“บิวต์ไม่กินข้าวหน่อยหรอ ไม่กินตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะ”
พี่บิ๊กบอกผม ผมตอบกลับไปว่า
“ไม่ครับ ผมมีนัดกับตังทอน วันนี้ผมขอขับรถเองนะครับ”
“เห้ย! ไม่ได้!”
พี่ชายผมทั้งสามคนพูดพร้อมกันออกมาเสียงดัง คือผมเป็นคนขับรถเร็วครับ เร็วมากๆ พี่ชายผมเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เลยไม่อยากให้ขับรถเองสักเท่าไหร่
“หนูจะเอาคันไหนไปลูก”
คุณพ่อถามผม
“ตัวเก่งผมเลย”
ตัวเก่งผมหมายถึงรถย่อห้อหนึ่ง ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศ มีเพียงแค่ 2 คันในโลกเท่านั้น เครื่องแรงดีมาก เวลาผมขับถ้าเจอถนนว่างๆผมจะเหยียบกระจายเลยแหละ
ครับ
“ขับระวังๆด้วยนะลูก”
“คุณพ่อ ทำไมไม่ห้ามน้องอ่า”
พี่บิ๊กบอกคุณพ่ออย่าหัวเสีย ผมยิ้มเบาๆ
“ตอนแกอายุเท่าน้องฉันเคยห้ามแกมั้ย เดี๋ยวปั๊ดตบกบาลลั่นเลย”
ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบกุญแจรถที่เคาท์เตอร์
“ผมไปก่อนนะครับ”
ผมเดินออกจากบ้านทันที แล้วเดินออกไปโรงรถ แม่งก็ไกลอยู่ดี ประมาณ 100 เมตรได้ จะสร้างไกลทำไม ไม่เข้าใจจริงๆ รู้ครับว่าบ้านรวย แต่ก่อนจะสร้างบ้านคิดสักนิดเป็นมั้ยเนี่ย ผมนัดกับตังทอนว่าผมจะไปรับมันที่หน้าซอย ผมเห็นมันผมก็แกล้งบีบแตรดังๆ มันเปิดประตูเข้ามานั่งมันก็สวดผมทันที
“กลัวชาวบ้านไม่รู้หรือยังไง ว่ามึงขับรถเป็น ไอ้สัดนี่”
“หึหึ”
ผมหัวเราะในลำคอ มันก็มีท่าทางกระฟัดกระเฟียดใส่ผม
“ถ้ามึงเจอมัน มึงจะถามอะไรมันเป็นคำถามแรก”
ตังทอนถามพูด ผมเงียบแล้วพูดอย่างช้าแล้วหน้านิ่งว่า
“หักหลังกูทำไม”
“สาดดดด มึงรีบขับรถไปเลยดีกว่า อยากเห็นหน้าแม่งแล้ว”
ผมยิ้มแล้วหันไปหาตังทอน
“กูยังไม่เล่นมันหรอก คนอย่างกู ใครดีมากูดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ผู้ชายคนนั้นเค้าเป็นของกู เดี๋ยวดูกูเล่นละกัน”
ตังทอนก็ปรบมืออย่างเดียว แล้วหันมาถามผมว่า
“แล้วมึงจะไปไหน”
“ไปหาพี่ไลท์”
“ไปหาทำส้นตีนอะไร ช่างเหอะ เสร็จแล้วมึงพากูไปดูพี่ดี้ซ้อมบอลที่โรงเรียนหน่อยนะ กู
คิดถึงพี่ดี้ใจจะขาด”
ผมหัวเราะเบาๆ ระหว่างทาง ผมก็คิดแผนนึงมาได้ เมื่อคืนพี่ไลท์ไม่ได้ลงรูปสองรูป คือรูปที่พี่ไลท์หอมแก้มผมกับรูปที่เราจูบกัน ผมหักเลี้ยวจอดข้างทางแล้วหยิบไอโฟน ออกมาอัพรูป จะเอาให้เป็นข่าวเลยคอยดู แล้วจะตอแหลให้เกิดเป็นข่าวนานๆเลยคอยดู ผมดีเอ็มไปหาเพื่อนพี่โบ๊ทที่เป็นบก.หนังสือดาราชื่อดัง เราก็คุยกันเรียบร้อย ผมบอกพี่เค้าให้ตีข่าวเสียๆหายๆไปได้เต็ม และอีกไม่นานผมจะส่งข้อมูลเด็ดๆไปให้อีก หึหึ อย่าให้ผมร้าย ถ้าผมร้ายแล้วจะลืมไม่ลง ผมก็รีบขับออกจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
“บิวต์มึงเป็นผู้ชายสี่มิติ พวกกูตามมึงไม่ทันจริงๆเลยว่ะ”
ตังทอนพูดกับผมอย่างหัวเสีย แต่ผมฮากับมันนะ
“กูไม่ใช่คนดีอย่างที่มึงคิดหรอก”
ผมบอกออกไป คราวนี้เห็นถนนว่าง ก็เลยเหยียบกระจาย ตังทอนนั่งเกร็งเลย กลัวละสิ ผมก็ค่อยๆขับช้าๆ สงสารมัน ทันที่รถเลี้ยวเข้าประตูบ้าน ผมก็เห็นแม่พี่ไลท์กับพ่อพี่ไลท์
“สวัสดีครับ”
พ่อแม่พี่ไลท์แลดูตกใจว่าทำไมผมถึงมาได้
“นั่งก่อนลูก”
“ขอบคุณครับ”
ผมนั่งลงแล้วหันไปกระซิบกับตังทอนว่า
“เดี๋ยวกูจะแรดให้มึงดู”
ผมก็จ้องหน้าแม่พี่ไลท์อย่างไม่วางตา ก็เอาสิ
“คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผมออกไป.... บิวต์!”
พี่ไลท์มาได้จังหวะพอดี ผมลุกขึ้นไปเกาะแขนแล้วยิ้มหวานสุดใจ
“พี่ไลท์จะไปไหนหรอ ผมมาหาถึงที่นี่”
“หน้าไม่อาย ไม่รู้จักกาลเทศะ”
ผมหันกลับไปยิ้มให้
“ถ้าอายแล้วผมจะทำไม แม่ลูกเหมือนกันเลยนะครับ ใช้แต่เขาดัน”
ผมสวนกลับทันที
“ฝากไว้ก่อนเถอะ เมื่อกี้แกบอกแม่ว่าจะไปไหน”
“ผมจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะครับ”
ตอแหลว่าเพื่อนชัวร์ ผมหันไปพยักหน้าแบบรู้กันกับตังทอน
“ไปกับน้องคนนั้นบอกแม่ตรงๆก็ได้ แม่ก็ดีใจนะที่แกไปคว้าเอาพวกผิดมนุษย์มาเป็นเมียซะอีก”
เขาด่าผมนะ ผมก็ใช่ว่าจะทนเท่าไหร่
“อยากจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะครับ ผมพูดคำเดียวว่าอย่าให้ต้องแฉ เช่นพี่ไลท์กับอีผึ้งได้กันแล้ว สินสอดทุกอย่างก็ปลอม ฮ่าๆ รวยแบบจอมปลอม ถ้าฉวนก็จะเสียทั้งตระกูล”
พี่ไลท์ดึงแขนผมเอาไว้ เขาจ้องหน้าผม ผมจ้องหน้าเค้า สงครามสายตา
“ผมไปก่อนนะครับ สวัสดีครับ บิวต์ไปเถอะ”
ผมพี่ไลท์ลากผมออกมา ตังทอนก็รีบตามผมออกมาด้วย แม่พี่ไลท์บอกผมว่า
“แกรีบออกจากบ้านฉันไปเดี๋ยวนี้เลย และไม่ต้องพามาเหยียบอีก”
และสิ่งที่ผมเห็นนั่นคือพี่โบ๊ท มาได้ไง มาตอนไหนว่ะ พี่โบ๊ทเดินเข้ามาพร้อมพูดว่า
“ก็ไม่ได้อยากจะเหยียบที่นี่สักเท่าไหร่ เตรียมหาทนายดีๆไว้ได้เลย”
ตอนนี้ทุกคนลุกฮือขึ้นมา
“อย่างแรกเลยนะครับ ลูกชายของคุณจะโดนข้อหา ทำร้ายร่างกาย ลูกชายคุณทำร้ายร่างกายน้องชายผม ผมไม่ปล่อยไว้หรอกครับ ถึงจะเป็นญาติกัน ก็แค่ญาติห่างๆ ห่างจนไม่มีเชื้อตระกูลของผมเลยสักนิดเดียว”
พี่โบ๊ทใจเย็นๆ พี่ไลท์จับมือผมแน่น เพราะว่าพี่เค้าคงกลัว กลัวหมดอนาคต
“พี่โบ๊ทใจเย็นๆครับ ตังทอน พี่ไลท์ ไปข้างนอกเถอะ ให้ผู้ใหญ่เค้าคุยกันไป”
ผมดึงแขนพี่ไลท์ออกมาคนเดียวเพราะตังทอนคงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องของกูกูจะอยู่ฟังทำติ่งอะไรประมาณนี้
“บิวต์นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
พี่ไลท์ถามผม ผมเลยหันถามพี่ไลท์ต่อ
“พี่ไลท์ พี่รู้อะไรบ้าง”
“พี่ไม่รู้ ”
ตอแหล
“พี่เคยนอกใจเพื่อนผมป่ะ ตอนเพื่อนผมอยู่ต่างประเทศ”
อันนี้ตังทอนถามเอง ผมกลัวมันฟิวส์ขาดจริงๆ
“ครับ”
ใจกูหล่นไปอยู่ตาตุ่ม อยากจะร้องไห้ตรงนี้จริงๆ
“มึงเลิกยุ่งกับเพื่อนกูได้แล้วไอ้สัด เพื่อนกูจะได้พบกับสวรรค์ ไม่ใช่มาจมปรักอยู่กับนรกอย่างมึง”
“ตังทอนใจเย็น”
ผมเข้าไปกันตังทอนเพราะมันพยายามเข้ามาหาพี่ไลท์ งานนี้พี่ไลท์อาจจะโดนตีนมันด้วยซ้ำไป
“บิวต์ไปกันเถอะ ปล่อยให้เหี้ยเดินตามทางที่เหี้ยเดิน อย่าเอาชีวิตของคุณหนูโคตรรวยของมึงไปฝากไว้กับเหี้ยตัวหนึ่งเลย”
เหี้ยเยอะจริงๆเพื่อนกู พี่ไลท์เริ่มโมโหแล้วก็เล่นด่าขนาดนั้น ผมเป็นคนที่ยืนจับมือพี่ไลท์อยู่ ผมปล่อยมือพี่ไลท์ลง คือไม่อยากให้มีเรื่องกับพี่ไลท์โมโหก็แรง ส่วนตังทอนเนี่ยพ่อมันก็เป็นประธารของค่ายที่พี่ไลท์อยู่ กลัวว่าพี่ไลท์จะตกงานไง
“ตังทอน ไม่เอาๆ เดินไปรอที่รถเดี๋ยวตามไป”
ตังทอนมองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ ผมหันไปกอดพี่ไลท์ มันอาจจะทำให้พี่ไลท์ใจเย็นได้ พี่ไลท์ไม่ได้กอดกลับเลยอ่า กลับดันผมออกมา ผมมองด้วยสายตาไม่เข้าใจพร้อมพูดว่า
“ผมรักพี่ไลท์”
“ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆที่มีให้กับพี่ แต่พี่ยอมรับว่าพี่เป็นผู้ชายที่สนใจในผู้หญิง พี่ไม่ใช่เกย์ ไม่ใช่ตุ๊ดใช่แต๋ว พี่ยอมรับส่วนหนึ่งที่พี่ทำไปพ่อพี่สั่ง แต่บ้างส่วนที่พี่ทำไปพี่ทำจากความรู้สึก… เอ็นดูเหมือนน้องชายอีกคน”
ผมฟังถึงกลับน้ำตาล่วงและผมทรุดนั่งลงกับพื้น ผมร้องไห้อย่างหนัก พี่ไลท์จับแขนผมเหมือนจะพยุงให้ผมลุกขึ้นแต่ผมสะบัดมือออก ผมคิดว่าสิ่งที่พี่เค้าทำมาจากความรู้สึกนั้นคือการทำร้ายผม แต่ที่พยายามทำดีกับผมทำเหมือนรักผมนี่คือพ่อเค้าสั่ง
“ผมไม่ยอมหรอก ถ้าผมไม่มีความสุข พี่ก็จะไม่มีความสุขเหมือนกัน พี่เป็นของผม ของผมคนเดียวเท่านั้น!”
rewrite: 31/12/57