมไม่อยากให้เขารู้ว่าผมทรมานใจเพราะเขา
ภวินทร์ไม่ได้ทำอะไรผิด…เพราะคนที่ผิดคือผมเอง
ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะถอนหายใจยาวและก้าวเดินออกมาจากห้อง
เสียงฟ้าร้องครืนก่อนที่หยาดน้ำมากมายจะร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าสีเข้ม เสียงดังเปาะแปะราวกับเครื่องดนตรีขับกล่อมปลอบประโลมให้คลายจากความเจ็บช้ำ
เสียงเพลงจากวิทยุที่ดังแว่วมาบ่งบอกว่าคนที่นอนหลับใหลอยู่เมื่อครู่คงตื่นแล้ว ไม่ต้องหันไปดูก็รับรู้ได้ว่าร่างสูงคงกำลังเลือกแผ่นซีดีจากชั้นวางอยู่อย่างแน่นอน
และแล้วเพลงหนึ่งก็ดังขึ้น…เพลงที่ผมได้ยินตอนที่พบกับเขาครั้งแรกในร้านกาแฟตอนที่นุชพามาแนะนำให้ได้รู้จักกัน
…ยิ่งพบเจอยิ่งสนใจ ยิ่งใกล้ขึ้นทุกวัน
ยิ่งทำฉันทรมานและคิดถึง…
…ไม่พบเจอให้เผลอใจไปมากกว่าทุกวัน
ก่อนที่ฉันจะลืมตัวบอกว่ารัก…
…แต่สุดที่รักของคนอื่น จำไว้ของคนอื่น
อย่าไปฝืนให้มันเกินฝัน
เมื่อเธอต้องรักเขา และเราต้องเลิกกัน
ก่อนที่ฉันจะเป็นคนเลว…
เพลงที่ผมเพิ่งได้เข้าใจในวันนี้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร ใช่…ตอนนี้ผมบรรยายอะไรออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ผมเหม่อมองออกไปยังความมืดมิดเบื้องหน้าก่อนจะยื่นฝ่ามือออกไปรองรับน้ำฝนที่เย็นเฉียบราวกับเข็มน้ำแข็ง
เจ็บอะไรก็ไม่เท่ากับเจ็บที่ใจ อาการนี้ต่อให้หมอที่รักษาเก่งขนาดไหนก็ไม่อาจจะเยียวยา ยาขนานเอกแค่ไหนก็ไม่สามารถบรรเทาอาการได้
คงมีแต่เพียง…เวลา…เท่านั้นล่ะมั้ง ที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น
“ภัทร…”
เขาเอ่ยชื่อผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนเคยก่อนจะนั่งลงเคียงข้างแล้วยื่นแฟ้มเอกสารส่งให้
“ในนี้มีของสำคัญของผมอยู่ ผมอยากให้ภัทรเห็นมัน”
เขาเอ่ยและส่งให้ ผมรับมาและเปิดออกดูก็เห็นแบบแปลนบ้านร่างด้วยดินสอ คงจะเป็นเพราะระยะเวลารวมถึงรอยน้ำถึงทำให้มันจางเลือนรางและขอบกระดาษก็เริ่มเหลืองแล้ว
ถึงแม้ว่ากระดาษแผ่นนี้จะถูกใส่แฟ้มไว้อย่างดีก็ยังเห็นรอยยับย่นที่สันนิษฐานได้ว่าคงถูกขยำทิ้งมาก่อน
แบบแปลนบ้านที่ถูกขยำทิ้ง มันเหมือนกับบ้านหลังนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมา
ความรู้สึกคุ้นเคยทำให้ผมเริ่มนึกย้อนอดีตไปยังช่วงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
…………
…
ถ้าจำไม่ผิดช่วงนั้นเป็นช่วงที่ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์กำลังโรย ถนนช่วงไหนที่มีต้นไม้ดอกสีชมพูเต็มสองข้างทางถนนสายนั้นก็จะถูกย้อมเป็นสีสวย
ผมถือกระดานวาดรูปเดินไปตามถนนก่อนจะนั่งลงเมื่อได้พื้นที่เหมาะแก่การวาดรูป
“เข้าใจเลือกที่วาดรูปนะภัทร บรรยากาศแถวนี้ดีจริงๆ ลมก็เย็นสบาย” เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังอยู่ข้างๆเป็นใครไม่ได้นอกจากนุช เพื่อนคนที่เข้าใจผมมากที่สุด
“อาจารย์ให้มาวาดรูปนะ ไม่ได้มาปิคนิค”
ผมเอ่ยตัดบทก่อนจะเข้าสู่โลกส่วนตัวนั่งร่างแบบตามคอนเซปต์ที่อาจารย์เป็นผู้กำหนดให้
“บ้านในฝัน”
ผมพยายามทวนคำสั่งหลายๆรอบก่อนจะพยายามนึกภาพบ้านหลังนั้นไว้ในสมองก่อนจะลงมือทันที
“ว๊าว!!! …บ้านสวยจังเลยภัทร”
“ตื่นเต้นเหลือเกินนะ” ผมเอ่ยก่อนจะปลดภาพที่ร่างไว้ออกจากกระดานไม้แต่แล้วสายลมหอบใหญ่ก็พัดพาเจ้าแผ่นกระดาษลอยข้ามไปยังอีกฟากของถนน
ผมรีบลุกพรวดก่อนจะไล่คว้ากระดาษที่เปรียบเสมือนของสำคัญในชีวิตแต่ดูเหมือนเจ้าสิ่งนั้นจะอยากเล่นวิ่งไล่จับ
และแล้วกระดาษแผ่นนั้นก็ไปหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของเด็กมัธยมปลายสุดเฮ้วกลุ่มหนึ่งที่พ่อแม่ส่งมาเรียนแต่กลับโดดเรียนจับกลุ่มมั่วสุม
ด้วยความที่ผมค่อนข้างเป็นคนไม่อยากสุงสิงกับใครจึงพยายามที่จะเลี่ยงไม่สนใจ แต่หัวโจกในกลุ่มนั้นกลับหยิบแผ่นกระดาษขึ้นมาดูก่อนจะทั้งกลุ่มจะหัวเราะขบขันราวกับเห็นภาพสัตว์ประหลาดที่เด็กอนุบาลวาดอย่างไงอย่างนั้น
“เอาคืนมา” ผมเอ่ยขอตรงๆ
“ขอแล้วคืนให้เลย มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ”
“อยากได้ของแลกเปลี่ยนว่างั้น อมยิ้มสักอันไหมล่ะ”
“ปากดีเหมือนกันนี่หว่า”
“ขอบคุณที่ชมนะ ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” ผมชักฉุนในความถือดีของพวกมัน
“งานนี่คงจะส่งอาจารย์สินะ”
“เอามา”
ไอ้เด็กตัวแสบเหยียดยิ้มก่อนจะขยำกระดาษทั้งแผ่นและขว้างลงไปในบ่อน้ำข้างๆ
“โอ๊ะ…ขอโทษที มือหนักไปหน่อย”
“ไอ้เด็กเวร พ่อแม่ไม่สั่งสอน”
“สั่งสอนว่ะ แต่ไม่จำ เฮ้ย…ไปกันพวก”
ผมได้แต่ยืนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคือง ในใจนึกอยากจะซัดไอ้เด็กพวกนั้นสักหมัดสองหมัด แต่ด้วยความที่ผมมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ ความคิดและการศึกษามากกว่าจึงไม่ทำเช่นนั้น
“เฮ้อ…”
ได้แต่พรูลมหายใจออกมาอย่างปลงๆก่อนจะหันไปมองดูแบบ “บ้านในฝัน” ที่กำลังจะจมน้ำ
“ภัทร…แบบบ้านล่ะ”
“สงสัยอากาศจะร้อน มันเลยลงไปเล่นน้ำแล้ว”
“น่าเสียดายจัง…ภัทรวาดใหม่ได้นะ”
สำหรับผมแล้ว…อะไรที่มันเกิดขึ้นเป็นแรกหรือได้ทำเป็นสิ่งแรกผมมักจะจำมันฝังใจ แล้วก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแทนได้แล้ว
……………
……
ความคิดของผมกลับมาหยุดลงอยู่ที่คนตรงหน้า
“นี่มันแบบบ้านที่ภัทรเคยร่างไว้ตอนเรียนมหาวิทยาลัยนี่ครับ”
“นึกออกสักทีนะภัทร”
“อย่าบอกนะครับว่าคุณวินเป็นหนึ่งในแก๊งค์นั้น”
“ภัทร คุณนี่คิดได้ ผมเป็นคนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นต่างหาก”
“แล้วคุณวินก็เลยขโมยผลงานผมมา”
“ผมไม่ได้ขโมยนะครับ ผมเก็บคิดมาผึ่งจนแห้ง เก็บรักษาอย่างดีกะว่าจะคืนให้ภัทร แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้เจอกัน”
“แล้วตกลงเรื่องมันเป็นยังไงครับเนี่ย แล้วทำไมคุณถึงสร้างบ้านตามแบบที่ผมร่างไว้ล่ะ”
“หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผมก็ลืมใบหน้าของเจ้าของภาพวาดไม่ลง บ้านในฝันของคนๆนั้นก็ทำให้ผมอยากจะสร้างขึ้นเพื่อรอเขามาใช้ชีวิตร่วมกัน ผมเชื่อและมีหวังเสมอว่าผมกับเขาจะได้เจอกันและในที่สุดปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น”
“ผมรักคุณนะภัทร รักมาตั้งนานแล้ว”
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมถึงกับนิ่งงัน
ทำไม…เราถึงไม่เจอกันก่อนหน้านี้
ทำไม…ต้องให้ผมมาเจอเขาในวันที่เราไม่สามารถรักกันได้
มือใหญ่ที่อบอุ่นค่อยๆเลื่อนมากุมกระชับมือเย็นเฉียบของผมไว้ ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยข้อความใดๆออกไปต่อ
แต่แล้วอีกมืออีกข้างที่ว่างของวินก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อและวางลงบนฝ่ามือของผม
กล่องของขวัญขนาดเล็กที่ถูกห่อด้วยกระดาษสีน้ำเงินเข้ม ริบบิ้นสีเงินสะท้อนแสงแวววาว
“ถ้าภัทรเปิดดูแล้วชอบสิ่งที่อยู่ข้างใน ผมจะดีใจมาก…”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้แกะกล่องของขวัญออกดู รถคันหรูก็ฝ่าสายฝนเข้ามาจอดก่อนที่บุคคลในรถจะลงจากรถและกางร่มเดินเข้ามายังตัวบ้าน
“เซอร์ไพร์ค่ะคุณวิน” เสียงหวานใสของหญิงสาวเอ่ยขึ้นก่อนจะส่งยิ้มกว้างให้
“เป็นไงบ้างภัทร เหนื่อยไหม”
“ไม่เลยนุช อ่อ…บ้านเสร็จแล้วนะ”
“นุชแนะนำคนไม่ผิดเลยใช่ไหมคะคุณวิน ภัทรตกแต่งได้สวยจริงๆ”
“อ่อ…นุชมีอะไรจะให้ภัทรด้วยนะ คนแรกที่ได้รับเลยนะเนี่ย”
หญิงสาวเปิดกระเป๋าถือออกก่อนจะหยิบซองสีชมพูอ่อนกรุ่นกลิ่นหอมจางๆยื่นส่งให้ผม
ถึงแม้มันจะไม่ใช่ซองขาวจากบริษัทแต่มันก็ทำให้มือที่ยื่นออกไปรับสั่นไหว หัวใจผมร้าวรานเมื่อได้รู้ว่ามันคือซองใส่การ์ดแต่งงานที่กำหนดวัน เวลา สถานที่ไว้เรียบร้อย
ขณะที่ผมรับมันไว้แต่ด้วยมือที่อ่อนแรงทำให้ซองกระดาษแผ่นนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นพร้อมๆกับหัวใจผมที่กำลังแตกสลาย
“ภัทรจ๊ะ ถือดีๆสิ” นุชเอ่ยพร้อมกับหยิบซองบอกข่าวดีขึ้นมาจากพื้นแล้วจับใส่มือผมไว้
“งานแต่งอาทิตย์หน้า ยังพอมีเวลาหาชุดหล่อๆนะ”
ผมมองหน้านุชที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก่อนจะมองหน้าภวินทร์คนที่ผมรักสลับกันไปมาก่อนจะพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ทั้งคู่
“ดีใจด้วยนะนุช มีความสุขมากๆล่ะ”
มีความสุขเผื่อภัทรด้วย เพราะคนๆนี้คงไม่สามารถหาสิ่งดีๆมาทดแทนในสิ่งสำคัญที่สูญเสียไปได้
วินาทีนี้ผมสูญเสียทั้งภวินทร์ ทั้งหัวใจของตัวเอง
ขอผมได้พักสักระยะ ให้หัวใจที่ร้านรานได้ถูกเวลาเยียวยารักษา
ก่อนจะกลับมามองภวินทร์อีกครั้งด้วยสายตาของความเป็น “เพื่อน”
เสียงเครื่องยนต์ของรถดังขึ้นอีกครั้งก่อนรถอีกคันจะแล่นเข้ามาจอดเทียบกับรถของนุช
“เพื่อนผมมารับแล้ว ผมขอตัวกลับเลยแล้วกันนะครับ ป่านนี้ที่บ้านฝุ่นคงจับแล้ว หากมีงานส่วนไหนยังไม่เรียบร้อยก็โทรหาเพื่อนผมได้เลยนะครับเดี๋ยวเขาจะมาช่วยจัดการให้ เจอกันวันงานเลยนะนุช ลาล่ะนะครับ คุณภวินทร์…”
ผมพูดรวดเดียวจนจบก่อนจะก้มหน้าก้มตาหยิบข้าวของพร้อมทั้งสะพายกระเป๋าขึ้นบ่าราวกับไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือของใคร
เมื่อเดินลงมาถึงบันได้ขั้นสุดท้ายของบ้านละอองฝนก็โปรยปรายลงมากระทบตัวแต่ไม่นานร่มกันฝนก็ถูกกางให้
“ภัทร…ผมไม่อยากให้เราจากกันแบบนี้”
“นี่แหละครับดีที่สุดแล้ว”
“ผมรักภัทร”
เหมือนเขาพยายามจะบอกและรั้งผมไว้ แต่ผมกลับตัดใจและเปิดประตูรถก่อนขึ้นมานั่งและปิดประตูลงก่อนมองไปทางอื่นเพื่อจะได้ไม่ต้องเห็นใบหน้าที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำ
ไม่อยากเห็นความรู้สึกบางอย่างที่ผ่านมาจากดวงตาคู่นั้น
“ไปกันเถอะ” ผมเอ่ยบอกคนขับก่อนจะมองภาพเบื้องหน้าฝ่าม่านฝนและม่านน้ำตา
ผมมองผู้ชายร่างสูงยืนกางร่มท่ามกลางสายฝนผ่านกระจกหลังจนลับสายตา บ้านในฝันค่อยๆเลือนรางจางหายไปราวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น
ใช่…ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่
“ความฝัน”
ใครๆมักจะบอกว่าความฝันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด
แต่ทำไมผมถึงรู้สึก “เจ็บ” จนไม่อยากจะหายใจ
To B Con…
(มาอีกตอนแล้วคับ ^^ อ่า…ตอนนี้แต่งไปแต่งมาเริ่มไม่อยากให้จบซะแล้ว เรื่องใหม่เริ่มร่างไว้บ้างแล้วนะคับ หวังว่าจะได้การรับการต้อนรับจากเพื่อนๆอีกนะคับ ตอนหน้าก็จะจบแล้วล่ะคับ ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคับ ขอบคุณสำหรับทุกๆความคิดเห็นนะคับ
ขอบคุณมากๆ
)