ยินดีต้อนรับทุกท่านที่เพิ่งมารู้จักกันนะคะ ^^
แล้วก็ขอโทษที่ปล่อยให้คอยนานด้วย แหะๆ เอาล่ะค่ะ มาติดตามตอนต่อไปกันดีกว่า
มีแต่เสียงเชียร์พี่เพชรเนี้ยบดังกระหึ่มเลยแฮะ น่าสงสารพี่ใหญ่ยักษ์โดยแต๊ งื้ดๆ
................................................
ตอนที่๙ งุ่นง่าน
นายแพทย์วัชระ เวชชากร กำลังอยู่ในสภาวะที่เรียกว่าองค์ลง แถมองค์ที่มาลงน่าจะเป็นองค์พระเพลิงเสียด้วย ทั้งคุณหมอท่านอื่นและคุณพยาบาล ตลอดจนน้องๆผู้ช่วยที่ทำหน้าที่รับคำสั่งจิปาถะที่ต้องร่วมงานกับคุณหมอผู้ควบตำแหน่งบุตรชายคนเล็กของท่านเจ้าของโรงพยาบาลศีลเวช โรงพยาบาลเอกชนขนาดสามร้อยเตียงที่ตั้งอยู่บนถนนสายธุรกิจกลางกรุงเทพมหานครต่างพยายามทำงานทุกอย่างให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดถ้วนหน้าแบบไม่ต้องตักเตือนกันให้มากความ
คุณสุมาลีพี่พยาบาลหน้าห้องตรวจของคุณหมอวัชระคนเก่าคนแก่ตั้งแต่สมัยนายแพทย์คุณพ่อ ที่ประจำตำแหน่งนี้มาตั้งแต่คุณหมอเริ่มงานใหม่ๆจนถือว่าเป็นคนสนิทพอที่ถ้าอยู่แค่สองคนจะเรียกนายแพทย์หนุ่มด้วยชื่อเล่นว่า ‘หมอเพชร’ ยังรู้สึกแปลกใจ
เพราะที่ผ่านมาแม้จะควบตำแหน่งลูกเจ้าของโรงพยาบาล แต่ชายหนุ่มไม่เคยปล่อยให้อารมณ์ร้อนๆแสดงตัวออกมาในเวลาทำงานเลยสักครั้ง....อันที่จริง ออกจะเป็นคนอะลุ้มอล่วยกับผู้ใต้บังคับบัญชาและใจดีเอามากๆจนสาวน้อยสาวใหญ่เก็บมาฝันกลางวันกันแทบจะยกโรงพยาบาลเลยด้วยซ้ำ
ก็คุณหมอเพชรยังโสด เรียนจบมีอักษรย่อนำหน้าชื่อ นพ. ปุ๊บก็เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลของครอบครัวทันที เป็นคุณหมอจบใหม่หน้าใสกิ๊ง แถมยังมีความสามารถทำให้เสื้อกาวน์สีขาวธรรมดาๆที่เห็นบนตัวคุณหมอท่านอื่นกลายเป็นอุปกรณ์เสริมเพิ่มรัศมีความดูดีให้ตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ตอนมาสมัครงานใครเป็นคนสัมภาษณ์คุณ? .......นี่คุณทำงานมากี่ปีแล้ว?...... อย่าอ้างว่าป่วย โรงพยาบาลเราให้สิทธิ์ลาป่วยกับพนักงานถ้ามีใบรับรองแพทย์ คราวหลังถ้าไม่พร้อมจะทำงานก็ลาซะ......ไม่มีแต่ วันนี้คุณกลับไปได้แล้ว” คุณพยาบาลสุมาลีช่วยเหลืออะไรน้องผู้ช่วยที่ยืนสะอื้นฮักๆปาดน้ำตาป้อยๆคนนั้นไม่ได้เลย นอกจากจะพยักพเยิดหน้าให้รีบก้าวออกจากห้องไปตามคำสั่งคุณหมอที่เรียกพี่แกเข้ามาเพื่อเป็นสักขีพยานการทำงานผิดพลาดของน้องผู้ช่วยชะตาตก ที่ทำงานมาก็จะครบสองปีอยู่แล้ว ดันมาพลาดเรียกคิวคนไข้ผิดสองครั้งซ้อนเอาวันนี้
“พี่สุ ตกลงเย็นนี้ผมเหลือนัดอีกกี่เคสครับ?”
ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งออกจากห้องตรวจพร้อมเสียงประตูบานเลื่อนปิดลงเรียบร้อยโดยไม่หันไปมองน้องผู้ช่วยชะตาตกเลยสักนิด นายแพทย์หนุ่มก็ยิงคำถามไปที่คุณพยาบาลโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือในมือ
“มีคุณสวัสดิ์ที่นัดตัดไหมค่ะ นอกนั้นโทรมาขอเลื่อนหมดแล้ว”
“ถ้าคนไข้มาถึงส่งเข้ามาเลยนะครับ แล้วถ้ามีคนไข้ใหม่มาก็ส่งให้คุณหมอท่านอื่นได้เลย ผมมีธุระต้องรีบกลับ”
ชายหนุ่มจัดการกับงานเฉพาะหน้าเสร็จก็บึ่งรถจากกลางใจเมืองขึ้นทางด่วนตั้งแต่ยังไม่สองทุ่มซึ่งเป็นเวลาเลิกงานปกติวันที่ต้องอยู่ประจำห้องตรวจตอนเย็น รู้ตัวดีว่าจิตใจร้อนรุ่มจนบังคับตัวเองให้เย็นลงไม่ไหวถ้ายังไม่ได้ออกไปพ้นจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยความกดดันอย่างที่นี่.....โรงพยาบาลศีลเวช กิจการของครอบครัว
วัชระยอมรับว่าที่หงุดหงิดขนาดนี้ไม่ได้มีสาเหตุจากความเครียดเรื่องงาน เพราะที่ผ่านมา แค่ลาพักร้อนไปใช้ชีวิตคนเดียวตามป่าตามเขา ได้ทำอะไรที่ใจรักอย่างถ่ายรูปทิวทัศน์สวยๆหนึ่งสัปดาห์ต่อปีก็เพียงพอที่จะทำให้เขากลับมาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างมีความสุขได้แล้ว
แต่นี่เป็นเพราะจากวันที่ได้พบกับคนพิเศษคนนั้น ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เต็มแล้ว แต่กลับไม่มีการติดต่อกลับมาเลย ทั้งที่มั่นใจในสายตาตัวเองแท้ๆว่ามองไม่ผิด ความรู้สึกจากท่าทางของเด็กคนนั้น.....ดอว์น หวั่นไหวไปกับเขาแล้วชัดๆ เสียงหนึ่งพลันแวบขึ้นมาในห้วงความคิด
‘มึงมันพวกอีโก้สูง เพชร รวยนักนี่นะอะไรๆมันเลยดูเหมือนจะได้มาง่ายไปซะหมด’
“หึ ง่ายบ้าอะไรเล่า......เกิดเป็นลูกคนเล็กที่พี่อีกสามทั้งเก่งทั้งดีผิดปกติเนี่ยนะง่าย ยากฉิบหายสิไม่ว่า”
ชายหนุ่มเร่งความเร็วรถขึ้นอีก ยื่นมือเปิดเพลงดิสโก้จังหวะสนุกสนานแผ่นที่มักจะค้างไว้ในเครื่องเล่นในรถเป็นประจำ ตัดภาพความหลังที่เคยเงยหน้ามองความสำเร็จของพี่ที่ผ่านไปทีละคนๆออกไป ปิดสวิตช์เสียงค่อนขอดที่ดูเหมือนจะลอยมาจากอดีต....เสียงจากคนที่เคยเรียกว่าเพื่อนออกไป แล้วปล่อยใจไปกับเสียงเพลงและสายลมที่จู่เข้าปะทะใบหน้าจนชา
รู้ตัวอีกทีสปอร์ตสีขาวคันงามก็ออกนอกเมืองมาไกลแล้ว
“ตายห่าเผลอเหยียบมาจนสุดโทลล์เวย์จนได้”
ชายหนุ่มหักรถแอบเข้าข้างทางสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเลยเผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ วัชระหยิบโทรศัพท์ไล่หาเบอร์ของหนึ่งในไม่กี่คนที่เจ้าตัวนับว่าเป็นเพื่อนแท้ทันที
รอสายอยู่นานจนแทบจะถอดใจเสียงจากปลายสายก็ดังขึ้น
“สวัสดีครับคุณเพื่อน ฮ้าววววววว....หายหัวไปเลยนะมึง” “ทำไม คิดถึงอะดิ อย่าบอกนะว่านอนแล้ว?”
“เออ ฮ่าๆๆๆๆๆ บ้าดิ นอนได้ไงล่ะอยู่เวรคนเดียวเนี่ย ง่วงจะตายห่า เสียงกบเขียดอึ่งอ่างแถวนี้แม่งก็กล่อมกูดีจัง ขยันร้องอะไรกันนักหนาก็ไม่รู้แม่ง ดีนะมึงโทรมา ไม่งั้นกูหลับน้ำลายยืดอวดเด็กหมด เสียภาพ”
“ฮ่าๆๆๆๆ เดี๋ยวนี้มีด่งมีเด็กนะ เสร็จแน่มึง สามีมึงได้รู้ข่าวภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงแน่”
วัชระออกรถอีกครั้ง คราวนี้เขาขับไปเรื่อยๆสายตาคอยมองหาปั๊มน้ำมันใหญ่ๆประเภทที่มีร้านสะดวกซื้อเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงไปด้วย
“เหอะ ไม่มีหลักฐานพูดไปมันคงเชื่อมึงหรอก อีกอย่างขอให้คุณเพื่อนบรรจุข้อมูลลงสมองหยักเยอะของคุณมึงใหม่ด้วย กูไม่มีผัวเว้ย มีแต่เมีย ฮ่าๆๆๆๆๆ”
“เออ ตอนนี้ไม่มีหลักฐาน แต่อีกเดี๋ยวกูมีแน่ มึงเตรียมรอรับเลยไม่เกินชั่วโมงกูไปถึง”
“เฮ้ย!! ถึงไหนแล้ว มาทำไม แล้วนี่มึงมาจริงอะ........”
เสียงโวยวายจากอีกฟากถูกเมินเฉย วัชระชะลอรถเลี้ยวเข้าปั๊มใหญ่ริมทาง เติมน้ำมันจนเต็มถังแล้วเข้าร้านสะดวกซื้อเหมาสารพัดอาหารและขนมขบเคี้ยว ไม่พลาดจะหยิบปลาเส้นทาโร่ซองสีส้มของชอบของเพื่อนหมอที่ประจำอยู่โรงพยาบาลอู่ทอง สุพรรณบุรี ติดไปเกือบหมดชั้นวาง เหลือไว้ให้สองซองเผื่อมีเด็กที่ไหนอยากกินแล้วจะบาปเอาถ้าตัวเองกวาดไปหมด ก่อนจะกลับขึ้นรถบึ่งไปโดยคราวนี้มีจุดหมายแน่วแน่ที่โรงพยาบาลอู่ทอง
---ก๊อก ก๊อก ก๊อก---
“เชิญครับ...........ห่า.....มาจริงเว้ย” คำทักทายเจริญพรหลุดออกจากปากนายแพทย์วิเศษทันทีที่ประตูห้องพักแพทย์ถูกเปิดออกตามคำอนุญาต แล้วแทนที่จะสนใจกับสีหน้าที่มองแวบเดียวก็รู้ว่ามีเรื่องไม่สบายใจมาอีกแล้วของเพื่อน หมอกิมก็ให้ความสนใจกับถุงพลาสติคสองใบที่ดูหนักๆในมือเพื่อนแทน
“เพื่อนมึงมีชื่อ ห่านี่เชิญเอาไว้เรียกสามีสุดที่รักของมึงคนเดียวเลยไอ้กิม”
ชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีครีมที่แกะกระดุมสองเม็ดบนออกและปล่อยชายออกจากกางเกงผ้าเนื้อดีสีน้ำตาลอ่อนที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องแคบๆ กองถุงของฝากที่บรรจุเต็มด้วยสารพัดขนมขบเคี้ยวแถมด้วยโค้กลิตรอีกสองขวดทับบนตำราเล่มหนาที่เจ้าของสถานที่เปิดอ้าอยู่บนโต๊ะหน้าตาเฉย
ไอ้กิมของเพื่อนๆ หมอหนุ่มลูกชายร้านทองผู้มีหน้าตาบ่งบอกเชื้อชาติขนานแท้ก็ไม่ได้สนใจเพื่อนที่พอวางถุงเสร็จก็เดินไปลากเก้าอี้เบาะกลมมีล้อมานั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะแต่อย่างใด ใช้มือขาวจัดแหวกปากถุงแล้วเลือกหยิบทาโร่สีส้มของโปรดออกมาฉีกกินง่ายๆ
เหลือบตามองลอดแว่นไปอีกทีก็เห็นไอ้คนเอาของกินมาเยอะอย่างกับเหมาร้านเขามามันฟุบหน้าลงกับแขนตัวเองที่วางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะเสียแล้ว
“ห่าเพชร มีอะไรก็พ่นๆออกมาเหอะวะ หรือมึงปวดขี้ ส้วมที่นี่มึงก็เคยเข้าแล้วนี่ คงไม่ต้องให้กูบอกทางนะ”
“ไม่มีอะไร”
“กูไม่โง่!!”
หมอโรงพยาบาลเอกชนพ่วงตำแหน่งห้อยท้ายมากมายก่ายกองรายรับหลักแสนเงยหน้าสบตาหมอโรงพยาบาลประจำอำเภอแถมไม่รับจ๊อบเพิ่มรายรับหลักหมื่นที่ยังไม่หยุดส่งเส้นทาโร่เข้าปาก แล้วส่งเสียงอ่อยๆออกมาเบาจนแทบจับความไม่ได้
“กูอกหัก”
“กูไม่เชื่อ!!” เสียงตอบรับดังฟังชัดออกจากปากหมอโรงบาลประจำอำเภอสวนขึ้นมาทันที
“อ้าว พอไม่พูดก็ด่า พอกูพูดขึ้นมาก็ไม่เชื่อ ผีเข้าผีออกนะมึง มิน่าไอ้ใหญ่มันถึงหนีไปอยู่ถึงตาก”
“ดึงมันมาเกี่ยวตลอดนะมึง ก็จะให้กูเชื่อได้ไงว่าหน้าอย่างมึงจะอกหัก เคยรักใครจริงจังกะเขาด้วยเรอะ ไหนมึงเล่ามาดิ๊เผื่อกูจะเชื่อ”
เรื่องราวของหนุ่มน้อยนัยน์ตาโศกกับดอกเสี้ยวถูกถ่ายทอดจากปากของหมอเพชรสู้เพื่อนกิมอย่างไม่มีตกหล่นตั้งแต่ได้เจอกันครั้งแรกที่ร้านอาหารคุณยาย จนไปเจออีกครั้งที่ริมธารน้ำตก และจบลงที่โน้ตแผ่นเล็กๆกับข้อความสองบรรทัดจากเพชรถึงดอว์น
“โห.......ไอ้หล่อ นี่หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปน้องดอว์นสุดน่ารักเขาไม่ติดต่อกลับมามึงเลยหงุดหงิดงุ่นง่านจนอยู่ติดที่ไม่ได้ต้องแล่นมาหากูถึงนี่ว่างั้น?”
“อือ.....กูถูกใจน้องเขาจริงๆนะเว้ย ทั้งหน้าตา รูปร่าง ท่าทาง ยิ่งเวลาเขาไม่รู้ว่ามีคนมองนะ......”
“สรุปว่าหลงรูปล้วนๆนะมึงเนี่ย ยังไม่ทันรู้เลยว่าน้องเขานิสัยเป็นไงยังทำเอามึงมาเพ้อขนาดนี้ได้ กูชักอยากเห็นแล้วว่ะ”
“กูมีรูป แต่อยู่ที่บ้าน แล้วก็......มันไม่ใช่แค่ภาพนะไอ้กิม แต่ถ้าที่กูสังหรณ์ไว้มันไม่ผิด เขาจะต้องเป็นของกู มึงรู้มั้ย.......กูเชื่อว่าเขาเป็นเนื้อคู่ของกูแหละ”
“โธ่ถังกะละมังตกแตก!! เออ กูจะเชื่อก็ได้ เพิ่งเคยเห็นสภาพคุณชายน้ำเน่า แล้วเป็นไงล่ะมึง แหม....ทิ้งโน้ตพร้อมอีเมลแอดเดรส สร้างภาพเกินนะมึงน่ะ สมน้ำหน้า”
“อ้าว......กูมาหาให้สบายใจไอ้นี่มาซ้ำเติมอีก”
วัชระจบประโยคด้วยการถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ๆ ก่อนจะคว้าเอาถ้วยกระเบื้องเนื้อหนาสองหูรูปมิคกี้เมาส์ของเพื่อนนั่นแหละมากระดกโค้กใส่ปากไม่ยั้ง แถมดื่มเสร็จยังมีการใช้หลังมือปาดปากท่าเดียวกับขี้เหล้าปาดเหล้าแถมด้วย
“เออๆ ปลอบก็ปลอบ กูว่านะมึงบอกเจอน้องเขาตอนไปเที่ยว นี่ก็เพิ่งหนึ่งอาทิตย์ น้องเขาอาจจะยังตระเวนเที่ยวไม่เสร็จก็ได้ แล้วเลยไม่มีเวลาติดต่อกลับไรงี้ไง.......หรือไม่นะ บ้านน้องเขาก็อาจจะไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่ก็.....หนึ่งสัปดาห์นี่เป็นช่วงเล่นตัว น้องเขากำลังเล่นตัวอยู่.......”
“คิดได้เนอะมึง ฮ่าๆๆๆๆ”
“เออ.......หรือไม่ น้องเขาก็ไม่ชอบสูง ขาว ตาคม คิ้วเข้ม แต่ชอบสูง ขาว ตาตี่ มีลักยิ้ม แถมเป็นพี่แว่นใจดี๊ดีแบบกูก็ได้ มึงว่าน้องเขาลูกครึ่งตาโตนี่เนอะ เนี่ยตำราจิตเวชกูอ่านผ่านๆอยู่พอดี เขาบอกคนเรามักจะสนใจอะไรที่ตรงข้ามกับตัวเอง ถ้าน้องเขาตาโต เขาต้องชอบตาตี่แบบกูแหงเลยว่ะ”
---ออด ออดดดดดดดด---
“ครับ?” คุณหมอกิมกดปุ่มรับสัญญาณเรียกจากเครื่องสื่อสารภายในพร้อมกรอกเสียงตอบลงไป
“มีคนไข้ค่ะหมอ ผู้ป่วยหญิงอายุ55 มาด้วยปวดท้องมาก หายใจไม่สะดวก....”
“โอเค ผมกำลังไป”
นายแพทย์วิเศษที่กำลังสอดแขนตัวเองเข้าไปในเสื้อกาวน์ที่แขวนอยู่บนตะขอแถวนั้นกดปิดสัญญาณอินเตอร์คอม แล้วหันมาบอกเพื่อนเบาๆ
“เดี๋ยวกูกลับมาปลอบต่อ มึงหาไรอ่านเล่นไม่ก็นอนเตียงข้างหลังนั่นไปเลยก็ได้”
วัชระโบกมือตามหลังเพื่อนแล้วย้ายตัวเองไปเอนตัวนอนบนเตียงเหล็กด้านหลังม่าน ครุ่นคิดตามคำพูดวิเคราะห์สถานการณ์เอามันของเพื่อน แล้วก็ต้องขำออกมาเบาๆ.......
หรือนี่เราจะตื่นตูมไปเอง แต่ที่เก็บมาคิดมากมายขนาดนี้ ที่บอกกับเพื่อนไปว่ากับคนนี้ถูกใจจริงๆนั่น มันน้อยกว่าความรู้สึกในใจด้วยซ้ำไปถึงน้องรุ่งคนดีที่สุดของพี่
วันศุกร์เพิ่งจบลงค่ะ ฝึกงานห้าวันพวกพี่สี่คนเรี่ยวแรงหดหายไปตามๆกัน แต่ก็แค่ช่วงสองสามวันแรกนะคะ พอมาสองวันหลังนี่อะไรๆก็เริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มอยู่ตัวขึ้นแล้ว และพี่ก็ค้นพบว่าภายใต้ความเฮี้ยบตามระเบียบเป๊ะๆของพี่ดา พี่แกเป็นคนใจดีแล้วก็เก่งเอามากๆเลยล่ะค่ะ พี่ดอนอยู่กับพี่เขา เลยได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆมากเลย
ที่โชคดีอีกเรื่องคือพี่มาเจอพี่หมอคนหนึ่ง ซึ่งแกเป็นเจ้าของเคสของไอ้ก่อมัน แล้วเมื่อวันอังคาร พี่แกลงมาดูคนไข้ที่แผนก พอคุยกันพี่แกก็บอกว่าเป็นพี่ร่วมมหาลัย ให้พวกพี่เรียกพี่ใหญ่ได้เลย แล้วถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็บอกได้ทุกอย่าง ได้เจอรุ่นพี่ใจดีแบบนี้นี่ดีจังเลยนะคะ
แต่ถึงพี่เขาจะบอกว่ายินดีช่วยเหลือ พวกพี่ก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องขอความช่วยเหลือหรอกค่ะ อีกอย่างก็เกรงใจด้วย ไม่ได้สนิทสนมกันหรือรู้จักกันมาก่อนเสียหน่อย
และทั้งๆที่พวกพี่ก็ไม่ได้ไปทำตัวสนิทสนมอะไรด้วย แต่เมื่อเย็นพี่ใหญ่เขาก็เพิ่งจะพาพวกพี่สี่คนไปเลี้ยงหมูกะทะมาหนึ่งอิ่มใหญ่ๆเองค่ะ พี่ดอนว่าพี่แกคงเหงานะคะ เห็นแกคุยกับพวกไอ้จี๊ดบอกว่าบ้านแกอยู่สุพรรณ แต่ดันได้มาใช้ทุนถึงนี่ แกคงอยากคุยกับคนที่เคยอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันรำลึกความหลังบ้างละมังคะ
เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกพี่จะไปตลาดริมเมยกันคงจะออกกันแต่เช้าอีกแล้ว เห็นพี่ๆที่แผนกบอกว่าของขายเต็มไปหมด ไม่แน่พี่จะไปดูไว้ก่อนว่ามีอะไรที่แม่ของเราสองคนจะชอบบ้าง ช่วงใกล้กลับจะได้ไปซื้อง่ายๆไม่ต้องเสียเวลาเลือกนาน เห็นเขาว่ามีพวกพลอยจากพม่าด้วยนะคะ แต่ของพวกเครื่องประดับพี่ดอนคงไม่ซื้อ เพราะไม่เคยเห็นว่าหม่าม้าจะชอบใส่ พี่ดอนเห็นหม่าม้าใส่ติดมืออยู่ก็แค่แหวนแต่งงานทองเกลี้ยงวงนั้นวงเดียว
ราตรีสวัสดิ์ค่ะคนสวยที่สุดของพี่
พี่ดอนผู้นอนไม่หลับแต่ก็ต้องพยายามข่มตานอน
ปล. พี่ดอนอยากเจอคนคนนั้นอีกจังค่ะน้องรุ่ง นี่เขาจะยังรอให้พี่ติดต่อกลับไปอยู่รึเปล่าคะ? ทำไมการตัดสินใจเริ่มต้นอะไรสักอย่างมันถึงยากขนาดนี้น้า...........โปรดติดตามตอนต่อไป..
ปล.วิ่งๆๆๆ หลบลี้หนีหน้า หุหุ