BED CARE JOB
ตอนที่ 9 ภาษาไทยอ่อนแอ
วันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมแทบไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยนอกจากวิ่งวุ่นอยู่ในร้านกาแฟ พี่ปุยฝ้ายบ่นว่าลูกค้าเยอะแต่ก็ยิ้มหน้าบานตอนรับเงินสุดๆ ส่วนพี่พงศ์ บาริสต้าประจำร้านกลับมาทำงานตามปกติหลังจากลาไปหนึ่งวันเมื่อวันศุกร์ เขายังไม่ค่อยได้สอนผมชงกาแฟมากนักเพราะหาเวลาหายใจหายคอไม่ได้ ลูกค้าแน่นร้านทั้งวัน ถ้ามีเวลาว่างพวกเราก็ลงความเห็นว่าควรนั่งงพักเพื่อเตรียมรับมือระลอกใหม่หรือไปหาอะไรกิน
หลังเลิกงาน ผมเช็กเมลอีกครั้ง แต่มิสเตอร์เค คนที่ผมอยากตัดใจไม่ได้ติดต่อมาอีก แม้จะเป็นทางโทรศัพท์ก็ตาม ผมไม่แปลกใจ ถ้าติดต่อมานี่สิถึงค่อยเป็นกังวล
วันนี้เช้าวันจันทร์ ผมมานั่งเรียนตามตารางชีวิต ตอนนี้ในกลุ่มมีผมที่เพิ่งมาถึงคนเดียว น่าแปลกที่แก๊งสามสาวนั่นมากันครบแล้วซึ่งผิดวิสัยอย่างมาก ปกติแล้วรุ่นพี่อาชีพผมนั้นจะมาก่อนอาจารย์สอนไม่กี่นาทีเท่านั้น ผมเปิดชีทเรียนฆ่าเวลา ส่วนสามสาวข้างหน้าเลือกพูดคุยกันระหว่างรอเริ่มเรียน
“กูปฏิเสธลูกค้าไปแล้วนะ” จู่ๆ สาวผมแดงนามว่าเปิ้ลก็โพล่งขึ้นมา สายตาผมยังจับจ้องอยู่ที่ตัวหนังสือแต่ถามว่าอ่านรู้เรื่องไหม คงพอเดากันได้ใช่ไหม
“หืม? ลูกค้า? ใช่คนที่บอกจะเลี้ยงดูเป็นเรื่องเป็นราวปะ” ข้าว สาวผมดำสั้นถามขึ้น
“อืม คนนั้นแหละ”
“ทำไมวะ”
“เขาดีเกินไป” น้ำเสียงเปิ้ลฟังดูอ่อนใจ
“อ้าว” สาวข้าวอุทานด้วยความงุนงง
“มึงได้ยินไม่ผิดหรอก เขาดีมากไปจนอันตราย อาชีพอย่างกูไม่ควรจะรู้สึกกับคนว่าจ้างเว้ย”
“พูดเหมือนมึงชอบเขา” เกด สาวผู้มีสาระถามขึ้น
“ตอนนี้ยัง แต่คิดว่าถ้ากูตอบตกลงและอยู่กับเขา สักวันหนึ่งกูคงจะชอบเขาจริงๆ” คำตอบของเปิ้ล ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกธนูปักที่อก เปิ้ลกลัวจะชอบลูกค้า แต่ผมนี่สิชอบไปแล้วเต็มเปา
“ไหนมึงเคยบอกว่าลูกค้าก็คือลูกค้า คิดเยอะไปแล้ว” ข้าวเตือน
“มึงฟังนะ จะมีสักกี่คนที่ไม่ใจอ่อนกับคนพูดจาดี เอาใจเป็น จ่ายทุกอย่างเต็มที่ ไม่ขี้เหนียว แถมยังมีภาวะผู้นำ คอยให้คำปรึกษาต่างๆ”
“นั่นผัวหรือพ่อ” ข้าวหัวเราะขำๆ กับคำพูดเพื่อนผมแดง
“ลูกค้าย่ะ” เปิ้ลเลยกระแทกเสียงกลับไป เดาว่าคงไม่ได้โกรธอะไรจริงหรอก สาวๆ ชอบพูดกันแนวนี้เป็นประจำอยู่แล้ว
“ถูกต้องอย่างที่เปิ้ลมันพูด มึงก็เลยกลัวจะชอบเขาจริงๆ ใช่ไหม” เกดดึงเรื่องกลับเข้ามาอีกครั้ง
“ใช่” ผมเห็นผมสีแดงของเปิ้ลขยับเร็วๆ ตามที่เธอพยักหน้า
“แสดงว่ามึงไม่ได้รักแฟนมึงคนนี้จริงหรอกว่ะเปิ้ล” เกดวิเคราะห์
“ทำไม ถ้าไม่รัก กูจะทุ่มเทขนาดนี้เหรอ”
“มึงอาจจะยังรักอยู่ แต่เชื่อกูเถอะ มึงไม่ได้รักมันเท่าเดิมแล้ว ถ้ามึงยังรักเหมือนเดิม มึงจะไม่กังวลเลยว่ามึงจะไปรักลูกค้า”
“...”
“ถ้าวันนี้มึงบอกกูว่ามึงตกลงรับงานให้ลูกค้าเลี้ยงดูจริงจังแต่ปิดเรื่องที่มึงมีแฟนไว้ กูยังจะเชื่อมากกว่า”
“นั่น..นั่นก็ส่วนหนึ่งที่กูเลือกปฏิเสธเขาไง” เปิ้ลอึกอัก พูดไม่เต็มปาก
“มึงคิดอะไรอยู่กันแน่ บอกกูกับข้าวมาเถอะ”
สิ้นคำถามของเกด ผมได้ยินเสียงเปิ้ลถอนหายใจเสียงดังทีเดียว ก่อนที่เธอจะเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
“กูมานั่งคิดว่า ทำไมกูต้องมาทำงานแบบนี้ด้วย เงินที่กูหามาได้ทุกบาททุกสตางค์ ทำไมต้องให้มันไปใช้จ่ายง่ายๆ กูเริ่มเหนื่อยใจตั้งแต่ที่มันเริ่มแทงบอล แล้วกูช่วยใช้หนี้ให้ แทนที่มันจะคิดได้แต่เปล่าเลย มันกลับคิดว่าสบายที่มีกูใช้หนี้แทน กูถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วมันรักกูบ้างไหม” ขนาดผมหาเงินไปใช้หนี้ให้พ่อแม่ ผมยังเสียดายเงินเลย แล้วเปิ้ลล่ะไม่เสียดายเงินแย่เหรอ ที่มีคนรักไม่ช่วยเหลือกันแบบนี้
“มึงไม่รู้หรือไงว่ามันรักมึงหรือเปล่า” ข้าวถามขึ้น
“กูจะบอกพวกมึงให้รู้!” เปิ้ลกระแทกเสียงดัง
“มันไม่รักกูแล้ว แต่ที่มันไม่เลิกกับกูเพราะมันเอาเงินจากกูไปให้ผู้หญิงคนใหม่ไง อีข้าว! อีเกด!” พอเปิ้ลพูดจบเธอก็ร้องไห้โฮทันที ขนาดผมเป็นคนนอกที่แอบฟังยังรู้สึกเสียใจในเรื่องที่ได้ยินด้วยเลย
“มึงรู้ได้ไง”
“มันนัดเจอกันทุกครั้งที่กูมีนัดกับลูกค้า กูคิดมาตลอดเว้ยว่ามันเชื่อที่กูบอกว่ากูไปทำงานพิเศษ แต่ไม่รู้มันไปรู้จากไหนมาว่ากูขาย เหอะ มันบอกว่ารังเกียจกูแต่ไม่รังเกียจเงินจากกู”
ผมขอมอบคำคำหนึ่งให้ผู้ชายคนนั้นอยู่ในใจเบาๆ ‘เหี้ย!’
“แม่ง ทำไมมันทำแบบนี้กับมึงได้ลงคอวะ มึงไปเลิกกับมันเลย” ข้าวโวยวายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“...”
“เลิกยัง? มึงควรไปเลิกกับมัน มึงจะให้มันเกาะแดกแบบนี้หรือไง อย่าโง่ได้ไหม” ข้าวตอกย้ำ
“ข้าว อย่าเพิ่งไปเร่งเปิ้ลมัน เห็นไหมว่ามันเสียใจอยู่” เกดท้วงเพื่อนเสียงอ่อน
“มึงคิดว่ากูจะเฉยหรือไง กูทำไปแล้ว ขอเลิกกับมันไปแล้ว แต่มันไม่ยอมเลิก มันขู่ว่าจะไปป่าวประกาศให้ทั่วมอว่ากูขายตัว มันจะให้กูอายแล้วอยู่ในมอต่อไปไม่ได้”
“ทำไมเลวแบบนี้วะ กูไม่รู้จะเอาคำไหนมาด่าเลยเนี่ย” ข้าวบ่นอย่างหัวเสีย
“เปิ้ล กูถามจริงๆ นะ มึงเคยคิดจะเลิกทำงานนี้ไหม” เกดถามขึ้นน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“ที่กูปฏิเสธลูกค้าไปเพราะกูตั้งใจจะเลิกขายนั่นแหละ”
“แล้วมึงเคยคิดไหมว่างานที่มึงทำวันหนึ่งอาจจะถูกเปิดเผย”
“เคยคิดสิวะ แต่ความลับไม่มีในโลกเว้ย”
“ถ้าถูกคนในมอรู้ มึงจะทำยังไง มึงอาจจะอับอายอย่างที่ไอ้เลวนั่นพูด”
“ให้ทำไงอะ อีกเทอมเดียวก็จะจบแล้ว ก็อดทนๆ ไป ช่างมัน ใครจะด่าไงกูก็ไม่สนอะ ตัวกู ชีวิตกู”
“แล้วมึงจะกลัวไอ้เลวนั่นพูดเรื่องมึงทำไม”
“เออว่ะ โอ๊ย ทำไมกูคิดไม่ได้วะ” เปิ้ลพูดเสียงดังเหมือนพบแสงสว่าง
“กูไม่รู้จะพูดยังไงเลย มึงเรียงลำดับเรื่องผิดไปหมด” เกดบ่นอย่างเซ็งๆ
“ยังไงอะ” ข้าวสงสัย
“อีเปิ้ล มันควรขึ้นเรื่องมาว่าถูกผัวนอกใจแล้วอยากจะเลิก แล้วค่อยเล่าต่อว่า มันต้องทำงานเอาเงินไปให้ผัว แต่ผัวดันเอาไปเล่นบอล เปย์หญิงอื่นต่อ จนมันท้อว่าทำไมมันต้องมาเจอผู้ชายเฮงซวยแบบนี้ อุตส่าห์ลงทุนทุ่มเทเต็มตัว มันเลยคิดต่อว่าไม่ทำงานนี้แล้วเว้ย เลิก พอคิดจะเลิกแล้วก็เลยไปปฏิเสธลูกค้า เนี่ย เรื่องมันควรเป็นอย่างนี้” เกดเรียงลำดับให้ใหม่ ผมแอบยกนิ้วโป้งชูให้เกดในใจ เก่งมากเลย
“ก็กูคิดไม่ออก คิดไม่ทัน ทุกอย่างมันตีเข้ามาพร้อมกันไปหมด กูไม่รู้จะเอายังไง” เปิ้ลโวยวายคล้ายกับแก้ตัว
“ช่างเถอะๆ มีอะไรให้ช่วยก็บอกแล้วกัน ถ้าจะเริ่มทำงานพิเศษแบบธรรมดาทั่วไป อยากทำแบบไหนยังไง ค่าชั่วโมงให้เท่าไหร่ ก็ไปปรึกษาไอ้เปล ที่นั่งข้างหลังมึงนั่น”
ผมรีบหลุบสายตามองหน้ากระดาษที่อ่านไม่รู้เรื่องทันทีที่ถูกพาดพิงชื่อกลับมา
“ทำไมต้องไปถามเปลวะ” เปิ้ลถามอย่างสงสัย
“เปลทำงานพิเศษเยอะ มันหาเงินเลี้ยงตัวเองอะ” ผมจำเสียงข้าวได้ เธอเป็นคนพูดกับเปิ้ล ผมฟังทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาอยู่ดี
“เออ..เก่งว่ะ กูไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย” เปิ้ลชม แต่ผมไม่รู้สึกว่าผมเก่งเลย เพราะสุดท้ายผมก็ทำงานเหมือนเปิ้ลนั่นแหละ แค่เลิกก่อนเท่านั้น
“ไม่แปลกหรอก นี่กูก็รู้จากเอกมาเหมือนกัน เปลมันไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่โจคงรู้เรื่องเปลเยอะหน่อย เห็นมันดูสนิทๆ กัน” ข้าวอธิบายต่อ
“โจเหรอ มันก็ต้องสนิทกับเปลอยู่แล้วดิวะ ถ้ากูเข้าใจไม่ผิด มันเป็นแฟนกันนี่” เปิ้ลนินทาผมระยะเผาขน นี่สาวๆ ผมนั่งหัวโด่อยู่หลังพวกเธออยู่ตรงนี้นะเห็นหรือเปล่า
“แฟนอะไร ไม่ใช่ ก็เพื่อนกันทั้งนั้น” ข้าวพูดอีก
“เอ้า กูเห็นตัวติดกัน แล้วกูเห็นบ่อยนะ เดี๋ยวมันก็จับหัวไอ้เปล เดี๋ยวโอบไหล่ เดี๋ยวจับแขน เพื่อนกันจะมาแตะมาจับทำไมนักหนา”
“ไม่รู้ดิ เปลมันนิ่งๆ เฉยๆ อาจจะดูเอ๋อๆ ในสายตาพวกมันเลยต้องจับไว้เดี๋ยวหายล่ะมั้ง” ข้าวพูดจบก็หัวเราะ อ้าวข้าว พูดถึงผมอยู่ดีๆ ทำไมมาหาว่าผมปัญญาอ่อนได้ล่ะ
“งั้นถามเปลเลย เนี่ยมันนั่งอยู่หลังพวกเรา” เกดพูดขึ้น สรุปว่ารู้ใช่ไหมว่าผมนั่งอยู่ตรงนี้ แต่นินทาไม่ไว้หน้าเลย
“เราไม่ได้เป็นแฟนกับโจ เป็นเพื่อนกัน” ไม่ต้องให้รอให้สามสาวถาม ผมแสดงตัวชิ่งตอบอย่างรวดเร็ว
“เอ้า ได้ยินด้วยเหรอ” เปิ้ลหันมามองด้วยความตกใจนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ
“อืม พวกเธอคุยเสียงดัง”
“โทษทีๆ ตกลงว่าไม่ได้เป็นแฟนกันเหรอเนี่ย” เปิ้ลขอโทษอย่างไม่รู้สึกผิด ก่อนจะถามอีกครั้ง
“เพื่อนกัน ทำไมเหรอ” ผมเลยถามกลับบ้าง ไม่อยากถูกถามฝ่ายเดียว
“ไม่มีอะไร อยากรู้เฉยๆ” เปิ้ลพูดพลางยักไหล่ ด้วยท่าประจำตัว
“คุยอะไรกัน” โจเดินเข้ามาแทรกกลางระหว่างผมกับเปิ้ลพอดี พร้อมกับวางมือลงบนหัวผม
“เปล่า” ผมบอกก่อนจะสลัดหัวหนีมือโจ
“อืม เปล่า” เปิ้ลสำทับก่อนจะหันหน้ากลับไปทางเดิม
“ภพกับเอกอะ” ผมถามโจตอนที่มันมานั่งข้างๆ ส่วนเพื่อนสองคนนั้นยังมาไม่ถึง อีกห้านาทีจะเริ่มเรียนแล้ว
“เอกป่วย ส่วนภพรถติดมาก พวกมันบอกอยู่ในกลุ่ม เนี่ยมึงไม่อ่านข้อความอีกละ”
“กูไม่ได้เอาโทรศัพท์มา”
“ลืมเหรอ”
“เปล่า กูปิดเครื่อง โทรศัพท์มันติดๆ ดับๆ อะ เลยไม่รู้จะพกมาด้วยทำไม”
“มันเป็นอะไร”
“กูทำตกเตียง หน้าจอแตก ทีแรกก็ใช้ได้ปกติ แต่เมื่อวานมันดันดับแล้วรีสตาร์ตเอง รีเองอยู่สองสามรอบ กู
เลยปิดเครื่อง กลัวมันระเบิดคามือ”
“เอ้า ทำไงล่ะ ทีนี้ติดต่อยากไปอีก เดี๋ยวเลิกเรียนแล้วจะพาไปซื้อเครื่องใหม่”
“ไม่เป็นไร วันไหนว่างแล้วกูค่อยเอาไปซ่อม”
“ไม่ได้ แล้วระหว่างนี้จะติดต่อยังไง” โจไม่ยอมตามนิสัย
“กูไปทำงานพิเศษทุกวัน คุยไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ามึงมีธุระด่วนก็โทรเข้ามาที่ร้านเลย พี่ปุยฝ้ายเจ้านายกูใจดี ไม่ว่าหรอก แต่ต้องเป็นเรื่องด่วนจริงๆ นะ” ผมกำชับก่อนจะบอกต่อ “แล้วพอเลิกงาน กูกลับไปเปิดโน้ตบุ๊กทำงานที่ห้อง มึงทักมาในนั้นก็ได้” ผมคิดให้อย่างเสร็จสรรพ ไม่ใช่ว่าเพิ่งคิดได้ แต่คิดเตรียมมาทั้งคืนแล้ว
“แล้วจะเอาโทรศัพท์ไปซ่อมเมื่อไหร่”
“รอเงินที่ทำงานออกก่อน”
“งั้นมึงเอาเงินกูไป”
“ไม่..ไม่เอา” ผมรีบบอกปัดทันที
“เปล มึงอย่าดื้อ ถ้ามึงเกรงใจกู ไว้มีเมื่อไหร่ค่อยคืน”
“ไม่ กูไม่อยากยืมเงินมึงอีกแล้ว อ้อ..มึงพูดถึงเรื่องเงินมาก็ดี เงินที่กูยืมมึงไปคราวก่อนอะ” ผมย้ำคำเดิม
“ทำไม พ่อมึงทำเรื่องอีกแล้วเหรอ” โจคาดเดาด้วยความระแวง
“เปล่าๆ จะบอกว่ากูหาเงินมาคืนมึงได้แล้วนะ เลิกเรียนแล้วค่อยไปโอนคืนให้ที่ตู้นะ” โจเงียบไปทันทีที่ได้ยิน มันจ้องหน้าผมเขม็ง ราวกับว่าผมไปทำเรื่องไม่ดีมาอย่างนั้น
“มึงไปเอาเงินมาจากไหนเร็วนัก”
“งานพิเศษที่ทำไง” ผมตอบตามความจริงนะ แค่ไม่ได้ระบุจากงานไหนเท่านั้นเอง
“มึงเพิ่งเริ่มงานร้านกาแฟได้ไม่ถึงสัปดาห์ นี่คิดว่าจะโกหกกูง่ายๆ เหรอ ตอบกูมาว่าเอาเงินมาจากไหน” โจคาดคั้น มันพูดเสียงดังขึ้นเล็กด้วย มันกำลังไม่พอใจผม
“เบาๆ สิโจ เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยินหรอก” ผมเขย่าแขนโจ ให้มันรู้ตัว
โชคดีเป็นของผมเมื่ออาจารย์เข้ามาตรงเวลาพอดี ผมจึงไม่ถูกมันซักถามต่อ นอกจากบรรยากาศที่รู้เลยว่าโจยังไม่จบเรื่องนี้กับผมง่ายๆ แน่นอน
ความโชคดียังไม่หมดง่ายๆ เมื่ออาจารย์ปล่อยคลาส ผมก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องทันที โดยอ้างเหตุผลที่จำเป็นต้องไปทำจริงกับโจว่าผมมีนัดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาโปรเจ็ก และบอกด้วยว่าไม่ต้องรอกินข้าวกลางวันเพราะไม่รู้จะคุยกับอาจารย์เสร็จเมื่อไหร่ ทำให้ผมรอดตัวไปอีกครั้ง
ผมนำความคืบหน้าไปให้อาจารย์ช่วยตรวจดูคร่าวๆ ได้รับคำแนะนำกลับมา พูดให้ถูกต้องคือถูกสั่งให้แก้ไข รื้อถอนและเขียนใหม่นั่นเอง ผมหอบความเศร้าออกมาจากห้องพักอาจารย์ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องคืนเงินโจเมื่อเดินผ่านเครื่องกดเงินสด
ผมจำเลขที่บัญชีธนาคารของโจได้ขึ้นใจ โอนคืนมันมานับครั้งไม่ถ้วน ตั้งแต่ยืมเงินใช้หนี้ ยืมมาใช้ระหว่างเงินทำงานยังไม่ออก ยืมเพราะทำเงินหาย สารพัดปัญหาเกี่ยวกับเงิน ผมเก็บใบเสร็จโอนเงินให้โจไว้ในกระเป๋าสตางค์อย่างดี และหวังว่าครั้งนี้จะเป็นการยืมเงินจากโจเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ
ครั้งแรกที่ผมต้องเอ่ยปากขอยืมเงินจากโจ คือตอนที่แม่โทรมาบอกว่าไอ้ปิงตัวสูงขึ้นกว่าเดิมมาก เสื้อผ้าชุดนักเรียนที่ใส่อยู่จึงไม่สามารถใส่ได้อีกแล้ว จำเป็นต้องซื้อใหม่ ถ้าหากว่าผมไม่ส่งเงินไป แม่จะให้ปิงหยุดเรียนไปก่อน ผมบอกว่างั้นแม่ออกเงินไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวผมจะหาเงินแล้วรีบส่งไปให้ แต่แม่บอกว่าไม่มีเงินเลยเพราะว่าพ่อเอาเงินไปลงทุนกับงานหมด ผมไม่รู้ว่างานอะไร เพราะไม่เคยเห็นกำไรจากงานที่พ่อลงทุนไปเลยสักครั้ง
ผมในวัยนั้นยังคิดไม่ค่อยเป็น ความอ่อนต่อโลกยังมีอยู่มาก แค่ครั้งแรกที่แม่โทรมาขอเงินผมก็ไม่มีให้แล้ว โจมันเห็นว่าผมดูเครียดๆ เลยถามผมว่าเป็นอะไร ผมเล่าเรื่องให้โจฟัง ไม่รู้จะไปหาเงินจากไหนเลยตัดสินใจง่ายๆ ขอยืมเงินโจไปตรงๆ ทั้งที่เรารู้จักกันไม่กี่เดือนเลยด้วยซ้ำ
โจดูตกใจที่ผมขอยืมเงิน แต่ชั่วครู่เดียวโจก็ถามกลับมาว่าเท่าไหร่และยอมให้ผมยืมเงินโดยไม่ถามว่าผมจะคืนเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ความน่าเศร้าของเหตุการณ์นี้คือผมมารู้ทีหลังว่าแม่ไม่ได้เอาเงินไปซื้อชุดนักเรียนให้ปิง แต่เอาให้พ่อไปทำทุนต่อ ทุนเทินอะไรกัน หลังจากนั้นไอ้ปิงคือจุดอ่อนของผมที่พวกเขาจะใช้เป็นเครื่องมือให้ผมส่งเงินไปให้
ผมคิดอย่างสลดใจ ผมในวัยสิบแปด ฮึกเหิมกล้าหาญหนีพ่อกับแม่มาเรียนที่กรุงเทพฯ คนเดียว ผมไม่กล้าบอกพวกเขาสองคน รู้ดีว่าต้องถูกห้ามแน่ๆ พ่อกับแม่อยากให้ผมทำงานที่ได้เงินเยอะๆ ใกล้บ้าน งานอะไรคงไม่ต้องบอกให้เสียปาก คนแถวบ้านผม ทำงานแบบนั้นจนเป็นภาพเคยชินของที่นี่ แต่ผมไม่อยากทำ ผมหลีกเลี่ยงมาโดยตลอดและทำงานอื่นมาตั้งแต่เด็ก แอบเก็บเงินไว้บางส่วน ซ่อนไว้ไม่ให้พวกเขารู้ เพื่อจะเอามาใช้ตอนที่มาเมืองหลวง
ผมไม่อยากอยู่ที่นั่นไปจนตาย
แน่นอนตอนที่พ่อกับแม่รู้ว่าผมหนีมาแล้ว พวกเขาโกรธมาก แต่พอผมบอกว่าจะหาเงินส่งไปให้ พวกเขาจึงดูใจชื้นและหายโกรธผม
เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งสอง ใช่ครับ หลายครั้งที่ผมจำเป็นต้องยืมเงินจากโจเวลาที่ฉุกละหุก หาเงินส่งไปให้ไม่ทัน ไม่แปลกเลยที่โจจะเป็นห่วงและรู้เรื่องผมมากกว่าภพกับเอก และเพราะความช่วยเหลือหลายๆ ครั้งจากโจ ผมเลยเกรงใจมันค่อนข้างมาก อะไรที่โจบอกให้ทำหรือให้ช่วย ผมจะทำตามทันที ไม่อิดออด
ผมคิดเรื่องเก่าระหว่างทางที่ไปหาข้าวกินในร้านสะดวกซื้อ ร้านนี้เป็นร้านใหม่ค่อนข้างใหญ่จึงมีพื้นที่ให้นั่งกินข้าวด้วย ผมจึงจัดการปากท้องให้เรียบร้อย แอร์ก็เย็น อาหารก็กำลังร้อน อิ่มอร่อยไปอีกมื้อ
สถานที่ถัดไปคือร้านกาแฟ งานพิเศษล่าสุดของผม