13th Day : White Rose “…ช่อดอกไม้ครับ”
“ค่ะ เอาดอกอะไรดีคะ?”
...นั่นสิ...เอาอะไรดีล่ะ...
“….กุหลาบ…” ผมปรือตา เลือกดอกไม้ที่คลาสสิคที่สุดออกไป
“...สี….ขาว…ครับ” อีกฝ่ายยิ้มรับคำนั้น ไม่ได้แซวอะไร
ความจริงที่ว่าผมไม่เคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้มาก่อนกำลังทำร้ายตัวผมเอง
...เป็นที่แน่นอนครับว่าผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ และนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเดินเข้าร้านดอกไม้ด้วยซ้ำ ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่ผมจะรู้สึกประหม่า บางครั้งก็รู้สึกไปเองว่าใครต่อใครกำลังจับผิด ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย..หลายคนก็คงแค่มองไปอย่างนั้นแหละ
ผมจะทำอย่างที่ต้องการ ไม่จำเป็นต้องแคร์สายตาคนรอบข้างก็ได้
นาฬิกาบอกเวลาแปดโมงกับอีกยี่สิบนาที ถ้าเป็นวันปกติก็คงจะเริ่มเรียนแล้ว…เพียงแต่นี่คือช่วงหยุดยาวสิ้นปี เปิดมาก็จะโดนกีฬาสี ต่อด้วยวันOpen House และวัน...ห่าเหวอะไรอีกเป็นสิบเป็นล้าน…ซึ่งเด็กกิจกรรมก็คงจะยุ่งตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตกันช่วงสิ้นปี-ต้นปีเนี่ยแหละ ส่วนผมน่ะยุ่งเฉพาะวันจริงเท่านั้นครับ วันหยุดอย่างนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปร่วมกิจกรรม…ถ้าเป็นเลขานุการคนเก่งอย่างอักษรก็ว่าไปอย่าง
...เพียงแค่ปีนี้...อีกฝ่ายไม่ได้เข้าร่วมก็เท่านั้น... ผ่านสวนเดิมๆที่เคยมานั่งรอก้านธูปเล่น ผ่านตึกอาคารเดิมๆที่คุ้นตา หลายครั้งที่ผ่านมาผมเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงทางผ่าน...จึงไม่เคยได้สูดลมหายใจให้เต็มปอด...อากาศใต้ร่มไม้ในยามเช้าบริสุทธิ์นัก และต่อจากนี้ผมคงจะได้มาที่นี่บ่อยขึ้น
คงไม่มีใครชอบมาโรงพยาบาล…ผมเองก็เช่นกัน
…แต่บางครั้งเราก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนรู้ดี ผมเดินเข้าไปในลิฟท์ตามคิวของผู้ใช้บริการ หลายคนเหลือบมองผม..ไม่แปลกเท่าไหร่ วันนี้มีอีกเหตุผลหนึ่งนอกจากที่ผมหัวทองตาน้ำข้าวแล้ว คือช่อดอกไม้ขนาดกำลังดีที่อยู่ในมือเนี่ยแหละ กุหลาบสีขาวดอกเท่ากำปั้นถูกจัดเป็นช่อสวยด้วยกระดาษและริบบิ้นสีขาวล้วน ตอนที่สั่งน่ะนึกถึงแต่ ‘อิมเมจ’ คนรับล้วนๆ แต่สีขาวมันก็ดูไม่ค่อยเป็นมงคลเท่าไหร่..เลยแนบการ์ดสีส้มอ่อนที่เขียนง่ายๆว่า ‘Get well soon’ ไปด้วย
เมื่ออยู่กับเสื้อเชิ้ตสีครีมอ่อนที่ผมใส่อยู่แล้วมันก็ดูไม่เลวร้ายนัก ไม่เสียแรงที่พยายามแต่งตัวให้ดูเรียบร้อยขึ้นมาหน่อยเผื่อว่าจะได้เจอคุณพ่อคุณแม่ของอักษร ต่างกับเสื้อยืดย้วยๆคลุมทับด้วยเสื้อยีนส์แบบที่ผมชอบใส่ แต่จะดูดีรึเปล่าช่างหัวมันประไร ผมมาเยี่ยมไข้…มาหาคนที่รักผมที่สุดไม่ว่าผมจะแต่งตัวยังไง…นั่นแหละสำคัญกว่า
ในที่สุดผมก็มาหยุดยืนหน้าห้องพักVIPห้องเดิม ประตูเดิม ที่เดิมกับเมื่อคืน
มันเป็นความกล้าหาญมากตอนที่ผมจะตัดสินใจเคาะประตู…
ก๊อกๆๆ …
…..ไม่มีเสียงตอบ หลังจากทิ้งระยะไว้สักพักผมก็ทึกทักไปเองว่าอีกฝ่ายอนุญาต
ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ในห้องรับรองตอนที่ผมเปิดประตูเข้าไป มีซากผ้าห่มผืนหนึ่งอยู่บนเตียงคนเฝ้าไข้ อีกผืนหนึ่งอยู่บนโซฟา โทรทัศน์ยังเปิดอยู่…นั่นหมายถึงใครสักคนเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานนัก
ผมปิดประตูลง ทำให้มันเงียบเชียบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังคาด…เจ้าของร่างผอมบางกำลังอยู่ในห้วงนิทรา
ภายในห้องนั้นมืดจนเกือบสนิท ยิ่งผ้าม่านถูกปิดไว้จนมิดกับผนังบุนวมสีน้ำตาลเข้มนั่นยิ่งทำให้ดูมืดเข้าไปอีก แสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาทางรอยแยกของผ้าม่านสาดเป็นเส้นเล็กเข้ามาได้ไกลสุดเพียงขอบเตียงคนไข้ เครื่องปรับอากาศตั้งไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เย็นเกินไป มันคงยังเช้าอยู่ ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่อีกฝ่ายจะหลับ
…เมื่อคืน…เขาคงเหนื่อยมาก…
..ร้องไห้..จนเหนื่อย… การนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ใจผมสั่นไหวแปลกๆ และไม่คิดว่ามันดีนัก..เลยโคลงศีรษะไล่มันออกไปทั้งๆที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าการกระทำทางกายภาพนั้นมีผลน้อยเหลือเกิน
ภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเขายังคงอยู่...หยาดน้ำใสที่ค่อยๆไหลรินลงมาช้าๆส่องประกายราวไข่มุกงาม...น้ำเสียงที่พรั่งพรูความรู้สึกหลากหลายของตัวเองอย่างสั่นสะท้าน...ความทรมานแทรกซึมอยู่ทุกอณูสัมผัส.......
'...ผมไม่อยาก...เสียดายเวลาที่เหลืออยู่...' ..เจ็บ..ที่กลางอก..ชะมัด.. ผมวางช่อดอกไม้ไว้บนโต๊ะข้างเตียงผู้ป่วย เดินกลับมานั่งที่เก้าอี้นวม ถือวิสาสะหยิบหนังสือพิมพ์ที่ใครสักคนลืมไว้ขึ้นมาอ่าน…มันเป็นข่าวเศรษฐกิจตั้งแต่เมื่อวาน…บอกตามตรงว่าผมไม่เข้าใจแต่ก็แสร้งถือมันไว้ไปอย่างนั้นเอง
เงียบจนได้ยินเสียงเข็มนาฬิกา
น่าแปลก…ผมชอบความเงียบนั้น…
อักษรยังคงนอนหลับตาพริ้ม…ดวงหน้าขาวดูจะมีสีเลือดมากกว่าเมื่อวาน กลีบปากสีโอรสเผยอขึ้นดูราวกับอมยิ้มอยู่เล็กน้อย มันทำให้ผมยิ้มตามไปด้วย…จังหวะหายใจของเขาแรงและหนักหน่วง ผมเดาไปเองว่าตอนนี้เขาคงมีปัญหาเรื่องการหายใจ..นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมต้องระวังและจดจำไว้ให้ดี
เสี้ยวหน้าที่ดูมีความสุขดีของเขาทำให้ขอบตาผมร้อนนิดหน่อย แต่ไม่นานมันก็หายไป…ด้วยคำพูดที่ดังก้องอยู่ในสมองซ้ำไปซ้ำมาว่าตอนนี้ยังไม่อันตราย…ยังไม่มีอะไรต้องกังวล
…ให้ตายเถอะ… …ผมไม่ปฏิเสธว่าผม ‘เสียใจ’ ผมปิดหนังสือพิมพ์ โยนมันไว้บนเก้าอี้อีกตัว…ความรู้สึกที่แท้จริงมันช่างน่าหงุดหงิด...หงุดหงิดตรงที่ผมทำอะไรเพื่อเขาไม่ได้เลยสักอย่าง ทำไมอักษรต้องมาเจอเรื่องเลวร้ายแบบนี้ ทำไมต้องเป็นเขา...คนอย่างอักษรน่ะนะ...คนที่มีชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์สดใสขนาดนั้นน่ะนะ ถ้าเทียบกับผมแล้ว....ผมต่างหากที่ควรจะไปแทนที่เขาในตอนนี้...!
…..คนที่อยู่ในความมืดมิดมาตลอดชีวิตขนาดนี้...! ในห้องคนไข้ไม่ได้มีอุปกรณ์เทคนิคการแพทย์เยอะอย่างที่คิด และผมเข้าข้างตัวเองว่าเขาคงไม่ได้มีอาการหนักหนา รู้สึกตัวอีกทีก็เผลอนั่งมองเขา...มองคนที่ยังหลับใหลไม่ได้สติคนนี้.....
มันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ถนัดนัก...
“ผม...ทำอะไรเพื่อคุณไม่ได้เลยรึไงกันนะ...” ก่อนจะค่อยๆยื่นมือไปสัมผัสมืออีกฝ่าย…ประคองมือที่เบาราวไร้น้ำหนักแบบนั้นไว้ด้วยมือทั้งสองข้างอีกครั้ง ผิวสัมผัสอุ่นๆนี้ทำให้ผมรู้สึกดี…อย่างน้อยที่สุดตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในสถานที่ที่มือของผมยังเอื้อมไปถึง…
..ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่ของตนเอง..
…..จนกระทั่ง...
“เทียน....?” เสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียกขึ้นให้ผมเงยหน้าจากการมองมือตัวเอง…นัยนต์ตากลมใสเหมือนเด็กทารกนั้นกำลังมองผมอยู่ และดวงหน้าเปื้อนยิ้มแบบนั้นทำให้ห้องมืดมิดสว่างไสวขึ้นมาทันตา
“ขอโทษที..” ผมกระซิบ “ทำให้ตื่นเหรอ?”
“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น”
“แล้ว…คุณพ่อกับคุณแม่ล่ะ?”
“ออกไปคุยกับคุณหมอมั้งครับ เมื่อเช้าคุณหมอมาตรวจน่ะ”
“อ้อ” ผมพยักหน้า พยายามหาเรื่องคุยต่อ
“…นอนหลับฝันดีมั้ยครับ?” เขาหน้าแดง “ถามอะไรแบบนั้นกันล่ะครับ ผมไม่ได้ฝันอะไรสักหน่อย”
“โกหกหน่อยก็ได้นะ…”
“ฝันถึงคุณแน่ะ”
“…แบบนั้นไม่ต้องพูดครับ”
“ฮะๆ” เขายิ้ม ดวงตาคู่กลมนั้นปรือลงอีกครั้ง “...อรุณสวัสดิ์นะครับเทียน”
ผมรู้สึกว่ามือที่ประคองอยู่สั่นขึ้นมานิดๆในตอนนั้น แต่ผมก็พยายามไม่สังเกตมัน..ถ้ายิ่งทัก อีกฝ่ายอาจจะยิ่งทำตัวไม่ถูก ดังนั้นผมจึงแค่ขยับตัวลุกขึ้นยืนชิดขอบเตียง แล้วบรรจงใช้นิ้วเกลี่ยผมที่ปรกตาให้เขา
“เหนื่อยรึเปล่า?”
พอผมถาม เขาหลับตาลง
“นิดหน่อยครับ”
“นอนพักไปก่อนก็ได้นะ”
“….ไม่อยาก…นอน…ครับ” ผมแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คาดคั้น “ทานอะไรรึยังครับ?”
“เรียบร้อยแล้วครับ คุณล่ะ?”
“เหมือนกัน” ผมโกหก “ข้าวโรงพยาบาล..อร่อยมั้ยครับ?”
“ถามมาได้นะ อร่อยแย่เลยล่ะครับ!”
ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ดี และผมเองก็ดีใจที่เห็นเขายิ้มแบบนั้น ความรู้สึกที่ว่าอยากให้เขายิ้มแบบนี้ตลอดไปมันกำลังทำร้ายหัวใจของตัวผมเอง ผมเผลอลูบไล้เรือนผมสีขนกาของเขาอย่างลืมตัว…สีธรรมชาติที่ไม่ถูกย้อมหรือดัดทำให้รู้สึกว่ามันช่างนุ่มมือนัก...ทำไมผมถึงไม่เคยสังเกตถึงมันมาก่อนนะ...ทั้งที่อยู่ใกล้ขนาดนี้แท้ๆ...
นาน...ก่อนจะค่อยๆโน้มหน้าลงมาหา…
เขาหลับตา…และยอมให้ผมจูบลงบนหน้าผากมนเกลี้ยงนั้นแต่โดยดี… ผมอยากจะฝังจมูกตัวเองลงไปนานกว่านั้นสักหน่อย...แต่มันคงจะน่าสงสัยเกินไปเลยผละออกมาก่อน
เราจ้องหน้ากันสักพักโดยที่ผมยังไล้นิ้วกับแก้มใสนั้นอยู่…ดวงตาที่ผมจ้องเข้าไปคู่นั้นมีประกายแปลกๆ มันช่างบริสุทธิ์และงดงามจนผมเนี่ยแหละที่เป็นคนถอยออกมาเอง ด้วยไม่อยากให้บรรยากาศหรืออะไรต่อมิอะไรพาให้เราทำเกินไปกว่านั้น
อักษรดูเหมือนจะรู้ตัว แต่ไม่ได้ทัก
“ดอกกุหลาบ…” เขาเอ่ย ดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดถึงปาก “คุณเอามาเหรอ?”
ผมพยักหน้าช้าๆ “คุณไม่ชอบดอกกุหลาบ?”
“เปล่าหรอกครับ ผม...แค่ดีใจ”
..นั่นไง..เขาหน้าแดงจนได้..
..ถือว่าความพยายามของผมสัมฤทธิ์ผลไม่มากก็น้อย... เราคุยกันไม่นานเท่าไหร่..จริงๆเสียงของเขาดูเหมือนคนไม่ค่อยมีแรง…อักษรบอกว่าเพราะฤทธิ์ยาเมื่อเช้า เขาบอกโดยไม่ต้องให้ผมถามเหมือนเคย ผมบอกให้เขานอนอีกครั้ง…และครั้งนี้เขาทำตามโดยไม่ได้เถียงอะไร
ผมคิดว่าการที่ยืนมองหน้าเขาอยู่แบบนี้มันไม่ดีแน่ จึงหมุนตัวกลับไปหาเก้าอี้ตัวเดิม หยิบหนังสือพิมพ์ฉบับเดิมขึ้นมาวางไว้บนตัก พิจารณาตัวเลขมากมายที่ผมดูไม่รู้เรื่องอยู่ไม่นานนัก ดูเหมือนที่พอจะทำความเข้าใจได้จะมีแต่ข่าวเกษตรกรรมกับบุคคลอันมีชื่อเสียง มีข่าวนายอิศวร อัครมณฑาอยู่นิดหน่อย ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าหนังสือพิมพ์ธุรกิจมันเป็นยังไง และรู้ว่าตัวเองคงไม่เหมาะกับด้านนี้โดยสิ้นเชิง
แกรก... ไม่นาน…เสียงเปิดประตูจากข้างนอกก็ดังขึ้น
ผมตัดสินใจปิดหนังสือพิมพ์และลุกขึ้นยืนรอรับ หลังจากได้ยินเสียงรองเท้าสองคู่กระทบพื้นกระเบื้องยาง...ไม่นานชายหญิงคู่นั้นก็เดินเข้ามา..ท่านทั้งสองดูท่าทางประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็รับไหว้ผมแต่โดยดี ก่อนจะเดินเข้ามาประชิดเตียงคนไข้
….บรรยากาศช่างกำกวมนัก....
พวกเราทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ได้มีเรื่องจะพูดคุยอะไรด้วยกันได้เลย จะให้ผมแนะนำตัว...พวกท่านก็ดูเหมือนจะรู้จักผมดีอยู่แล้ว ขนาดลุงโชคที่เป็นคนขับรถยังรู้จักผมเลย...จะประสาอะไรกับคนเป็นพ่อเป็นแม่ เพียงแต่ผมไม่รู้จักพวกท่านดีพอ...เลยไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนายังไง และเดิมที...ผมก็ไม่ใช่คนจะเริ่มพูดคุยกับใครก่อนด้วย...
พอไม่รู้ว่าจะเอาตาไปวางตรงไหนก็กระสับกระส่ายขึ้นมา ไอ้ครั้นจะพุ่งสายตาไปนอกหน้าต่างก็คงใช่ที ผมเลือกจะหันกลับไปหาอักษร…เขายังนอนหลับอยู่ และผมรู้สึกว่าการนั่งเฉยๆที่นี่อาจจะดูเสียมารยาทไปนิดหน่อย แต่ครั้นจะลุกออกไปเลยก็คงไม่ต่างกันนัก
หลังจากลองชั่งน้ำหนักว่าบรรยากาศที่ลอยคลุ้งท่ามกลางความเงียบแบบนี้มันน่าอึดอัดกว่า ดังนั้น…
“งั้น…ผมกลับก่อนนะครับ” มันแทบไม่มีประโยคอื่นใดมาคั่นกลางคำบอกลา
พร้อมยกมือไหว้ท่านทั้งสองอีกครั้ง คุณแม่ของอักษรดูเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง..แต่ก็ไม่ได้พูด
ผมถอยเท้า..เดินอ้อมออกไปจากห้องพักผู้ป่วยส่วนในจนเกือบจะถึงประตูทางออก บรรจงจรดปลายเท้าให้เงียบที่สุดเท่าที่เคยทำมาก่อนในชีวิต...แต่ก็นึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แจ้งเรื่องดอกไม้…จริงๆมันก็ไม่สลักสำคัญเท่าไหร่ แต่ถ้าให้พวกเขาคิดเองว่ามันมาจากไหนคงจะยุ่งยากกว่า ดังนั้นเลยตัดสินใจหมุนตัวกลับไปอีกครั้ง
มันเป็นช่วงเวลาก่อนที่ผมจะก้าวขาพอดีตอนที่เสียงทุ้มๆพูดขึ้นจากอีกฝากหนึ่งของกำแพง
“…อักษรบอกว่าเด็กคนนั้นชอบถ่ายรูป…”
ผมหยุดยืน รู้สึกว่าเสียมารยาทที่จะเข้าไปตอนนี้เลยหมุนตัวกลับมาที่ประตู
“ค่ะ ที่ห้องลูกเองก็มีอัลบั้มของเด็กคนนั้นอยู่เยอะแยะเลยด้วย...พ่องานยุ่งคงไม่เคยเห็น"
เจ้าของนามเว้นระยะก่อนจะเอ่ย "พ่อคงดูแลลูกได้ไม่ดีพอ...”
“...แม่ต่างหาก....” เสียงหวานนั้นปนสะอื้นเบาๆ "….แม่ต่างหาก...ที่ไม่เคยดูแลลูกได้ดีพอ....แม่ขอโทษนะษร...”
ให้ตายเถอะ ผมไม่กล้าแม้แต่จะเปิดประตู...เพราะถ้าเปิดขึ้นมาอีกสองคนคงจะได้ยินแน่ๆ และท่านคงจะรู้ว่าผมยังไม่ได้ออกจากห้อง...ภาพพจน์แย่ๆคงยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่
ในที่สุดผมก็เลือกที่จะยืนอยู่เฉยๆรอจังหวะเวลา ผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง...ไม่เลยสักนิด
….แย่ชะมัด.... ผมได้ยินเสียงร่ำไห้เล็กน้อย...มันเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คุณนายอัครมณฑาคงกลัวว่าลูกชายตัวเองจะตื่นขึ้นมาได้ยิน...แต่ผมคิดว่าอักษรคงหลับลึกจริงๆมิเช่นนั้นคงลุกขึ้นมาปลอบมารดาของตัวเองเป็นแน่แล้ว เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์ดังกล่าว...เลยนึกย้อนกลับไปถึงแม่ของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้...
และเผลอคิดงี่เง่าไปว่า...ถ้าเป็นแบบนี้บ้าง...แม่จะร้องไห้เพื่อผมบ้างไหมนะ........
..พ่อก็ด้วย...พ่อจะยืนปลอบแม่ที่ร้องไห้อยู่ข้างๆเตียงของผมบ้างไหมนะ.......
...ผมผิดหวังกับตัวเองที่คิดแบบนั้น... ในที่สุดคุณแม่ของอักษรก็สงบสติอารมณ์ลงได้ นี่เหมือนจะเป็นจังหวะที่จะเปิดประตูออกไปโดยไร้สุ่มเสียง ผมวางมือลงบนลูกบิดประตู และค่อยๆหมุนมันช้าๆอย่างที่ตั้งใจ
“ว่าแต่..พ่อจำเด็กคนนั้นได้ยังไงกันน่ะคะ? เรื่องมันตั้งเกือบสิบปีแล้วนะ...?”
ประโยคเริ่มบทสนทนาใหม่ดังเข้ามาอีกครั้ง ผมถอนหายใจ...ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่จังหวะที่ดีนัก
“จำได้สิ"
เสียงทุ้มว่าอย่างไม่มีลังเล และนั่นก็เข้าโสตประสาทของผมพอดี
"ก็รูปแบบของ 'ภาพ' ที่เด็กคนนั้นถ่ายน่ะ...ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่นา” ...ชะงัก... วินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น สมองที่เคยชาญฉลาดมาตลอดถึงกับมึนตื้อขึ้นมาเฉยๆ
ก่อนประโยคต่อไปที่เหมือนจะเติมเข้ามาเพื่อเจาะจง และทำให้ผมรู้สึกงุนงงยิ่งกว่าเดิม
“โตขึ้นเยอะเลยนะ เทียน"----------------
..บางที..ผมคงไม่ควรเก็บคำพูดนั้นมาคิด.. ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ผิวของกาแฟร้อนที่เย็นแล้วในมือ แต่สิ่งที่จดจ่อกลับอยู่ไกลออกไป...ผมคิดดีแล้วที่มานั่งรอในร้านกาแฟ...นั่งมาสองชั่วโมงกับกาแฟแก้วเดียวที่ทานเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที และการที่ไม่มีใครมาไล่หมายถึงผมยังนั่งอยู่ต่อได้
มันยากที่จะทำความเข้าใจกับเรื่องราวทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ปะติดปะต่อกันได้เลย...ผมไม่ได้เรียกร้องให้อักษรออกจากโรงพยาบาล ผมรู้ดีว่าในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ไม่อยากถามอาการ...อย่างน้อยก็ไม่อยากรู้จากปากของเขา ผมไม่ได้อยู่ในฐานะญาติ เรียกได้ไม่เต็มปากว่าคนรัก...ซึ่งถ้าผมพูดเก่งหรืออัธยาศรัยดีกว่านี้สักหน่อยก็คงไม่เป็นเช่นนี้
อักษรคงไม่ชอบให้ผมมองตัวเองในแง่ร้าย...
...ดังนั้นผมจะเลิกคิดแบบนั้น...ถึงแม้มันจะเป็นความจริงก็ตาม
ผมยังคงนั่งไขว้ขาอยู่ที่เก้าอี้ริมกระจกหน้าต่างเหมือนเดิม ในท่าเดิมมาเกือบสิบนาที...ผมพนันร้อยทั้งร้อยว่าถ้ายังนั่งต่อไปอีกสิบนาทีต้องเป็นตะคริวแน่ๆ ถ้าผมไม่ได้กำลังหายใจอยู่คงนึกว่าตัวเองตายไปแล้ว...
แต่ถึงกระนั้นผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะขยับตัว ผมอยากนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร...มันคงจะดีกว่าถ้าคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามกับผมคืออักษร อัครมณฑา....
….นานกว่าผมจะนึกสงสัยตัวเอง...ว่ากำลังรออะไร....? ผมอยากให้เขาลืมตาขึ้นมาแล้วเจอผมเป็นคนแรก แต่มันไม่มีทางเป็นแบบนั้น...นี่ไม่ใช่นิยาย ผมไม่ใช่พระเอก...และพ่อแม่ของเขาก็ยังอยู่กันครบ ไม่ได้บ้างานจนไม่สนใจลูกหรืออะไร ดังนั้นคนที่รักเขามากที่สุดคงเป็นใครไปไม่ได้......เพราะเรื่องระหว่างเขากับผมมันแทบไม่มีอะไร...เราเพิ่งได้มีโอกาสทำความรู้จักกันเพียงไม่กี่วันด้วยซ้ำ
ผมไม่อยากนับวันที่ผ่านมา...เพราะไม่อยากนับวันเวลาที่จะดำเนินต่อไป
อักษรไม่ใช่เพียงคนเดียว...
...ผมเองก็ไม่ต่างกัน...
ผมเสียดาย...เสียดายเวลาที่เหลืออยู่... แกร๊ง!! แก้วกระเบื้องกระทบโต๊ะกระจกดังสนั่นไปทั้งร้าน ทุกคนในบริเวณนั้นหันมามอง....กระจกไม่ได้หัก แก้วกาแฟไม่ได้แตก เพียงเสียงระดับขนาดนั้นมันสร้างความตกใจไม่มากก็น้อย
ผมกรอกตา พูดไปเต็มปากเต็มคำว่า "Sorry”
...มันไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ทุกคนจะเชื่อ...
อีกครั้งที่ผมมองมือที่สั่นสะท้านของตัวเอง และเริ่มคิดว่ามันเกิดจากอะไร ผมรู้ว่าผมกำลังหวั่นไหว...เพียงแต่ไม่รู้ตัวว่าจะแสดงความเศร้าเสียใจออกมาแบบไหน และไม่มีอะไรมากเกินไปกว่าเรื่องที่ผมพยายามฝืนเก๊กอยู่ตลอดเวลาทั้งๆที่ข้างใน...มันไม่ไหวแล้ว
อยากจะกลับไปหาอักษร...
….แต่คิดว่าไม่ควรจะไป อยากจะไปอยู่เคียงข้างไม่ห่างไปไหน...
….แต่ก็รู้ว่ามันไม่ใช่หน้าที่ ถ้าดอกไม้ช่อเดียวสามารถแทนความรู้สึกและความต้องการของผมได้ ผมปรารถนาจะให้มันอยู่ตรงนั้น คอยเฝ้ามองและดูแลเขาแทนผมที่ไร้ความกล้าเสียจริง
ร้านกาแฟที่ผมนั่งอยู่ อยู่ด้านล่างของตึกนั้นพอดี...ทิศทางที่ผมนั่งมองไปก็ตรงดิ่งไปถึงโถงลิฟท์โดยสาร ผมเห็นว่าใครเข้าใครออก ใครมาใครไป ตลอดทั้งวันผมเห็นพวกห้องเด็กที่โรงเรียนที่ผมไม่รู้จักและจำชื่อไม่ได้เข้าไปและออกมากันหลายคน ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่เห็นผม ซึ่งผมเองก็ไม่ปรารถนาจะให้ใครเห็น พวกเขาทั้งหลายคงมาเยี่ยมอักษร...และนี่เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นว่าเขาเป็นที่รักมากแค่ไหน
...เขาเป็นเพื่อนที่ดี เป็นลูกที่ดี เป็นนักเรียนที่ดี เป็นเลขานุการที่ดี...
...และผมเชื่อว่าเขาคงเป็นคนรักที่ดีไม่แพ้กัน...โดยไม่ต้องใช้เวลาพิสูจน์มันเพิ่มเติมด้วยซ้ำ...
ผมยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง...มันเย็นและชืด...ส่วนประสาทสัมผัสหลายๆอย่างของผมก็ตายด้านจนไม่รู้รสไปแล้ว และเมื่อเหลือบตาขึ้นมา...จึงได้เห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังเดินมาทางผม
หน้าที่ตอนนั้นคือการพยักหน้าทักทาย อีกฝ่ายก็ทำแบบเดียวกัน..ร่างสูงโปร่งนั้นเดินเข้ามาใกล้จนกระทั่งเห็นออร่าคุณชายชัดเจน ก็อย่างว่า...สีคราม โกสินทร์วิตรม..เป็นหนึ่งในลูกคนมีกะตังค์(ระดับเศรษฐี)ไม่กี่คนที่ไม่ถือตัว หรืออันที่จริงเด็กเกษรวิทยาก็เป็นแบบนั้นแทบทุกคนกระมัง
เขายิ้มให้กับผม..หันไปยิ้มให้กับพนักงานร้านกาแฟและคนรอบๆที่มองเขาตามวิสัยคนใจดี
ก่อนจะลากเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วสอดตัวเข้ามานั่งพร้อมคำทักทาย
“ไง?”
“อืม หวัดดี..มาด้วยเหรอ?"
คนฟังยิ้ม..เป็นรอยยิ้มธรรมดาที่ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ "เราต่างหากล่ะที่ต้องถามว่า 'มาด้วยเหรอ?' “
ผมไม่รู้จะตอบอะไร...ดวงตาของอีกฝ่ายดูราวกับมองผมทะลุปรุโปร่งไปเสียหมด แต่การหลบตาคนอย่างสีครามไม่ใช่เรื่องดีนัก...น่าแปลกที่ในเวลาที่ผมอยากอยู่คนเดียวแบบนี้ กลับคิดว่ามีคนคุยด้วย...ไม่ใช่เรื่องเศร้าไปซะหมด
สีครามหันไปสั่งแอปเปิลทีกับุคุกกี้ชิ้นโตมาสองชิ้น นอกจากจะจ่ายเงินแล้วยังฉีกยิ้มหล่อแถมให้พวกพนักงานขายอีก หลายคนมองมาทางโต๊ะเราด้วยหลายสาเหตุ...ผมชินแล้วกับการตกเป็นเป้าสายตา จริงๆต้องเรียกว่า 'ทำใจให้ชิน' เสียมากกว่า...ส่วนไม่ต้องบอกก็คงจะรู้...คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามผมเขาทำตัวให้กลมกลืนกับความโดดเด่นนั้นอย่างง่ายดาย
“ขึ้นไปบ้างรึยัง?”
เขาถามผม ผมเลยถามกลับ
“แล้วนายล่ะ? ไม่ขึ้นไปบ้างเหรอ?”
“เห็นว่าเพื่อนมาเยอะ รอให้คนอื่นกลับก่อนค่อยเข้าไปน่ะ"
คู่สนทนาพูดราวกับรู้ว่าผมรู้ว่าเขาเพิ่งมา การนั่งจ้องอยู่หน้าลิฟท์เป็นเวลานานทำให้ผมจำได้ว่าใครขึ้นไปบ้าง ลงมาบ้าง...และเหมือนกับว่าผมจะใส่ใจกับเรื่องปกติแบบนั้นมากเกินไปจนเสียมาด..ซึ่งผมไม่มีอารมณ์จะหาข้ออ้างเรื่องพวกนั้น...
“...มาแบบนี้....แสดงว่ารู้แล้วใช่มั้ย?”
คำถามนั้นทำให้ผมต้องเสมองออกไปนอกตัวร้าน "ก็...นะ"
“แล้วเป็นไงบ้าง?”
“ก็...นะ"
ผมรู้ว่าที่เขาถามออกมาน่ะไม่ต้องการคำตอบหรอก เขาแค่ถามไปตามมารยาท
ที่ผมอยากรู้มากกว่าน่ะ...คือเรื่องที่ว่าเขารู้เรื่องของผมกับอักษรมากแค่ไหน
ผมเคยนับถือสีครามครับ เขาเป็นหนึ่งในมนุษย์ที่เก็บความลับได้เก่งอย่างไม่น่าเชื่อ..เขามีทุกอย่าง เขารู้ทุกอย่าง..แต่เขาไม่เคยแสดงความรู้สึกหรือการกระทำที่บ่งบอกว่าเขารู้เลย จะให้พูดเปรียบเทียบก็คือ...สีครามไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องของคนอื่นไปพูด และเขาไม่ใช่คนประเภทโอ้อวด...คนที่มีทุกอย่างอย่างแท้จริงจะไม่ดูถูกคนอื่น
แต่ต่อให้เขาเป็นคนแบบนี้ก็เถอะ...ผมก็ยังไม่พร้อมจะแสดงอาการเสียใจให้ใครเห็นทั้งนั้น
“แล้วนายล่ะ?” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่อง..ซึ่งเป็นงานที่ไม่ถนัดนัก "เห็นว่ากานดาจะไปเรียนต่อต่างประเทศนี่"
เขาเลิกคิ้วด้วยอารมณ์ประมาณว่า 'รู้ด้วยเหรอ?' แต่ไม่ได้พูดคำนั้นออกมา "โอริกอน อเมริกาน่ะ"
“ไกลจังนะ....”
“ไม่ไกลเกินกว่าจะตามไปหรอก" สีครามมีความสามารถพิเศษที่จะทำให้ใครต่อใครรู้ว่าเขาเป็น 'เจ้าชาย' เสมอ
“นั่นสิ" ผมรับคำสั้นๆ
"….อย่างน้อยก็ยังตามไปได้ล่ะนะ...” “เทียน"
“อะไร?”
“...เปล่า" เขายกมือเท้าคาง..ไม่ได้มองมาทางผม "ช่างมันเถอะ"
ผมคิดว่าเขารู้ แต่ไม่ได้สนใจ “เดินทางเมื่อไหร่น่ะ?”
“ต้นปีหน้า"
“อือหึ" ผมรับคำสั้นๆอีกครั้ง "แล้วนายล่ะ?"
“คง..ต้องรอให้จบม.5ก่อนน่ะ...”
“คงอีกสักพัก"
“...ใช่ กำลังคิดว่าจะทำยังไงถ้า 'คิดถึง' อยู่"
“พวกกลอนคงจัดงานเลี้ยงใหญ่สินะ" ผมขยับตัวเอนหลังสบายๆ "ต้องร่ำลากันยกใหญ่น่าดู"
“ใช่" อีกฝ่ายยิ้ม
“...แต่ว่าการจากลา...ไม่ใช่จุดจบเสมอไปหรอกนะ" ….ผมหลับตาลง
….อย่าให้เขาเห็น...ว่าผมกำลัง 'เสียใจ'
บทสนทนาที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ตัวว่าต้องกล้ำกลืนแค่ไหนทุกคำที่ต้องพูดกับเขา ต้องฝืนยิ้มมากแค่ไหน..ฝืนทำเป็นว่าตัวเองแข็งแรงไม่เป็นไร เมื่อครู่ผมคิดผิด...การที่มีคนมาคุยด้วยในเวลาที่ผมรู้สึกอยากอยู่คนเดียว...มันทำให้ผมเห็น...ว่าจริงๆแล้วตัวเองรู้สึกยังไง และน่าสมเพชมากแค่ไหน
ไร้ซึ่งความกล้า..ความกล้าที่จะเผชิญหน้าและยอมรับความรู้สึกของตัวเอง..
ผมที่แม้แต่ในเวลานี้..ก็ยังไม่ยอมไปอยู่เคียงข้างเขา
ไปกุมมือเขา ให้กำลังใจเขา...หรือทำอะไรก็ได้เพื่อเขาไม่ใช่มานั่งอยู่เฉยๆในร้านกาแฟ ทำทีเป็นว่าตัวเองไม่สะทกสะท้านอะไรกับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น วางมาดเป็นคนใจเย็น เก๊กหน้าทำเป็นใจแข็ง
...และเอาแต่คาดหวังว่าไอ้ดอกกุหลาบขาวบ้าๆนั่นจะแทนความรู้สึกของผมทั้งหมดได้...ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่ใช่ ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แต่ไม่ได้มองไปที่คนตรงหน้า
“....แล้วถ้าครั้งนี้...มันเป็นจุดจบล่ะ...” สีครามไม่ได้พูดอะไร..
...และความเงียบนั้น...เป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วTBC======================
เป็นตอนที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความนัยแฝง
ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจแปลว่าโอยังแต่งไม่เข้าถึงค่ะ โฮกกกก ;;[];; /ขออำภุย/