ตอนที่ 36
“ที่หนึ่งจะมานอนค้างบ้านฟ้าไม่ได้นะคะ!” หญิงสาวแผดเสียงหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ผู้ชายตรงหน้าพูด ซึ่งก็ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ผิดคาดสักเท่าไหร่นัก
“ทำไมละ?” ทั้งๆ ที่เขามีคำตอบที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ก็เลือกที่จะถามไล่ต้อน
“ฟ้า คือ...ฟ้าไม่สะดวก บ้านฟ้าไม่มีอะไรหรอก ไม่มีของเล่น ไม่มีเกมอะไรพวกนี้เลย พี่ไปบอกที่หนึ่งให้หน่อยแล้วกัน ว่าถ้าอยากนอนด้วยกัน เดี๋ยวฟ้าจะไปนอนด้วยที่คอนโดฯ พี่เอง”
“ก็บอกเองสิ”
“ก็ฟ้าเพิ่งเรียกพี่เพื่อจะมาบอกว่าฟ้าไปคอนโดฯ พี่ไม่ได้สักพักนี่ไง!” เธอเริ่มฉุนเฉียว แต่ด้วยวุฒิภาวะ และสถานที่ก็ทำให้เธอเก็บสีหน้าและน้ำเสียงได้ดีเยี่ยม พอๆ กับอีกคนที่หงุดหงิดตั้งแต่ต้องเดินเข้ามาในร้านของผู้หญิงคนนี้แล้ว
“แล้วถ้าลูกถามว่าทำไม พี่จะตอบว่ายังไง?”
“ก็บอกไป ว่าเดี๋ยวฟ้าจะไปนอนค้างที่ห้องเขาเอง”
“แล้วถ้าที่หนึ่งถามอีกว่าทำไม พี่จะตอบว่ายังไง?”
“ก็บอกว่าบ้านของฟ้า ไม่มิอะไรน่าสนใจ ไม่มีของเล่น ไม่มีเกม น่าเบื่อจะตายไป”
“แล้วถ้าเขายังยืนยันว่าไม่เป็นไร แล้วจะไปค้างด้วยละ?” ตุลย์ถามจี้ เขารู้สึกหงุดหงิดกับความรู้สึกที่ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้เลยหรอ ว่าที่หนึ่งต้องการอะไร! ดูไม่ออกเลยใช่ไหม ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นเรียกหา คือ ‘แม่’ ไม่ใช่ของเล่น!?
“โอ๊ย พี่ก็พูดๆ อะไปก็ได้ พูดไปเถอะ แต่เขามานอนบ้านฟ้าไม่ได้เข้าใจไหม!” เธอพูดเสียงห้วน ตั้งท่าจะลุกหนีเป็นการตัดจบบทสนทนาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินคำพูดเสียดแทงจากปากของอดีตคนรัก
“ให้พี่บอกลูกให้ไหมละ ว่าไปบ้านแม่ไม่ได้ เพราะว่าที่นั่นมี ‘ผู้ชาย’ ของแม่อยู่”
“!”
“ถ้าให้พี่เดาต่อ ผู้ชายคนนั้นเขาคงไม่ชอบใจเท่าไหร่ใช่ไหมละ ที่ฟ้ามาหาลูก ที่คอนโดฯ พี่จนกลับดึกแทบทุกวัน เพราะว่าแย่งจากคนอื่น ก็เลยกลัวพี่จะแย่งเมียตัวเองกลับไปอย่างนี้หรอ? เหอะ ก็คิดได้ว่าฟ้ามีค่าขนาดนั้น”
เธอหันขวับมองอย่างโกรธเกรี้ยว หน้าชาราวกับโดนตบ ยิ่งเห็นสายตาที่มองว่าเธอไร้ค่าก็ยิ่งทำให้โกรธจนมือแทบสั่น!
“พูดแบบนี้กำลังร้อนตัวอะไรหรือเปล่า? หวั่นไหวกับฟ้าอีกรอบ จนต้องกล่อมตัวเองอยู่หรอไง?” เธอยิ้มทั้งๆ ที่ดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่เขารู้ดีว่านั่นคือการเยาะเย้ย
“อย่าเลย หลงผิดมาสามครั้งก็มากพอแล้ว ให้พี่ได้เจอของดีๆ บ้างเถอะ” เสียงทุ้มพูดขึ้นพร้อมกับที่ร่างสูงใหญ่ของตุลย์ลุกขึ้นยืน เขาวางเงินเท่ากับราคาของเครื่องดื่มที่เขายังไม่ได้แตะต้องลงบนโต๊ะ มองหน้าของอดีตคนรักที่ตอนนี้เป็นยิ่งกว่าคนแปลกหน้า “เอาเป็นว่า จะไปบอกที่หนึ่งให้ก็แล้วกัน ถ้าคราวหน้ามาหาลูก แล้วลูกถามก็หาคำตอบเอาไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกันคุณผู้หญิง”
กริ๊ง~
“ขอบคุณค่ะ”
แผ่นหลังของตุลย์ค่อยๆ ห่างเธอออกไป แต่ความโกรธเกรี้ยวมิได้จางลงตามเลยแม้แต่น้อย เธอโมโหกับคำพูด ท่าทาง น้ำเสียง สายตาทุกๆ อย่างของผู้ชายคนนั้นที่ทำกับเธอ! อยากจะพูดจาแรงๆ ตอกหน้าอีกฝ่ายกลับไปให้หงาย แต่ผู้ชายคนนั้นกลับเลือกที่จะเดินออกไปก่อนที่เธอจะได้ระบายอารมณ์!
ตึง!
เธอทิ้งตัวนั่งกระแทกเก้าอี้อย่างแรง!
“ผู้ชายอะไร แย่ที่สุด!”
ทันทีที่ก้าวมาถึงบันไดชั้นล่าง ความรู้สึกกดดันก็ค่อยๆ ไหลออกจากบ่า ตุลย์ถอนหายใจพลางเสยผมของตัวเองลวกๆ ตอนนี้เขานึกขอบคุณอาชีพพนักงานขายที่ต้องเชื่อมต่อกับบุคคลภายนอกของตัวเองมาก ที่ทำให้เขาใจเย็นและระงับอารมณ์ได้ดีขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกันเขาทึ่งกับตัวเองเช่นกันที่สามารถพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างแสบทรวง
แต่เธอต้องนึกดีใจนะ ที่สามารถเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขารู้สึกชิงชังได้
ปึก!
“ขอโทษครับ / อะ ขอโทษที” เสียงสองเสียงดังขึ้นพร้อมกับที่ต่างฝ่ายต่างได้มองหน้ากันและกันเพียงเสี้ยววินาที ตุลย์นึกแปลกใจเล็กน้อยที่อีกฝ่ายมองเขม็งจนเสียมารยาท แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยผ่าน ทำเพียงพูดขอโทษอีกครั้งแล้วเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง
“นั่นมัน...”
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า ผู้ชายที่เขาชนด้วยนั้น เป็นคนที่เขาครั้งหนึ่ง เขานึกอยากจะลองเจอหน้า!
กริ๊ง~
“ยินดีต้อนรับค่ะ” เสียงพนักงานสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เขาทักทายคนเหล่านั้นอย่างสนิทสนมก่อนตรงไปยังผู้จัดการของร้านที่กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ไม่ห่างออกไป
“ฟ้า”
“อ้าว พี่วี ไหนบอกจะมาตอนเย็นๆ ไงคะ นี่เพิ่งจะบ่ายสองเอง”
“พอดีงานเสร็จเร็ว ก็เลยตั้งใจว่าจะมาอะไรดื่ม แล้วก็นั่งรอฟ้ากลับพร้อมกันเลย” ‘วี’ สามีของหญิงสาวตอบก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้าม
อุ่น...เหมือนเพิ่งมีใครนั่งมา
“อ๋อ ถ้างั้นพี่อยากกินอะไร? เดี๋ยวฟ้าไปทำมาให้” เธอลุก ตั้งท่าจะไปทำเครื่องดื่มให้คนรักอย่างที่เสนอตัว
“...เมื่อกี้พี่เจอ ผู้ชายคนนั้น”
“คะ?”
“ตุลย์...มันมาทำไมที่นี่? มาหาฟ้าหรอ? มาคุยเรื่องอะไรกัน?” แม้จะเป็นน้ำเสียงราบเรียบไม่มีการกระโชกโฮกฮากแต่อย่างใด แต่สายตาที่เขาจ้องมองภรรยาของตนนั้นกลับเหมือนคนตะคอกและช่างดูคาดคั้น
“อะไรของพี่? ฟ้าไม่ได้เรียกเขามาคุยอะไรส่วนตัวหรอกค่ะ ฟ้าแค่เรียกเขามาบอกว่าฟ้าคงไปหาลูกไม่ได้สักพัก ก็พี่เป็นคนห้ามฟ้าไม่ให้ไปหาลูกเอง ให้ตายเถอะ พูดขึ้นมาแล้วฟ้าก็อยากรู้ พี่ห้ามฟ้าไม่ให้ไปหาลูกทำไม? พี่รู้ไหมว่าฟ้าอยากเจอเขา อยากอยู่กับเขามากแค่ไหน! หรือที่พี่ไม่อยากให้ฟ้าไปหาลูก ก็เพราะว่าถ้าไปหาลูก ฟ้าก็ต้องเจอพี่ตุลย์ แค่นั้นหรอ!?”
“ใช่! นั่นก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดแล้ว!” วีเริ่มขึ้นเสียง โชคดีที่ในร้านไม่ได้เงียบเกินไปจนทำให้เสียงของเขาเด่นมากนัก
“ก็ฟ้าบอกพี่ไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า ฟ้ากับพี่ตุลย์ไม่มีอะไรต่อกันแล้ว เราไม่มีทางต่อกันติด!”
“แล้วพี่จะไว้ใจแค่ไหน ในเมื่อฟ้ากลับไปหามันตั้งไม่รู้ตั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง! แล้วยังมีลูกกับมันตอนที่คบกับพี่อยู่อีกตั้งสองคน! แค่นี้พี่ก็ใจกว้างจนไม่รู้จะใจกว้างยังไงแล้ว พี่ยังต้องใจกว้างกับฟ้ามากกว่านี้อีกใช่ไหม! มันผิดตรงไหนที่พี่จะไม่ชอบใจในเมื่อตอนนี้ฟ้าเป็นเมียพี่โดยสมบูรณ์แบบแล้ว!”
“อึก”
“นึกถึงพี่บ้างเถอะ ทั้งๆ ที่ตลอดมาฟ้าไม่เคยร้องหาลูกเลยสักครั้ง แต่พอเจอมัน เจอลูกก็มาขอพี่ไปเยี่ยมลูก ไปบ้านมันอยู่จนดึกเป็นเดือนจะให้พี่รู้สึกยังไง”
ทอฟ้าเบือนหน้าจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม การมีลูกกับตุลย์เป็นความผิดที่เธอก็รู้ตัวดี ทั้งๆ ที่เธอพลาดไปถึงสองครั้ง แต่ผู้ชายที่ชื่อ ‘วี’ ก็ยังอภัยให้เธอเสมอ เขาให้มากขนาดนี้ แต่เธอก็ยังเรียกร้อง...
“ฟ้าแต่งงานกับพี่แล้ว” เธอเอื้อมมือที่ใส่แหวนแต่งงานไปกุมมือของชายคนรัก “ฟ้าเป็นของพี่คนเดียว ถ้าพี่ไม่สบายใจ ฟ้าก็จะไม่ทำ พี่ไม่อยากให้ฟ้าไปหาลูก ฟ้าก็จะไม่ไปหาเขา ฟ้าจะอยู่กับพี่”
รอยยิ้มสวยปรากฎขึ้นให้กับชายคนรัก สายตาที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เธอพูดมาเป็นความจริง ทำให้วีเองก็ค่อยๆ เผยยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน ความแคลงใจ ความไม่ไว้ใจลอยออกไปราวกับเมฆดำ หญิงสาวคนนั้นถามเครื่องดื่มที่ผู้เป็นสามีต้องการและอีกฝ่ายก็ตอบกลับไปเป็นเครื่องดื่มของโปรด
ความรู้สึกอ่อนหวาน ความรักที่เป็นสีชมพู ทำให้ทั้งคู่กลายมาเป็นที่น่าอิจฉาของคนรอบข้างอย่างที่เคยอีกครั้ง การหยอกล้อที่ดูน่ารักทำให้ใครต่อใครมากมายพร้อมใจที่จะบอกว่า ‘ช่างเหมาะสม’
แต่กลับไม่มีใคร หรือแม้แต่จะสังเกตเห็น ร่องรอยเล็กๆ ในสีชมพูนุ่มหวาน ความบ่งพร่องของการเป็น ‘แม่คน’! นี่คือคำพูดของคนที่บอกใครต่อใครนักหนา ว่าเธออยากเจอลูก อยากอยู่กับลูก อยากเห็นหน้าลูก การไม่มีเขาทำให้เธอแทบขาดใจ
อีกครั้ง...ที่สุดท้ายเธอก็เลือกผู้ชายมากกว่าลูกของตัวเอง แกร๊ก
“กลับมาแล้วลูกลิง” ตุลย์ร้องบอกกับคนที่อยู่ภายในห้องขณะที่เขากำลังถอดสูทและกระเป๋าเอกสารลงบนโซฟา ก่อนจะย่อตัวหาคนลูกชายคนโตที่วิ่งเข้ามากอดอย่างแรง
“พ่อ แม่ละ? แม่อยู่ไหนครับ? อยู่ไหนๆๆๆ” เด็กน้อยร้องถามพร้อมกับชะเง้อมองไปที่ประตู หวังว่าแม่ของตนอาจจะเซอร์ไพร์เปิดผ่างเข้ามาหาเขาอย่างทุกที โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่าพ่อที่ตนกอดอยู่นั้นมีสีหน้าเจื่อนลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ได้เสียใจเลยแม้แต่น้อยกับการที่ที่หนึ่งไม่ร้องหา กลับกันเขาสงสารที่หนึ่งเสียมากกว่าที่คนเป็นแม่ไม่ได้โหยหาเฉกเช่นที่เด็กคนนี้เป็น
“วันนี้แม่เขาไม่ว่างเลยมาหาที่หนึ่งไม่ได้นะ”
“งานหรอ?”
“ใช่แล้วครับ”
“แต่พรุ่งนี้แม่จะมาอยู่ใช่ไหมอะพ่อ ถ้างั้นพ่อบอกแม่ให้มาตั้งแต่เช้าได้ไหม? พรุ่งนี้วันอาทิตย์ที่หนึ่งหยุดอยู่บ้านทั้งวันเลย จะได้อยู่กับแม่นานๆ ชดเชยวันนี้ด้วยเลย”
“พรุ่งนี้แม่ก็ยังมาหาที่หนึ่งไม่ได้นะ”
“ทำไมอะ? แม่ยังติดงานอยู่หรอ?”
“ประมาณนั้นครับ วันนี้แม่มาบอกพ่อว่า แม่คงมาหาที่หนึ่งไม่ได้...สักพักหนึ่งเลย”
“ห่างกันสักพัก ห่างกันสักพัก สักพักนี่นานต้องนานแค่หน๊ายยยยย~”
ผ่าง!
“ตลอดชีวิตหรือจนฉันตาย ห่างกันทำไมมม ทำไมไม่เลิกกัน~”
หมุนตัวสองทีเป็นอันจบการแสดง
“...”
“...”
วี๊ๆ... /เสียงแมลงวัน
“ยังร่าเริ่งเหมือนเคยเลยนะเอส เข้ามาก่อนสิ กินอะไรมาหรือยัง?”
“ป้าสร้อยสวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ป้าสร้อยที่อยู่ในครัวกับตอนต้นปลกๆ ก่อนแทรกตัวเดินผ่ากลางระหว่างพี่ตุลย์กับไอ้เด็กที่หนึ่งเข้าไปหา
อธิบายก่อน คือผมก็ไม่ได้อยากทำตัวไร้มารยาทนะครับ แต่สองคนนั้นขวางทางอะ ที่ว่างที่พอจะเดินได้มีแค่ตรงกลางเท่านั้นเอง จะยืนทื่ออยู่หน้าประตูจนกว่าสองคนนี้แยกย้ายกันไป...ผมก็รู้สึกเฟร้งฟร้าง
เพราะงั้นอาจจะทำตัวไร้มารยาทไปนิด แต่ขอไปรวมกลุ่มกับป้าสร้อยดีกว่า
“เอสมาพอดีเลย มาช่วยป้าพาตอนต้นอาบน้ำหน่อยสิ”
“อ๋อ ได้ครับ เอ่อ...แต่ว่า เกิดเรื่องอะไรกันขึ้นหรือเปล่าครับ ทำไมบรรยากาศระหว่างพี่ตุลย์กับที่หนึ่งแปลกๆ ทะเลาะกันอีกแล้วหรอ?” ผมเอนตัวถามป้าสร้อย มองที่หนึ่งที่ผละกลับไปเล่นเกมเพลย์หน้าทีวีกับพี่ตุลย์ที่กำลังเดินเข้าห้องนอน
“ก็ไม่นะ ตุลย์เขาแค่มาบอกที่หนึ่งว่า หนูทอฟ้าจะไม่มาสักพักนึงก็เท่านั้นเอง”
“อ๋อ” ผมลากเสียงยาว เริ่มเข้าใจแล้ว ผมพูดขอบคุณป้าสร้อยเบาๆ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างไอ้เด็กน้อย “ก่อนหน้านี้ที่หนึ่งเคยบอกว่าตัวเองโตแล้วไม่ใช่ไง? นี่ยังมานั่งซึม คิดถึงแม่อยู่เลย” ผมเริ่มโดยการพูดหยอก
“ที่หนึ่งไม่ได้ซึมสักหน่อย”
“หรอออ ไม่ซึมเลยยย อีกนิดก็จะร้องไห้แล้วเนี่ยๆ พี่ทอฟ้าเขาก็คงติดงานนั่นแหละ งานเสร็จเมื่อไหร่เดี๋ยวเขาก็มาหาเอง ไม่ต้องทำหน้าหงอยหรอกหน่า”
“แล้วเมื่อไหร่จะเสร็จละ?”
“สักสองสามวันละมั้ง แล้วพี่จะไปรู้ได้ไงวะ แต่ที่แน่ๆ ไม่รอนานชัว ยังไงคนเป็นแม่เขาก็ต้องอยากรีบทำงานให้เสร็จ กลับมาเจอลูกอยู่แล้ว!” ผมยืดอก พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“...” แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่ผมทำก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเด็กที่หนึ่งนั่นรู้สึกดีขึ้นเลย ยังคงหงอยซึมเป็นหมาป่วยอยู่ดี
อื้มมม...ทำไงดีวะ สถานการณ์แบบนี้ผมก็ไม่เคยเจอเหมือนกันด้วยสิ
“อ่า คิดถึงแต่แม่แบบนี้พี่ตุลย์จะน้อยใจเอาดิเนี่ย หนีเข้าห้องนอนไปแล้วเห็นไหมนะ” ไม่ว่าเปล่าพร้อมชี้ไปยังประตูห้องนอนที่ปิดสนิท ที่หนึ่งหันตามก่อนที่ใบหน้าอูมๆ ของเด็กน้อยจะสลดยิ่งกว่าเก่า
…
ฉิบหาย! กูทำอะไรผิดวะเนี่ย
“อะ เอ่อ ร่าเริงหน่อยเถอะหน่า ระหว่างแม่ไม่อยู่ เดี๋ยวพี่จะเล่นกับที่หนึ่งเองเอาไหม? เล่นได้ทุกอย่างตั้งแต่ต่อจิ๊กซอว์ยันวินนิ่งเลย!” ผมเสนอตัวสุดอะไรสุด แต่ที่หนึ่งก็ไม่ตอบรับกดจอยในมือของตนเองอย่างเลื่อนลอย ผมเองก็เริ่มจะคอตก ไม่รู้ดิ คือผมรู้นะครับว่าผมเป็นคนนอก แต่...ผมก็ไม่อยากให้ที่หนึ่งรู้สึกเสียใจแบบนี้
“แอ๊!” ผมกับที่หนึ่งหันมองตามเสียงพร้อมกัน ก่อนจะเห็นเด็กสมบูรณ์กำลังเดินเตาะแตะมาทางพี่ชายของตนพร้อมส่งเสียงอ้อแอ้คลายปลอบใจ ที่หนึ่งดูอึ้งเล็กน้อยกับการที่น้องชายพยามยามจะปีนขึ้นมาบนตัก แม้มือเล็กๆ นั่นป้วนเปี้ยนอยู่บนใบหน้าจนดูเหมือนจะน่ารำคาญแต่ที่หนึ่งกลับยิ้มออกมาแล้วกอดเจ้าหมูอ้วนเอาไว้แน่น
พอเห็นภาพนั้นผมเองก็หลุดยิ้มออกมา ส่ายหัวให้กับความเป็นเด็กของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมวางมือลงบนหัวมันก่อนจะออกแรงขยี้จนที่หนึ่งร้องเสียงโวยวายดังลั่น
“ทำอะไรเนี่ย!”
“หมั่นไส้ๆๆๆ” ผมพูดซ้ำพลางกลั้วหัวเราะ จากหนึ่งมือก็ใช้ทั้งสองมือขยี้หัวมั้ง จี้เอวมั้งจนเด็กนั่นลงไปนอนแดดิ้นอยู่กับพื้นพร้อมกับตอนต้นที่หัวเราะเริ่งร่าอยู่ในอ้อมกอด
“หมั่นไส้อะไรเนี่ย!”
“หมั่นไส้เด็กติดแม่ ทำหน้าหงอยๆ อยู่ได้ เนี่ยคิดดูขนาดให้เด็กหนึ่งขวบมาปลอบ! แม่ก็แค่ไม่มาสักพัก ไม่ใช่ว่าจะไม่มาเลยสักหน่อย”
“ไม่แน่หรอก! ตอนนั้นที่แม่หายไป พ่อก็มาบอกว่าแม่แค่จะไม่มาหาสักพักเหมือนกันนี่! ก็มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว มันผิดตรงไหนที่ที่หนึ่งจะคิดมากอะ!”
ผมเงียบ ไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีคำพูดอะไรที่จะพูดได้เลยในตอนนี้ อันที่จริง ผมอยากจะบอกมันว่า ดีแค่ไหนแล้วที่จะยังได้เจอแม่บ้าง ดูผมนี่! ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ยังไม่ได้เจอเลยสักนิด! แต่...ผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องดราม่ามาพูดใส่กันทำไม อีกอย่าง การที่ไม่เคยได้มีแม่เลย แต่การที่เคยได้มีแม่แล้ววันหนึ่งไม่มีมันก็คงจะทุกข์ต่างกันนั่นแหละ ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้หรอก
“เฮ้อ” สุดท้ายผมก็ถอนหายใจ ทำได้เพียงแค่ลูบหัวที่หนึ่ง “คราวนี้มันจะไม่เป็นอย่างนั้น เชื่อสิ แม่ของที่หนึ่งจะต้องรีบทำงานให้เสร็จ ตรงกลับมาหาที่หนึ่งไม่หนีหายไปไหน”
“จริงหรอ?”
“จริงดิ! นี่ไม่อยากจะอวดหรอกนะ แต่เวลาพูดอะไรมักจะเป็นอย่างนั้นตลอดเลยแหละขอบอก!” ผมยักคิ้วกวนประสาทให้สองทีติดแถมท้ายด้วยยิ้มมุมปากแบบคูลๆ “เพราะงั้น นั่งเล่นเกมแล้วก็รอแม่ไปเถอะ เข้าใจ๊?”
“รู้แล้วหน่า” ที่หนึ่งพูดเสียงฉุน พยายามจะแกะมือผมที่ยังวางอยู่บนหัวตัวเองออกแต่ผมก็กวนตีนไงทำมือแข็งแขนแข็งไม่ขยับ จนเด็กนั่นเริ่มร้องแง๊วๆ บอกให้ปล่อย ผมเลยลุกขึ้นผลักหัวมันหนึ่งทีเป็นการส่งท้าย “เดี๋ยวสิ! แล้ว...จะไม่เล่นเกมด้วยกันกับที่หนึ่งก่อนหรอ”
“หะ?” ผมเลิกคิ้ว ก่อนจะหัวเราะออกมากับท่าทางเหมือนลูกหมาที่อยากให้ผมเขวี้ยงบอลแล้วตัวเองจะวิ่งไปคาบมาเก็บ ผมว่าเป็นเด็กมันดีอย่างนะ เปลี่ยนอารมณ์ง่าย ไม่คิดอะไรมาก เห็นงี้แล้วผมอยากกลับไปเป็นเด็กเหมือนหน้าเลย เฮ้อ เศร้า~ “ไม่อะ ให้โอกาสที่หนึ่งไปฝึกฝีมือมาแล้ว แล้วเก่งแล้วพี่ชายจะยอมมาสู้ด้วยแล้วกันนะไอ้น้อง~”
“อย่ามาอวดเก่งหน่อยเลย เกมนี้น่ะ ที่หนึ่งเก่งมากนะยังไงก็ชนะแน่!”
“ครับๆ” ผมหัวเราะเสียงดังลั่นพลางเดินตรงไปยังห้องนอนใหญ่ ไม่เคาะให้เสียเวลาเปิดผ่างเข้าไปข้างใน มองผู้ชายที่นอนเอกเขนกกายอยู่บนเตียงก่อนจะปิดประตูลง