บทส่งท้าย
ไมเคิล ฮาร์ริสประคองช่อดอกไม้ในมือในมือจากนั้นก็ทอดสายตามองหลุมฝังศพที่มีหินสลักเป็นชื่อของลูกศิษย์คนโปรดของเขา ลูกศิษย์คนที่เขาสามารถผลักดันมาได้จนเกือบจนถึงระดับที่เรียกได้ว่ามีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง และเจ้าตัวก็เกือบจะได้เป็นเจ้าของรางวัลชนะเลิศการแข่งเมื่อเดือนี่ผ่านมาอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่ว่าชายหนุ่มคนนั้นตัดสินใจฆ่าตัวตายกับน้องชายฝาแฝดของตัวเองลงเสียก่อน
พอลองมาคิดดูตอนนี้แล้ว… นี่ก็ผ่านมาเดือนหนึ่งพอดีแล้วสินะ ตั้งแต่วันที่ลูคัส คอลลินส์ขึ้นแสดง… และจบชีวิตของตัวเองลงในวันเดียวกัน
นัยน์ตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นหรี่หม่นลงนิดหนึ่งขณะค่อยๆ ก้มตัวลงไปวางช่อดอกไม้นั้นที่หน้าหลุมศพของลูคัส เขายืดตัวขึ้นตรงหากก้มหน้าลงไปอ่านชื่อที่สลักอยู่บนป้ายหลุมศพนั่นอย่างโหยหา
จนถึงตอนนี้… เขายังจำสัมผัสยามที่ริมฝีปากของเขาชนกับชายหนุ่มคนนั้นอยู่ได้
สองครั้ง
พวกเขาสองคนจูบกันแค่สองครั้ง ครั้งแรกเป็นตอนที่ลูคัสนึกถึงใครอีกคนที่ไม่ใช่เขา ส่วนครั้งที่สองเป็นตอนที่เขาโกหกว่าเขาคิดถึงใครคนอื่นขณะที่ประทับริมฝีปากลงบนปากของอีกฝ่าย
ความหวานละมุนยังติดอยู่ที่ปลายลิ้น แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่จูบสำหรับเขา มันเป็นของใครคนอื่นที่ลูคัสต้องการมอบให้ และมันคงไม่มีวันเป็นของเขา ยิ่งได้มายืนอยู่หน้าหลุมศพของชายหนุ่มคนนั้นยิ่งตอกย้ำความจริงข้อนั้นเข้าไปอีก
นาย… กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ตอนที่กระโดดลงมาจากตึกนั่น
ไมเคิลล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงอย่างดีของตัวเอง รางวัลชนะเลิศในการแข่งครั้งใหญ่ที่ผ่านมาเป็นของศิษย์เอกของเขาอย่างลูคัส คอลลินส์ไม่ผิดแน่ หากลูกศิษย์อีกคนที่มาเรียนกับเขาในเวลาสั้นๆ กลับได้รางวัลนั้นไปโดยง่าย เพียงเพราะเจ้าของรางวัลที่แท้จริงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว
‘แน่นอนว่านักเปียโนคนนั้นจะอยู่ในใจของเราเสมอ’ ผู้ชมที่ได้ไปดูการแสดงของลูคัสในวันนั้นได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวที่เข้ามาถามไถ่ถึงความรู้สึกหลังจากที่ได้แจ้งข่าวเรื่องการจากไปของเขาอย่างกะทันหัน ‘จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาไม่อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว… พระเจ้า การแสดงของเขามันเยี่ยมยอดขนาดนั้นแท้ๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเราต้องเสียนักเปียโนที่มีพรสววรค์และความสามารถขนาดนั้นไป…’
ข่าวการตายของลูคัส คอลลินส์เป็นอะไรที่กะทันหันและรวดเร็วเกินกว่าที่ใครต่อใครในวงการดนตรีจะคาดถึง ไมเคิลรับรู้เพียงว่าแฟนดนตรีจำนวนไม่น้อยหลั่งน้ำตาให้ลูกศิษย์คนนี้ของเขา เขาจนถึงตอนนี้ เขาก็ยังนึกสงสัยว่าอะไรกันที่ผลักดันให้ทั้งลูคัสและโลแกน คอลลินส์ฆ่าตัวตายในวันนั้น ทั้งสองคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องทางบ้าน ไม่มีปัญหาเรื่องเงินหรือหนี้สินใดๆ และเท่าที่เขาอยู่กับลูคัสมา ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่าเจ้าตัวมีแนวโน้มว่าจะฆ่าตัวตาย
หรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็นการจัดฉาก? อาจเป็นการฆาตกรรมก็ได้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีข้อพิสูจน์แล้วว่าทั้งสองคนนั้นฆ่าตัวตายด้วยความตั้งใจของตัวเองจริงๆ ไม่มีบาดแผลหรือร่องรอยการต่อสู้ การขู่บังคับ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีจดหมายลาตายหรือหลักฐานใดๆ ที่บอกว่าแฝดทั้งสองคนอยากจะลาจากโลกนี้เหมือนกัน
แปลก… เรื่องทั้งหมดนี่มันแปลกเกินไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่าตัวเองไม่มีปัญญาหรือความสามารถมากพอที่จะหาคำตอบให้กับเรื่องนั้นได้
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ… ลูคัสตายแล้ว
ไม่ว่าคำตอบจะออกมาเป็นยังไง มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว
“โอ้… คุณฮาร์ริส สวัสดีครับ”
ไมเคิลหันกลับไปมองตามต้นเสียง นัยน์ตาสีน้ำตาลที่ฉายแววอ่อนโยนระคนเศร้าสร้อยจนถึงเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีที่เห็นว่าใครก้าวเข้ามาในบริเวณที่เขาอยู่
“สวัสดีครับ คุณคอร์เนอร์”
ข้างกายของเอ็ดการ์มีชายร่างใหญ่ในชุดสูทอีกสองคน ทั้งคู่เดินประกบร่างของเจ้านายราวกับเงาตามตัว ตั้งแต่วันที่ลูคัสต่อยหน้าเจ้าหนูนี่จนปากแตก เอ็ดการ์ก็เริ่มมีคนคุ้มกันคอยตามประกบเพื่อไม่ให้ใครต่อใครมาทำร้ายเขาอีก ซึ่งไมเคิลคิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย ในเมื่อคนที่ต่อยตัวเองในวันนั้นก็ได้ตายไปแล้ว และหลังจากนั้นเจ้าตัวก็ได้ช่วงชิงรางวัลและชื่อเสียงที่ลูคัสควรจะได้ไปอย่างง่ายดาย
ไมเคิลจำได้ว่าเอ็ดการ์บีบน้ำตาเรียกคะแนนสงสารเต็มที่ตอนที่ให้สัมภาษณ์กับโทรทัศน์ เจ้าตัวอ้างว่าตัวเองสนิทกับลูคัสมาก แต่ก็มีเรื่องวิวาทกันเล็กน้อยตามประสาเพื่อนฝูง เขาอยากจะปรับความเข้าใจกับลูคัสหลังจบการแข่งขันครั้งนั้น แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มีโอกาสนั้นเสียแล้ว
‘ผมเสียใจจริงๆ ครับที่เราต้องเสียนักเปียโนที่มีความสามารถอย่างลูคัส คอลลินส์ไป’ เจ้าตัวว่า ปล่อยให้น้ำตารื้นที่หางตาเล็กน้อย พยายามทำท่าเลื่อนมือไปปาดมันออกอย่างไม่ชัดเจนนัก ‘ผมสนิทกับเขามากครับ แล้วก็ชื่นชมเขามากด้วย ทั้งในฐานะเพื่อน แล้วก็ฐานะนักดนตรี เขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากจริงๆ’
หากไมเคิลไม่เชื่อในสิ่งที่เอ็ดการ์พูดออกมาเท่าไรนัก หลายอย่างที่หมอนี่แสดงออกมาให้เห็นมันดูน่าสงสัยเกินไป และอีกอย่าง… ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ ตั้งแต่รู้จักกับลูคัสมา หมอนั่นแทบไม่เคยโกรธใครหรืออะไรจริงๆ จังๆ ให้เห็นเลยสักครั้ง ดังนั้น การที่เจ้าตัวจะตรงปรี่ไปต่อยเอ็ดการ์ คอร์เนอร์หลังการแสดงที่ยอดเยี่ยมขนาดนั้นของตัวเอง แปลว่าลูคัสต้องโกรธจนถึงที่สุดจริงๆ และนั่นก็ทำให้เขานึกสงสัยขึ้นมาว่าเอ็ดการ์ไปทำอะไรให้ลูกศิษย์คนนั้นของเขาโกรธได้ถึงขั้นนั้น
แต่ก็นั่นแหละ… เขาไม่เคยได้รับคำตอบจริงๆ ของคำถามนั้น
ต่อให้เขาถามเอ็ดการ์ เจ้าตัวก็จะแกล้งทำหน้าสลดแล้วพูดเฉไฉไปเหมือนตอนที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อ และถ้าคนพูดไม่ใช่ตัวลูคัสเอง เขาก็ไม่อยากจะเชื่ออะไรเท่าไรด้วย แต่ในเมื่อไม่มีคนคอยพูดตอบคำถามเขาอีกต่อไปแล้ว เขาก็เหมือนวิ่งหันหน้าเข้าหาทางตัน
“แปลกจังเลยนะครับ” เอ็ดการ์เอียงคอ ยิ้มหวานประจบนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังตรงหน้า ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะสอนเปียโนต่อให้เขาอย่างเหินห่าง “ที่คุณเองก็มาเยี่ยมหลุมศพของลูคัสวันนี้พอดี เราใจตรงกันเลย”
“คุณตั้งใจมาเยี่ยมหลุมศพเขาจริงๆ เหรอครับ?” ไมเคิลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างฉงน และนั่นทำให้เอ็ดการ์แสร้งตีสีหน้าเหลอหลาขึ้นมาทันที
“แน่นอนสิครับ นี่ไง ผมมีดอกไม้มาให้เขาด้วยนะ ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมหลุมศพ แล้วผมจะมาทำอะไรล่ะ?”
ไมเคิลเหลือบมองช่อดอกไม้ในมือของชายหนุ่ม จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงติดจะเยาะ
“ผมนึกว่าคุณจะมาเพื่อเยาะเย้ยถากถางเขาเสียอีก”
รอยยิ้มขี้เล่นบนใบหน้าของเอ็ดการ์เลือนหายไปทันที
“ผมไม่ทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นหรอกครับ”
“ก็ดีครับ” ชายหนุ่มใส่แว่นพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ผมมีธุระต่อจากนี้ คงต้องขอตัวก่อน”
“ครับ” เอ็ดการ์ว่าเนือยๆ “ขอให้โชคดีครับ คุณฮาร์ริส”
เอ็ดการ์รอจนกระทั่งร่างของชายหนุ่มคนนั้นเดินจากไป จากนั้นเขาก็สั่งให้ผู้คุ้มกันทั้งสองคนรออยู่ห่างๆ ขณะที่ตัวเองก้าวขาไปที่หน้าหลุมศพของลูคัส คอลลินส์ มองที่ชื่อซึ่งถูกสลักเอาไว้ด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่ได้เย็นชา ไม่ได้เศร้าสร้อย แต่ก็ไม่ได้อาฆาตแค้นใดๆ เช่นกัน
“น่าเสียดายนะ ลูคัส” เอ็ดการ์เอ่ยปาก “นายดันมาตาย… ก่อนที่ฉันจะบดขยี้นายลงซะได้”
อันที่จริงหลังจากนี้ เขารู้ดีว่าชื่อเสียงของลูคัสจะคงอยู่ต่อไป และมันคงตามหลอกหลอนเขาไปเรื่อยๆ ตลอดเส้นทางในด้านดนตรีที่เขาตั้งใจจะก้าวไป ยิ่งเจ้าตัวมาตายในวันที่ขึ้นแสดงและบรรเลงเพลงที่สุดยอดถึงขนาดนั้นด้วยแล้ว เขาจะกลายเป็นตำนาน… และคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างตัวเขาเองก็ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนต่อไป เพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในใจของผู้ชม
‘แต่… ถึงแบบนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก’ เอ็ดการ์คลี่ยิ้มบางๆ ‘ในเมื่อคนที่มีชีวิตอยู่อย่างฉัน ยังสามารถทำอะไรต่อมิอะไรได้ ยังมีโอกาสอะไรดีๆ อีกเยอะ’
คิดแล้วเจ้าตัวก็วางช่อดอกไม้ในมือลงหน้าหลุมศพอย่างไม่กระตือรือร้นนัก จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปหาผู้คุ้มกันทั้งสองของเขา
- fin -
-----------------------------------------------
Talk: จบแล้วค่ะ!! เย่~~ ขอบคุณที่ติดตามกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ~~ รักคนอ่านทุกคน >3< ม้วฟฟฟฟ
ขออนุญาตใช้พื้นที่โฆษณานิดนึง... จะบอกว่าเรากำลังเปิดพรีเรื่องนี้อยู่แหละ ถ้าใครสนใจยังไงเข้าไปดูรายละเอียดกันได้ตามลิงค์นี้นะคะ
https://www.facebook.com/writerbookyaoi/ หรือเข้ามา inbox สอบถามที่หน้าเพจเราได้ค่ะ
https://www.facebook.com/airinand/ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ!