บทที่ 13 การลาจากไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ต้องการ แต่ความเหมาะสมและความถูกต้องมันบังคับให้มนุษย์ที่รู้จักผิดชอบชั่วดีได้พึงกระทำ ภูธนานอนกอดหลานชายคนโปรดไว้ทั้งคืน เช้านี้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาพร้อมความสดใส พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดระหว่างที่กำลังรออาหารมื้อเช้าจากคุณลุง
ภูธนาเตรียมมื้ออาหารง่ายๆ ให้หลานชาย ตอนนี้ภูบดินทร์เริ่มใช้ช้อนส้อมได้คล่องขึ้นแล้ว เพราะที่โรงเรียนก็ได้รับการฝึกใช้อุปกรณ์เหล่านี้อยู่เสมอ ภูธนาเห็นพัฒนาการของหลานชายที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชายหนุ่มภูมิใจในตัวหลานคนนี้ไม่น้อยเลย
"น้องภูครับ"
"ฮะ" เด็กน้อยพูดตอบรับคำจากลุง พลางใช้ส้อมจิ้มไส้กรอกคำเล็กๆ ใส่ปาก
"ลุงธนาจะขออนุญาตน้องภูกลับไปอยู่บ้านนู้นนะครับ" ภูธนาพูดกับหลานเป็นทางการเพื่อให้ภูบดินทร์เข้าใจว่าเรื่องที่พูดนั้นไม่ได้เป็นการพูดเพียงเล่นๆ
"ทำไมฮะ" เด็กน้อยจ้องลุงตาแป๋ว
"ลุงต้องกลับไปทำงาน แล้วจะได้มีเงินพาน้องภูไปเที่ยวบ่อยๆ ไงครับ"
"น้องภูไปด้วยได้มั้ยฮะ" เด็กน้อยเริ่มเสียงเบา หน้าจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่ได้หรอกครับ แต่ลุงสัญญาว่าจะมาหาน้องภูบ่อยๆ"
"ฮือ ฮือ" หลานคนเก่งบัดนี้ร้องไห้งอแงขึ้นมาเพราะไม่ได้ดั่งใจตนเอง
"ไม่ร้องนะครับ ภูบดินทร์ มองลุง"
"ฮือ ฮือ" เสียงร้องไห้ยังไม่หยุด ใบหน้าเต็มไปคราบน้ำตาแต่ก็ยอม สบตามลุงตามคำสั่ง
"ถ้าน้องภูเป็นเด็กดื้อ ลุงธนาจะไม่มาหา แล้วก็ไม่พาน้องภูไปเที่ยวด้วยนะครับ"
"น้องภูจะไม่ดื้อฮะ" เด็กน้อยใช้มือป้อมปาดน้ำตาออกไปให้พ้นทาง
"ดีมากครับ คนเก่ง แล้วลุงจะมาหาบ่อยๆ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ ถ้าคิดถึงลุงก็ให้คุณพ่อพาไปหาลุงก็ได้นะครับ รู้มั้ย" ภูธนาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อยเบามือ ความรักที่มีให้หลานคนนี้ยังไงก็ไม่มีวันหมด แต่เพื่ออนาคตของเด็กตรงหน้า ภูธนาก็ยินดีทำ
"จะมาหาน้องภูบ่อยๆ จริงๆ นะฮะ ฮึก" เด็กน้อยหยุดร้องไห้แล้วแต่ยังมีอาการสะอื้นอยู่
"จริงสิครับ ลุงเคยโกหกน้องภูหรือเปล่า" คำตอบของหลานชายคือการส่ายหน้าเป็นพัลวัน
"รักน้องภูนะครับ" ภูธนาก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อยด้วยความรักสุดหัวใจ
"น้องภูก็รักลุงธนาฮะ" เด็กน้อยยื่นหน้าหอมแก้มคุณลุงฟอดใหญ่ ภูธนาเอ็นดูหลานคนนี้เหลือเกิน
คุณพ่อและคุณลูก พากันเล่นกันอย่างสนุกที่สนามข้างบ้าน ภูธนาจึงมีเวลามาเก็บเสื้อผ้าและของใช้ ชายหนุ่มคิดว่าจะเหลือเสื้อผ้าและของใช้ไว้ที่นี่บ้าง เพราะหากมานอนค้างจะได้ไม่ต้องเตรียมของมาให้ลำบาก ตอนนี้บริพัตรยังไม่กลับมาบ้าน เขาควรจะต้องบอกลาชายหนุ่มหรือไม่ ภูธนาคิดเพียงไม่นานก็ตัดสินใจไม่รอบริพัตรกลับมาบ้าน อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ยังไม่ค่อยเจอกัน เจ้าตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้วนี่ว่าเขาจะอยู่หรือไป
ช่วงเย็นวันนั้น บดินทร์ขับรถมาส่งภูธนาที่ห้องพักพร้อมกับหลานชาย การร่ำลาครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแต่ไม่ได้ยาวนานเหมือนกับครั้งแรกที่ต้องจากกัน แค่เพียงไม่กี่เดือนหลานชายเติบโตอีกขั้นแล้ว เหลือแต่เพียงภูธนาที่พอลับสายตาจากพ่อลูกคู่นั้น เจ้าตัวกลับร้องไห้ออกมาด้วยความคิดถึงหลานเหมือนเดิม
"กลับมาแล้วครับ" บริพัตรทักทายพี่ชายที่นั่งเล่นกับหลานอยู่ที่พื้นหน้าโซฟา
"อ้าว กลับมาแล้วเหรอ กินอะไรมาหรือยัง"
"กินมานิดหน่อยแล้วครับ แล้วนี่พี่อยู่กับน้องภู 2 คนเหรอ ลุงของน้องภูล่ะ" บริพัตรเอ่ยถามคนที่อยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลา
"คุณธนาย้ายกลับไปอยู่บ้านเขาแล้วล่ะ"
"อะไรนะ แล้วพี่ยอมให้เขากลับบ้านไปได้ไง แล้วน้องภูล่ะจะไม่ร้องไห้เหรอ แล้วถ้าน้องภูร้องไห้อีกล่ะ จะทำไง" บริพัตรตกใจเมื่อได้ยินคำตอบพี่ชาย ชายหนุ่มจึงรัวคำถามออกมาเป็นชุด
"เดี๋ยวๆ เจ้าพัต นายเห็นหลานมันร้องไห้หรือยัง น้องภูร้องไห้หรือเปล่าครับ ไหนบอกพ่อซิ"
"ไม่ร้องฮะ ลุงธนาบอกว่าถ้าร้องจะไม่มาหาน้องภู" เด็กน้อยเงยหน้าฉีกยิ้มให้กับพ่อก่อนจะแจกยิ้มเผื่อมาถึงอา
"เห็นมั้ยล่ะ จะตกใจอะไรขนาดนั้น" บดินทร์ถึงกับแปลกใจในพฤติกรรมของชายหนุ่ม แต่บดินทร์กลับรู้สึกดี เพราะมันเหมือนกลิ่นอายตัวตนของบริพัตรเมื่อก่อน
"ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า" บริพัตรแสร้งทำเป็นเดินไปดื่มน้ำที่ครัว
"นี่เจ้าพัต"
"ครับพี่"
"แว่นนายหายไปไหน" บดินทร์รู้สึกว่ามีอะไรแปลกไป กว่าจะคิดออกก็คือแว่นตาหนาๆ อันใหญ่ของน้องชายนี่เอง
"อ้อ มันมองเห็นไม่ค่อยชัด ก็เลยไม่ใส่แล้วล่ะ"
"จะไม่ใส่ได้ยังไง ถ้ามองเห็นไม่ค่อยชัดก็ไปตัดใหม่สิ" บดินทร์แปลกใจความคิดของน้องชายเสียจริง มองไม่ชัดทำไมไม่ไปหาแว่นที่ชัดๆ ใส่กันเล่า มาปล่อยแบบนี้จะมองเห็นได้อย่างไรกัน หรือว่าน้องชายของเขาจะเพี้ยนไปแล้ว
ไม่ นะ .....
"ก็ใส่แล้วมันมองเห็นไม่ค่อยชัดต่างหาก"
คำตอบของน้องชายนั้น
ไม่ นะ .....
"เจ้าพัต ไม่เป็นไรใช่มั้ย" บดินทร์เอื้อมมือไปแตะหน้าผากน้องชาย เผื่อว่าน้องชายจะไข้ขึ้นสูง
"พี่ทำอะไร ผมไม่ได้ป่วยสักหน่อย" บริพัตรปัดมือพี่ชายออกเบาๆ
"หรือนายจะเป็นบ้าเปล่าวะ พัต"
"ไปกันใหญ่แล้วพี่ดิน แล้วผมก็ไม่ได้สายตาสั้นสักหน่อย แล้วแว่นน่ะ มันเริ่มเก่าแล้ว กระจกก็มีรอยขูดขีดเต็มไปหมด ก็เลยมองเห็นไม่ค่อยชัด พอใจหรือยังครับพี่"
"สายตาไม่ได้สั้น แล้วใส่แว่นทำไมวะ อยากเท่เหรอไง"
"คือใส่แว่นหนาเตอะนี่มันทำให้เท่เหรอครับ เพิ่งรู้นะ"
"ชักจะกวนพี่กวนเชื้อนะ เจ้าพัต แล้วใส่ไปทำไมกันวะ ชักเริ่ม งง สรุปคือนายไม่ได้บ้า แต่พี่เองที่บ้าใช่มั้ย"
"พี่เล่นตลกให้ผมขำหรือไง อ่ะ จะบอกให้เอาบุญนะคร้าบ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมใส่แว่นหนาๆ แบบนั้นเพราะไม่อยากให้ใครมาสนใจผมไง "
"ถ้างั้นเรื่องเสื้อผ้า ท่าทางพวกนั้นด้วยหรือเปล่า"
"พี่นี่ฉลาดใช้ได้นะเนี่ย" สายตายียวนของชายหนุ่มมองพี่ชายอย่างขำๆ
"ชักกวนโมโหกูหนักขึ้นละ"
"อ๊ะๆ ต่อหน้าเด็ก พูดไม่เพราะได้ยังไง เดี๋ยวตีเลย" บริพัตรยกมือทำท่าจะตีพี่ชาย แต่ถูกบดินทร์ยกเท้าขึ้นมาขวางทางมือเสียก่อน
"แล้วมีคนมาสนใจไม่ดีตรงไหน พัต"
"ก็ผมไม่ชอบ แล้วก็เพราะเรื่อง มินตราด้วยไง พอเริ่มเก็ทยัง"
"เออๆ ก็พอเข้าใจนายอยู่หรอก แต่ไม่เห็นจะต้องถึงขนาดนี้เลยนี่"
"คือคนมันหล่อ และหล่อมากด้วย อย่าให้ผมพูดเยอะเลยนะ เพราะเรื่องจริงทั้งนั้น"
"น่าถีบจริงๆ ไอ้น้องคนนี้ แล้วนี่จะไปไหน" บดินทร์ร้องทักเมื่อเห็นน้องชายลุกขึ้นยืน
"จะไปอาบน้ำไง เหนียวตัวไปหมด เสร็จแล้วจะมาดูหลานต่อให้"
"พัต" บดินทร์เรียกน้องชายที่กำลังขึ้นบันได ทำให้บริพัตรหยุดเดินแล้วหันมาสบตาพี่ชาย
"ว่าไงครับ"
"พี่รู้สึกเหมือนได้น้องคนเดิมกลับมา ดีใจว่ะ"
"ผมก็กลับมาเป็นบริพัตรคนเดิมอย่างที่พี่เคยรู้จักไง" บริพัตรพูดทิ้งท้ายก่อนที่จะเดินเข้าห้องนอนของตนเองไป
"สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่การแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ ครั้งแรกของประเทศไทย กับการแข่งขันรถทั้งสิ้นทั้งหมด 32 คัน"
เสียงผู้บรรยายประกาศดังไปทั่วสนาม ภูธนาเข้าร่วมการแข่งขันนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ชายหนุ่มไม่อาจจะหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ได้เลย ถึงจะซ้อมมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันรอบแล้ว แต่เมื่อลงสนามจริงก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้ และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่รายชื่อของชายหนุ่มได้ประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ โดยไม่ได้เป็นตัวปลอมในการแข่งของใครอีก
"รถแข่งทั้งหมด 32 คัน เครื่องยนต์เสียงดังกระหึ่มขึ้นมาอยู่หน้าสแตนด์ ตอนนี้เป็นสัญญาณสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วนะครับ สัญญาณของธงเขียวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว"
ภูธนาอยู่ในรถคู่ใจ เวนอม จีที หมายเลข 14 สมาธินั้นเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อภูธนาออกตัวก็ลืมความตื่นเต้นก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว สายตาจับจองอยู่เพียงสนามที่ต้องวิ่งผ่านไปทีละรอบ ๆ
"เอาล่ะครับ เริ่มมีตำแหน่งเปลี่ยนแล้วครับ ตอนนี้หมายเลข 6 ขึ้นมาแทนที่เบอร์ 4 ได้เรียบร้อยแล้ว หมายเลข 6 เป็นนักแข่งสัญญาติญี่ปุ่น คุณยามาดะ ยูโตะ แล้วอย่าลืมจับตามองหมายเลข 14 นะครับ นักแข่งไทยเพียงคนเดียวของเราในวันนี้ คุณภูธนา หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อเขาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้ต้องคุ้นตาแน่นอนครับ อดีตดาราหนุ่มของเราผันตัวมาเป็นนักแข่งรถเต็มตัวแล้วล่ะครับ"
ภูธนาตั้งใจขับขึ้นแซง ไปทีละคันๆ จนมาอยู่ที่อันดับ 2 ปัญหาของชายหนุ่มยังคงเป็นเรื่องของการเข้าโค้งที่มักจะหลุดโค้งอยู่บ่อยทำให้แซงรถคันแรกไม่ได้สักที
"การแข่งขันเข้มข้นมากทีเดียวครับ แล้วเข้าสู่รอบสุดท้ายแล้ว ผู้ชนะในวันนี้ของเราจะเป็นใครระหว่างเบอร์ 14 นักแข่งชาวไทย คุณธนา ที่ยังตาม รถหมายเลข 42 อยู่ นักแข่งชาวอังกฤษ มิสเตอร์จอห์น นะครับ อีกไม่กี่อึดใจเราจะได้รู้กันแล้ว ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร"
"และมาถึงโค้งสุดท้ายแล้วล่ะครับ พ้นโค้งนี้ไปจะเป็นเส้นทางตรงและมุ่งเข้าสู่เส้นชัย หมายเลข 14 ยังตามมาติดๆ ไม่สามารถขึ้นแซงได้ จะเป็นยังไง จะเป็นยังไง ผ่านโค้งสุดท้ายมาแล้วครับ !! เข้าสู่ทางตรงแล้ว รถ 2 คัน ขับเคี่ยวกันอย่างสูสีทีเดียว แล้วรถก็เข้าเส้นชัยไปพร้อมกัน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ใครกันที่เข้าถึงเส้นชัยก่อน เราต้องมาเช็คภาพช้ากันแล้ว"
"แหม่ น่าเสียดายจริงๆ นิดเดียวแท้ๆ และผู้ชนะในวันนี้คือรถหมายเลข 42 ครับ และลำดับต่อไปจะเป็นช่วงเวลามอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศ กับการแข่งขันซุปเปอร์ จีที เรซ"
"แชมป์ หมายเลข 42 ครับ มิสเตอร์ จอห์น
อันดับที่ 2 ครับ หมายเลข 14 คุณธนาครับ รูปหล่อไม่เบาเลยทีเดียว
และอับดับที่ 3 ครับ หมายเลข 6 คุณยามาดะ
ขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับผู้ชนะและผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ครับ" เสียงปรบมือกึกก้องดังทั่วสนาม นักข่าวจากหลายสำนักต่างพากันกรูเข้ามาสัมภาษณ์หลังพิธีมอบรางวัลเสร็จสิ้นลง
"ทำไมคุณธนาถึงผันตัวเองมาเป็นนักแข่งรถคะ" นักข่าวช่องน้อยสี ยืนไมค์มาจ่อหน้าเขาทันทีที่เข้าถึงตัว
"ผมชื่นชอบรถแข่งอยู่ก่อนหน้านี้แล้วครับ ตอนที่เข้าวงการเลยหยุดไป พอได้รับโอกาสจากสังกัดอีกครั้งก็รู้สึกยินดีมากครับที่จะได้กลับมาแข่งรถอีกครั้ง"
"แล้วงานด้านวงการบันเทิงยังรับงานอยู่มั้ยคะ" นักข่าวช่องเคเบิ้ลยื่นไมค์มาถามต่อทันที
"ยังรับอยู่ครับ แต่ทั้งนี้คงต้องปรึกษากับทางสังกัดก่อนว่าจะสะดวกหรือเปล่าครับ"
คำถามอีกมากมายยิงยาวมาที่ภูธนาไม่หยุด หากจอมเดชไม่เข้ามาจัดการ ดึงตัวเขาออกไป เห็นทีชายหนุ่มคงจะต้องถูกสัมภาษณ์อีกนานแน่ๆ
"เป็นไง ธนา " จอมเดชยื่นขวดน้ำให้ชายหนุ่มรับไปเพื่อดื่มแก้กระหาย
"มันเหมือนฝันน่ะครับ พี่จอม ไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาแข่งในชื่อตัวเองแบบนี้ ดีใจมากๆ เลยพี่ แต่น่าเสียดาย อีกนิดเดียวก็จะชนะแล้วแท้ๆ"
"ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า นายเพิ่งมาซ้อมได้ไม่นาน ลงครั้งแรกก็ได้รองชนะเลิศซะแล้ว ตำแหน่งชนะเลิศอยู่ไม่ไกลหรอกน่า"
"ขอบคุณครับ"
"หลังจากนี้ คงมีงานเข้ามาเยอะขึ้น เตรียมตัวไว้เลยนะ ธนา"
"ครับพี่จอม"
"พ่อฮะ ลุงธนา ทีวี ลุงธนา ทีวี" เด็กน้อยส่งเสียงดังร้องเรียกผู้เป็นพ่อที่กำลังเตรียมมื้อเย็นในครัว เดือดร้อนให้บดินทร์รีบวิ่งออกมาด้วยความตกใจ
"อะไรกันครับ คนเก่ง มีอะไรครับ"
"ลุงธนาฮะ ทีวี ทีวี" มืออวบอ้วนชี้ไปที่จอโทรทัศน์ที่มีใบหน้าของภูธนาที่กำลังถูกสัมภาษณ์จากนักข่าว
"โห ลุงธนาจริงๆ ด้วยนะ น้องภู"
"ลุงธนา ออกมาสิ ออกมา"
"ลุงธนาออกมาไม่ได้หรอกครับ คนเก่ง"
"ทำไมล่ะครับ" คำถามของลูกชายทำให้พ่อถึงกับเหงื่อตกที่ต้องหาคำตอบ
"อยู่ในทีวี ออกมาไม่ได้หรอกครับ"
"น้องภูคิดถึงลุงธนา"
"ถ้าคิดถึงเราก็ไปหาลุงธนาเลยดีมั้ย" บดินทร์รีบตามใจลูกชายทันที
"ไปเดี๋ยวนี้เลยฮะ นะฮะ" เด็กชายรบเร้าเกาะแขนผู้เป็นพ่อ
"ตอนนี้ไม่ได้หรอกนะครับ เย็นแล้ว"
"ทำไมล่ะฮะ"
"ลุงธนาก็ต้องทานข้าวแล้วก็นอนหลับเหมือนน้องภูไงครับ เดี๋ยววันหยุดพ่อจะพาไปหาลุงนะครับ"
"ฮะ พาไปจริงๆ นะฮะ น้องภูอยากเอารถแข่งคันใหม่ไปอวดลุงธนา"
"แน่นอนครับ งั้นเรามาทานข้าวกัน"
ภูธนากลับเข้ามาในวงการบันเทิงอีกครั้ง สื่อบันเทิงหลายช่องต่างพากันจับจองตัวภูธนาเพื่อไปออกรายการเกมส์โชว์บ้าง สัมภาษณ์ช่วงเวลาที่หายไปบ้าง หรือแม้กระทั่งโฆษณาก็เริ่มมีเข้ามาแล้ว
'คิดถึงน้องภู'
ช่วงนี้ชายหนุ่มไม่ได้ไปหาหลานชายตัวน้อยเลยเพราะงานที่เริ่มทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ได้คุยกันผ่านโทรศัพท์พอให้บรรเทาความคิดถึงได้
ภูธนายังพักอยู่ที่เดิม ยังไม่ได้ย้ายไปไหน ที่นี่ก็อยู่มาหลายปีแล้ว สะดวกในการเดินทางได้เป็นอย่างดี วันนี้เขาได้หยุดพักเลยรีบทำงานบ้านให้เรียบร้อย จะได้ไปหาหลานชายให้คลายความคิดถึง
ก๊อก ก๊อก
มือเรียวขาวที่กำลังหยิบเสื้อผ้าลงใส่เครื่องซักผ้านั้น ชะงักมือด้วยความแปลกใจ ใครกันที่มาแต่เช้า
"ลุงธนาฮะ ลุงธนา น้องภูมาแล้ว" เสียงโหวกเหวกหน้าห้องทำให้ชายหนุ่มทิ้งทุกอย่างแล้วรีบไปเปิดประตูทันที
"ลุงธนาฮะ น้องภูคิดถึง" เด็กน้อยโผเข้ากอดลุงเมื่อเห็นหน้า ชายหนุ่มอุ้มหลานชายตัวน้อยขึ้นมา
"ลุงก็คิดถึงน้องภูนะครับ นี่ตัวหนักขึ้นนะเรา จะอุ้มไม่ไหวแล้วมั้ง" จมูกโด่งกดทับบนแก้มกลมๆ นั่นฟอดใหญ่ หลานชายก็ไม่ยอมน้อยหน้า กอดหอมลุงผลัดกันไปมา
"อ่ะ แฮ่ม" เสียงกระแอมไอทำให้ทั้งคู่ออกจากภวังค์
"อาพัตเตอร์" ภูธนาหลุดปากเรียกชื่อออกไป ใจเต้นแรงเพราะไม่คิดว่าจะเป็นผู้ชายคนนี้
"ไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยเหรอครับ ลุงธนา"
"เชิญครับ" ภูธนาเปิดประตูให้กว้างขึ้นกว่าเดิมเพื่อให้อีกฝ่ายได้เข้าไป
"ทานอะไรมาหรือยังครับ น้องภูหิวหรือเปล่า"
"ยังเลยครับ น้องภูอยากมาหาคุณลุงไวๆ เพราะคุณลุงสัญญาว่าจะมาหาแต่ไม่เห็นมาเลย" บริพัตรพูดแกมประชด
"โกรธลุงหรือเปล่าครับ" ภูธนาหันไปคุยกับหลานตัวน้อย
"ไม่ฮะ แต่น้องภูคิดถึงลุงธนาม๊าก มาก"
"ลุงขอโทษนะครับ คนเก่ง ช่วงนี้ลุงทำงานเยอะมากเลย"
"น้องภูหิวแล้วฮะ" เพราะเลยเวลาอาหารเช้าของเด็กน้อยมานานแล้ว ภูธนาจึงรีบไปทำมื้อเช้าให้หลานก่อน
"ทานนี่รองท้องก่อนนะ น้องภู ส่วนของคุณ นี่ครับ" มือเรียวยื่นจานให้คนตรงหน้าที่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว
"ขอบคุณฮะ ลุงธนา" 2 เสียงพูดขึ้นพร้อมกัน ทำให้ภูธนาอดที่จะมองค้อนคนตัวโตเสียไม่ได้
"ทานดีๆ อย่าให้หกเลอะเทอะนะ คนเก่ง" ภูธนาบอก พลางทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ หลานเพื่อทานมื้อเช้าเช่นเดียวกัน
"คุณดินไปไหน คุณถึงพาน้องภูมาได้"
"พี่ดินอยู่ที่บ้าน แต่ผมขออาสาพาหลานมาเอง" คำตอบทำให้แปลกใจแต่ภูธนาก็ไม่ได้ถามต่อ
"แล้วแว่นไปไหนล่ะครับ"
"เพิ่งรู้ว่า ใครๆ ก็สนใจแว่นผมนะ"
"ก็แว่นหนาเตอะขนาดนั้น ใครไม่ทักก็คงแปลกแล้วล่ะ" จะมีสักครั้งมั้ยที่จะตอบคำถามให้มันดีๆ โดยไม่กวนอารมณ์แบบนี้
"อ้อ อย่างนั้นเหรอครับ นึกว่าสนใจผมซะอีก"
"ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ"
"หรือลุงธนาไม่สนใจอาพัต"
"เหลวไหล พูดเอง เออเองทั้งนั้น" ภูธนาก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปากไม่หยุด
"แล้วตกลงว่าแว่นไปไหนล่ะครับ"
"ไม่ใส่แล้ว" คงต้องยอมรับว่าชายหนุ่มตัดสินใจถูกแล้วที่เลิกใส่แว่น เพราะมันทำให้คนตรงหน้านี้สะดุดตาขึ้นเป็นกอง ที่ยังขัดตาอยู่คงจะเป็นทรงผม ไปตัดให้มันสั้นลงหน่อยจะดีมั้ยนะ
"แล้วมองเห็นชัดเหรอครับ หรือว่าใส่คอนแทกส์" คนถามยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา
"ไม่ได้ใส่หรอกครับ แล้วก็มองเห็นชัดดีอยู่แล้ว"
"นี่ ถ้าคุณไม่คิดจะตอบดีๆ งั้นผมก็ไม่คุยด้วยแล้วนะครับ" คำตอบของบริพัตร ทำให้คนถามชักไม่สบอารมณ์เข้าแล้ว
"ไม่เอาน่า ขี้งอนเหรอครับ คุณลุง"
"ผมไม่ได้งอนสักหน่อย อย่าเหมาไปเองได้มั้ย แค่รำคาญที่คุณตอบยอกย้อนไปแบบนี้ ถ้าไม่อยากคุยก็น่าจะบอกกันตรงๆ สิครับ" ภูธนาอธิบายยืดยาวเพราะความรู้สึกที่บริพัตรหลบหน้าตนเองยังทำให้ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อย
"ขอโทษนะ" ภูธนาแทบไม่เชื่อหู
"ว่าอะไรนะ"
"ผมบอกว่าขอโทษไง อ่ะตอบดีๆ แล้ว ที่ผมเลิกใส่แว่น ก็เพราะกำลังจีบคนๆ นึงอยู่ กลัวว่าเขาจะไม่ยอมไปไหนมาไหนด้วย ถ้าผมยังทำตัวแย่ๆ" ภูธนารู้สึกหน่วงๆ อยู่ในอก เมื่อรู้ว่าบริพัตรมีคนที่สนใจแล้ว
"ระ เหรอ" กระซิบถามเสียงเบาหวิวออกไป
"ใช่ แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าเขาเป็นใคร"
"ถึงจะบอกออกมา ผมก็คงไม่รู้จักอยู่ดี"
"คนนี้ลุงธนารู้จักเขาแน่นอนครับ" คุณลุงเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
"คนที่ผมกำลังจะจีบ ก็คือคนตรงหน้านี่ไงล่ะครับ" บริพัตรฉีกยิ้มกว้าง ส่วนคนตรงหน้าน่ะเหรอ อึ้งไปแล้วน่ะสิ
'ลุงธนาน่ารักชะมัด'
Talk:.
ท้า ดาาาา และแล้ว อาพัตเตอร์ของเรา ก็เดินเครื่องเดินหน้า เต็มที่ให้สมกับผ่านมา 13 ตอน T-T เริ่มซะทีล่ะนะคะ
ตอนนี้ ดูเหมือนชีวิตของแต่ละคนดี๊ดีนะคะ เขมเองอยากจะกระโดดปลอมตัวเป็นลุงธนาแทนที่เลย
แต่สงสัยจะไม่ได้แฮะ ไหนๆ ก็เครื่องติดแล้ว การรุกเร็วของอาไม่ธรรมดาหรอกค่ะ ใครว่าอาพัตเราจะสงบเสงี่ยมนี่ ไม่มีทาง
แต่
แต่
แต่
ขอแจ้งข่าวร้ายหน่อยค่ะ T_T
คือว่า ตอนนี้มีแต่งล่วงหน้าไว้อีกประมาณ 2-3 ตอนค่ะ แล้วเขมมีธุระเรื่องงานต้องไปใช้ชีวิตเป็นกะเหรี่ยงอยู่ต่างบ้านประมาณ 2 อาทิตย์ หากไม่โดนเลื่อนเพิ่มเวลาออกไปนะคะ อาจจะทำให้มาลงไม่ได้เหมือนเดิม
แต่จะพยายามให้ได้สัปดาห์ละ 1 ตอนค่ะ แต่ถ้าโชคร้ายโดนบลอกเน็ตด้วย กว่าจะได้มาลงให้อ่านต่อคงอีกราวๆ ปลายมีนา ไม่ก็ต้นเดือนเมษาค่ะ
เข้าใจหน่อยน้า ไม่ไปก็ไม่ได้ค่ะ ชะตาชีวิตอาจขาดสะบั้นลง ขอโทษค้าบ
ยินดีต้อนรับคนอ่านที่หลงผิด เอ๊ย แวะเวียนเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันนะคะ ผิดพลาดในภาษาหรืออื่นใด ขออภัยด้วยนะคะ ด้วยรัก
เขมกันต์