โอ๊ย! ผมรู้สึกชัดเลยว่าตัวเขาอุ่น แถมอกเขาก็แน่นจริงๆ
เอามือผมไปแนบอกแล้ว สุภาพงษ์ก็จัดการจับตัวผมพลิกกลับขึ้นมา คราวนี้ผมเลยต้องหันมาเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เต็มใจสักนิด เขาคร่อมอยู่เหนือตัวผม กำลังจ้องผมอยู่ ด้วยสายตาที่ผมไม่อยากเดา พร้อมกับใบหน้าหล่อๆ ของเขา ดีนะที่เขายังใส่เสื้ออยู่ ขืนเขาถอดเสื้ออีก ผมตายแน่ๆ เลย
เพราะกลัวที่จะสบตากับเขานานๆ ผมเลยเลื่อนมามองคอเขาในความมืด จากนั้นก็เลื่อนลงมามองอกเสื้อ อืม... นี่ขนาดมืดนะเนี่ย ผมยังจะอุตส่าห์มองเห็นอีกว่ากล้ามอกเขาแน่นนาดู โอ๊ยตาย! ผมหยุดคิดอะไรแบบนี้สักพักไม่ได้หรือไงนะ
ระหว่างที่ผมนึกแช่งด่ามโนภาพของตัวเอง สุภาพงษ์ก็จัดแจง ยกมือผมไปลูบอกเขาอย่างกับจะแกล้ง ไม่ต้องมีของจริงมาประกอบ ผมก็คิดของผมไปถึงไหนต่อไหนแล้ว นี่เขายังจะให้ผมลูบอีก เกิดผมเลือดกำเดาทะลักขึ้นมา ใครมันจะมารับผิดชอบล่ะ นี่ถ้าเขาจะรังเกียจผมเพราะท่าทางทุเรศๆ ของผมล่ะก็ ผมก็อยากจะให้เขารู้เหมือนกันว่าก็เพราะเขานี่แหละ แต่มาคิดอีกที อย่าเลยดีกว่า มันคงยิ่งประจานความทุเรศของผมให้เขารู้ไปเสียเปล่าๆ ทางที่ดีผมควรตั้งสติ สงบจิตสงบใจ แล้วพยายามผ่านสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ไปก่อนก็แล้วกัน
สุภาพงษ์จับมือผมลูบอกตัวเองอยู่พัก ก็เลื่อนมือมาลูบผมบ้าง ผมเลยได้แต่เอามือดันอกเขาไว้เบาๆ พร้อมกับสะดุ้งตัวหน่อยๆ ตอนที่เขาสอดมือเข้ามาในเสื้อ มือของสุภาพงษ์อุ่นจนเกือบร้อน เขาเริ่มลูบอกผมเบาๆ ใช้นิ้วขยี้ยอดอกผม แล้วก็เริ่มขยำไปขยำมาจนผมขนลุกไปหมด ยิ่งพอเห็นสีหน้าที่ดูจะพออกพอใจเงียบๆ ของเขาด้วยแล้ว ผมแทบจะหนีบขาตัวเองไม่ทัน กลัวเขาจะเห็นว่าผมตื่นเต้นไปกับเขาด้วยน่ะ
มือของสุภาพงษ์ลูบตัวผมอยู่ ริมฝีปากเขาก็ค่อยๆ จูบแก้มผม ไล่ลงมาตามปลายคาง ซอกคอ ต่ำลงจนถึงปกคอเสื้อ จากนั้นเขาก็เลิกเสื้อผมขึ้น จูบลงบนยอดอกผม ผมสะดุ้งเฮือก มือจิกลงบนไหล่เขาอย่างลืมตัว
บ้าจัง นี่ผมถูกดูดตรงนี้ก็รู้สึกดีกับเขาด้วยหรือเนี่ย
ผมเม้มปากแน่น กลัวว่าจะส่งเสียงน่าเกลียดออกไป เลยกลายเป็นได้ยินเสียงตัวเองหายใจฟืดฟาดแทน
ดูดอกผมเล่นอยู่พัก ผู้ชายร่างดีที่คร่อมอยู่เหนือตัวผมก็เลื่อนริมฝีปากต่ำลงไปอีก พาเอาความดันผมวูบตามไปด้วย เดี๋ยวนะ มันต่ำเกินไปแล้ว!!
ผมรีบเอามือลงไปปิดหว่างขาตัวเองเอาไว้ทันที ไม่ไหวล่ะ ขืนให้เขารู้ว่าตรงนั้นผมตื่นอยู่ ได้เป็นเรื่องแน่ๆ แต่สุภาพงษ์มือไวใช่เล่น ผมน่ะเอามือปิดทันหรอก แต่มือเขาก็จับหมับลงบนมือผมเหมือนกัน พอเงยหน้าก็เห็นว่าเขาเม้มปากนิดๆ อีกแล้ว
“พี่นิต.... เขินเหรอครับ” เขาพูดเสียงเบา ก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วขยับมาจูบแก้มผม จากนั้นก็ค่อยๆ สอดมือเข้าไประหว่างมือผม แล้วแตะส่วนนั้นจนได้ ผมอายจนต้องหันหน้าไปซุกกับผ้าปูเตียงอีกรอบ นี่ถ้าผมดึงหมอนมาปิดไว้ มันจะน่าเกลียดมากมั้ยนะ...
สุภาพงษ์คลึงเคล้นหว่างขาผมโดยใช้มือผมร่วมด้วย ผมว่าเขารู้แล้วล่ะว่าผมตื่นเต้นเพราะสิ่งที่เขาทำ เขาคลำไปพลางจูบผมไปพลาง สักพักก็ค่อยๆ แนบตัวเข้ามาชิดอีก ก่อนจะดึงมือผมออกหน่อยหนึ่ง แล้วสอดส่วนที่เขาใช้ดุนขาผมจนสะดุ้งหลายครั้งเข้ามาระหว่างอุ้งมือของเราสองคน
ผมได้ยินเสียงเขาสูดหายใจลึก ขณะค่อยๆ จับมือผมกำรอบส่วนอ่อนไหวของเราทั้งคู่ ผมเองก็ต้องสูดหายใจหลายครั้งเหมือนกัน เพราะกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไประหว่างทาง ไม่น่าเชื่อเลยว่าผมกับเขากำลังทำแบบนี้กันอยู่ สุภาพงษ์จับมือผมรูดส่วนนั้นของเราสองคนขึ้นๆ ลงๆ เสียงหอบหายใจ และลมหายใจอุ่นๆ ของเขา ทำเอาผมตัวสั่น ใจเต้นตึกตัก อุ้งมือของเขาที่แนบอยู่บนหลังมือผมพาให้ตัวอุ่นวาบ ความวาบหวามที่เราสองคนสร้างร่วมกันยกสติผมจนลอยล่อง ความรู้สึกสุขสมอย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกมานานค่อยๆ เอ่อท้นจนทะลัก
ผมตวัดมืออีกข้างกอดไหล่เขาไว้แน่น ได้ยินเสียงตัวเองครางฮือ เอวกระตุกกึกๆ รู้สึกได้ถึงของเหลวขุ่นข้นที่ทะลักออกมา สุภาพงษ์ก้มลงจูบผมด้วยลมหายใจปั่นป่วน และบังคับผมขยับมือต่อ ความซ่านเสียวเกินระดับทำให้ผมระงับเสียงครางไว้ไม่อยู่ ได้แต่จิกเล็บลงบนหลังเขา แล้วครางฮืออย่างขาดสติ จนกระทั่งรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนที่รดราดลงบนท้องน้อยของผม
สุภาพงษ์ตัวสั่นสะท้านในตอนที่ดึงตัวผมเข้าไปกอดแน่น ผมตวัดมือกอดตอบเขาไป เราสองคนหอบหายใจอยู่ในอ้อมกอดของกันและกันพักใหญ่ ก่อนจะจูบกันอีกครั้ง ผมพิงศีรษะเข้ากับอกอุ่นๆ ของเขา แล้วค่อยๆ ผล็อยหลับไป
------------------------------------------
หลายคนคงเคยคิดว่า สักวันหนึ่ง อยากจะทำให้ความฝันเป็นจริงสักครั้ง ผมเองก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน ผมเป็นนักคว้าฝัน ตามไล่ล่าฝันตัวเองมายาวนานเป็นค่อนชีวิต แต่วันนี้เป็นวันแรก ที่ผมชักอยากให้ความจริงกลายเป็นความฝัน... อันที่จริงผมก็เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า นี่เป็นเรื่องจริงหรือแค่ความฝันของผมกันแน่.....
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่นิต”
ผมปรือตาตื่นมา ยังไม่ทับมองอะไรได้ชัดดี ก็รู้สึกเหมือนมีใครมาดุนปาก อืม... มีคนมาจูบปากผมนั่นแหละ พอกะพริบตาอีกครั้งสองครั้งก็เห็นคนหน้าตาดี กำลังคลี่รอยยิ้มพิมพ์ใจอยู่บนหน้า ผมถึงกับถามตัวเองขึ้นมาในใจ ว่านี่ตกลงผมตื่นมาในความฝันรึเปล่า จนเขาขยับแขนเข้ามากอดผมหลวมๆ แล้วพูดต่อ “พี่นิตจะตื่นหรือยังครับ? ออกไปทานข้าวข้างนอกด้วยกันมั้ย?”
ผมกะพริบตาปริบๆ พยายามระลึกชาติว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ เมื่อคืนนี้ผมกับเขา..... เราก็แค่......
จู่ๆ ผมก็รู้สึกร้อนวาบขึ้นมาบนหน้า ที่จริงเมื่อคืนก็ไม่ได้มีอะไรมาก ผมกับสุภาพงษ์แค่... เอ่อ.... ช่วยกันช่วยตัวเอง... แค่ช่วยกันช่วยตัวเองเท่านั้นเอง
ผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังไทยขยับเข้ามาใกล้ แล้วหอมแก้มเสียงดังฟอด เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก รีบหันไปมองเขา
“ตื่นเถอะครับพี่นิต สายแล้วนะ”
ผมกะพริบตาอีก ก่อนจะหันไปมองนาฬิกา อืม... ก็แค่แปดโมงเช้าเองนี่นา มันก็สายจริงหรอก แต่ว่าผมไม่ได้รีบไปไหนนี่
“โจ...” ผมเรียกชื่อเขา พอเห็นเขามองผมตาเซื่องแล้วก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่า เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นมากกว่าแค่การ ”ช่วยกันช่วยตัวเอง” รึเปล่านะ?
“อืม...” ผมส่งเสียงต่อแบบไร้ความหมาย พอเห็นหน้าเขาแล้วก็รู้สึกเหมือนว่ามีอะไรบางอย่างผิดไป อะไรกันนะ... เรื่องเมื่อคืนรึเปล่า...? หรือว่าเป็นเรื่องอื่น
“เออ นี่โจไม่ไปทำงานหรือไง?!” ผมโพล่งออกมาอย่างนึกขึ้นได้ ผมทำงานที่บ้านจนชิน แต่สุภาพงษ์ต้องเข้าออฟฟิศทุกวันนี่นา แล้วเมื่อวานวันอาทิตย์ วันนี้ก็วันจันทร์น่ะสิ!
“ไปครับ” เขาตอบผม แล้วพูดต่อ “แต่ผมรอพี่นิตตื่นก่อนน่ะ... ไม่อยากทิ้งพี่ไว้คนเดียว”
“อืม... พี่ก็อยู่คนเดียวอยู่แล้วนี่” ผมตอบเขาไปอย่างไม่คิดอะไร “รีบไปอาบน้ำเถอะ สายแล้วนะ”
สุภาพงษ์เม้มปาก ทำท่ารีๆ รอๆ อยู่พัก สุดท้ายก็ยอมลุกออกจากผ้าห่ม พอผ้าห่มพ้นจากตัวเขาเท่านั้นล่ะ ผมแทบลมจับ ท่อนบนของเขาใส่เสื้อเรียบร้อยดีนะ แต่ท่อนล่างนี่สิ!!
สุภาพงษ์ลุกแล้วก็ยังยืนอยู่อีกพัก อย่างกับจะอวดของดีให้ผมเห็น เขากลัวผมจะมองไม่ชัดหรือไง ถึงเมื่อคืนจะมืดขนาดไหน ผมก็ไม่เคยคิดอยากจะมองของเขาหรอก แต่... ก้นเขาแน่นดีจริงๆ ขาอ่อนก็สวย ตรงนั้นก็...........
ผมมารู้สึกตัวอีกทีตอนที่เขาหยิบกางเกงขึ้นมาสวม แล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง “งั้นผมไปอาบน้ำนะครับ”
ผมพยักหน้าอึ้งๆ จนเขาปิดประตูแล้วนั่นแหละ ผมถึงรีบเอาหน้าซุกหมอน อยากจะตบตัวเองหลายๆ ครั้งจริงเชียว เมื่อกี้เขาเห็นสายตาผมรึเปล่านะ ถ้าเห็นแล้วจะเข้าใจว่าอะไรน่ะ?!
ผมซุกหน้าลงกับหมอนได้แป๊บเดียว ก็เพิ่งระลึกรู้ตัวว่า ตัวเองก็ไม่ได้สวมท่อนล่างเหมือนกัน บ้าจัง เมื่อคืนเขาถอดออกไปเลยหรือ?! ผมใจเต้นตึกๆ ขณะที่นึกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาทั้งจูบ ทั้งกอดผม แถมเรายังจับตรงนั้นของกันและกันอีก อืม... เมื่อคืนผมทำอะไรน่าเกลียดไปบ้างเนี่ย
ยิ่งนึกผมยิ่งรู้สึกว่า แค่หมอนอย่างเดียวอาจจะไม่พอให้ผมเอาหน้าซุก นี่ผมปล่อยตัวปล่อยใจขนาดนั้นได้ยังไง สุภาพงษ์ก็เหมือนกันล่ะ อะไรจะมาของขึ้นเอาตอนนั้นเล่า นอนก็นอนไปแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ นะ แล้วนี่ผมจะเอายังไงต่อไปดีล่ะ เกินเลยมาถึงขนาดนี้แล้ว เขาคงไม่มองผมเป็นนักเขียนในสังกัด หรือว่าพี่ชายข้างบ้านอีกแล้วล่ะ ทำยังไงดี ผมไม่รู้เลยว่าจะรับมือกับความสัมพันธ์ที่ลักๆ ลั่นๆ นี้ยังไงดี
ระหว่างที่ผมกำลังคิดนั่นคิดนี่วุ่นวาย สุภาพงษ์ก็เปิดประตูเข้ามา ผมรีบยกศีรษะขึ้น เพราะกลัวจะทำท่าน่าเกลียดให้เขาเห็นอีก ผู้ชายหุ่นดีคนนั้นเดินเข้ามาในสภาพอาบน้ำเปลี่ยนไปใส่ชุดเดิม และพาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่า หล่อจนน่าโมโหจริงๆ
“พี่นิตจะไปอาบน้ำเลยมั้ยครับ?” สุภาพงษ์ถาม ผมมองเขา แล้วพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้ลุกออกจากที่นอนในทันที ทำไมน่ะรึ? ก็กางเกงนอนผมมันไม่ได้อยู่ใต้ผ้าห่มด้วยน่ะสิ หลังจากใช้เท้าควานหาอยู่สักพัก ผมก็พูดขึ้นบ้าง “โจ... เห็นกางเกงนอนพี่มั้ย?”
สุภาพงษ์กำลังพาดผ้าเช็ดตัวลงบนราวพอดี ตอนที่ผมถาม เขาหันกลับมา หน้าแดงนิดๆ แล้วเดินมาหยิบกางเกงนอนที่หล่นอยู่ปลายเตียงให้ผม ผมยื่นมือไปรับ ที่จริงต้องพูดว่าขอบใจเขาด้วย แต่ว่า เพราะเห็นเขาทำหน้าแดง แถมเม้มปากนิดๆ เลยพาลให้ผมพูดไม่ออกไปด้วย ทำหน้าแบบนั้น คิดอะไรกันน่ะ คิดถึงเรื่องเมื่อคืนรึเปล่านะ
“โจหันหน้าไปทางอื่นเลยนะ ห้ามมอง” ผมหันมาขู่เขา แทนที่จะพูดขอบใจ เพราะเกิดรู้สึกอายขึ้นมา เขาอาจจะใส่กางเกงนอนต่อหน้าผมได้ แต่ผมทำไม่ลงหรอก หน้าผมยังมียางอยู่น่ะ สุภาพงษ์ดูจะอึ้งนิดๆ แต่ก็ยอมหันหน้าไปหาผนัง ผมรีบซุกกางเกงเข้ามาใส่ในผ้าห่ม ชนิดว่าต่อให้เขาหันมาก็ไม่เห็นหรอก อย่าว่าผมอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ เมื่อคืนมันมืด เขาคงไม่เห็นอะไร เพราะงั้น ก็อย่าให้เขาเห็นเลยจะดีกว่า กลัวเขาทำหน้าเสียใจที่ทำอะไรอย่างนั้นลงไปกับคนแบบผมน่ะ
ผมใส่กางเกงแล้ว ก็ลงจากเตียง เตรียมจะไปอาบน้ำ ขณะจะเดินออกประตู สุภาพงษ์ก็เดินเข้ามาหา
“พี่นิต ผ้าเช็ดตัวครับ” เขาพูด แล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้ผม ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าทำท่าจะลืมผ้าเช็ดตัวอีกแล้ว รับมา แล้วบอกขอบใจเขาไป สุภาพงษ์เม้มปากนิดๆ จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “พี่อย่าไปลืมผ้าเช็ดตัวแบบนี้ที่บ้านคนอื่นนะ”
ผมหัวเราะขึ้นมา “พี่ไม่ลืมหรอก ลืมก็ตะโกนเรียกเอาก็ได้”
“อืม.... อย่าเดินแก้ผ้าออกมาอีกนะครับ”
“....................” ผมจ้องหน้าเขาเขม็ง ผู้ชายหน้าตาดี หุ่นสวยตรงหน้าผมมีสีหน้าลำบากใจ ขณะพูดประโยคต่อมา “ผมเป็นห่วงนะ”
“...............................................” ผมทนมองหน้าเขาต่อไม่ไหว เพราะยางอายมันทะลักออกมาจนหน้าแทบไหม้ เลยรีบเปิดประตู เดินจ้ำออกมาทันที บ้าเอ๊ย อย่าบอกนะว่าเมื่อคืนตอนที่ผมย่องเข้ามาน่ะ เขาตื่นอยู่ ที่ของขึ้นกลางดึกเพราะเห็นผมแก้ผ้าเหรอเนี่ย?!
ผมอาบน้ำอย่างไม่ค่อยเป็นสุขนัก แต่พออาบเสร็จก็ไม่อยากออกจากห้องน้ำอีก กลัวน่ะ กลัวเดินออกไปเจอสุภาพงษ์ กลัวจะเห็นสายตาเขา โอ๊ย นี่เมื่อคืนผมแก้ผ้าต่อหน้าเขาไปเหรอเนี่ย จะบ้าตาย ผมจะเอาหน้าไปซุกไว้ไหนดี
ผมยืนจดๆ จ้องๆ กับประตู พยายามปลอบใจตัวเองไปต่างๆ นาๆ เพื่อให้กล้าเดินออกไปด้านนอก แล้วทำหน้าเฉยๆ ตอนเจอสุภาพงษ์ เอาน่า.... ตะกี้เขายังใส่กางเกงให้ผมดูอย่างไม่อายเลย แล้วผมจะอายเขาทำไมล่ะ....
ถึงจะนึกแบบนั้น แต่พอเปิดประตูออกมาจริงๆ ผมก็อดใจเต้นตึกๆ ไม่ได้ ยิ่งพอเข้าห้องไปแล้วเจอเขายืนอยู่ ใจผมยิ่งเต้นแรง
“พี่นิตรีบเปลี่ยนเสื้อเถอะครับ”
แทนที่ผมจะเป็นฝ่ายพูด เขาดันชิงพูดขึ้นก่อน ผมมองหน้าเขา จะอ้าปากพูดก็พูดไม่ออก สุดท้ายเลยเดินเงอะๆ งะๆ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งแบบนั้น
แต่แน่นอนว่าผมไม่กล้าหน้าด้านขนาดปลดผ้าเช็ดตัวออก แล้วสาธิตวิธีการใส่เสื้อผ้าต่อหน้าเขาหรอก ถึงเขาจะกล้าใส่กางเกงโดยโชว์ก้นให้ผมดู แต่ก้นเขาสวยนี่ นอกจากอนาจารแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีให้ติ แต่ผมนี่สิ นอกจากจะโดนข้อหาอนาจาร อาจจะโดนข้อหามลพิษทางสายตาด้วย ดังนั้น ผมเลยหันไปหาเขา “โจหันหน้าไปหาผนังนะ พี่จะเปลี่ยนเสื้อ”
สุภาพงษ์พยักหน้าแล้วหันเข้าหาผนังอย่างว่าง่าย ผมรีบหยิบชั้นในมาเปลี่ยน รื้อเสื้อรื้อกางเกงออกมาสวม แล้วค่อยปลดผ้าเช็ดตัวออกตอนหลัง คราวนี้ผมรอบคอบ ต่อให้เขาแอบหันกลับมาก็ไม่มีทางได้เห็นอะไรผมหรอก
ผมเตรียมจะเอาผ้าเช็ดตัวกลับไปพาดไว้ที่ราว แล้วก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อหันกลับไปพบสุภาพงษ์เดินเข้ามาพอดี
!!
ผู้ชายหน้าตาดี ซึ่งตอนนี้เป็นบรรณาธิการคนปัจจุบันของผม อ้าแขนกอดผมไว้หลวมๆ แล้วจูบหน้าผากผมเบาๆ “ไปทานข้าวกันนะครับ”
ผมอุ่นวาบไปทั้งตัว รู้สึกอย่างกับฝัน เขากอดผมไว้อีกพัก จากนั้นก็จูงผมออกจากห้อง
อืม... ผมชักสงสัยแล้วสิว่าเมื่อคืนใครเสียตัวให้ใครกันแน่.....
----------------------------------------------------
สุดท้ายผมกับสุภาพงษ์ก็เดินออกมาทานอาหารกันที่ร้านตามสั่งใกล้ๆ บ้านผม เพราะขืนออกไปป่านนี้ รถก็ติดอยู่ดี อีกอย่าง ผมไม่ได้ไปทำงานกับเขา แค่หลวมตัวมาทานข้าวกับเขานี่ก็ถือว่าเกินภารกิจผมมากแล้ว ผู้ชายรูปหล่อตรงหน้าผมสั่งผัดซีอิ้ว ขณะที่ผมสั่งข้าวราดคะน้าน้ำมันหอย แบบนี้ค่อยดูเป็นชีวิตจริงหน่อย นี่ถ้าเป็นในละคร คนหน้าตาดีอย่างเขาคงไม่มานั่งกินผัดซีอิ้วแน่ๆ
สุภาพงษ์ดูมีความสุขเป็นพิเศษ ระหว่างรออาหาร เขาเหลือบมองผม แล้วเม้มปากนิดๆ ทำเอาผมต้องรีบหาหัวข้อมาคุยกับเขา เพราะกลัวใครผ่านมาเห็นจะหาว่าเขาสติไม่เต็ม มานั่งเม้มปากมองคนมีอายุอย่างผมอยู่ได้
“โจ แล้วนี่ไปทำงานสาย ไม่เป็นไรเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมโทรบอกน้องที่ออฟฟิศไว้แล้ว” เขาตอบ ผมขมวดคิ้วหน่อยๆ “ไปสายบ่อยๆ ไม่ดีนะ อีกหน่อยเดี๋ยวเด็กมันก็สายตามหรอก”
“ครับ” เขาพยักหน้า “ถ้าวันนี้เป็นวันหยุดก็ดีสิ”
“ขี้เกียจไม่ดีนะโจ” ผมว่า เขารีบสั่นศีรษะ “เปล่าครับ แค่คิดว่าคงไม่ต้องรีบไปทำงานน่ะ จะได้ชวนพี่นิตไปเที่ยวบ้าง”
ผมเกือบสำลักน้ำ ดีที่กลืนลงไปแล้ว “ไปเที่ยวชวนวันหยุดก็ได้”
“ครับ” เขาพยักหน้าอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมนึกถึงเรื่องที่เขาชวนไปอยุธยาวันก่อน ก็เลยพูดขึ้นบ้าง “โจยังอยากไปอยุทธยาอยู่รึเปล่า?”
สุภาพงษ์เบิ่งตานิดๆ แล้วพยักหน้า “พี่นิตจะไปหรือครับ?”
“อืม... เสาร์อาทิตย์นี้พอว่างอยู่นะ” ผมตอบเขาไป สุภาพงษ์ยิ้มออกมาหน่อยๆ “งั้น... วันเสาร์ตอนเช้าผมมารับพี่นะ”
“อ้อ... เออ.....” ผมพยักหน้าไปอย่างงงๆ ตัวเอง ว่าจู่ๆ เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเขาไปเที่ยวก่อนได้ยังไง แต่พอเห็นเขายิ้มดีใจ ผมก็พาลรู้สึกดีใจไปด้วย
สรุปแล้ว ใครเสียตัวให้ใครกันแน่นะเนี่ย......
--------------------------------------------------
**โอ๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆ ไม่เค๊ยไม่เคย เขียนฉากที่กินเนื้อหาไปทั้งตอนขนาดนี้ (แถมไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกต่างหาก สมเป็นพี่นิต!!!) อนึ่ง รู้สึกเลยว่าการบรรยายฉากโดยใช้พี่นิตบรรยายเป็นอะไรที่เขียนยากลำบากเป็นยิ่งนัก ใช้คำซ้ำบ่อยโคตร (ไว้เดี๋ยวค่อยแก้ตอนรวมเล่มอีกที นี่อ่านจนตาเปื่อยล่ะ)
ตอนเขียนก็ตื่นเต้น (ฮ่าๆ ทำเหมือนไม่เคยเขียน) ตื่นเต้นว่าพี่นิตจะเป็นลมกลางทางรึเปล่า แอบเปลี่ยนเนื้อหาไปมาหนสองหน แต่เห็นว่าพี่นิตเป็นลมไปหลายรอบแล้ว รอบนี้ให้ตั้งสติได้ก่อนแล้วกัน ก๊ากกก
มีฉากฮาๆ หลายฉากที่เขียนไปอยากจะต่อท้ายแซวพี่นิต (ตัวอย่าง... พี่นิตกระมิดกระเมี้ยนเปลี่ยนเสื้อมาก หารู้ไม่ โจเห็นไปถึงไหนต่อไหนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว พี่นิตจะอายทำไม ฮ่าๆ
)
เขียนไปเขียนมา รู้สึกว่าพี่นิตเป็นนายเอกที่โก๊ะอย่างรุนแรง (ตามประสาคนที่อยู่กับตัวเองมานาน มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก)
แต่ก็รักพี่นิตนะคะ
(พักนี้อะไรๆ ก็พี่นิต ฮ่าๆ<<อาการหนักจริงๆ)
ปล.มีคนเสนอให้ลองทำโหวตอายุคนเขียน ใจร้ายจริงๆ เราว่าทำโหวตอายุคนอ่านดีกว่า น่าสนุกดี
สนใจจะลองกดโหวตกันไหมคะ อิอิ