ไม่นานคีรีก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นเท่าเข่าของเจ้าของห้อง พอตากผ้าเช็ดตัวเสร็จก็รีบก้าวขึ้นเตียง เขานอนหันหน้าไปทางคนที่นอนอยู่ก่อน
“รอนานมั้ยครับ”
“ไม่ได้รอ”
“โธ่ จะพูดความจริงให้ชื่นใจหน่อยก็ไม่ได้”
ทันตแพทย์หนุ่มไม่ตอบ แต่ขยับเข้าไปประชิดตัวคนอ่อนวัยกว่า เขาจับแขนอีกฝ่ายวางบนหมอนแล้วใช้หนุนนอน
เด็กหนุ่มรีบตวัดแขนโอบคนข้างกันไว้หลวมๆ แววตาของเขาสั่นไหว หัวใจพองฟู ในอกตื้นตันไปหมด “วันนี้คุณเตชิตใจดีจัง”
“เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าคุณไม่ได้คิดแบบนี้แน่”
“แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากเลยนะครับ” คีรีจูบลงไปตรงปลายจมูกของทันตแพทย์หนุ่มเบาๆ “ขอบคุณ แล้วก็กู๊ดไนต์ครับ”
“อืม”
คีรีหลับตาลง ริมฝีปากยังคงรอยยิ้มค้างไว้เช่นนั้น ถึงจะไม่ได้ยินคำบอกรัก แต่การกระทำที่อ่อนโยนจากเตชิตซึ่งเขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนก็ทำให้สุขล้นในหัวใจ
ความสุข จากการที่ได้รักและจากการที่ได้รับความรักตอบกลับมา มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
ในตอนเช้าของวันใหม่ เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาแล้วอมยิ้ม ดวงตาจับจ้องใบหน้าของคนที่นอนหนุนแขนเขาแทนหมอนมาตลอดคืน เขาค่อยๆ ยกศีรษะขึ้น โน้มใบหน้าเข้าไปหา พร้อมกับใช้มืออีกข้างไล้ไปตามกรอบหน้า จากนั้นก็หอมแก้มอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาที่สุด
“หาเรื่องแต๊ะอั๋งผมแต่เช้าเลยนะ แล้วจะเบียดผมจนตกเตียงเลยมั้ย”
“โห คุณเตชิตอ่า ไม่โรแมนติกเลย” คีรีพึมพำ แต่ก็รวบตัวทันตแพทย์หนุ่มเข้ามาสวมกอด “อยากนอนแบบนี้ไปอีกสักเดือน”
“นานขนาดนั้นก็พิการแล้วคุณ”
คนอ่อนวัยกว่าคิ้วกระตุก “คุณเตชิตนี่ไม่โรแมนติกจริงๆ ด้วย”
เจ้าของชื่อผลักเด็กหนุ่มออก ก่อนจะลุกขึ้นนั่งเกาศีรษะ “ผมต้องอาบน้ำแต่งตัวแล้ว”
“เช้านี้กินอะไรดีครับ ผมไปซื้อโจ๊กให้เอามั้ย”
“อือ ก็ดีนะ” เตชิตพยักหน้าหงึกๆ
“งั้นผมไปล้างหน้าแปรงฟันแป๊บ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นแล้วรีบรุดเดินไปล้างหน้าล้างตา เมื่อก้าวออกมาเจ้าของห้องก็ลุกขึ้นจากเตียงเดินมาที่ห้องน้ำพอดี เขารีบก้าวเข้าไปสวมกอด
เตชิตเคาะศีรษะคนอ่อนวัยกว่าเบาๆ “ไม่ต้องมาอ้อนแล้ว ผมจะรีบอาบน้ำ”
“เดี๋ยวเจอกันนะครับ”
“อือ”
คีรีมองตามคนที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ จัดการเปลี่ยนใส่ชุดนักศึกษาชุดเดิมของเมื่อวาน จากนั้นก็เดินฉับๆ ไปเปิดประตูห้องออก จังหวะเดียวกันกับคนที่เพิ่งเปิดประตูออกมาจากห้องตรงข้ามกันพอดี
“พี่พิงค์”
“คีรี”
เด็กหนุ่มร่วมสถาบันทั้งสองชะงัก สายตาแสกนเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่หลุดลุ่ยพอๆ กัน มองหน้ากันอยู่อีกสักพัก แล้วส่งยิ้มแห้งๆ ให้กัน
“เอ้อ... กำลังจะกลับแล้วเหรอ”
“เปล่าครับพี่ ผมจะไปซื้อโจ๊กให้คุณเตชิตน่ะครับ”
“อ้อ ผมก็กำลังจะไปซื้อโจ๊กให้พี่วิน” เด็กหนุ่มรุ่นพี่หันขวับไปทางด้านหลัง รีบก้าวออกจากห้องมาแล้วปิดประตู “วันนี้พี่วินทำคลินิกสายหน่อย เลยยังไม่ตื่นน่ะ”
ทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่อีกชั่วครู่ ก่อนภูพิงค์จะเดินนำไปก่อน “งั้นก็ไปพร้อมกันเลยละกัน”
“ขอบคุณครับพี่”
“จะขอบคุณทำไมวะ ให้เดินไปด้วยกัน ไม่ได้ให้ขี่คอไป”
ช่วงแรกที่เดินไปด้วยกันก็รู้สึกเก้ๆ กังๆ นิดหน่อย พวกเขาเว้นที่ว่างระหว่างกันพอสมควร คอยชำเลืองมองกันเป็นระยะๆ เหมือนกำลังลองเชิงกันอยู่
“เอ่อ พี่พิงค์ครับ เมื่อคืน ผมขอบคุณมาก”
“เฮ้ย ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอก ไม่มีไอ้พี่เต้เป็นก้าง ผมก็ได้อยู่กับพี่วินตามลำพังเหมือนกัน”
คีรีหัวเราะ “ดูเผินๆ พี่พิงค์เหมือนเป็นคนดุๆ นะครับ แต่ความจริงโคตรน่ารัก มิน่า หมอวินรักพี่มากๆ”
ภูพิงค์หันขวับ ใบหน้าซับสีเลือดเล็กน้อย เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยอย่างเขินๆ “คิดอย่างงั้นเหรอ”
“ผมไปหาคุณเตชิตที่ลำพูนหลายครั้ง ไม่เคยเห็นหมอวินสนใจใครเลย วันๆ ก็อยู่แต่กับคุณเตชิต พยาบาลกับเจ้าหน้าที่ที่โรงบาลก็บอกว่าไม่เคยเห็นหมอวินสนใจใครเลย ตอนแรกทำเอาผมเข้าใจผิด คิดว่าหมอวินกับคุณเตชิตน่าจะมีอะไรกัน แต่พอได้เจอหมอวินกับพี่พิงค์ต่อหน้า ผมก็เข้าใจ ในสายตาหมอวินมีแต่พี่เท่านั้น”
เด็กหนุ่มรุ่นพี่ยิ้มหน้าบาน ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจ แต่พอได้ยินคนอื่นพูดแล้วมันโคตรปลื้มใจ
“ผมอิจฉาพี่กับหมอวินชะมัด”
ภูพิงค์ตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “แต่พี่เต้ก็เปิดทางให้คุณมากขนาดนี้แล้วนะ ผมไม่เคยเห็นพี่เต้พาใครมาค้างที่คลินิกด้วยเลยสักครั้ง แม้กระทั่งพวกผม จะมีก็แต่ไปค้างที่บ้านเช่าด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ๆ”
คีรียิ้มกว้าง “ผมเป็นคนแรกเลยเหรอครับ”
“อือ”
“ปลื้มว่ะ ให้ผมเลี้ยงโจ๊กนะพี่”
“ไม่ต้องเว้ย ผมก็มีเงินมะ”
“ให้ผมเลี้ยงเถอะ ผมรวย ถ้าเงินเหลือกลับบ้านเยอะ เดี๋ยวคุณตาว่าเอา” เด็กหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ
ภูพิงค์หัวเราะตามไปด้วย “นี่คุณจะซื้อโจ๊กหรือซื้อร้านโจ๊กวะ”
“ที่จริงอยากเลี้ยงขอบคุณพี่พิงค์กับหมอวินมานานแล้วครับ”
“แล้วเลี้ยงแค่โจ๊กเนี่ยนะ”
“ผมมีปัญญาแค่นี้แหละ”
“ไหนว่าเงินเหลือคุณตาจะว่าเอาไงวะ!” เด็กหนุ่มรุ่นพี่ส่ายหน้าไปมา พวกเขาเดินคุยกันไปเรื่อยๆ เมื่อข้ามถนนแล้วก็สลับฝั่งยืนกัน พอหันไปทางคนอ่อนวัยกว่า เขาก็สังเกตเห็นรอยช้ำที่ตรงซอกคอเข้า นัยน์ตาสีเข้มเบิกโพลง “โอ๊ะ!” โอ้โห! ไอ้พี่เต้ก็ร้ายแฮะ!
“หือ มีอะไรเหรอพี่”
“อะแฮ่ม...” ภูพิงค์ยกมือขึ้นลูบลำคอ ลูบแล้วลูบอีก เป็นเชิงบอกให้รุ่นน้องรู้ตัว
“คันเหรอพี่”
“ไม่ใช่เว้ย” ภูพิงค์ขยับเข้าไปกระซิบ “รอยที่คอ ชัดมาก เมื่อเช้าออกมาไม่ได้ส่องกระจกรึไง”
“หือ ไม่ได้ส่องเลยครับ” คีรีพยายามก้มมอง เขามองไม่เห็นรอยที่คอ แต่เห็นไอ้ที่อยู่บนแผ่นอกประปราย เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง รีบจับคอเสื้อกระพืออวดรุ่นพี่ทันที “โอ้โห รอยเพียบเลย”
“หน้าตาฟินฉิบหาย”
“ก็ฟินจริงๆ แหละครับ” เด็กหนุ่มรุ่นน้องชำเลืองมองคนที่ยืนอยู่ข้างกันพลางยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้ “มีของดีก็ต้องอยากอวดอะครับ พี่พิงค์คงไม่เข้าใจ”
ภูพิงค์ยิ้มกริ่ม “แหม แค่นี้ทำเป็นขิงว่ะ ไอ้ที่ผมมีก็อยากจะอวดอะนะ แต่มันอยู่ตรงที่โชว์ไม่ได้อะดิ ยังไม่อยากทำอนาจารข้างถนนว่ะ” ได้ทีก็เกทับคนอ่อนวัยกว่าไปอีก
คีรีคิ้วกระตุก “ไว้คราวหน้าผมจะหาโอกาสใหม่”
เด็กหนุ่มรุ่นพี่หัวเราะ “เออ สู้หน่อยละกัน” ไอ้เด็กนี่มันน่าเอ็นดูปนกวนประสาทดีนะ เหมาะสมกับไอ้พี่เต้ฉิบหาย “รีบเดินเหอะ เดี๋ยวกลับไปช้า พี่เต้ไม่ทันได้กินก่อนทำงานพอดี”
*TBC*แหม ง้อกันดุจังเรยนะคระคู่นี้ แบบนี้ให้งอนกันบ่อยๆ ได้เนาะ
(ว่าแต่สองหนุ่มนี้จะชดใช้กรรมกันหมดแล้วหรือยังน้า~ 555555)
ที่แน่ๆ อยากบอกเด็กดอยเหลือเกินว่าอย่าเพิ่งไปขิงใส่พี่พิงค์เขา เราน่ะ แฟนยังไม่ได้เป็นเล้ยยย 5555555
ตอนนี้คงทำให้หลายๆ คนฟินได้บ้างนิดหน่อยนะคะ สองหนุ่มน่ารักใช่มั้ยล่า
ขอบคุณคนอ่านทุกคนมากค่า คืนนี้นอนหลับฝันดี จุ๊ฟฟฟฟ