[9]
ผมชื่อรักษ์
พ่อแม่ตั้งชื่อนี้ให้เพื่อสอนให้ผมรู้จักที่จะรักและทะนุถนอมสิ่งสำคัญในชีวิตผมให้เป็นดั่งความหมายของชื่อ และผมคิดว่าผมทำได้ดีทีเดียว
"คุณ... คุณตื่นได้แล้ว"
"...อือออ"
"คุณครับ ตื่นเร็ว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน"
ผมเอื้อมมือไปเขย่าไหล่ที่โผล่พ้นผ้าห่มเบาๆ หมายจะปลุกเจ้าของร่างที่ดื้อดึงซุกใบหน้าลงกับหมอนมากกว่าเดิม เป็นพวกตื่นยากไม่มีเปลี่ยน
"เราขออีกห้านาที..."
"ไม่ได้ วันนี้มีพรีเซนต์งานไม่ใช่เหรอ? ตื่นเร็ว"
"อือ... มีงาน... งาน..."
บ่นงึมงำอยู่สองสามคำแล้วพลิกตัวกลับไปอีกด้าน ผมปล่อยให้ความนิ่งเงียบแผ่ไปทั่วบรรยากาศครู่หนึ่งพลางยืนกอดอกมองปฏิกิริยาต่อไปของคนบนเตียง
"เหี้ย! ตอนนี้กี่โมงแล้วรักษ์!?"
"หกโมงครึ่ง คุณมีเวลาอีกชั่วโมงก่อนถึงเวลารวมตัวที่ตึกสถาปัตย์"
หัวเราะกับท่าทีแตกตื่นของคนตรงหน้าพร้อมเอื้อมมือไปลูบทรงผมที่ยุ่งไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่นนอนด้วย
"โอเค ขอบคุณนะ ถ้ารีบไปก่อนก็ได้เราอาบน้ำก่อน"
"ไม่เป็นไร รอไปด้วยกัน"
ส่งยิ้มให้คนที่คงไม่ทันมองเพราะเจ้าตัวพยายามข้ามกองกระดาษที่กระจายอยู่เต็มพื้นไปคว้าผ้าขนหนูกับชุดนักศึกษาแล้วเดินเขย่งขาเป็นนักบัลเล่ต์หายไปทางห้องน้ำ ตัวผมเองก็ต้องใช้ความพยายามที่จะก้าวผ่านอุปกรณ์ต่างๆ บนพื้นไปเหมือนกัน ไม่กล้าไปเก็บหรือยุ่งกับอะไรของเขา เดี๋ยวเกิดทำอะไรพังแล้วจะซวยเอา
ปกติข้าวเช้าเราจะสลับกันทำ แต่หากวันไหนที่คุณมีงานต้องทำจนต้องโต้รุ่งเหมือนวันนี้ผมก็จะเป็นฝ่ายรับหน้าที่ลงไปซื้อโจ๊กมาเตรียมไว้ให้ เห็นใจเขาครับ นั่งตัดโมตั้งแต่เมื่อวานจนมาประกอบงานเสร็จตอนตีสี่กว่า ได้นอนไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็ต้องตื่นมาเตรียมตัวไปพรีเซนต์งานต่อ คงจะเหนื่อยมากทีเดียว
"เดี๋ยวเราแบกไปเอง รักษ์วางไว้ตรงนี้ก็ได้"
คนที่แบกข้าวของเต็มไม้เต็มมือเอ่ยด้วยความเกรงใจ เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่เขามาส่ง ทั้งที่แบบจำลองในมือก็ใหญ่จนจะถือไม่ได้อยู่แล้วยังจะดันทุรังอีก หากหล่นพังไปต้องเดือดร้อนแน่นอน ผมเลยปฏิเสธด้วยการกดลิฟท์สำหรับนักศึกษาให้เขาแทน
"ส่งถึงที่ได้ บริการฟรีสำหรับว่าที่สถาปนิกคนเก่ง"
"โอ้โห พูดจาดี เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงข้าว"
"พูดแล้วนะ ขอบุฟเฟ่ต์แซลมอนเลย"
"บอกมาตรงๆ ก็ได้ว่ารักษ์เกลียดเรา"
ผมหัวเราะขณะที่ก้าวเข้าลิฟท์ไปด้วย ความจริงเราสองคนสลับกันเลี้ยงข้าวอยู่บ่อยๆ อยู่แล้ว หากใครมีเงินก่อนก็เลี้ยง ใครช่วยงานใครก็เลี้ยง สลับๆ กันไป
"ไอ้รักษ์! กูไปด้วยๆ!"
ได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อตัวเองผมก็ต้องเอาเท้าขัดลิฟท์ไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนมือข้างที่ว่างก็รีบกดปุ่มเปิดรอ ไม่อย่างนั้นคนที่วิ่งตรงมาต้องเอาหน้าและโมเดลในมือกระแทกประตูลิฟท์แทนแน่ๆ แค่คิดก็เจ็บแทนแล้ว
"ยังมีเวลา ทำไมมึงไม่ไปรอบอื่นวะ"
"ก็กูจะไปรอบนี้ด้วย จะทำไมล่ะไอ้คุณ?"
"เหม็นอากาศที่ต้องใช้ร่วมกับมึงไง"
"ดูมันพูดนะไอ้รักษ์ ทีกับมึงล่ะเพราะเชียว ทีกับเพื่อนแม่งเห่าเป็นหมาชิวาว่าเลย"
"กูไม่ใช่หมา!"
มองคุณทะเลาะกับเพื่อนแล้วก็ได้แต่หัวเราะตามไปด้วย ภีมชอบแกล้งเพื่อนครับ ชอบไปแหย่ชอบไปแกล้งให้คุณอารมณ์เสียแล้วพอโดนด่ากลับก็หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ จนบางครั้งผมแอบคิดนะว่าเขาเป็นพวกชอบความเจ็บปวดหรือเปล่า ถึงได้มีความสุขนักเวลาเจออะไรแบบนี้
ดีที่ลิฟท์มาถึงชั้นที่ต้องการทันเวลา ไม่อย่างนั้นคงมีวางมวยกันสักยก
"ขอบคุณมากนะรักษ์ เดี๋ยวนัดกันหลังเลิกเรียนอีกทีเนอะ"
"ได้ ตั้งใจพรีเซนต์ล่ะ"
"รับทราบครับคุณพ่อ~"
ลากเสียงยาวแถมยังตะเบ๊ะใส่อย่างน่าหมั่นเขี้ยวเลยจัดการหยิกแก้มไปหนึ่งที ได้ยินเสียงคนกระแอมเบาๆ เลยหันไปมองจึงรู้ว่าเป็นภีม นี่ยังไม่เข้าห้องไปอีกเหรอ?
"เอาจริงๆ พวกมึงสองคนมีซัมติงกันป่ะวะ?"
"ซัมติงห่าอะไร พวกูเป็นรูมเมทกัน"
"รูมเมทเขาไม่ทำแบบนี้อะ" ภีมส่ายหน้าไปมาจนผมกระจาย ไม่ปวดหัวหรือไงกัน "กูกับไอ้หยกเป็นรูมเมทกันยังไม่ทำเลย ขนลุกตายชัก บอกมา พวกมึงคบกันใช่มั้ย?"
"ประสาทว่ะภีม มึงคิดมากไปละ รักษ์ไปเรียนเถอะ ไอ้โรคจิตนี่เราดูแลเอง"
คุณถอนหายใจพร้อมรับข้าวของไปจากมือผมแล้วเตะขาเพื่อนเร่งให้เดินนำไปก่อน ภีมทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่เมื่อเห็นอาจารย์ประจำคลาสที่ตนต้องพรีเซนต์งานด้วยเดินมาจากอีกฝั่งของระเบียงเลยต้องยอมแพ้ นำหน้าเพื่อนเข้าห้องไปแต่โดยดี ส่วนคุณก็หันมาหาผมอีกครั้งพร้อมยิ้มให้แล้วขยิบตาอีกทีเป็นสัญญาณระหว่างเรา ก่อนจะหายเข้าตัวตามไป
หลังจากนั้นก็เป็นตัวผมเองต้องรีบวิ่งหน้าตั้งไปให้ทันเวลาเข้าเรียน เหยียบเข้ามาที่ตัวอาคารปุ๊บ สัญญานเตือนเข้าคาบก็ดังปั๊บ ดีนะที่เพื่อนจองที่ไว้ให้และอาจารย์ยังไม่เข้าคาบ ไม่อย่างนั้นคงโดนหักคะแนนที่เข้าคลาสสายแน่ๆ อยากให้ตึกมนุษย์ไปรวมอยู่กับตึกสถาปัตย์ชะมัด จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินสลับระหว่างสองตึกเวลารีบๆ อย่างนี้
"ไปส่งคุณมาล่ะสิมึง"
"อือ วันนี้คุณมีพรีเซนต์งาน"
ผมตอบเพื่อนร่วมกลุ่มพร้อมรับส่งชีทการบ้านให้ด้วย วันนี้เป็นคิวของต้าที่รับรวบรวมชีทส่ง แต่ผมว่ามันยังไม่ส่งหรอก น่าจะเอาไปเช็คคำตอบกันก่อนมากกว่า
"เด็ก'ถาปัตย์มีพรีงานบ่อยว่ะ กูเห็นอาทิตย์นี้สองรอบแล้วป่ะ?"
ลองนึกดูแล้วก็จริงนะครับ อาทิตย์นี้มีพรีเซนต์งานไปสองตัวแล้ว แต่เห็นบอกว่าสองอาทิตย์หน้ามีงานอีกตัว ช่วงนี้คงนอนน้อยต่อกันเป็นอาทิตย์แน่ๆ
"จะมีอีกสองอาทิตย์หน้า"
"โหย... เห็นใจว่ะ มึงก็ช่วยเขาทำล่ะสิ"
"คุณไม่ยอมให้ช่วย ถ้าอันไหนทำไม่ทันจะไปนอนที่คณะให้เพื่อนๆ ช่วย"
"เอ้า! แล้วทำไมตามึงคล้ำงั้นวะรักษ์ เหมือนคนอดนอนติดกันหลายคืน"
คราวนี้เป็นเผือกที่เผือกเสนอหน้ามาถาม ทำหน้าที่ตามชื่อจริงๆ จนผมนึกอยากบอกให้ที่บ้านมันช่วยเอาไปเปลี่ยนชื่อที
"คุณไม่ยอมนอน"
"?"
"คุณไม่ยอมนอนสักที เลยนอนไม่หลับ"
".....ง่ายๆ คือมันติดเมีย พวกมึงก็เลิกถามได้แล้ว อาจารย์มาแล้วสัส!"
ภูมิเป็นฝ่ายตัดบทพร้อมเตะเก้าอี้ให้เผือกกับต้าหันกลับไปหน้าห้องเมื่อโดนสายตาพิฆาตมองมาทางกลุ่มพวกผม เห็นสีหน้าแล้วกลัวว่าหากพูดอีกคำเดียวคงโดนไล่ไปยืนคุยนอกห้อง เลยได้แต่เก็บคำแก้ตัวเรื่องคุณกลับลงคอไป
คุณไม่ใช่เมียสักหน่อย พวกเขาเป็นรูมเมทกันเฉยๆ
"เฮ้ย รักษ์ ไปเตะบอลกัน วันนี้พวกกูลงทั้งทีมเลยนะเว้ย"
เผือกพาดแขนลงกับบ่าผมพร้อมใช้แรงบังคับให้เดินตามไปยังสนามบอลของมหาวิทยาลัยด้วย แน่ล่ะว่าเรื่องออกกำลังผมไม่เกี่ยง
"เอาดิ เดี๋ยวบอกให้คุณกลับไปก่อน"
"ให้คุณมารอนี่เลยดิ มาให้กำลังใจมึงด้วย ทีมเราจะได้ชนะ"
ภูมิหัวเราะแล้วคว้าโทรศัพท์มือถือผมไปพิมพ์ด้วยตัวเองก่อนจะโชว์ให้ดูว่าได้รับคำตอบตกลงจากคู่สนทนาแล้ว ทำอะไรรวดเร็วสมเป็นมันจริงๆ
พวกเราทิ้งกระเป๋าไว้ตรงที่นั่งข้างสนามแล้วเฮละโลลงไปเล่นฟุตบอลกันโดยไม่ใส่ใจจะเปลี่ยนเสื้อกันแม้แต่น้อย แค่เปลี่ยนรองเท้าที่เป็นส่วนกลางก็พอ เล่นเอามันนี่ครับ ไม่ได้เล่นจริงจังชนิดต้องไปแข่งกับใคร เผลอแป๊บๆ เดี๋ยวพวกเพื่อนๆ ก็ถอดเสื้อนักศึกษาวิ่งกันแล้ว
"ต้า! ส่งมาทางนี้!"
คนโดนเรียกเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นเด็กคณะบริหารขาประจำที่เล่นด้วยกันบ่อยๆ ก่อนจะส่งบอลให้เพื่อนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ขายาวๆ ของภูมิเลี้ยงลูกไปมาหลอกล่อนักเตะฝ่ายตรงข้าม เห็นสายตาที่ส่งมา เป็นสัญญาณที่เขาชอบใช้เมื่อต้องการจะบอกให้ผมวิ่งไปจ่อเป็นกองหน้าเตรียมยิงลูกเข้าประตู
พยายามวิ่งตัดสลับไปมากับฝ่ายตรงข้าม ลูกบอลถูกส่งมาทันทีที่อยู่ในจุดพอเหมาะ ผมเลี้ยงสลับไปมาจนหาช่องว่างเจอแล้วจึงอัดแรงเต็มที่ ส่งลูกบอลทะลุมือโกลด์ข้าประตูไปอยางสวยงาม
"ฟอร์มไม่ตกเลยว่ะรักษ์ มึงไม่ได้ไปแอบเล่นที่ไหนมาใช่มั้ยวะ?"
ผมแท๊กมือกับเพื่อนๆ แล้วสะบัดเสื้อนักศึกษาที่เริ่มชุ่มเหงื่อพลางส่ายหน้าไปมา ปกติก็เล่นแต่กับพวกมันนี่แหละ นอกนั้นก็ใช้เวลากับคุณ ไม่ได้ไปเฮฮาอะไรกับคนอื่น
"กูว่ามันฟอร์มดีเพราะอะไรขาวๆ ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมากกว่า ตอนมันยิ่งเข้าประตูรายนั้นเฮซะดังจนกูต้องหันไปมอง"
มองตามการพยักเพยิกของต้าไปก็เจอเจ้าของอะไรขาวๆ นั่งอยู่ข้างๆ กองกระเป๋าของพวกเราจึงขอเวลานอกเพื่อแวะมาหาคนข้างสนามก่อน พอคุณเห็นผมวิ่งเข้าไปใกล้ก็ไม่รอช้ายื่นขวดน้ำแร่กับผ้าขนหนูสีขาวสะอาดตาที่เขาชอบพกมาใช้ห่มตัวให้ ผมไม่รับน้ำเพราะกลัวกลับไปวิ่งต่อแล้วจุก แต่เลือกจะยื่นหน้าไปให้เขาซับเหงื่อแทน
"เหงื่อออกเยอะมาก รักษ์จะไม่เป็นลมใช่มั้ย?"
"ไม่หรอก แค่ร้อนๆ ไม่ได้มาเล่นสักพักแล้วไง"
"คราวหลังก็มาบ่อยๆ สิ เดี๋ยวเรามานั่งดูด้วย รักษ์เท่มากเลยตอนยิงบอลเข้าประตู สาวๆ ฝั่งนู้นกรี๊ดกันใหญ่"
ว่าพลางชี้ไปทางที่นั่งฝั่งนู้นที่ยังมีเสียงกรี๊ดมาเป็นละรอกแล้วทำหน้าทำตาเหมือนเด็กไม่ได้ของเล่นจนผมหลุดขำ ยีหัวที่ไม่เป็นทรงเพราะโดนลมพัดให้ยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีกที
"ต้าบอกว่าคนแถวนี้เฮเสียงดังจนมันตกใจ คนแถวนี้ใช่คนชื่อคุณหรือเปล่า?"
คุณทำหน้าเหรอหราใหญ่ เท่ากับว่าคำตอบคือใช่ เพราะเวลาหาข้ออ้างไม่ทันเขาจะเผลอแสดงหน้าตาแบบนี้ออกมาอยู่บ่อยครั้ง
"เราแค่ดีใจที่มีคนเตะเข้าไง เราไม่รู้หรอกว่าเป็นรักษ์"
"เหรอ เสียใจได้มั้ย?"
"ไม่ได้สิ รักษ์จะเสียใจทำไมล่ะ?"
มุ่ยหน้าใส่แล้วถามผมกลับ ตอบคำถามด้วยคำถามอย่างนี้มันน่าโดนแกล้งให้โวยวายซะจริง
"ไม่มีคนเชียร์ เสียใจมาก ไม่มีแรงลงไปเตะต่อแล้วเนี่ย"
"เวอร์ ไปเลย เดี๋ยวเล่นเสร็จไปหาอะไรกินกัน ชวนพวกภูมิไปด้วยนะ ภีมน่าจะดีใจได้เจอพี่ชายฝาแฝด"
ผมขำออกมาอีกครั้งกับคำพูดของเขา ภูมิเพื่อนผมกับภีมเพื่อนเขาไม่ใช่ฝาแฝดกันจริงๆ หรอก แต่พอเจอกันทีไรสองคนนั้นเข้าขากันได้ดีทุกที แถมชื่อยังคล้ายกันอีก คนอื่นๆ เลยให้ฉายาคู่นี้ว่าแฝดนรก
"อืม ถ้าร้อนไปนั่งรอในห้องแอร์ก่อนก็ได้"
"ไม่เอา เราจะเชียร์รักษ์ตรงนี้แหละ เดี๋ยวไม่มีกำลังใจทีมแพ้แล้วมาโทษเราทีหลังอีก"
พยักหน้ารับคำแล้วจึงแกล้งเอาผ้าชื้นเหงื่อของตัวเองไปป้ายหน้าคุณให้โดนว่าเล่นๆ ก่อนวิ่งกลับมาลงสนามอีกรอบ ทีมผมโดนตีเสมอ 1-1 แล้ว มีโอกาสให้ทำแต้มอีกครึ่งชั่วโมงก่อนจะจบเกม ดูท่าจะต้องเล่นกันจริงจังเสียหน่อย
"กำลังใจมาแน่นเลยสิมึง กูขอสักลูกคงได้นะ"
"อืม ให้สองเลย"
ได้ยินแว่วๆ ว่าใครตะโกนอะไรหมั่นหน้าสักอย่างแต่ไม่สนใจหรอกครับ ลูกบอลส่งมาแล้วผมก็ต้องวิ่งสิ เดี๋ยวหามุมเตะให้เพื่อนส่งลูกอีกให้อีกสักสองครั้งตามที่พูดไว้แล้วจะได้ไปหาอะไรกินกับกำลังใจข้างสนามเสียที
"เอ้าชน~"
แก้วที่ชนกันส่งเสียงเป็นเอกลักษณ์แล้วพวกผมก็จัดการกระดกน้ำเมาเข้าปาก วันนี้เป็นวันปล่อยผีของเด็กมนุษย์อิงค์อย่างพวกผมครับ เพราะเป็นวันสุดท้ายของการส่งรายงานวิจัยที่อาจารย์แบ่งหัวข้อเรื่องแยกกัน เป็นงานหินมากเนื่องจากไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ แถมต้องอธิบายเป็นภาษาอังกฤษล้วนๆ ถึงจะบอกว่าเอกอิงค์ก็จริง แต่เราไม่ใช่เจ้าของภาษา พอเจอคำศัพท์เฉพาะเข้าไปก็มีตายเหมือนกัน เมื่อจบสิ้นงานแล้วเราก็ต้องมาลงร้านเหล้าญี่ปุ่นที่นานๆ จะมากันสักทีเพราะมันแพงอย่างนี้แหละ
"วันนี้'ถาปัตย์ก็พรีงานตัวสุดท้ายของเทอมแล้วสิ?"
"ใช่ แต่กว่าจะสบายจริงๆ ก็หลังมิดเทอม ถ้าอาจารย์ไม่เฮี้ยนอยากให้โปรเจคไปทำน่ะนะ"
"ลำบากว่ะ วันหยุดยังไม่ได้พัก"
"มาก นี่ห่างกับแฟนเพราะเรื่องนี้เหมือนกัน"
ภีมยกแก้วเหล้ากรอกเข้าปากอย่างเร็วจนเพื่อนต้องเตือนให้เพลาๆ ลง
"มึงช้าๆ"
"แล้วเสือกเรียน'ถาปัตย์เหมือนกันไง ต่างคนต่างต้องปั่นงาน พอกูว่างแม่งทำงาน วันนี้ชวนมาแม่งก็บอกปั่นงาน เหมือนไม่มีเวลาให้กันแล้วจริงๆ กูเลยน็อตหลุด บอกมันไปว่าถ้าไม่มีเวลาให้แบบนี้เลิกกันไปน่าจะดีกว่า"
"เหี้ย! นั่นก็แรงไป"
ฟังแล้วก็เห็นใจภีมอยู่ไม่น้อย มิน่าล่ะวันนี้พอถามว่าอยากไปลงร้านไหนเจ้าตัวรีบเสนอเลยว่าร้านเหล้าหลังม. ผมได้ยินว่าเขาคบกับแฟนมาตั้งแต่ช่วงม.ปลาย ไม่เคยห่างกันจนมาเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละ ดันสอบได้คณะเดียวกันแต่คนละที่เลยไม่ค่อยได้เจอกันเหมือนแต่ก่อน มาได้ยินว่าภีมขอเลิกผมว่าแฟนเขาก็น่าจะตกใจไม่น้อยไปกว่าที่พวกผมได้ยินหรอก
"กูว่ามึงโทรไปปรับความเข้าใจเถอะภีม มึงก็รู้ว่าคณะเรางานมันเยอะ เขาอาจจะหายไปทำงานก็ได้"
มาแล้วครับโหมดพ่อพระของคุณ ถึงปกติจะตีกันแทบเป็นแทบตาย แต่พอเพื่อนมีปัญหารายนี้จะเปลี่ยนโหมดเป็นศิลาณีทันที ผมเคยเห็นมาสองสามครั้งตอนเขาคุยโทรศัพท์กับเพื่อนๆ
"ไม่รู้ว่ะคุณ ช่วงนี้มันดูแปลกๆ คุยกันแป๊บๆ ก็ขอวางสาย หายไปเป็นวันๆ ไม่บอกกูแต่เสือกลงรูปว่าไปร้านเหล้ากับเพื่อน..." ภีมมุมนี้ทำเอาผมกับเพื่อนๆ แสดงความเห็นไม่ถูกเลยครับ เลยได้แต่นั่งฟังเงียบๆ "ไม่ได้อยากงี่เง่านะเว้ย แต่มันน้อยใจ... ถ้ามีแฟนเหมือนไม่มีแบบนี้ สู้ไม่มีไปเลยไม่ดีกว่าเหรอวะ?"
"กูว่าไม่ดีนะ... ตอนนี้มึงแค่น้อยใจ แต่หลังจากนี้มึงจะต้องเสียใจแน่ๆ เว้ยแฝดกู"
ภูมิตบบ่าคนที่ถูกนับว่าเป็นแฝดมันแล้วพูดปลอบ อันที่จริงผมคิดเหมือนเขานะครับ เวลาคนเราทำอะไรเพราะความไม่ตั้งใจจะต้องย้อนคิดว่าตัวเองไม่น่าทำอะไรแบบนั้นกันแทบทุกคน ตัวผมเองยังเคยเลย
"ไว้มึงใจเย็นก็โทรไปหาเขาดิ บอกเขาว่าขอโทษ ง้อๆ หน่อยกูว่าเดี๋ยวก็ปรับจูนกันได้"
"จริง กูว่าเขาต้องใจอ่อนแน่ๆ"
นี่เป็นคำแนะนำของเผือกกับต้าครับ ผมว่าพวกมันเอามาจากชีวิตจริงนั่นแหละ เผือกเคยง้อน้องก้อยหรือใครสักคนนี่แหละผ่านโทรศัพท์เพราะดันไปลืมวันเกิดเขา ส่วนต้าเคยง้อดาวคณะนิเทศเรื่องซื้อของอะไรสักอย่าง นี่ไม่ใช่แฟนด้วยนะครับ พวกมันเรียกว่ากิ๊ก
"ไม่รู้ว่ะ กูบอกเลิกไปแล้ว เท่ากับว่าเลิกกันแล้วป่ะวะ"
"แต่กูไม่เลิก"
หืม? ไม่นะครับ เสียงนั่นไม่ใช่เสียงพวกผมเลย
"กวิน มาพอดีเลย"
"ขอบใจมากคุณที่บอกชื่อร้าน ขอบใจพวกมึงด้วย ค่าเหล้าส่วนของมันเท่าไหร่มาบอกแล้วกัน เดี๋ยวจ่ายให้"
"ไม่เป็นไร เอามันไปปรับความเข้าใจก่อนเถอะ งอแงชิบหายเลย เหมือนจะเมาแล้วด้วย"
"อืม... ไปเตี้ย กลับห้องกู"
"ไม่เอา! กูไม่ไป เลิกกันแล้วทำไมกูต้องไปกับมึงด้วย!?"
"เลือกว่าจะให้ทำที่ห้องหรือที่นี่ ต่อหน้าเพื่อนมึง"
"ไอ้วิน!"
ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปสักพัก สุดท้ายภีมก็โดนหนุ่มแว่นหน้าหล่อแบกขึ้นบ่าหายไปที่ทางออก พวกผมมองหน้ากันไปมาแล้วหันไปมองคุณที่ใช้ตะเกียบคีบปลาดิบในจานใส่ปากเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นราวกับรอให้เขาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด
แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่รู้ถึงสายตา จนกระทั่งเพื่อนๆ ต้องหันมามองผม ใช้ให้ผมกระตุ้นเอาคำตอบจากคุณนี้แหละ
"คุณครับ คนเมื่อกี้...?"
"หือ? อ๋อ แฟนภีมไง ชื่อกวิน" พูดแล้วก็เหมือนนึกขึ้นมาได้ คุณทำคิ้วตกตาละห้อยมองพวกผม "พวกนายไม่ได้รังเกียจใช่มั้ยที่เพื่อนเราคบกวิน..."
"ไม่นี่ แค่อยากรู้จักไว้ว่าเป็นใคร จะได้ทักทายเผื่อครั้งหน้าเจอกัน"
"เพื่อนกัน จะรังเกียจความเป็นมันทำไม"
"ครั้งหน้าชวนมันมาด้วยดิคุณ หลายๆ คนน่าจะสนุก มีคนตบมุกคู่กับฝาแฝดนรกแน่"
คุณยิ้มแล้วรีบพยักหน้าใหญ่ คงดีใจแทนเพื่อนตัวเองมาก ส่วนผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเพื่อนแต่ละคนไม่น้อยไปกว่ากัน พลันคุณเปลี่ยนสายตามามองหน้าผมพร้อมสีหน้าเหมือนคนรอคำตอบจนผมต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"รักษ์ล่ะ... รังเกียจเรื่องพวกนี้มั้ย?"
เพราะผมไม่ตอบออกไปนี่เองเขาถึงได้ทำหน้าแบบนี้ใส่ ผมส่ายหน้าก่อนจะยื่นมือไปเช็ดเศษที่เปื้อนมุมปากให้เขา
"ไม่หรอก ความรักก็คือความรัก ไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศหรือตัวแปรอะไรเสียหน่อย"
ผมเห็นบ่อยไปครับ เพื่อนสมัยม.ปลายที่จบมาด้วยกันหรือแม้แต่เพื่อนที่คณะตอนนี้ก็มีหลายคนที่เลือกจะรักโดยไม่สนใจเรื่องอื่นๆ พวกนั้น สำหรับผมแล้วความรักเป็นสิ่งสวยงามไม่ว่ามันจะเป็นความรักรูปแบบไหนก็ตาม ต้องขอบคุณครอบครัวที่ปลูกฝั่งความคิดด้านบวกให้ผมตั้งแต่ยังเด็ก
"เออ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว แล้วพวกคุณสองคนล่ะครับ อะไรยังไง? ไหนเล่ามาสิ"
ไอ้เผือกที่วันนี้ทำหน้าที่เผือกสมชื่ออีกรอบทำหน้าตาขึงขังแถมยังทำท่าเหมือนขยับแว่นตาให้ดูมีชาติตระกูลเหมือนการ์ตูนนักสืบบางเรื่องเปิดประเด็นขึ้น แน่ล่ะว่าอีกสองคนที่เหลือไม่รอช้า ร่วมวงกันใหญ่
"อะไรยังไงคือ?"
"คบกันอยู่หรือเปล่า?"
เจอคำถามเข้าไปผมกับคุณก็มองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะใส่ประโยคคำถามของเพื่อน หัวกลมๆ ของคนข้างตัวเลื่อนมาซบไหล่พร้อมควงแขนผมแล้วกอดแน่น มีการแทรกนิ้วเข้ามาประสานกันกับผมแล้วชูขึ้นให้คนรอบโต๊ะดูด้วย
"คบสิ"
"กูว่าแล้ว!"
"ก็เป็นรูมเมทกันนี่หน่า เนอะ?"
หน้าเหวอๆ ของเพื่อนทำให้ผมหลุดขำออกมาอีกรอบจนได้ ส่วนคุณก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ที่ได้แกล้งตอบคำถามกำกวมไป มิวายหันมายักคิ้วใส่ผมด้วยสีหน้าสนุกสนานเต็มที่อีก สมกับเป็นคุณจริงๆ
"กูว่ากวนตีน ไอ้คู่นี้กวนตีนแน่ๆ"
"งั้นมึงก็เลิกสนใจเหอะ มันจะเป็วผัวเมีย เป็นรูมเมท เป็นอะไรก็ให้มันรู้กันสองคนก็พอ"
"กูก็ว่างั้น กว่าจะเปิดตัวก็นู่น ร่อนซองแดงแจกอ่ะกูว่า"
ก็ว่าไปนั่น เสียงบ่นกระปอดกระแปดของสามคนยังดังต่อไปอีกสักพักก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันแทน ผมกับคุณมองหน้ากันแล้วส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง โดยที่มือของเรายังประสานกันไว้อยู่อย่างนั้น หรือถึงปล่อยเราก็จะกลับมาจับกันใหม่อีกครั้ง จนสามคนนั้นเริ่มทำเหมือนไม่เห็นอะไรแล้ว
จนกระทั่งตอนนี้ที่แยกกับเพื่อนๆ เพื่อกลับหอแล้ว มือของเราทั้งคู่ก็ยังประสานกันอยู่ สนุกดีเหมือนกันนะครับทำเรื่องแบบนี้ตอนเดินอยู่ด้วยกัน หลังจากนี้คงเริ่มเดินจับมือกันบ่อยๆ แล้วล่ะผมว่า
"ไม่ปล่อยมือเราเหรอ?"
คุณถามขึ้นก่อน แต่ไม่มีท่าทางว่าอยากจะปล่อยแต่อย่างใด
"ไม่ปล่อยหรอก"
"ทำไมไม่ปล่อยล่ะ?"
"ชื่อรักษ์ที่มี ษ.บอรึษี การันต์ แปลว่าอะไรรู้มั้ย?"
เลือกจะตอบคำถามด้วยคำถาม แม้รอบข้างจะมีเพียงแสงไฟจากเสาไฟฟ้าแต่ก็พอจะเห็นว่าคุณทำหน้าจริงจังในการคิดหาคำตอบเหลือเกิน คล้ายกับสีหน้าเวลาที่เขาทำงานแล้วผมลอบมองอยู่บ่อยๆ
"อืม... แปลว่า... ดูแล รักษา ปกป้อง ให้ความสำคัญ?"
"นั่นแหละคำตอบที่คุณถามเมื่อกี้"
"...อย่ามาหยอดนะ แค่นี้เราก็เขินจะตายอยู่แล้ว"
อยากขอบคุณแสงจากเสาไฟที่สว่างมากพอทำให้ผมเห็นคุณหน้าแดงยืนยันคำพูด ครั้งหน้าจะขอปีนไปติดเป็นไฟขาวจะได้เห็นชัดกว่านี้
"ไม่ให้ตาย ก็รักษ์คุณอยู่ จะตายได้ไง"
"...อีกนิดเราจะไม่ให้รักษ์แล้วจริงๆ นะ"
"ไม่รักษ์คุณแบบนี้แต่จะรักคุณอีกแบบก็ได้อยู่นะ"
"ฮื่อออ... ไม่เอาแล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว"
หน้าเน้อหูเหอแดงกว่าเมื่อครู่เสียอีก แถมยังทำทีจะเป็นฝ่ายสะบัดมือทิ้งก่อนจนผมต้องล็อกแน่นกว่าเดิมไม่ให้หลุดไปได้ ดูท่าคงจะแกล้... พูดมากเกินไปหน่อยจนทำให้เขาเขินเสียขนาดนี้
เล่นมีรูมเมทแบบนี้จะไม่ให้ผมรัก(ษ์)ได้ยังไงไหว จริงไหมล่ะครับ?
--------------------------------------------------------------------------------------------
TALK: สวัสดีค่ะ หายไปนานทีเดียว เพราะช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายม๊ากมากเลย
มาต่อตอนนี้แล้วเจอกันอีกทีอาทิตย์หน้าเลยนะคะ ขอเคลียร์ชีวิตหน้าที่การงานก่อน 55555555555
ไม่รู้จะเม้าท์อะไร เอาเป็นขอให้ทุกคนอ่านเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มเช่นเคย และขอบคุณสำหรับคอนเม้นท์มากๆ นะคะ
แล้วเจอกันค่ะ