ตอนที่ 17 คนสำคัญและสิ่งสำคัญ
“ไอ้สาม” ลืมตาปรือๆ ก็เห็นหน้าไอ้เพทายยืนเรียกชื่อผมอยู่ข้างเตียง ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเตียงโรงพยาบาลหรือเตียงของห้องพยาบาลมหาลัย สมองปรับสภาพไม่ทันเพราะดันเกิดไปฝันแปลกๆ เข้า
“กูเป็นไรไปวะ?” ผมขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง ไอ้เพทายรีบกดตัวผมให้นอนลง ผมมองหน้ามันอย่างสงสัย “อะไรวะ คนจะลุกไม่ให้ลุก”
“หมอบอกอย่าเพิ่งให้มึงลุก เดี๋ยวจะน็อคไปอีก” มันบอก
“กูไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย” ผมขมวดคิ้วแล้วพยายามจะขืนตัวเองลุกขึ้น เมื่อเห็นว่าบังขับผมไม่ได้ไอ้เพทายก็ถอนหายใจ
“ดื้อว่ะ ดื้อจริงๆ”
“กูอยู่โรงพยาบาลสินะ?” ผมถามอย่างไม่สนคำบ่นของมัน
“เออ” มันพยักหน้าส่งๆ พลางเดินไปนั่งบนโซฟา ผมจึงมีเวลาได้มองเห็นห้องชัดๆ และนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีเงินขนาดนอนในห้องพิเศษ เพราะถึงผมจะมีประกันที่แม่ทำไว้ให้ แต่ก็ประกันธรรมดาที่มีกำลังจ่ายให้ได้แค่ห้องรวมเท่านั้น
“ไอ้เพทาย ไปบอกหมอให้กูออกจากโรงบาลเดี๋ยวนี้” ผมกระโดดลุกออกจากเตียง แล้วไอ้อาการโลกเหวี่ยงก็เข้ามาทำร้ายผมอีกครั้ง ผมเซไปเกาะที่เตียงพร้อมกับทรุดตัวนั่งลงขุกเข่าอย่างอ่อนแรง ไอ้เพทายเห็นดังนั้นจึงรีบเข้ามาช่วยพยุงไม่ให้ผมไหลล้มลงไปนอนกองกับพือน แล้วช้อนที่ใต้รักแร้ผมให้กลับขึ้นมานอนบนเตียง
“มึงจะรีบร้อนไปทำไมวะไอ้สาม” มันนิ่วหน้าหงิก จัดผ้าห่มให้ขึ้นมาคลุมตัวผม
“โห มึงทำเป็นลืมนะ บ้านกูไม่มีตังค์เว้ย” ผมฮึดฮัด หัวเสียใช่น้อยกับอาการป่วยของตัวเอง ไม่เคยเป็นอย่างนี้ตั้งแต่หลังโดนคนเมายาบ้าจับโยนลงจากระเบียงชั้นสองของโรงเรียนตอนมอสอง หึๆ วันนั้นถ้าพื้นข้างล่างไม่ใช่ดินแดงและไม่อยู่ในช่วงหน้าฝน ป่านนี้ผมคงจะไม่ได้มานอนอยู่ตรงนี้ชัวร์
“มึงนี่เคยเป็นอะไรไม่ยอมบอก ดีไม่ตายห่าก็บุญแล้ว” ไอ้เพทายมันว่า หยิบมือถือขึ้นกดยกแนบหูหน้าบอกบุญไม่รับ “โหลๆ เออ กูเองครับ... พวกมึงอยู่ไหน?....เหี้ย! ยังไม่กลับจากโรงพักอีก... ไอ้สามมันฟื้นแล้วนะ...เออ แม่มันกับพี่สาวมันเพิ่งกลับ...ไม่ๆ กูบอกแล้วแต่แม่ไอ้สามไม่เอา จะให้กูทำไง...โอเค เอางั้นนะ...ได้ เดี๋ยวกูจัดการเฝ้าให้ ...เออ แค่นี้” ตัดสายฉึบ ผมนอนมองมันตาปริบๆ ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“แม่กูมาแล้วเหรอ กูหลับไปนานแค่ไหนวะ”
“สองคืนกับหนึ่งวัน แม่มึงมาเยี่ยมสองรอบแล้วก็มานอนเฝ้าด้วยเมื่อคืน” ชิบหาย นานขนาดนั้นเลย!
“แล้วไอ้เป้กับไอ้เดย์ไปโรงพักกันทำไม”
“หือ...อ้อ ไปเอาเรื่องไอ้พี่ตั้มที่มาต่อยมึงอ่ะ”
“ขนาดเอาเรื่องเลยเหรอ ไม่ใช่เสียค่าปรับกันก็จบไง”
“ถึงขั้นหามมึงที่ชักกระตุกส่งโรงบาลนี่ไม่แค่เสียค่าปรับแล้ว”
“กูชักด้วยเหรอ” ผมเหวอ
“เออเสะ คนนี่แตกตื่นทั้งสนาม นึกว่ามึงเป็นลมบ้าหมู”
“จริงอ่ะ” ผมยังไม่ติดใจเชื่อ
“โกหกได้เงินกูก็ไม่เอา ห่า มึงเพื่อนกูนะครับ เหี้ยสาม” มันค่อนขอด
“กูไม่ได้เป็นแบบนี้นานแล้วนะ”
“แบบนี้น่ะแบบไหนครับ”
“ชักอ่ะ กูเคยเป็นต้องมอสองหลังโดนคนเมายาจับโยนจากตึก จากนั้นก็ชักบ่อยๆ พอขึ้นมอสี่ก็หายนะ” ผมเล่าให้ไอ้เพทายฟัง
“หายไปเอง?” มันเลิกคิ้ว ผมนึก
“งั้นมั้ง ไม่รู้ว่ะ กูจำได้แค่พอขึ้นมอสี่ก็ไม่เคยเป็นอีก”
“เหรอ อืม...” มันพยักหน้า “เอ้อ มึงหิวอะไรมั้ย กูว่าจะไปสูบบุหรี่”
“เอิ่ม...กูอยากได้น้ำสักแก้ว ไม่ค่อยหิวว่ะ สงสัยจะอิ่มน้ำเกลือ”
“เออ น้ำนะ” แล้วไอ้เพทายก็เดินไปรินน้ำใส่แก้วมาให้ครึ่งหนึ่ง
“น้อยจังวะ” ผมมองมันงงๆ
“มึงได้น้ำเกลือแล้ว หมอบอกอย่าเพิ่งให้ดื่มน้ำมากตอนนี้” มันตอบก่อนจะควักซองบุหรี่มาถือ เดินหายออกไปจากห้อง ทิ้งผมไว้อยู่กับคำถาม
‘ตกลงกูน็อคหมัดรุ่นพี่ปีสี่ หรือกูเป็นอะไรร้ายแรง?’
ดื่มน้ำสักพักหมอกับพยาบาลก็เข้ามาตรวจ ไล่ถามไถ่อาการสองสามคำก็ฉีดยาให้ น่าจะเป็นยาแก้ปวดอะไรสักอย่างอ่ะครับ เพราะหมอบอกว่าคืนนี้ถ้าไม่ไหวจริงๆ ให้เรียก ไม่รู้อะไรคือไม่ไหวเหมือนกัน อยากถามอยู่นะ แต่หมอกับพยาบาลรีบพากันออกไปจัง แถมหลังได้รับยาผมก็ง่วงมากด้วย อ้าปากหาวสองสามหนสติผมก็เบลอ มาตื่นอีกทีทันเห็นไอ้เป้กำลังแกะป๋องโจ๊กแล้วเติมร้อน
.
.
.
“โอ๊ะ เพื่อนกูตื่นละ เดี๋ยวนะ ขอกูไปเรียกอัศวินของมึงก่อน” มันยกกระป๋องโจ๊กหายออกไปนอกระเบียง ทว่าคนกลับเข้ามาดันเป็นไอ้เดย์ รอยเขียวช้ำที่ผมทำฝากไว้ตรงมุมปากมันตอนนี้เริ่มจางเผยให้เห็นใบหน้าเนียนใสชัดกว่าแต่ก่อน ไอ้เดย์คลี่ยิ้มให้ผมขณะเดินเข้ามาหา ผมขอสาบานต่อหน้าเสาน้ำเกลือเลยอ่ะ ว่าเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่เคยเห็นมันทำกับผมสักครั้ง แต่ทำไมถึงได้รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เรียกเดจาวูป่ะวะ?
“ทำไมมึงมาอยู่นี่” ผมถามไม่ทันคิดว่ามันก็เป็นคนๆ หนึ่ง ที่ช่วยผมไว้ ไอ้เดย์หุบยิ้มพลางส่งสายตาเจ็บปวดให้ จากนั้นก็เดินทำหน้าโหดไปนั่งลงบนโซฟา
“กูก็มาดูใจคนใกล้ตายน่ะสิ แม่งเสือกดวงแข็ง ขนาดนรกยังไม่ต้องการ” เจ้าพ่อพระคุณ ไม่กลัวดอกพิกุลร่วงหมดปากเหรอครับ พ่นมาแต่ละคำ แช่งกูเสียไม่มีดี
“ปากหมา กูหรืออุตส่าห์หลงคิดว่ามึงยิ้มสวย สงสัยตาฝาดเห็นๆ” ผมบ่นหน้าบูดแล้วนอนหันหลังให้มัน เฮ๊อะ~!
“หือ กูยิ้มสวยเหรอ...” มันลุกจากโซฟาเดินอ้อมมาเผชิญหน้ากับผมอย่างเร็ว หน้าโหดคลายลงเหลือเพียงใบหน้าสงสัย อันนี้มึงจะน่ารักด้วยถ้ายังไม่เลิกทำหน้าแบบนั้นใส่กู แม่ง กูไม่ชิน!
“ฝันไปเปล่า” ผมพลิกหนีมันอีก ใจสั่นๆ แต่มันก็ใช่ย่อยที่ไหน เดินอ้อมตามมายืนตรงหน้าผมอีก “มึงไม่คิดว่ากูจะไม่อยากเห็นหน้ามึงบ้างเหรอ เดินตามมาให้มองอยู่ได้”
“มึงชมกูยิ้มสวย” มันบอกซ้ำพลางทำหน้าแฮปปี้ เออ... ใครก็ได้ช่วยบอกกูทีเถอะว่าไอ้บ้านี่ไม่ใช่หัวหน้าหนุ่มเถื่อนแห่งคณะวิศวะ!
“ก็บอกมึงฝันไปหรือเปล่าไง กูจะนอน ไปไหนก็ไปไป๊...” ผมไล่ “อ้อ หรืออยากโดนจูบอีก คราวนี้ร้องไห้กูซ้ำนะขอบอก...” เหยด! ไอ้สามเผลอหลุดอะไรออกไปครับ ไม่ใช่สิ จริงๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่ตัวเองคิดนั่นแหละ แต่ทำไมไอ้สามถึงหลุด? คืออยากจะบอกนะ ว่านั่นน่ะผู้ชายเว้ย!
*แอ๊ด* ไอ้เพทายเปิดประตูเข้ามาในจังหวะเหมาะ ผมรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างปัจจุบันทันด่วนไปที่ไอ้เพทายทันที ส่วนไอ้เดย์ก็ไม่ได้เลิกมองผม(อย่างเด็กใสซื่อ) แหม มองซะกูยกเรื่องจูบออกจากหัวไม่ได้สักที ไอ้สาดดดด!! *สติแตก*
.
.
.
ตกดึกผมรู้สึกปวดหนึบๆ ที่ท้ายทอย ไม่หรอก ต้องบอกว่าปวดหัวแล้วลามไปถึงตรงนั้นมากกว่า ผมกัดฟันลุกขึ้นมาในความมืด ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่เฝ้าจึงไม่ได้เรียกใคร พอเดินไปได้หน่อยก็สะดุดกับโต๊ะ ล้มหน้าขมำไปกระแทกพื้นเย็นเฉียบ ส่งเสียงร้องโอดโอยอย่างอนาถ ทำไมกูอ่อนแอขนาดนี้
ไฟห้องถูกเปิดแต่ผมกลับเห็นเป็นแสงทึมๆ พลันเห็นร่างเงารางๆ ของใครคนหนึ่งก่อนที่ผมจะถูกใครคนนั้นพยุงกลับมาที่เตียง และกว่าจะจับต้นชนปรายได้ถูกว่าเป็นใคร ผมก็มองเห็นไอ้เดย์ทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ออกมา
“มึงเป็นไรมากป่ะ ทำหน้าเหมือนแฟนตาย” ผมแซว หวังให้มันเลิกทำหน้าแบบนั้นเสียที ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากให้เลิก รู้แค่ว่าเวลาเห็นมันทำหน้าเศร้าทีไร ใจผมเหมือนโดนเอามีดกรีด มิหนำซ้ำอาการนี้ผมค่อนข้างแน่ใจว่าเป็นหลังจากที่จูบกับมันด้วย คล้ายๆ กับว่าไอ้จูบเนี่ย ไปกระตุ้นสารอะไรบางอย่างในตัวผมงั้นอ่ะ
“ไม่เหมือนก็คล้าย” มันพูดแล้วซบหน้าลงตรงบ่าผม ยิ่งทำให้ผมทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่
“เฮ้ย โรงพยาบาลนะเว้ย” ผมทำท่าจะผลักไหล่มันออก
“...มึงจะลืมกูอีกแล้วใช่มั้ยสาม” รู้สึกได้ถึงน้ำเปียกๆ ไหลซึมตรงบริเวณที่มันซบ ความคิดที่จะผลักมันจึงหายไปฉับพลัน
“ลืมอะไร มึงพูดอะไรแปลกๆ กูเคยลืมเหรอ แล้วลืมเมื่อไหร่ กูกับมึงเพิ่งจะมารู้จักกันเรื่องน้ำเองนะ”
“ไม่ มึงไม่เข้าใจ” ไอ้เดย์ส่ายหัว “กูขอร้องนะสาม มึงอย่าลืมกูอีกได้มั้ย...กูจะไม่ไหวแล้วจริงๆ” มันกอดผมไว้แน่น ได้ยินมันสูดน้ำหมูก *ฟืดฟาด* เอาตรงๆ ผมไม่เข้าใจที่มันพูดเลย
“ไม่ห่าไร มึงบอกแต่กูลืมมึง ไม่ก็ไม่ให้กูลืมมึง แล้วมึงคิดจะบอกกูบ้างมั้ย ว่ากูไปลืมมึงตอนไหน ทำไมถึงได้ลืม?” ผมยกมือลูบหลังไอ้เดย์ที่สะอื้นถี่น่ากลัว มันส่ายหัวรัวกับบ่าของผมจากนั้นผมก็เงยหน้าเช็ดคราบความจริงที่อยู่บนหน้าของมัน “เมื่อกี้มึงจะลุกไปไหน”
“มึงอย่ามาเปลี่ยนเรื่อง” ผมนิ่วหน้าคิ้วขมวดว่าเสียงเข้ม มันเองก็ไม่ยอมแพ้ทำเข้มเสียผมต้องยอมแพ้
“กูไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง แต่เมื่อกี้มึงลุกจากเตียงมาล้ม แสดงว่าอยากเข้าห้องน้ำหรือไม่ก็เป็นอะไรใช่มั้ย”
“กูปวดหัว” ผมจำใจตอบมันไป “ตอนนี้ไม่เป็นไร...”
“ไม่เป็นไรไม่ได้ มึงรออยู่นี่นะ อย่าไปไหน กูจะไปตามหมอ” ไอ้เดย์บอกพร้อมกับหันหลัง ผมรีบคว้ามือมันไว้ทันก่อนมันจะออกไป
“กด Nurse call บนหัวเตียงเอาก็ได้”
“อ้าว งั้นแล้วทำไมเมื่อกี้มึงไม่กด” มันถาม ผมถอนใจ
“กูไม่อยากให้เขาแตกตื่น แค่จะออกไปขอยาแก้ปวดกินเฉยๆ”
“คิดตื่นๆ!” มันโวย “เกิดไปล้มลงตรงที่ไม่มีใครอยู่ มึงจะเป็นไงบ้าง เคยคิดบ้างมั้ยสาม!”
“แล้วจะตะคอกทำไมเนี่ย กูแค่ปวดหัวแล้วก็มองไม่ชัดเฉยๆ ห้องมันมืดอ่ะมึงเข้าใจป่ะ” ผมอธิบาย
“สาม ห้องไม่ได้มืด กูไม่ได้ปิดไฟ มึงต่างหากล่ะที่มองไม่เห็น!” มันว่าจากนั้นก็ยื่นมือไปกด Nurse call รัวๆ ผมตกใจอ้าปากจะร้องห้าม มันก็หันมาแยกเขี้ยวใส่ “ครั้งนี้กูจะไม่ยอมถอยอีกแล้ว มึงเตรียมใจไว้สาม”
เท่านั้นแหละ ไม่ต้องมีเวลาได้คิดมากกับคำพูดของมัน หมอกับพยาบาลสองคนก็กรู่กันเข้าใส่ห้อง ไอ้เดย์อธิบายอาการของผมให้หมอฟังจากนั้นหมอก็ส่องไฟฉ่ายเข้าที่เบ้าตาของผมสองข้าง พยาบาลสองคนก็ช่วยกันทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม คนหนึ่งถือถาดเครื่องมือ อีกคนหนึ่งตรวจเช็คระดับความดัน หมอปิดไฟฉายส่งให้พยาบาลที่ถือถาด แล้วหันกลับมาจ้องผม
“ได้ยินว่าเพิ่งเป็นก่อนจะมาโรงบาลใช่มั้ยครับ” หมอถามผมก็งง
“เป็นอะไรครับ?”
“อาการเหมือนยืนไม่อยู่น่ะครับ”
“อ้อครับ ตั้งแต่โดนรุ่นพี่ต่อยที่มอ พื้นมันก็เหมือนเหวี่ยงๆ อ่ะครับ”
“แล้ว เรื่องที่มองไม่เห็นจนต้องรอผ่านไปสักพักล่ะครับ”
“อันนี้เพิ่งมาเป็น...” ผมหยุดคิดอยู่หลายวินาที “ครับ เพิ่งจะมาเป็นตอนอยู่ที่โรงบาลนี่แหละ”
“อืม ถ้างั้นพรุ่งนี้ผมจะลองปรึกษากับคุณแม่ของคนไข้ดูนะครับ”
“ปรึกษาเรื่องอะไรครับ?” งงเข้าไปไอ้สามเอ้ย
“คือการใช้CT Scan กับคนไข้เกี่ยวกับสมองเมื่อวันที่ได้เข้ารับการรักษา หมอมีความเห็นว่าไม่จำเป็นต้องผ่าตัดให้แค่ใช้ยารักษา แต่ในกรณีของคนไข้ผมคิดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ก็น่าจะผ่าครับ ผมเคยเห็นกรณีตัวอย่างคนไข้มาก็มาก แต่ไม่เคยพบว่ามีคนไข้เสียความทรงจำระยะสั้นบ่อยครั้งเท่านี้ และที่หน้าทึ้งกลับไม่เป็นปัญหาต่อชีวิตประจำที่ผ่านๆ มาด้วย”
“หมายความว่าไงครับ สูญเสียความทรงจำระยะสั้นบ่อยครั้ง?” สมองไอ้สามคิดตามไม่ทัน
“คือ เท่าที่ผมทราบมา คุณแม่ของคนไข้ได้แจ้งผม จริงๆ ก็รวมหมอเจ้าของไข้คนก่อนที่ตอนนี้เกษียณไปได้หลายปีแล้วว่า หลังจากคนไข้เกิดอุบัติเหตุตกตึกชั้นเรียนเมื่อหลายปีก่อน ได้มีการเข้ารักษาแล้วมักจะมีอาการหลงลืมแบบเป็นรายบุคคลและเหตุการณ์สำคัญบางอย่าง ทว่าในเรื่องชีวิตประจำวันคนไข้กลับจำได้อย่างครบถ้วนดีครับ”
“หมอจะบอกว่าผมลืมคนเป็นบางส่วนเหรอ?” ผมถาม
“ครับ เท่าที่ผมทราบก็น่าจะเป็นยังนั้น” หมอตอบแล้วรับเข็มมาจากพยาบาล น้ำยาสีเข้มในหลอดพุ่งปรี๊ดเมื่อหมอออกแรงกดตรงปลายด้านหลัง ผมกลืนน้ำลาย ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าที่เห็นเข็มใหญ่กว่าเมื่อกลางวัน
“หมอบอกผมได้มั้ยครับ เช่นใครบ้างที่เข้าข่ายว่าผมน่าจะลืม”
“อืม อันนี้ต้องขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เองนะครับ เพราะผมก็ไม่สามารถบอกรายระเอียดได้เหมือนกัน” หมอทิ่มเข็มลงบนผิวหนังของผม กดปรื๊ดเดียวยาหมดหลอด
“อย่างคนรักหรือเพื่อนสมัยเด็กนี่มีสิทธิ์มั้ยครับ” ผมเหลือบมองหน้าไอ้เดย์ก่อนจะเอ่ยปากถามหมอตรงๆ มันตะขิดตะขวงในใจยังไงบอกไม่ถูก โดยเฉพาะความเด็กชายที่ผมเห็นในความฝัน และผมชักจะรู้สึกว่าพักหลังๆ ไอ้เดย์มันมีอิธิพลต่อผมมากเกินไป
“ถ้าเกิดมีบางอย่างไปกระตุ้นให้คนไข้เจ็บปวดจนถึงที่สุด บวกกับอาการป่วยของคนไข้เองด้วย ในกรณีนี้ผมว่าก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูงครับ”
“งั้นถ้าผมผ่าตัดจะมีโอกาสหายดีมั้ยครับ” ผมถามเรื่องง่ายๆ แต่หมอกลับทำหน้าคิดหนักเหมือนโลกจะแตก “มีมั้ยครับ?”
“ทางโรงพยาบาลเราจะทำอย่างเต็มที่ครับ” ทิ้งไว้แค่นี้ หมอก็เดินออกไป ผมนวดขมับพลางล้มตัวลงนอนหลับตา ไม่รู้จะเริ่มคิดจากส่วนไหน ผมลืมตามองไอ้เดย์ที่ยังคงยืนไม่ห่างจากผม มันทำหน้าเศร้า และหัวใจผมก็เจ็บจี๊ดขึ้นมา
ยาวพอม้ายยยยย *หมายเหตุ กรณีทางการแพทย์คนเขียนความรู้เท่าหางอึ้ง ฉะนั้นผิดพลาดประการใดผู้รู้โปรดชี้แจง* เอิ่ม เรื่องมันเศร้า จะมาม่าก็ไม่เชิง อึมครึมเนอะ เงื่อนงำในอดีตของสามก็จะเผยให้เห็นเรื่อยๆ ฉะนั้นติดตามอย่าได้พลาด รักคนอ่าน อวยคนเม้นส์