เสื้อกาวน์เก่าๆ.......กับเราสองคน
ตอนที่ 142
ของขวัญปีใหม่จากผู้ชายหน้าตาดี ฮาฮาหลังจากได้ตั๋วรถปรับอากาศชั้นหนึ่งเข้ากรุงเทพให้นายม่อนในราคา 571 บาท ( สมัยนั้น )
เจ้าตัวเล็กก็เดินข้ามฟากถนนไปยังตลาดที่ขายของกินและของสดมากมาย
ก่อนที่ผมจะรับบทหนักอีกรอบด้วยการหิ้วของ เดินตามเจ้าตัวต้อยๆ ราวกับคนรับใช้ยังไงยังงั้น
แต่ผู้อ่านจะเชื่อมั้ยครับว่าของที่เจ้าตัวเล็กถือมานี้มาจากการซื้อหานิดหน่อย
ส่วนใหญ่มาจากการเข้าไปไหว้ทักทายแม่ค้าในตลาดแล้วเขาก็มีน้ำใจหยิบยื่นของที่ตัวเองขายให้แบบฟรีๆเสียมากกว่า
เช่น กล้วยปิ้ง ข้าวต้มมัด
ถ้าเป็นสมัยนี้เจ้าตัวเล็กของผมคงประหนึ่งอาหมวยรถเมล์ หรือไม่ก็เจ๊หนูแหม่ม จากตลาดสดสนามเป้าเป็นแน่ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันก็มาจากความเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนไม่หลงตัวจนลืมผู้มีพระคุณ และความเอ็นดูของแม่ค้าในตลาดที่มีให้เจ้าตัวเล็กนั่นเอง
จากนั้นเจ้าตัวเล็กก็เดินมาซื้อของฝากขึ้นชื่อของคนแถวนี้ ส้มปลาโด ไชยบุรี( เป็นชื่อตำบล )
เจ้าตัวเล็กเล่าให้ผมฟังว่าส้มปลาโดของไชยบุรีนี่ ขึ้นชื่อลือชามานานนักแล้ว ใครได้กินก็ติดใจ
ทั้งส้มปลาโดที่อยู่ในห่อใบตองเขียวเหมือนข้าวต้มมัดยังไงยังงั้น นอกนั้นยังมีปลาส้มเป็นตัวๆที่เจ้าตัวเคยทอดให้ผมกินเมื่อคราวก่อนอร่อยนักหนา มาคราวนี้พบอีกอย่างคือส้มไข่ปลา คือลักษณะการทำเหมือนปลาส้มทุกอย่าง แต่จะใช้เฉพาะไข่ปลาเท่านั้นและมีกินในช่วงฤดูนี้เท่านั้น ราคาก็เล่นเอากิโลละหลายร้อยกันเลยทีเดียว
หลังจากได้ของฝากแล้วเจ้าตัวก็เฉลยกับผมว่าจะฝากนายม่อนไปให้พ่อกับแม่ผมที่กรุงเทพด้วย ดูซิ เป็นลูกสะใภ้ที่น่ารักจริงๆ เอิ๊กกส์
จากนั้นเจ้าตัวก็เดินมาซื้อขนมจีนเส้นสดที่กลับบ้านทีไรเป็นต้องมาซื้อไปกินทุกที
และขนมจีนที่นี่ก็จะบีบกันสดๆ มีทั้งน้ำแจ่ว( น้ำยาปลาป่นแบบชาวบ้าน ) น้ำยากะทิ น้ำปลาร้า ตลอดจนน้ำกะปิ ให้ผู้ที่ชื่นชอบได้จัดการตามความชอบแต่ละคน เจ้าตัวเล็กซื้อใส่ถุงกลับไปฝากป้าและนายม่อนที่คงนอนเป็นลิงอยู่ใต้ต้นมะปรางในเวลานี้
แต่เมื่อผมกลับมาถึงบ้านก็พบสิ่งเหนือความคาดหมายครั้งยิ่งใหญ่เมื่อน้องชายคนดี
ตอนนี้กลายร่างเป็นชาวสวนไปช่วยป้าขุดแปลงผักเตรียมดิน เพื่อที่จะปลูกผักสวนครัวรอบใหม่อยู่ในแปลงผักหลังบ้านเป็นที่เรียบร้อย
'' เฮ้ย ม่อนไปทำอะไรกวนป้าเขาหรือเปล่านะ '' ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นน้องชายตัวดีขุดแปลงผักอย่างขยันขันแข็ง
'' กวนบ้าอะไรละ เขาเรียกว่าช่วยป้าต่างหากไม่เคยได้ยินเหรอภาษิตที่ว่า อยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย เป็นวัวเป็นควายช่วยท่านทำนา '' นายม่อนตอบติดตลกก่อนได้รับรางวัลเป็นก้อนดินที่ถูกปาไปจากมือผมเฉียดหน้าหล่อๆของมันไปไม่ไกล
'' พักมากินขนมจีนกับส้มตำกันก่อน ตอนเย็นค่อยลงไปทำมาทำอะไรตอนสายๆแดดร้อนเปรี้ยงแบบนี้ละ '' เจ้าตัวเล็กเอ่ยแกมบังคับ ก่อนที่ป้าจะยิ้มและส่ายหัวทำตามคำสั่งอย่างง่ายดาย
( เห็นมั้ยละขนาดป้าเขายังยอมหลานเลย แล้วทุกวันนี้ผมเป็นใครจะไปกล้าขัดคำสั่งเค้า )
เราสี่คนกำลังเอร็ดอร่อยอยู่กับขนมจีน ส้มตำ และของกินอีกหลายอย่างที่เจ้าตัวเล็กไปซื้อหามาจากในตลาด ก่อนเจ้าตัวเล็กจะยื่นตั๋วรถเที่ยวเย็นนี้ตอนห้าโมงให้นายม่อน แต่ไม่รู้ไปไงมาไง นายม่อนกลับบอกมาคิดตังค์ที่ผมซะงั้น
เฮ้อ ไอ้น้องชายคนนี้มันน่าตื้บให้จมดินซะจริง
หลังจากอาหารเที่ยงสุดแซ่บผ่านพ้นไปนายม่อนก็เข้าไปจัดการเก็บเสื้อผ้ากระเป๋าข้าวของของตัวเองอยู่ในบ้าน
ส่วนผมกับเจ้าตัวเล็กก็นั่งกินกล้วยปิ้งของโปรดของเจ้าตัวเล็กกันต่อ
'' แล้วเราสองคนจะกลับวันไหน '' ป้าเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับนั่งลงในเปลญวนข้างๆแคร่
'' โหย เพิ่งได้พักไม่กี่วันจะไล่กลับซะแล้ว '' เจ้าตัวเล็กตอบทำหน้าบึ้งๆเหมือนจะงอนป้าซะงั้น
'' ไม่ทำการทำงานกันหรอกเหรอ '' ป้าถามต่อ
'' ทำ ติ๊บว่าจะกลับพรุ่งนี้เช้าไปถึงที่มหาวิทยาลัยตอนค่ำๆได้พักหนึ่งคืน ตื่นเช้ามาก็ไปเรียนไปทำงานกันเลย '' เจ้าตัวเล็กให้คำตอบ
'' ตอนแรกก็กะว่ากลับวันนี้ จะได้พักซักวันหลังจากขับรถไกลๆ แต่เห็นคนขับรถยังเมาค้างอยู่เลยยังไม่กลับดีกว่าให้มั่นใจก่อนค่อยกลับ '' เจ้าตัวเล็กตอบป้าไปแต่ไม่วายหันมาแว้งกัดผมซะอย่างงั้น
'' จะเอากลับไปกินอีกซักไหมั้ยละ เดี๋ยวป้าไปขอเขาให้คงยังพอมีหลงเหลือบ้าง ''
ผมรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน และไม่คิดจะเอากลับไปด้วยอย่างเด็ดขาดเท่านี้ก็พอละคับ
ผมคิดในใจก่อนจะเดินเข้าบ้านไปดูน้องชายเก็บกระเป๋า
ตกบ่ายแก่ๆใกล้เวลารถออกจากตลาดผมขับรถออกมาส่งนายม่อนขึ้นรถ
'' อ้าว พี่ไม้ ติ๊บ ม่อน มาส่งใครกลับเหรอค่ะ ''
เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของที่พักผู้โดยสาร ที่เป็นม้านั่งเล็กๆหน้าร้านขายของชำที่เป็นที่ขายตั๋ว หมอปุ๋มนั่นเอง
'' มาส่งม่อนกลับ นี่แกกลับเที่ยวไหน ''
'' ก็เที่ยวห้าโมงนี่แหละ ดีนะที่พ่อกับแม่จองตั๋วล่วงหน้าให้ชั้นเรียบร้อยไม่งั้นคงหาตั๋วยากน่าดู ''
'' ไม่ยากนะเมื่อเช้าชั้นออกมาซื้อให้ม่อนยังได้เลย '' เจ้าตัวเล็กค้านเพื่อนสนิท
'' แล้วทำไมไม่กลับด้วยกันละ '' ปุ๋มหันมามองม่อนและพวกผมด้วยความสงสัย
'' กลับด้วยกันได้ไงละแก คนละทางกันชั้นจะไปพิษณุโลกม่อนจะเข้ากรุงเทพ ไกลสุดที่ไปส่งได้คือสกลนครแค่นั้นนอกนั้นก็ใช้เส้นทางคนละเส้นแล้ว '' เจ้าตัวเล็กตอบแบบติดตลก
'' แล้วพี่ปุ๋มได้ที่นั่งตรงไหนอะคับ '' นายม่อนถามพร้อมหยิบตั๋วโดยสารของตัวเองขึ้นมาดู
ก่อนได้รับคำตอบว่าไม่ได้ใกล้เคียงกับว่าที่คุณหมอคนสวยเลย เพราะน้องเขาจองตั๋วล่วงหน้าจึงได้นั่งด้านหน้าๆของรถ ในขณะที่เจ้าม่อนที่มาจองตั๋วเอาแบบปุบปับเมื่อเช้าได้ที่นั่งเกือบหลังสุดเลยทีเดียว
'' ม่อนหิวอะไรมั้ยเอาขนม หรือเอาไรหรือเปล่า เดี๋ยวพี่ข้ามถนนไปซื้อในตลาดให้ ''
'' ไม่เอาอะคับขึ้นรถผมก็หลับเป็นตายแล้ว '' นายม่อนตอบยิ้มๆก่อนขอบคุณเจ้าตัวเล็ก
'' แกล่ะเอาไรหรือเปล่า '' เจ้าตัวเล็กหันมาถามเพื่อนสาวคนสวย
'' ไม่เอาของฟงของฝากก็ไม่ต้องเพราะมาคราวนี้พี่ชาย พี่สาวชั้นกลับมาพร้อมกันหมด
แต่พวกเขายังไม่กลับกันชั้นเลยต้องนั่งรถทัวร์กลับ ส่วนของฝากก็ไม่เอาไปฝากใครเพราะพี่น้องก็กลับมาเหมือนกันอยากกินอะไรก็ซื้อกลับไปกินเอง ''
'' ไม่หิวระหว่างทางแน่นะแก '' ติ๊บถามเพื่อนต่อ
'' นี่ติ๊บแกจะไฮโซไปหน่อยมั้ย ทำยังกะไม่เคยนั่งรถทัวร์เข้ากรุงเทพ พอขึ้นรถเดี๋ยวเขาก็มีน้ำ
มีขนมให้กล่องใหญ่ ไปถึงอุดรก็แวะพักกินข้าวย่ะ ไม่ต้องห่อข้าวพกเนื้อทอดไปกินบนรถทัวร์หรอกยะ ''
เป็นไงละครับ คำตอบของว่าที่สัตวแพทย์คนสวย เจ็บแสบมิใช่น้อย
ไม่นานนักรถก็เข้ามาจอดเทียบและเชคสัมภาระของผู้โดยสารก่อนที่ผมจะส่งเจ้าน้องชายตัวดีและว่าที่สัตวแพทย์คนสวยขึ้นรถออกไปเมื่อถึงเวลาเดินทางและผมสังเกตว่าผู้โดยสารเต็มทุกที่นั่งตั้งแต่ต้นทางกันเลยทีเดียว เดินทางปลอดภัยแล้วกันนะไอ้น้องชายตัวดีของพี่
หลังจากที่ส่งเจ้าน้องชายตัวดีและว่าที่คุณหมอเดินทางกลับแล้ว
เราสองคนก็ขับรถกลับเข้าบ้านในช่วงเย็นของวัน และพบว่าป้าเตรียมกับข้าวมื้อเย็นไว้รอเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันนี้ป้าเตรียมของโปรดของเจ้าตัวเล็กไว้หลายอย่างเลย และแน่นอนมันเป็นของโปรดของผมไปด้วย เพราะมันอร่อยทุกอย่างจริงๆ
ต้มส้มปลาช่อน ใส่ยอดมะขามอ่อนและไข่มดแดง กินกับน้ำจิ้มแจ่วรสเด็ดของปลาข้าวเหนียวร้อนๆ ซดน้ำต้มร้อนๆอร่อยอย่าบอกใครเชียว ครบรสชาติทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด แถมน้ำแกงร้อนๆให้ซดลื่นคอดีนักเชียว
ส้มไข่ปลาทอด อาหารท้องถิ่นของที่นี่ที่ผมกับเจ้าตัวเล็กซื้อมาคราวก่อนป้าบอกว่ามันยังไม่ค่อยเปรี้ยวดีให้ทิ้งไว้อีกซักคืนสองคืน จะออกรสเปรี้ยวๆเค็มๆ กำลังดี และตอนนี้มันถูกทอดพร้อมกับกระเทียมเจียว หอมเจียว พริกแห้ง อร่อยได้ใจคนต่างถิ่นอย่างผมไปเต็มๆ
และเมนูสุดท้ายที่ป้าเตรียมไว้ให้เจ้าตัวเล็กวันนี้เป็น
แกงไก่บ้านใส่ฟักทอง ที่เจ้าตัวเล็กชื่นชอบเหลือเกินไม่ว่าจะกลับมาบ้านหรือเดินที่ตลาดในมหาลัยถ้ามีเมนูฟักทอง เจ้าตัวเล็กจะต้องซื้อกลับมาด้วยเสมอๆ
ส่วนเมนูของหวานวันนี้ไม่มีอะไรมากยังคงเป็นข้าวหลามที่เราทำเมื่อคืนก่อน
ยังเหลืออยู่อีกหลายกระบอกทีเดียว เล่นเอาผมอิ่มแปร้ไปกับเมนูบ้านทุ่งที่ตอนนี้มัดใจผมไปเต็มๆจากที่ไม่ค่อยนิยมข้าวเหนียว นอกจากนานๆจะกินกับหมูปิ้งทีนึง
แต่ตอนนี้ผมสามารถกินข้าวเหนียวกับเมนูอาหารทุกอย่างได้อย่างไม่มีปัญหา
เหตุผลต้นตอก็มาจากความรัก
ถ้าเรารักใครซักคนก็ต้องการการยอมรับจากเขา และแน่นอนเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่คนที่เรารักเป็นด้วย จริงมั้ยคับ
พรุ่งนี้เรามีแพลนกันว่าจะกลับตอนสายๆหน่อยอาจจะถึงมหาวิทยาลัยค่ำหน่อย
แต่ผมก็ต้องทำความเร็วในการขับรถมากมายเหมือนกัน
เพราะพรุ่งนี้เช้าป้าบอกว่าอยากพาผมและเจ้าตัวเล็กไปสูตรรดน้ำ
( พิธีกรรมและความเชื่อของคนในท้องถิ่น คงเหมือนๆกับการสะเดาะเคราะห์และต่อชะตา ประมาณนี้ )
วันนี้คงต้องพักผ่อนกันแต่หัววัน เก็บแรงเอาไว้ในวันพรุ่งนี้ที่คงต้องใช้พลังงานอีกเยอะเลยเรา
ในขณะที่ป้าตระเตรียมพวกของกินของฝากให้เจ้าตัวเล็กกลับไปกินที่มหาวิทยาลัย
ส่วนเจ้าตัวเล็กเองก็เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น
ผมซึ่งอิ่มจากอาหารเย็นแสนอร่อยเอามากๆ ก็ขอตัวอาบน้ำเข้านอนเก็บแรงไว้ในวันรุ่งขึ้น
เช้าตรู่เราออกไปวัดทำบุญตักบาตร
ก่อนทำพิธีสูตรรดน้ำที่เป็นความเชื่อของป้าและติ๊บเองเพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลให้ตัวเองในช่วงปีใหม่
ใช้เวลาในการนั่งพนมมือและให้พระท่านทำพิธีร่วมชั่วโมง
เราสองคนก็ได้เวลาเดินทางกลับโดยใช้เส้นทางเดิมที่เราเดินทางมาแต่คราวนี้เราตัดสินใจจะไม่แวะเที่ยวที่ไหนแล้วเพราะต้องทำเวลาหน่อยจะได้กลับไปพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้ทั้งผมและเจ้าตัวเล็กเองก็ต้องเริ่มใช้ชิวิตปกติกันแล้ว
เราเดินทางกลับมาถึงห้องในตอนพลบค่ำพอดีก่อนจะขนข้าวของลงมาจากรถอาบน้ำอาบท่าให้หายจากความเหนื่อยล้า ก่อนจะตกลงกันว่าเราคงไม่ทานมื้อเย็นกันแล้วเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางกันทั้งคู่
พิษณุโลกหลังปีใหม่อากาศยังคงเย็นสบายในตอนค่ำคืน
ร่างบอบบางของเจ้าตัวเล็กตอนนี้อยู่ในอ้อมกอดผมบนเตียงนอนเรียบร้อยแล้ว
ผมโอบกอดเจ้าตัวเล็กจากทางด้านหลัง
ส่งผ่านความรักความอบอุ่นที่มีท่วมท้นหัวใจไปให้อีกฝ่ายรับรู้และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกทุกอย่างที่ผมมี
'' ปีใหม่ปีนี้ ติ๊บอยากได้อะไรเป็นของขวัญปีใหม่มั้ย '' ผมกระซิบข้างหูเบาๆ
'' ก็เหมือนเดิมที่บอกพี่ไม้ทุกปีนั่นแหละคับ ขอให้พี่ไม้เป็นพี่ไม้คนเดิมแบบนี้ตลอดไปก็พอ ''
'' ขอบคุณนะติ๊บ ที่เป็นของขวัญปีใหม่ที่พิเศษที่สุดของพี่มาตลอดสามปีนี้ '' ผมหยอดคำหวานไปข้างหูเจ้าตัวเล็กอีกหนึ่งที
'' ปีที่ผ่านมาถ้าติ๊บทำอะไรให้พี่ไม้เคือง หรือขุ่นข้องใจอะไร ติ๊บขอโทษนะครับและติ๊บสัญญาปีนี้จะทำหน้าที่คนรักของตัวเองให้ดีที่สุด ดีกว่าปีที่ผ่านมา ติ๊บสัญญาคับ ''
'' พี่ไม่ได้หวังจะให้ติ๊บเป็นคนรักที่ดีที่สุดนะ แต่พี่ขอแค่ให้ติ๊บเป็นคนที่ใช่ที่สุดสำหรับพี่แบบนี้ไปตลอดก็พอ ''
'' ทำไมเหรอคับ ทำไมไม่อยากได้แฟนที่ดีที่สุดเหรอ '' เจ้าตัวเล็กหันแก้มมาหาผมเล็กน้อยเพื่อรอฟังคำตอบ
'' ติ๊บเคยได้ยินคำกล่าวนี้มั้ยที่เขาบอกว่า บางครั้งอะไรที่ดีที่สุดอาจไม่ได้เหมาะสมกับเราที่สุดเสมอไป ''
'' อืมม อาจจะจริงเนาะเหมือนเพลง ความรักกับรองเท้าที่เพียวเคยร้องให้ติ๊บฟังไง '' เจ้าตัวเล็กตอบพลางหลับตาพริ้ม ยิ้มน้อยๆอย่างคนมีความสุข
'' ไม่เอาวันนี้มีแต่เราสองคนไม่พูดถึงคนอื่น คิดถึงคนอื่นก็ไม่ได้ ติ๊บต้องมีพี่และเป็นของพี่คนเดียว '' อารมณ์ขุ่นเคืองและหึงหวงเข้ามาครอบงำผมเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมขาดสติได้
ผมพลิกตัวขึ้นทับร่างบางของเจ้าตัวเล็กที่จ้องผมเขม็งด้วยความกลัว
คงกลัวว่าผมจะหึงหวงรุนแรง
ผมแกล้งยิ้มให้เจ้าตัวเล็กเบาๆ ก่อนก้มลงไปจูบดูดดื่มอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และทะนุถนอมเพื่อเป็นการบอกว่าผมไม่ได้โกรธหรือหึงหวงเจ้าตัวเล็กขนาดนั้น
'' สัญญานะติ๊บจะเป็นของพี่คนเดียว '' ผมละปากออกจากปากบางนั้นก่อนสบตาเจ้าตัวเล็กเพื่อรอคำตอบ
'' สัญญาคับติ๊บจะเป็นของพี่ไม้คนเดียวตลอดไป ติ๊บสัญญา '' แทนคำขอบคุณมากมายผมเลยแสดงความเป็นเจ้าของเจ้าตัวเล็ก และมอบของขวัญปีใหม่ไปในตัวซะเลย ฮ่าฮ่าฮ่า…………