ห า กั น จ น เ จ อ
ตอนที่ #10
“มีอะไรกันเหรอครับ ดูวุ่นวาย”
เด็กฝึกงานคนเดียวในแผนกเขียนคอลัมน์ส่งคำถามไปถึงรุ่นพี่คนสนิทที่คอยดูแลตนเป็นพิเศษขณะฝึกอยู่ที่นี่ เช้าวันจันทร์แบบนี้ ความวุ่นวายภายในไม่ใช่ภาพชินตาสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาจะเห็นแต่ความเชื่องช้าไม่พร้อมที่จะทำงานเสียมากกว่า
“ประชุมด่วนเว้ย บอกอแม่งผีเข้าป่ะวะ กูละกลัว” ทศเอ่ยอย่างร้อนรน เดินไปเดินมาเป็นหนูติดจั่น จนรณณ์ต้องจับตัวไว้แล้วบอกให้ใจเย็น
“ตามกำหนดการกลางสัปดาห์หน้าก็ต้องตีพิมพ์แล้วไม่ใช่เหรอครับ คงไม่มีอะไรร้ายแรงหรอกพี่ ผมว่าบอกออาจจะเรียกประชุมดูความคืบหน้าของงานมากกว่า”
คนที่มากไปด้วยประสบการณ์งานส่ายหน้าด้วยท่าทีตื่นกลัวให้กับความคิดแง่ดีของเด็กหนุ่ม “บอกอไม่เคยตามความคืบหน้าด้วยวิธีนี้หรอก มันต้องมีอะไรแน่ ๆ มันต้องมีอะไรแน่ ๆ”
หลังจากนั้นรณณ์ก็ได้ยินทศพูดประโยคเดิมนั้นซ้ำ ๆ ขณะเดินวนไปทั่วทั้งแผนก เช่นเดียวกันกับคนอื่นที่ก็ดูกังวลกับอะไรบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้ ขณะที่ดาวยังคงนิ่งสงบได้เช่นเคย ไม่สิ! รณณ์รู้สึกว่าวันนี้เธอไม่ได้นิ่งเหมือนทุกครั้ง แต่นัยน์ตาสวยดูเลื่อนลอยเสียมากกว่า แม้ในยามที่เดินผ่านหน้าเขาไปก็ยังเหมือนร่างไร้วิญญาณอย่างไรอย่างนั้น
เด็กฝึกงานอย่างเขาก็ยังคงถูกกีดกันจากห้องประชุมนั้นอีกครั้ง ร่างโปร่งบางนั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางความเงียบ อดไม่ได้เลยที่จะคิดถึงบุคคลที่ทุกคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
เมื่อคืนตอนสามทุ่มนิด ๆ ช่วงที่รณณ์กำลังจะข่มตานอน ใครคนนั้นที่อยู่ในความคิดมาตลอดตั้งแต่แยกกันในตอนเย็นก็โทร.เข้ามา
[ขอโทษที่โทร.มารบกวน คุณยังไม่นอนใช่ไหม?]
‘ยังครับ’ เขาตอบกลับไปสั้น ๆ ด้วยเพราะไม่รู้ว่าควรต่อประโยคอย่างไรดี ทว่าสิ้นคำนั้นอีกฝ่ายก็เงียบไปจนรณณ์ร้อนใจคิดว่าจะวางสายไปเสียแล้ว
‘คุณดีนครับ…’
[ขอโทษนะ] เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน ก้อนเนื้อตรงอกซ้ายจึงกระตุกวูบ [ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปส่ง แต่สุดท้ายกลับปล่อยให้คุณกลับไปเองคนเดียว]
‘ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมก็เป็นผู้ชายนะ กลับเองคนเดียวได้สบายมาก’
คล้ายว่าอีกฝ่ายจะเงียบไปอีกครั้ง แต่ไม่นานจนต้องเรียกซ้ำ คุณดีนก็พูดขึ้นมาด้วยกระแสเสียงของความสับสน [นั่นสินะ คุณเองก็เป็นผู้ชาย แต่ทำไมผมถึงได้เป็นห่วงคุณมากขนาดนี้ ทำไมถึงแคร์ว่าคุณจะผิดหวังกับการกระทำของผมหรือเปล่า]
คุณดีนเป็นห่วง?
คุณดีนแคร์…จริง ๆ หรือ?
ครั้งนี้ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปนานจนเผลอคิดว่าสายหลุดเสียแล้วจริง ๆ ดูเหมือนว่าคุณดีนจะกำลังคิดบางอย่างอยู่ ขณะที่เขาเองก็เอาแต่คิดถึงสิ่งที่เพิ่งได้ยิน คำที่บอกว่าเป็นห่วง ที่แสดงออกว่าแคร์ความรู้สึกกัน มันทำให้เขาดีใจอย่างบอกไม่ถูก จะเป็นเพราะเชื่อตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณดีนเป็นคนใจดี หรือเป็นเพราะตัวเองคาดหวังความรู้สึกแบบนี้จากอีกฝ่ายอยู่กันแน่…ก็ไม่แน่ใจ
‘คุณดีนครับ…’
[…]
รณณ์ไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายจะยังรอฟังกันอยู่หรือเปล่า แค่หน้าจอยังไม่ขึ้นว่าสัญญาณถูกตัดไปแล้ว เขาก็อยากจะพูดต่อให้จบ
‘…ผมไม่เคยผิดหวังในตัวคุณ ขอให้คุณเชื่อเถอะครับ…ว่าผมพร้อมจะเข้าใจคุณเสมอ’
[ขอบใจนะ] คนทางนี้จับกระแสเสียงจากปลายสายได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกโล่งใจอยู่ไม่น้อย นั่นยิ่งทำให้หัวใจคนฟังพองโตเมื่อตีความได้ว่าคุณดีนแคร์ความรู้สึกของเขาจริง ๆ
.
.
.
ทั้งห้องประชุมขนาดกลางเงียบสงัดจนได้ยินเสียงแอร์ที่ปกติแล้วไม่เคยส่งเสียงรบกวนผู้คนเลยสักนิด แต่วันนี้ดูเหมือนว่าเพียงแค่เสียงแผ่วเบาของมันที่ดังออกมาก็ทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนรู้สึกระคายหูจนพาลให้อารมณ์คุกรุ่นหลังฟังคำสั่งล่าสุดจากบรรณาธิการปะทุขึ้นไปอีกขั้น
…ขอเปลี่ยนหัวข้อคอลัมน์หลัก…
“บอกอล้อพวกเราเล่นใช่ไหมครับ” ทศเป็นตัวแทนของทุกคนเอ่ยถามด้วยความไม่แน่ใจ ลูกน้องหลายคนที่สงสัยแต่ไม่กล้าถาม ต่างมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง ขณะที่เขาเองก็ละสายตาจากคนเป็นนายไปมองหัวหน้าแผนกอย่างดาวเพื่อขอคำยืนยันอีกราย
ทว่าดาวกลับนั่งเหม่อ นัยน์ตาคู่สวยมองไปบนจอฉายภาพสีขาวสะอาดตา แต่บุรุษที่ยืนซ้อนข้างหน้ามันกลับไม่อยู่ในคลองสายตาเธอเลยสักนิด
“ถ้ามีครั้งไหนที่ผมเผลอพูดเล่นแล้วทำให้คุณคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้น ก็ขอโทษด้วย”
เชี่ย…งานเข้า
“แต่พวกเราเขียนคอลัมน์หลักใกล้เสร็จแล้วนะครับ ล่าสุดบอกอก็อนุมัติให้ส่งให้ฝ่ายปรู๊ฟได้เลยด้วยซ้ำ” ทศเริ่มนั่งไม่ติดที่ คนหนุ่มไฟแรงหันมองผิงเพื่อต้องการความช่วยเหลือบ้าง ขอเพียงแค่หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วยเท่านั้นก็คงทำให้เขาใจชื้นได้บ้าง แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือรอยยิ้มแหยอย่างคนจนใจที่จะช่วยเหลือ
นี่คิดจะเทพวกกูกันหมดเลยใช่ไหม?
“เรายังพอมีเวลาให้เขียนหัวข้อใหม่”
“มันไม่เกี่ยวกับหัวข้อใหม่หรือเก่าหรอกครับ มันเกี่ยวที่เหตุผลของการเปลี่ยน อย่าลืมนะครับว่าบอกอเป็นคนอนุมัติให้พวกเราทำเรื่องนี้เองและก็อนุญาตให้จัดปาร์ตี้สละโสดขึ้นมาด้วย” คนเป็นกระบอกเสียงแทนคนทำงานทุกคนยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ แม้ไม่มีคนตำแหน่งสูงหนุนหลัง แต่ความเหนื่อยล้าที่ทุ่มเทไปทั้งหมดต้องไม่เสียเปล่า!
“ผมขอโทษที่ต้องยืนยันอีกครั้งว่าฉบับเดือนกุมภาฯ จะไม่มีการนำเสนอเรื่องท่านประธานกับคุณดาวเด็ดขาด”
ถ้าหันมองสักนิดดีนคงเห็นแวววูบไหวในหน่วยตาของ ‘อดีตว่าที่พี่สะใภ้’ แต่เพราะว่ามัวแต่จ้องมองคู่สนทนาไม่ลดละ เขาจึงไม่ทันระวังคำพูดคำจาตัวเอง
“พวกผมขอทราบเหตุผลครับ” สิ้นคำทศ ใครหลายคนที่เคยนั่งฟังอย่างเจี๋ยมเจี้ยมก็เริ่มส่งเสียงแสดงความเห็นด้วยออกมาประปราย
ดีนยังมีท่าทีสงบ “ผมมาคิดดูแล้ว มันไม่ตรงกับคอนเซ็ปต์นิตยสารของเรา”
“แต่มันเป็นฉบับพิเศษ”
“มันจะไม่มีฉบับพิเศษอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง...การป่าวประกาศถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ”
ถ้าลุกขึ้นต่อยหน้าบก.ตอนนี้แล้วไม่โดนไล่ออก ทศก็อยากจะทำ ไม่คิดเลยว่าเหตุผลที่ไม่ควรเรียกว่าเหตุผลด้วยซ้ำนั่นจะออกมาจากปากของดีน คนที่แม้จะเฉยชา พูดจาดิบ ๆ ไปบ้างแต่ก็ไม่เคยทำให้ลูกน้องลำบากใจที่จะทำงานด้วย
“ผมคิดธีมใหม่มาให้แล้ว…เดือนแห่งความรักเวียนมาทุกปี แต่ความรักความชอบก็เปลี่ยนไปทุกปีเช่นกัน เราอาจจะนำเสนอเรื่องสิ่งของหรืออะไรก็ได้ที่ผู้คนนิยมกันมาก ๆ ในแต่ละปี ซึ่งแน่นอนว่าเราต้องอ้างอิงจากกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นหลัก พวกคุณลองหาข้อมูลย้อนหลังสักสิบปีมาเขียน มันคงไม่ยากเกินไปนะ รับรองว่ากำหนดการพิมพ์จะไม่เลื่อนออกไปแน่…จริงไหมครับคุณดาว”
เจ้าของชื่อปรายตามองคนพูด ในตอนนั้นเองที่ทำให้ทศรู้ว่าหัวหน้าตนเองไม่ได้เหม่อลอย แต่แค่ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนี้เท่านั้นเอง นาทีนั้นทศภาวนาให้หญิงสาวดื้อรั้นหรือปฏิเสธคำถามแกมบังคับนั้นเสียอย่างใจจดใจจ่อ
“ค่ะ”
หมดกัน!
ทศกุมขมับอย่างไม่คิดปิดบังทันทีที่ได้ยินคำตอบรับของเธอ สิ่งที่เพียรเถียงเพียรสู้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการพังทลายลงเพียงเพราะการตอบรับของหัวหน้าสาวเพียงคำเดียว
คล้ายว่าคำตอบรับของหัวหน้าสาวฝ่ายคอลัมน์จะแทนคำว่า ‘ปิดประชุม’ ของบก.เสียอย่างนั้น ทุกคนลุกจากที่นั่งตัวเองเดินออกจากห้องไปด้วยความไปพอใจ จนกระทั่งเหลือเพียงสามคนในห้องประชุมขนาดกลางนี้เท่านั้น
ดาวยังคงนั่งที่เดิม ท่าเดิม และสีหน้าแบบเดิม ขณะที่ผิงมองไปทางดีนอย่างเห็นใจ แววตาคู่นั้นทอดมองเพื่อนชายคนสนิทด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิดในคราเดียวกัน ดีนยิ้มบางให้รู้ว่าตนไม่เป็นไรพร้อมส่งสัญญาณให้เธอออกไปก่อน
.
.
.
“นี่นับเป็นการตัดสินใจที่ไร้เหตุผลที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำงานกับบอกอมาเลยนะ” ทศบ่นอย่างหัวเสียทันทีที่มาถึงแล้วเจอหน้าเด็กฝึกงานที่กำลังรอฟังข่าวอยู่
“อะไรกันครับพี่ทศ เกิดอะไรขึ้น บอกอไร้เหตุผลยังไง”
“ถามพวกมันดูเอาแล้วกัน รู้เรื่องหมดแล้วก็ไปชงกาแฟมาให้พี่ด้วย เอาเข้ม ๆ เลยนะเว้ยไอ้รณณ์” ทศสั่งเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเอง รณณ์มองสบตาแทนส่งคำถามให้กับพี่คนอื่นที่เดินตามหลังมา
“บอกอขอเปลี่ยนเมนคอลัมน์ว่ะ”
“เห้ยพี่!!”
เด็กหนุ่มหน้าตาตื่น หันมองสบตาพี่ ๆ ทุกคน บางคนคอตก บางคนหน้าแหยจนแทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จะมีก็แต่ทศที่ขึ้งโกรธอย่างเห็นได้ชัด
“จริงเหรอวะพี่ ล้อผมเล่นรึเปล่าเนี่ย”
“กูจบภาษา ไม่ใช่การแสดง”
“บอกอแม่งงี่เง่าว่ะ บาดหมางเหี้ยไรกับคุณดาวนักวะ แกล้งกันไปมาเป็นเด็ก ๆ บ้าเอ๊ย!!!” ทศระเบิดออกมาอย่างหัวเสีย สองมือก็ขยี้ผมตัวเองระบายอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน
“บอกอให้เหตุผลว่ายังไงเหรอครับ” รณณ์ยังถามหาความจริงจากปากรุ่นพี่คนเดียวกันนั้นอยู่
“บอกว่ามันไม่ตรงคอนเซ็ปต์นิตยสารบ้างล่ะ ไม่ควรป่าวประกาศอะไรที่มันยังไม่เกิดขึ้นบ้างล่ะ แม่งเซ็งว่ะ”
รณณ์คิดตามคำพูดของหนุ่มรุ่นพี่ ความจริงข้อหนึ่งที่รณณ์เคยสรุปได้ว่าคุณดีนไม่ชอบว่าที่พี่สะใภ้ แต่เหตุผลของการยกเลิกงานที่ใกล้จะเสร็จแล้วจะเป็นเพราะเรื่องแค่นั้นอย่างที่ทุกคนเข้าใจจริงหรือ ในเมื่อคุณดีนเคยยอมรับมันถึงขั้นให้จัดปาร์ตี้สละโสดมาแล้ว
“แล้วพี่ดาวว่าไงบ้างครับ”
“ก็รับคำสั่งสิวะ ปฏิเสธได้ที่ไหน”
“แล้วเราจะเขียนทันเหรอครับ”
“นั่นก็อีกเรื่อง ไม่เขียนซะเลยดีไหมวะ ต่อต้านแม่ง”
“เห้ย ใจเย็นพี่ใจเย็นก่อน บอกอเขาอาจจะมีเหตุผลที่บอกใครไม่ได้ก็ได้นะครับ ไม่อย่างนั้นพี่ดาวจะยอมง่าย ๆ เหรอ”
“แล้วไม่ยอมได้ด้วยเหรอวะ เรื่องบริหารน่ะคุณคริสเขาใหญ่สุดก็จริง แต่เรื่องหน้างานแบบนี้ ไม่มีใครใหญ่เกินคุณดีนหรอกเว้ย”
“แต่ผมว่า…”
“พอแล้ว ๆ ไปชงกาแฟไปไอ้รณณ์”
ยังไม่ทันได้แก้ต่างให้คุณดีน รณณ์ก็ต้องเดินคอตกออกจากตรงนั้นเพื่อไปชงกาแฟให้ตามคำขอของอีกฝ่ายเสียก่อน
เขาอาจจะไม่เคยทำงานกับคุณดีนมาก่อนก็จริง แต่เขาเชื่อว่าคุณดีนเป็นคนมีเหตุผลมากพอ แม้จะยังไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่ก็ยังยืนยันที่จะเชื่อว่ามันต้องมีน้ำหนักพอให้เขาตัดสินใจแบบนั้น
.
.
.
ภายในห้องประชุมขนาดกลางกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง มีเพียงชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้นที่ยังไม่ย้ายร่างตัวเองไปไหน ดีนเองก็ยืนพิงขอบโต๊ะทนรออย่างใจเย็น เขารู้ว่าดาวมีเรื่องจะคุยกับตน และเขาก็พร้อมจะให้เวลาเธอได้เตรียมตัว
“อย่าคิดว่าจะได้ยินคำว่าขอบคุณจากฉัน” น้ำเสียงราบเรียบดังออกมาไม่เบานัก ทว่านัยน์ตาหวานกลับไม่ได้มองสบคู่สนทนาสักนิด
“…”
“นายต่างหากที่ต้องขอบคุณที่ฉันไม่รั้นจะทำคอลัมน์นั้นต่อ” ดีนรู้ว่าถ้าดาวไม่ยอมสักคน ลูกน้องในทีมก็จะมีแรงใจในการเถียงกับเขาอีกเยอะ และเรื่องจะไม่จบลงง่ายขนาดนี้
ดีนหัวเราะในลำคอ “คุณไม่กล้าพูดหรอก เพราะคุณฉลาดพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าผมจะทำยังไงกับการที่คุณรั้งคริสไว้ด้วยการรั้นจะป่าวประกาศข่าวดีแบบนั้น”
ใบหน้าหญิงสาวตึงเครียดขึ้น มัดกล้ามเนื้อเล็ก ๆ บริเวณขมับกระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนสงบบ่งบอกถึงสภาวะอารมณ์ของสาวเจ้าได้ดีที่สุด
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้าเธอร้ายกาจแค่ไหน หมอนี่เหมือนจะแคร์ความรู้สึกคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วไม่เลยสักนิด โดยเฉพาะกับเธอ ที่ทำทั้งหมดนั่นก็แค่สนุกกับการเล่นสงครามประสาทกับเธอ เพราะรู้ว่าอย่างไรตนก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ
ถ้าเธอยังดึงดัน ดีนจะต้องป่าวประกาศสถานะปัจจุบันของเธอกับคริสออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ด้านชาให้ได้ตลอดก็แล้วกัน” หญิงสาวลุกขึ้นยืน ผสานสายตากับดวงตาคมดุอย่างไม่ลดละ “เพราะถ้านายมีความรักเมื่อไหร่…ฉันเอาคืนอย่างสาสมแน่”
ดีนมองตามแผ่นหลังเล็กที่เดินออกไปหลังจากทิ้งประโยคเคียดแค้นนั้นไว้ กายสูงสง่าทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งที่ตั้งแต่เข้าห้องนี้มาก้นยังไม่ได้แตะเบาะเลยด้วยซ้ำ
ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นคนใจร้ายขนาดนี้
ดีนยกมือขึ้นลูบหน้าด้วยท่าทางอ่อนล้า คำสั่งไร้เหตุผลที่เพิ่งออกจากปากไปเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกว่าความน่าเชื่อถือของตัวเองลดน้อยลง…รวมถึงคุณค่าด้วย
รู้ทั้งรู้ว่าไม่ว่าจะพูดเหตุผลอะไรออกไปก็ดูเหมือนเป็นข้ออ้างข้าง ๆ คู ๆ ทั้งสิ้น แต่ครั้นจะยกชื่อคนอื่นมากล่าวอ้างก็ดูจะเกินจำเป็นไปเสียหน่อย แม้ว่าเจ้าของเรื่องอย่างคริสจะยินยอมก็ตาม แต่สุดท้ายการน้อมรับผิดไว้แต่เพียงผู้เดียวก็ดีเสียกว่า ยอมถูกตราหน้าว่าไร้เหตุผล กลับกลอกหรืออะไรก็ช่าง ไหน ๆ ทุกคนก็สงสัยความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยของเขากับดาวอยู่แล้ว ยิ่งมีเรื่องนี้เข้ามาแล้วทำให้ทุกคนเทความเกลียดชังมาที่เขาก็ไม่เป็นไร เขาไม่ใช่คนที่จะสนใจอะไรแบบนี้อยู่แล้วนี่
.
.
.
ไม่ใช่คนที่จะสนใจความรู้สึกของคนอื่น
ดีนเคยคิดมาตลอดว่าตนเป็นคนแบบนั้น อย่างน้อยก็นอกจากครอบครัวและเพื่อนสนิท แต่ทว่านี่ก็จวนจะเลิกงานอยู่ในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องประชุมเมื่อเช้านี้ก็ยังตามกวนใจไม่ลดละ
สถานะที่จบลงเฉียบพลันของพี่ชายเขากับดาวได้รับการยืนยันจากผู้เป็นแม่ที่โทร.มาบอกเล่าและฝากให้เขาช่วยดูแล เขาเพิ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าเตี่ยไปหาชินแสอีกท่านหนึ่ง คำพยากรณ์ที่เป็นไปในทำนองเดียวกันทำให้ความสัมพันธ์ของว่าที่คู่บ่าวสาวต้องขาดสะบั้นลงในท้ายที่สุด
ง่ายเกินไป
คนเรารักกันง่าย เลิกกันง่ายขนาดนี้เลยหรือ?
เขายังไม่มีโอกาสได้คุยเปิดอกกับพี่ชาย ข้อสงสัยจึงยังไม่กระจ่างชัด รู้แต่เพียงว่ามันไม่น่าจะใช่แค่เรื่องของคำทำนายบ้าบอพวกนั้น คริสไม่ใช่พวกงมงาย แต่ก็คิดไม่ออกอีกเช่นกันว่ามีเหตุผลอะไรที่คน ๆ หนึ่งที่ยืนยันว่าจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้กลับเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ลงได้อย่างง่ายดาย
ง่ายเกินไปจริง ๆ
ในเมื่อจะไม่มีงานมงคลสมรสเกิดขึ้น ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเขียนคอลัมน์นั้นเพื่อประโคมข่าวเสียใหญ่โตแล้วมาหักหน้า ‘ว่าที่’เจ้าสาว กันภายหลัง เพราะนั่นเท่ากับว่านิตยสารของเขาสร้างกระแสขึ้นมาทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ซ้ำยังมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่หญิงสาวมากขึ้นด้วย
ครั้นจะแจ้งแถลงไขให้ทุกคนทราบเพื่อลบความข้องใจและบาดหมางในความรู้สึกลึก ๆ นั้นออกไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหมาะควรนัก ฝ่ายผู้หญิงเสียหายเต็ม ๆ แค่นี้เธอก็บอบช้ำมากพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรจะต้องป่าวประกาศให้คนอื่นรู้เพื่อเก็บไปซุบซิบเข้าหูให้เธอช้ำใจมากไปกว่านี้
ผิงเองก็เอาแต่บอกให้คริสเป็นคนรับผิดแทน ไม่ใช่ให้เขาออกหน้ารับคำด่ารวมถึงความเคารพนับถือที่ลดน้อยลงแบบนี้ด้วย แต่หากให้คริสเป็นคนบอกเปลี่ยนคอลัมน์หลักเอง ก็รังแต่จะเป็นการหักหน้าดาว คนที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นแฟนสาว สู้ให้เขาประกาศเองเสียยังดีกว่า เพราะอย่างไรเสีย ความสัมพันธ์มันก็คงจะไม่แย่ไปกว่านี้ในสายตาของลูกน้องแล้ว
แผ่นหลังกว้างพิงแนบพนักเก้าอี้เต็มแรง รู้สึกปวดขมับจนต้องยกมือขึ้นมากดนวด คิดเรื่องงานยังไม่เครียดเท่าเรื่องพวกนี้เลยสักนิด นัยน์ตาคมเหลือบมองเวลาตั้งโต๊ะ สี่โมงครึ่งแล้ว เป็นเวลาเลิกงานของใครหลายคน พลันให้คิดถึงใครบางคนที่เป็นคนคอยเยียวยาความทุกข์ใจให้เขาอยู่เสมอ ดีนไม่รอช้า เขารีบกดโทร.หาคน ๆ นั้นทันทีด้วยใจที่หวังว่าอีกฝ่ายจะว่างมาเยียวยาเขาเหมือนอย่างเคย
[ว่าไงดีน]
คนทางนี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงก้องจากปลายสาย “เปิดลำโพงอยู่เหรอ”
[อืม เขียนแฟ้มอยู่ว่ะ อยู่ห้องพัก คุยได้ ๆ]
“อยากกอดมึง” เสียงอ่อนกระเง้างอดเหมือนทุกครั้งที่อ้อนเพื่อนสนิท ทว่าครั้งนี้กลับได้รับการตอบรับที่เกรี้ยวกราดกลับมาจากใครอีกคน
[ไอ้สัด! นี่เมียกู]
ดีนคลี่ยิ้มที่ถ้าอีกฝ่ายเห็นคงโมโหหนักกว่าที่เป็นอยู่แน่ ดีนรู้อยู่แล้วว่าที่ธันวาเปิดลำโพงไม่ใช่แค่เพราะอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวและกำลังยุ่ง แต่เพราะคนที่อยู่ด้วยต่างหาก ไม่ใช่ว่าแรมไม่ไว้ใจ เพียงแต่อีกฝ่ายอยากมีส่วนร่วม ในฐานะคนเคยมีประเด็นกันมาก่อน
[พี่แรม ดีนมีเรื่องไม่สบายใจอยู่นะ…] เสียงธันวาดังแว่วเข้ามาตามสาย นี่แหละเพื่อนสนิทที่สุด ดีนยิ้มบาง ดีใจที่เพื่อนเข้าใจอารมณ์ของเขาได้เพียงแค่เอ่ยปากว่าอยากกอดเท่านั้น
ได้ยินเสียงแรมฟึดฟัดขัดใจอยู่เล็กน้อยก่อนจะชิงพูดขึ้นก่อนที่ธันวาจะทันได้ถามไถ่อะไร [หาเมียสักคนสิวะ จะได้เอาไว้กอดแทนเมียกู]
“เมียพี่มันก็เพื่อนผมนะ”
[ดีน…] คราวนี้เสียงไม่ก้องดังเดิม ดีนเดาว่าธันวาคงปิดลำโพงแล้ว [ตอนนี้รู้สึกยังไง?]
“…”
[กูไม่รู้นะว่ามึงมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ ถ้ามึงอยากเล่ากูก็พร้อมจะรับฟัง แต่กูเดาว่าตอนนี้…มึงอยากอยู่นิ่ง ๆ ให้กูกอดมากกว่า]
“…กูรักมึง”
[กูรู้ ๆ และกูก็เคยบอกไปแล้วว่าเวลาเราทุกข์ใจ แค่ได้รับอ้อมกอดของใครสักคนก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นแล้ว]
“กูเลยคิดถึงมึงไง”
[แต่ตอนนี้กูไม่ได้อยู่กับมึง และในอนาคตก็คงอยู่ด้วยไม่ได้ในทุกครั้งที่มึงไม่สบายใจนะ มึงน่ะโดดเดี่ยวเกินไปแล้ว]
ดีนแสร้งเมินประโยคหลังนั้น “ไม่เป็นไร กูจะไปหามึงเอง”
[ดีน…การได้รับอ้อมกอดจากคนที่รักอย่างพ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อนฝูงมันให้ความรู้สึกว่ามีคนคอยซัพพอร์ตเราอยู่ข้างหลัง มีคนเข้าใจเราก็จริงนะ แต่อ้อมกอดจากคนพิเศษ มันจะทำให้เรารู้สึกอุ่นใจ รู้สึกได้ว่าเราไม่ได้เผชิญปัญหาอยู่คนเดียว แต่ยังมีใครคนหนึ่งพร้อมจะอยู่เคียงข้างเราไม่ปล่อยให้เราโดดเดี่ยว]
“ไอ้ธันว์…”
.
.
.
เลยเวลาเลิกงานมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว หลายคนในแผนกคอลัมน์ทยอยกันเก็บของเตรียมกลับบ้าน สีหน้าแต่ละคนไม่ต่างไปจากเมื่อเช้านัก บางคนเครียดถึงขนาดชวนกันไปดื่ม ซึ่งรณณ์เองก็ได้รับคำเชิญมาเช่นกัน แต่จำต้องปฏิเสธไปพร้อมข้ออ้างว่ารีบกลับ
ทศมองคนที่บอกว่ารีบกลับนั่งแน่นิ่งอยู่ที่โต๊ะตัวเองซึ่งเจียดพื้นที่น้อยนิดจากโต๊ะเขาที่มีหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงส่วนตัวด้วย คิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อใสขมวดมุ่นจนอยากจะยื่นมือไปจับมันแยกออกจากกัน แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร อีกฝ่ายที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูอะไรบางอย่างหลังจากสัญญาณเตือนดังขึ้นแล้วก็รีบวิ่งออกไปทันที
“เฮ้ยไอ้รณณ์ กระเป๋าแก”
“เดี๋ยวผมกลับมาพี่”
ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาแค่นั้นก่อนที่ร่างมันจะปลิวหายไปอย่างรวดเร็ว สร้างความฉงนให้คนมองเป็นอย่างยิ่ง
.
.
.
(มีต่อนะคะ)