“พี่จอห์น ผมไปก่อนนะพี่ แล้วเจอกันพรุ่งนี้พี่”
“อืม”
เล็กรุ่นน้องคณะเดียวกัน และตอนนี้เป็นลูกน้องในทีมเดียวกันกับผม โบกมือลาหลังจากเสร็จงานในส่วนขอมัน ส่วนผมยังคงต้องนั่งน่าเครียดอยู่หน้าคอม กับการตัดต่อวิดีโอพรีเซนเทชั่นของคู่แต่งงานคู่หนึ่ง ที่เจ้าบ่าวเคยเป็นเพื่อน สนิท กับผมมาก่อน.....
………….
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ กับวิวอันสวยงามของอ่างแก้วในยามเย็น ผู้คนมากมายทั้งนักศึกษา และคนทั่วไป ต่างก็พากันมาเดินเล่นบ้าง ออกกำลังกายบ้าง แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ได้เยอะจนทำลายบรรยากาศอันเงียบสงบ
ผมกับไอ่ภีมเดินมาหยุดอยู่ด้านในสุดของอ่างแก้ว ห่างไกลจากบริเวณสันอ่างพอควร บนพื้นหญ้าริมน้ำ ผมกับมันกำลังมองหน้ากันอยู่ สีหน้ามันบ่งบอกความลำบากใจ ในขณะที่ผมทั้งตื่นเต้น และกลัวปนกันไป หลังจากที่ผมตัดสินใจบอกชอบมันไป เพราะนี่เป็นปีสุดท้าย ที่เราจะได้เรียนด้วยกัน.......
‘จอห์น คือ...’ มันพูดขึ้นหลังจากเงียบมานาน ‘ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้นะเว้ย ว่ามึงคิดยังไงกับกู กูขอบคุณกับทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างที่มึงทำให้กูจริงๆ แต่เราคงเป็นได้แค่เพือนกันว่ะ”
ผมคาดไว้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเจ็บ ดวงตาเริ่มร้อน ผมเงยหน้ากระพริบตาถี่ๆ
‘เอาจริงๆ ถ้า..... ถ้ามึงเป็นหญิงกูคงชอบมึงไปแล้วว่ะ’
ผมก้มหน้ากับมามองมัน ทั้งเจ็บ และปวดร้าว ไม่คิดว่าจะเจอประโยคนี้ ผมเข้าใจมัน เพราะดูเหมือนมันไม่ได้รังเกียจผมเลยจริงๆ แต่ผมก็ยังเจ็บ น้ำตาเริ่มไหลออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
‘จอห์น....’
‘เฮ้ย ไม่เป็นไร กูก็คิดไว้อยู่แล้วแหละ กูก็แค่อยากบอกให้มึงรู้ มึงไม่ต้องขอโทษอะไรหรอก ไม่ต้องเลย กูเองที่ผิด ที่คิดกับมึงไปแบบนั้น กูขอโทษ’
พูดจบน้ำตาก็ไหลพรากราวกับทำนบแตก ผมคงอ่อนแอเกินกว่าจะทนรับความรู้สึกเหล่านี้ไหว ผมก้มหน้าลงน้ำตาหยดเป็นสายลงพื้น ภีมเอื้อมมือมาจะกอดผม แต่ผมยื่นมือห้ามมันไว้ ไม่งั้นผมคงแย่กว่านี้แน่ๆ
‘จอห์น กู....’ ผมยกมือห้ามมัน ก่อนที่มันจะพูดอะไรมากกว่านี้
‘ไม่เป็นไรไว้ กูทนได้’ ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ข้างในกลับปวดร้าวเต็มที ผมเช็ดน้ำตาอย่างลวกๆ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์ให้ดูนิ่งที่สุด ก่อนจะฝืนยิ้มอย่างยากลำบาก
‘กูไปก่อนนะเว้ย ขอกูทำใจสักพักนะ ไว้กูพร้อมเมื่อไหร่ แล้วค่อยมาเจอกันอีกนะเว้ย’
ผมยิ้มให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเดินจากมันมาอย่างเชื่องช้า น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ก่อนหน้าถูกปลดปล่อยออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่.......
………….
นักจากวันนั้นถึงวันนี้ก็สี่ปีเข้าไปแล้ว แม้ความรู้สึกผมจะเริ่มเบาบางลง แต่ผมก็ยังไม่พร้อมจริงๆ ที่จะเจอหน้ามันตรงๆ คงได้แต่คุยกับมันผ่านแชทเฟส หรือไลน์เมื่อสองปีก่อน จนกระทั้ง เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาที่ผมได้เจอกับมันตรงๆ เป็นครั้งแรก........
………….
‘ไงจอห์น สบายดีนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแหนะ’
มันทักทายด้วยเสียงอันร่าเริง ในขณะที่ใจผมยังรู้สึกแปล็บๆ ขึ้นมาบ้าง
‘สบายดี’ ผมยิ้มให้มันก่อนตอบ
‘อะไร ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทักกันแค่นี้หรอวะ’ มันชวนคุย ผมว่ามันคงทำให้เหมือนปกติที่เราเคยคุยกัน แต่มันก็คงรู้ว่า ผมคงยังไม่พร้อมที่จะกลับไปคุยแบบนั้น
‘เอาหนา ไอ่จอห์นมันก็เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว เอาอะไรกับมันมากว่ะ เข้าเรื่องมึงเหอะ ไม่ยักกะรู้ว่ามีแฟน โทรมาอีกทีบอกจะแต่งงาน ซุ่มนะมึงอะ’
จุ้นเพื่อนในกลุ่มอีกคนที่เรียนด้วยกันมา และยังเป็นคนที่ชวนผมมาเปิดโปรดักชั่นเฮาส์เล็กๆ ที่มีชื่อฟังดูกวนตีนว่า ‘จุ้นกะจอ’ พูดสอดขึ้นมา
‘เออๆ นี่สา คบกันมาตั้งแต่กูเรียนจบแล้วเว้ยกูแค่ไม่ได้บอกพวกมึง’ แว๊บนึงเหมือนมันจะเหลือบมามองผมด้วยแววตาเหมือนหยั่งเชิงเล็กน้อย ก่อนจะกลับเป็นปกติ นั่นแสดงว่ามันก็ยังคงจำเรื่องวันนั้นได้
‘โถ่ ไอ่เวรนี่ มีแฟนแล้วกั๊ก ห่วงเพื่อนรึไงครับ แหม’
‘เออ เอาเรื่องของกู อย่า จุ้น มากนัก จะเอามั้ยงานน่ะ’
‘คร้าบๆๆ เอาคร้าบคุณลูกค้าผู้น่าร๊ากกกกก’
หลังจากนั้นก็เป็นการคุยรายละเอียดต่างๆ ทั้งการถ่ายพรีเวดดิ้ง วิดีโอพรีเซนท์ และการถ่ายภาพภายในงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเป็นจุ้น ภีม และสามากกว่าที่คุยกัน ส่วนผมได้แต่นั่งฟังอยู่เงียบๆ
………….
“นี่ ยังตัดอยู่อีกหรอ พรุ่งนี้ค่อยมาตัดก็ได้”
จุ้นวางมือบนไหลผม พลางมองไปยังคอมที่มีผมกำลังตัดต่อวิดีโอนั้นอย่างตั้งใจ ผมอยากทำให้มันออกมาดีที่สุด เพราะถึงแม้จะเป็นงานจ้าง ที่พวกผมคิดมันในราคาพิเศษ แต่ก็อยากให้ออกมาดีที่สุด เพื่อเป็นของขวัญให้กับมัน
“ไม่ไร เหลืออีกนิดเดียวเอง ไม่อยากให้ค้างคา กูขอตัดให้เสร็จเลยดีกว่า”
ผมพูด พร้อมหันไปยิ้มให้กับมัน จุ้นเม้มปาก แววตาวูบไหวที่ผมไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไรนั้นส่งมาที่ผม พร้อมมือบนไหล่ที่บีบแน่นขึ้น....
“งั้นเดี๋ยวกูช่วยมึงดีกว่า เผื่อจะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปด้วย”
ผมหันไปยิ้มให้มันอย่างขอบใจ มันเลื่อนเก้าอี้มานั่งลงข้างๆ พลางมองผมตัดอย่างตั้งใจ โดยที่ผมเองก็ไม่ทันสังเกตว่ามันก็เหลือบตามามองผมเป็นพักๆ ด้วยสายตาที่เหมือนตัดพ้อระคนเศร้า
………….
วันงานมาถึง ทุกอย่างเสร็จเร็วกว่ากำหนด ทั้งภาพถ่ายที่จะใช้ในงานแต่ง วิดีโอพรีเซนต์เทชั่นที่คู่บ่าวสาวดูจะพอใจเป็นอย่างมาก แขกมากมายต่างพากันเดินเข้ามาในงาน ทั้งเพื่อนสมัยมัธยม มหาวิทยาลัย และที่ทำงาน รวมทั้งญาติผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย
ผมมาถึงงานก่อนพิธีเริ่มไม่นาน เนื่องจากไม่มีงานในส่วนของผมที่ต้องจัดการแล้ว ผมจึงไม่จำเป็นต้องมาก่อนเวลางาน แต่เป็นหน้าที่ของจุ้น ที่คอยเตรียมเรื่องทีมกล้องต่างๆ ให้พร้อมก่อนงานจะเริ่ม เป็นคราวโชคดีของทีม ‘จุ้นกะจอ’ ที่คู่บ่าวสาวได้จัดเตรียมโต๊ะไว้เฉพาะสำหรับทีมกล้องด้วย เล็กเดินเข้ามาทักทายเมื่อมันเห็นผมเดินเข้ามา
“โหพี่จอห์น โคตรหล่ออะวันนี้” ผมไม่ตอบ แต่ยิ้มให้มันแทน
“เขาจัดโต๊ะอาหารไว้ให้เราด้วยพี่ โคตรดีอะ ไม่เหมือนคราวที่แล้ว แค่แบ่งอาหารไว้ให้” เล็กพลางย่นจมูกเล็กน้อย เมื่อเอ่ยถึงงานเมื่อคราวก่อน ที่ลูกค้าค่อนข้างจะเรื่องมาก แถมยังไม่ค่อยจะดูแลทีมกล้องผู้หิวโหยเสียเท่าไหร่
“เพื่อนกูไง ลองดูแลไม่ดีดิ กูถีบแม่งตกเวที” จุ้นเดินเข้ามา มันอยู่ในชุดเชิ้ตขาว สวมทับด้วยสูทสีเทากับบลูยีนส์สีทึบๆ และรองเท้าหนังขัดเขาสีดำ
“จอห์น มึงไปนั่งก่อนเถอะ โต๊ะนู้นอ่ะ ของเรา” จุ้นชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ค่อนมาท้ายๆ ห้อง แต่ชิดทางเดินที่คู่บ่าวสาวจะเดินมาทักทายได้สะดวก
หลังจากนั้นไม่นาน พิธีก็เริ่มขึ้น มีการกล่าวอวยพรจากผู้ใหญ่ที่มันเชิญมา ที่เป็นถึงรัฐมนตรีอะไรสักอย่าง ที่ดูเหมือนจะรู้จักกับพ่อของไอ่ถีม ตามมาด้วยบรรดาญาติๆ ของทั้งสองฝ่าย ตบท้ายด้วยเพื่อนๆ ของทั้งคู่ ซึ่งเรียกเสียงโห่ฮากันไปไม่น้อย เช่นเดียวกับวิดีโอพรีเซนต์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้คู่บ่าวสาว และแขกที่ร่วมงาน ผมแอบเห็นไอ่ภีมส่งสายตา พร้อมยิ้มอย่างขอบใจมาทางผม ผมยิ้มตอบมันไป
งานยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั้ง ภีมขึ้นพูดบนเวที ที่ทำให้หัวใจผมสั่นไหวน้อยๆ
“….ทุกท่านครับ ผมมีใครบางคนที่ผมอยากจะขอบคุณเป็นพิเศษ เขาเป็นคนทำวิดีโอพรีเซนต์ที่ทุกท่านได้เห็น รวมทั้งเป็นหนึ่งในทีมโปรดักชั่นคุณภาพที่ชื่อออกจะกวนๆ ว่า ‘จุ้นกะจอ’ แล้วคนๆ นั้นยังเคยเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมคนนึงด้วยครับ เขาเป็นเพื่อนที่ดีเสมอมา ตลอดสีปีในรั่วมหาลัย เขาเป็นคนที่ดูแลผมอย่างดีมาตลอด เป็นคนที่คอยด่า คอยฉุด เมื่อผมกำลังทำตัวเหลวไหล เป็นเพื่อนที่แม้จะขี้บ่นไปบ้าง แต่มันก็ทำให้ผมได้ทุกอย่างจริงๆ จนบางที ผมเองก็รู้สึกเห็นแก่ตัว ที่รับจากมันฝ่ายเดียว”
ภีมพูดโดยไม่ได้ละสายตาไปจากผม เช่นเดียวกับอีกหนึ่งสายตา ที่มองผมสลับกับภีม ผมรู้สึกเหมือนมีน้ำคลอที่ตา แต่มันเป็นความรู้สึกที่ต่างกัน จากเมื่อสี่ปีที่แล้ว
“เมื่อสี่ปีที่แล้ว .....เขามาพูดบางอย่างกับผม ที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ....ผมรู้ว่าวันนั้นเขาเจ็บมากแค่ไหน และผมเองก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าเขา ที่ให้ในสิ่งที่เขาต้องการไม่ได้ ...มันทำให้เราห่างกันไปถึงสองปีเต็มๆ เราไม่ได้เจอกันเลย หรือแม้กระทั่งติดต่อใดๆ กันเลย จนเมือสองปีที่แล้ว ....เราถึงได้คุยกัน ผ่านทางเฟสบุ๊ค ...... ผมพยายามจะเจอเขาหลายครั้ง แต่เขาก็พยายามบ่ายเลี่ยงมาตลอด ซึ่งผมก็เข้าใจ ว่าเขาคงยังไม่พร้อม แต่สุดท้ายเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา ผมก็เจอเขาครับ หลายๆ อย่างยังคงเหมือนเดิม สิ่งที่ต่างไปคือ เราพูดกันน้อยกว่าเดิม ผมไม่คาดหวังว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมโดยทันที แต่แค่อยากจะบอกให้รู้ว่า......”
มันเว้นไปครู่หนึ่ง ผมยังคงมองมัน รอยยิ้มและน้ำตายังคงไหลริน มันพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มสั่น และขอบตาที่เริ่มแดง
“กูยังคงเห็นมึงเป็นเพื่อนของกูเสมอนะเว้ย ไม่ว่ามึงจะเป็นอะไรก็ตาม มึงคือเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่กูเคยมี และมึงคือเพื่อนที่สำคัญที่สุด ถึงแม้ว่ากูจะให้ในสิ่งที่มึงต้องการไม่ได้ แต่กูอยากให้มึงรู้ ว่าตั้งแต่วันแรก จนวันนี้ มึงยังคงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุด และรักเสมอมา หวังว่ามึงกลับกูจะกลับมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้เหมือนเดิมเร็วๆ นะเว้ย ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งจริงๆ ขอบคุณครับ”
มันพูดจบพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา เสียงปรบมือดังขึ้นทั่วห้อง ผมหันกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ แต่ไม่ใช่ด้วยความเศร้า บางอย่างในใจเหมือนถูกคลายออก บางอย่างที่ผมพยายามซุกซ่อนมานานปี
“ขอบคุณ” ผมพูดเบามองไปที่มัน
“จอห์น มึงโอเคมั้ย” จุ้นเดินเข้ามาหาผมเมื่อไหร่ไม่รู้ มันมองผมอย่างเป็นห่วง ผมเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มทั้งน้ำตาให้มัน แววตาจุ้นก็เหมือนจะเจือด้วยความเศร้ากลายๆ
“เล็กๆ ฝากดูทางนี้ทีนะ เดี๋ยวพี่มา”
“ครับ” เล็กรับคำก่อนมองมาที่ผมกับจุ้น ที่พาผมเดินออกมานอกงาน
………….
สนามหญ้าด้านข้างโรงแรมถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม พุ่มไม้ถูดดัด และตัดเป็นรูปทรงต่างๆ ใต้ไม้ใหญ่มีเก้าอี้ไม้ตัวยาววางอยู่ ด้านข้างเป็นเสาไฟสนามสีเหลือนวลเปิดสว่างอยู่
ผมกับจุ้นนั่งลงบนเก้าอี้ยาว เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าโปร่งใส่ผ่านแมกไม้ คืนนี้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวสีเหลือสวย ล้อกับจันทร์ครึ่งดวงสีนวล ดูน่าผ่อนคลาย
“กูว่ากูตัดใจจากมันได้แล้วจริงๆ ว่ะ” ผมพูดขึ้นทั้งๆ ที่ยังมองท้องฟ้าอยู่
“ดีแล้วนิ แล้วมึงร้องไห้ทำไมวะ”
“ไม่รู้ว่ะ โล่งมั้ง มันเหมือนก้อนอะไรสักอย่างที่อยู่ในใจมันหายไปแล้ว ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้สึกอะไรกับมันแล้วนะโว้ย แต่มันน้อยมาก เหลือแค่ความรู้สึกจางๆ ที่ไม่ได้ทำให้เจ็บปวดอะไรอีกแล้ว”
“…แล้วมึงจะกลับไปคบมันอีกมั้ยวะ”
“มันมีเมียแล้วนะเว้ย จะคบมันได้ไง”
“โอ๊ย ไอ่นี่กูถามจริงๆ อย่าเล่น” มันพูดน้ำเสียงหงุดหงิด
“ฮ่าๆ “ ผมหัวเราะก่อนตอบ “ไม่รู้ว่ะ คงต้องใช้เวลาอยู่แหละ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน จะได้ปุบปับมาสนิทกันเหมือนเดิมเลย คงเป็นไปไม่ได้”
“อืม”
“อย่างน้อยตอนนี้กูก็ได้รู้แล้ว ว่ามันรู้สึกยังไง เรื่องคงง่ายขึ้นเยอะ”
“…..”
ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ความรู้สึกที่ว่ารักไอ่ภีม มันยังคงไม่หายไปร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมคร่ำครวญเหมือนเมื่อก่อน ส่วนความรู้สึกของความเป็นเพื่อน เหมือนมันจะไม่ได้ลดลงไปเลยด้วยซ้ำ ยิ่งเมื่อผมได้รู้ว่าจริงๆ แม้มันจะไม่ได้รักผมแบบนั้น แต่ก็ใช้ว่าส่วนเล็กลึกๆ ในใจมันจะไม่มีเลย บวกความรักแบบเพื่อนที่มีให้ผมอย่างมากนั้น กลับทำให้ผมรักมันในแบบเพื่อนมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“นี่” จุ้นพูดขึ้นหลังจากเงียบกันอยู่นาน ผมหันหัวกลับไปมองมัน สีหน้ามันดูลังเลยังไงชอบกล
“งั้น....ตอนนี้มึงก็โสด ทั้งกายและใจแล้วใช่มะ” คำถามมันทำเอาผมย่นคิ้ว
“อะไร กูก็โสดมาตั้งนานแล้ว ....อย่าบอกนะว่าคิดอะไรกับกูน่ะ” มันยกมือขึ้นลูกท้ายทอย บิดหน้าไปมา แสงไฟจากเสาไปสนาม แม้จะไม่สว่างนัก ก็พอจะทำให้เห็นแก้มที่ขึ้นสีแดงเรื่อของมันได้
“ก็ ทำนองนั้น”
“เฮ้ย! จริงดิ! ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ผมถามอย่างสงสัย ระคนตกใจ ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไอ่จุ้นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาสี่ปี จะคิดอะไรกับผม ถ้าเทียบกันแล้วไอ่จุ้นถือว่าหล่อกว่าไอ่ภีมมาก แทบนิสัยบางอย่างติดจะดีกว่าด้วยซ้ำ และก็ไม่มีแววว่าจะชอบผู้ชายเลย
“ตั้งแต่ปีสองแล้วมั้ง แต่กูไม่ใช่คนกล้าแบบมึง ที่กล้าไปบอกภีมตรงๆ แบบนั้น”
ผมอึ้งสักพัก ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นยิ้ม เหมือนมีความสุขเป็นสองเท่า ผมทั้งขำทั้งนึกเอ็นดูมันขึ้นมาทันตา
“มึงรู้มั้ยทำชื่อโปรดักชั่นถึงชื่อ ‘จุ้นกะจอ’ “ ผมขมวดคิ้ว
“เอ้า ก็ไม่ใช่ว่ามึงล้อชื่อมึง กับจอโทรทัศน์อะไรแบบนั้นหรอ?”
“มันมีอีกความหมายนึง” ผมมองมันด้วยความสงสัยหนักกว่าเดิม แต่คำตอบของมัน เพียงแค่คำเดียว กลับเปลี่ยนความสงสัยของผม ให้กลายเป็นความรู้สึกหวั่นไหวบางอย่างในใจ
“จอห์น” มันพูดพร้อมมองหน้าผม
เพียงเท่านี้ผมก็พอจะเดาได้ ว่าจุ้นกับจอ มาจาก “จุ้น กะ จอห์น” ที่ย่อชื่อผมให้เหลือแค่ ‘จอ’ เพื่อไม่ให้ผมสงสัย
“ไอ่บ้านี่ เอาชื่อกูไปใช้ไม่ขออนุญาต”
“กูกลัวมึงไม่ให้”
ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับมัน เลยได้แต่ก้มหน้าเงียบกันไปพักใหญ่ จนเมื่อมันเงยหน้าพูดบางอย่างทำลายความเงียบออกมา
“กูจีบมึงนะ ไม่ใช่คำขอ แต่เป็นคำบอก” คราวนี้มันพูดพร้อมใบหน้าทะเล้น
“ใครห้ามมึง”
ผมพูดพร้อมยันตัวลุกขึ้น สูดหายใจเข้าหนึ่งทีก่อนเดินกลับเข้าไปในงาน โดยมีไอ่จุ้นเดินตามเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~ ~
ฮาโหลลลลลล
สวัสดีครับ เป็นเรื่องที่สองที่ลง
แต่เป็นเรื่องแรกที่แต่งจบนะครับ ><
เรื่องนี้ออกเศร้าๆ นิดๆ (คิดว่า)
ยังก็ฝากติดตามด้วยนะครับ
อย่ายืมคอมเมนท์ แนะนำติชมกันได้นะครับ
จะยินดีเป็นอย่างมากเลยครับ
ขอบคุณครับ