หมดม่าแล้ว ใครรออ่านลากยาวอยู่ อ่านได้เลยเน้อ
Chapter 37: คืนใจ
“จิ! ได้ยินพี่ไหมจิ!”
สติสัมปชัญญะของผมกลับคืนมาอีกครั้งเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนนั่น ตอนแรกผมคิดว่าเป็นเสียงของพี่อินทร์ แต่พอลืมตาขึ้นมามองก็พบว่าเสียงนั้นเป็นของพี่บุศย์ที่กำลังประคองผมอยู่ต่างหาก
“พี่บุศย์...ทำไม...”
“ไอ้อินทร์มันทิ้งกุญแจไว้ให้พี่ เผื่อไว้เวลาฉุกเฉินแบบนี้แหละ พี่เห็นเราไม่ออกจากห้องมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ก็เลยเข้ามาดู”
เขาตอบราวกับรู้ว่าผมจะถามอะไรอย่างนั้นแหละ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้ผมรู้ได้ว่าผมหมดสติไปนานมากทีเดียว
“ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
“แปดโมงเช้า เรามีเรียนเช้าหรือเปล่า ไปไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องไปนะ”
ผมพยักหน้า มีเรียนเช้ามันก็มีนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะไปสนใจเรื่องนั้น ผมมองหน้าพี่บุศย์นิ่งก่อนจะเรียกเขา
“พี่บุศย์...”
“หืม? ว่าไง”
“บุษบา...”
พอพูดคำนี้ คนตรงหน้าผมก็มีสีหน้าตะลึงงัน ก่อนที่เขาจะว่าด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
“จะ...จิจำได้แล้วเหรอ”
ผมพยักหน้า เท่านั้นพี่บุศย์ก็ยิ้มกว้าง
“จำได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม จิจำได้แล้วจริงๆ นะ!?” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบจากผมหรอก เพราะหลังจากนั้นเขาก็รีบคว้าเอาโทรศัพท์ตัวเองออกมา พึมพำอยู่คนเดียว “ต้องรีบโทรบอกไอ้อินทร์”
จากนั้นก็สบถอย่างหัวเสีย “เวลาแบบนี้ปิดเครื่องทำไมวะไอ้เวรนี่”
ผมก็เลยต้องรีบบอกก่อนที่เขาจะหัวเสียไปมากกว่านี้
“พี่บุศย์พาจิไปหาพี่อินทร์หน่อย”
“ไม่ต้องบอก พี่ก็จะพาไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เขาพยุงผมให้ลุกขึ้น ถามไถ่ผมด้วยความเป็นห่วงว่าเดินไหวไหม ผมยังคงมึนงงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สำคัญอะไรเท่ากับการรีบไปหาพี่อินทร์
ทว่า...หอของเพื่อนที่พี่อินทร์ไปนอนด้วยอยู่หลายคืนนั้นไม่มีเขาอยู่ เรียนก็ไม่ได้ไปเรียน ไปหาที่ห้องเพื่อนคนที่เขาน่าจะสนิทด้วยก็ไม่มีเลยสักคน แถมโทรศัพท์ก็ยังปิดเครื่องอีก กลายเป็นว่าพี่บุศย์กับผมใช้เวลาช่วงครึ่งเช้าไปกับการตามหาตัวเขา ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ในรถที่ลาดจอดรถข้างตึกคณะของพี่อินทร์ ก่อนที่พี่บุศย์จะบ่นออกมา
“หายหัวไปไหนของมันวะไอ้บ้านั่น ไปนอนเน่าอยู่ที่ไหน ทำไมไม่บอกกันก่อน”
ร้อนใจกว่าผมก็พี่บุศย์นี่แหละ ดูเขาจะจนปัญญาตามหาแล้ว แต่ผมกลับฉุกคิดถึงสถานที่หนึ่งขึ้นมาได้
“พี่บุศย์รู้จักบ้านสวนของครอบครัวพี่อินทร์ไหมครับ”
เขาหันมามองทันทีก่อนพยักหน้าให้ผมได้พูดต่อ
“พาจิไปที่นั่นหน่อยสิ”
“จิคิดว่าไอ้อินทร์อยู่ที่นั่นเหรอ”
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ลางสังหรณ์บางอย่างบอกกับผมอย่างนั้น ผมก็เลยพยักหน้าให้เขาไป เท่านั้นพี่บุศย์ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้ว สตาร์ตรถแล้วออกตัวทันที
ใช้เวลาเพียงสองสามชั่วโมงให้หลัง พวกเราก็มาถึงที่หมายกันในช่วงบ่าย พี่บุศย์ยังคงไม่แน่ใจว่าพี่อินทร์อยู่ที่นี่จริงไหม เขาขับรถเข้าไปจอดในโรงจอดรถพลางบ่นพึมพำขึ้นมาหลังจากที่เราเงียบกันมาตลอดทาง
“ขอให้มันอยู่ที่นี่ทีเถอะ จะได้จบเรื่องสักที”
ผมไม่พูดอะไร ลงจากรถแล้วรีบเดินนำพี่บุศย์ไปยังบ้านสวนที่อยู่เบื้องหน้า ทุกย่างก้าวที่เดินไปมันหนักอึ้งจนแทบทำให้ผมถอดใจหันหลังกลับ
ถ้าเขาไม่อยู่ที่นี่ล่ะ ผมจะไปตามหาเขาที่ไหน
อยากให้พี่อินทร์รู้ อยากให้เขารู้สักทีว่าจิระคนเดิมกลับมาแล้ว อยากจะบอกเขาว่าไม่ต้องรอผมแล้ว คราวนี้ไม่ต้องรอจริงๆ เพราะผมกลับมารักเขาเต็มหัวใจเหมือนเดิมแล้ว...
องค์เทพเทวาคงเห็นสมควรแล้วล่ะมั้งว่าควรหยุดกลั่นแกล้งชะตาชีวิตของผมกับเขาเสียที เพราะพอผมก้าวเข้าใกล้ตัวบ้านมากขึ้นเท่าไร ผมก็เห็นภาพด้านหน้าชัดเจนมากขึ้น
ที่ชานหน้าบ้านซึ่งมีเก้าอี้สำหรับนั่งเล่น... มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งทอดสายตามองไปยังสวนอย่างเหม่อลอยอยู่
ผู้ชายคนนั้นก็คือ...
“พะ...พี่อินทร์...”
ผมร้องเรียกออกไป ขอบตาร้อนผะผ่าวที่ได้เห็นเขา ขณะที่เขาหันมามองผมด้วยสายตาตะลึงงัน
“จิจำได้แล้ว...” พอบอกไปอีกครั้ง น้ำตาผมก็ไหลพราก “จิจำได้แล้ว...ฮึก...จำพี่อินทร์ได้แล้ว จำเรื่องของเราได้แล้ว...”
กลายเป็นว่าละล่ำละลักออกมาจนได้ ขาที่กำลังก้าวอยู่ก็ก้าวไม่ออก ได้แต่ยืนอยู่ตรงนั้น ปล่อยให้พี่อินทร์ซึ่งมีสีหน้าตะลึงงันยิ่งกว่าเดิมรีบลุกพรวดพราดเข้ามาโผกอดผมไว้แน่น
“จะ...จิ...” เขาเรียกผมเสียงเครือ “จำพี่ได้แล้วเหรอ จำได้แล้วจริงๆ ใช่ไหม”
น้ำเสียงเขาฟังดูไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ผมพยักหน้า เท่านั้นเขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ฝันไปหรือเปล่า...พี่ฝันหรือเปล่า จิ...นี่ไม่ใช่ความฝันใช่ไหม”
ผมกอดเขาตอบแน่น ก่อนรีบส่ายหน้าเร็วๆ
“ไม่ได้ฝัน... พี่อินทร์ไม่ได้ฝันครับ...ฮึก...”
เขาเหมือนจะไม่เชื่อ ผละออกมามองหน้าผมด้วยสีหน้าเหลอหลา มือที่กอดผมอยู่ลูบใบหน้าผมไปมาราวกับว่าผมไม่ใช่ตัวจริงอย่างนั้นแหละ
“แล้วรักพี่เหมือนเดิมแล้วใช่ไหม ใช่หรือเปล่า”
เป็นคำตอบที่เขาต้องการรู้มากที่สุด ผมเองก็อยากจะบอกกับเขามากที่สุดเหมือนกัน
“จิรักพี่อินทร์...รักครับ รักที่สุด...”
วินาทีนี้เองที่น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากเบ้าตาของคนตรงหน้า จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ร่วงพรูออกมาเป็นสาย กอดผมแน่นราวกับกลัวว่าผมจะหายไปไหนอีก
“จิ...จิระของพี่ ฮึก...คนดีของพี่...”
“พี่อินทร์...จิขอโทษ...ขอโทษ...”
เราต่างคนต่างพูดพลางสะอื้นไห้จนฟังไม่ได้ศัพท์ ก่อนที่พี่บุศย์จะเดินตามมาถึงและกอดอกมองเราสองคนอยู่ข้างหลัง กระทั่งพี่อินทร์เหลือบไปเห็น ผมถึงได้รู้ว่าเขายืนมองพวกเราอยู่
“ขอบใจมึงมากไอ้บุศย์...ขอบใจมาก...”
พี่บุศย์พยักหน้าให้น้อยๆ จากนั้นก็ปล่อยให้เราสองคนได้ซึมซับเอาความรู้สึกซึ่งขาดหายไปช่วงเวลาหนึ่งมอบแก่กันและกัน
ความรักที่ขาดไปในช่วงเวลานั้น...ผมจะเอามันกลับคืนให้พี่อินทร์ให้หมด
จากนี้จะไม่ลืมอีกแล้วว่ารักผู้ชายคนนี้เพียงใด...
จะไม่ลืมพี่อินทร์อีกแล้ว...
ทั้งๆ ที่การที่ความทรงจำกลับคืนมาน่าจะเป็นเรื่องยินดี แต่เอาเข้าจริงมันก็กระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะผมจำได้เต็มๆ เลยว่าก่อนหน้านั้น ผมทำร้ายจิตใจพี่อินทร์ไปมากแค่ไหน พี่อินทร์เองก็ยังคงดูไม่เชื่อสักเท่าไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องจริง เขาให้ผมตบหน้าเขาเรียกสติอยู่ตั้งหลายครั้งเพราะกลัวว่าตัวเองจะฝันไป บอกตามตรง เขาโคตรน่าสงสารเลย และแน่นอนว่าผมไม่ตบเขาหรอก แต่เรียกสติเขาด้วยการบอกแทน
“จิรักพี่อินทร์ครับ”
พี่อินทร์ก็มองหน้าผมแล้วครางออกมา
“อันนี้ความฝันหรือความจริง จิตบหน้าพี่ที”
ผมหัวเราะน้อยๆ ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่เขาก็คว้ามือผมไปจับตบหน้าเขาเบาๆ
“ตบหน่อย ตบเร็ว พี่จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน”
“ไม่เอา เดี๋ยวพี่อินทร์เจ็บ”
ผมขืนตัวไว้ ก่อนจะกลายเป็นว่าพี่อินทร์แกล้งเอาหน้าตัวเองมาชนกับฝ่ามือผมใหญ่เลย
“ตบหน่อย ตบเร็วเข้า”
ท่าทางนั้นทำเอาคนอื่นๆ ที่มองอยู่ถึงกับทำหน้าเหม็นเบื่อ...ใช่ครับ ตอนนี้เรามาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกแล้ว พอมีเรื่องดีๆ เดอะแก๊งของอิเหนาก็จะพากันไปจบที่ร้านหมูกระทะทุกที การที่ผมได้ความทรงจำของอดีตชาติกลับคืน แล้วก็จำพี่อินทร์ได้เหมือนเดิมก็เท่ากับว่าเป็นเรื่องดีๆ เหมือนกัน แต่ท่าทางดีใจเกินเหตุของพี่อินทร์ก็ทำให้พี่วิญญูซึ่งนั่งมองอยู่นานอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“น้องจิไม่ตบ เดี๋ยวกูช่วยตบให้เอง เห็นแล้วรำคาญ”
ไม่พูดเปล่า ง้างมือมาแล้วด้วย พี่อินทร์เลยชะงักทันใด
“เจือกจริงๆ นะมึงอะ เห็นคนเขารักกันหน่อยไม่ได้ ไอ้มารความรัก”
หันไปด่าพี่วิญญูหน้าตาเฉย ทำเอาผมกับคนอื่นๆ หัวเราะกันร่วน เว้นก็แต่พี่วิญญูที่ยังดูหมั่นไส้พี่อินทร์ไม่เลิก
“ตอนน้องจิจำไม่ได้ก็ทำจะเป็นจะตาย พอจำได้ก็ทำเป็นไม่เชื่ออยู่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง ดัดจริตจนน่ารำคาญ”
อันนี้ก็เรื่องจริงแหละ แต่ผมก็เข้าใจเขานะ ถูกทำร้ายจิตใจมาตั้งนาน จะมีอาการเพี้ยนๆ อย่างนี้สักหน่อยก็ไม่แปลก พี่อินทร์ทำแก้มป่องงอนๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ไม่โต้เถียงอะไร ก่อนที่สรัลจะโพล่งขึ้น
“แล้วเป็นไงมาไง นายถึงไปชอบพี่จิณห์ได้ยะ คิดไม่ถึงเลยนะว่าที่บอกเลิกพี่อินทร์เพราะไปรักคนอื่นจะเป็นพี่จิณห์น่ะ โคตรช็อก”
เรื่องนี้ผมก็เล่าให้ทุกคนฟังไปแล้ว เล่าแบบละเอียดด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ทุกคนเคร่งเครียดขึ้นมาทันตาโดยเฉพาะพี่อินทร์ที่ดูจะเครียดเป็นพิเศษ
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่รู้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้แค่เห็นเขามาตามดู แต่พอเจอกันครั้งสุดท้ายก็ดันไป...เอ่อ...”
ตกหลุมรัก... จะพูดคำนี้แหละ แต่เกรงใจคนนั่งข้างๆ พี่อินทร์ก็มองผมตาเขียว
“ห้ามพูดนะ พี่แสลงใจ”
ผมยิ้มเจื่อนๆ พยักหน้ารับ ไม่พูดก็ไม่พูด ผมเองก็ไม่อยากพูดเหมือนกัน
ท่าทางของเราสองคนทำเอาพี่วิญญูเบ้ปากเป็นการใหญ่
“เฮอะ เป็นไงล่ะ ทำมาเป็นว่ากูกับบุศย์จะเอาตูดดูดกัน โน่น เมียมึงเลยที่จะไปเอาตูดดูดกับจินตะหราวาตีน่ะ”
“อ่อก!”
พี่อินทร์ที่ยกแก้วเป๊ปซี่ขึ้นไปดื่มเมื่อกี้ถึงกับสำลักน้ำเมื่อถูกค่อนขอดอย่างนั้น ผมก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ขณะที่พี่วิญญูค่อนแคะไม่เลิก
“ดีนะที่น้องจิรู้ตัวเร็ว เอาแหวนทองครองพิภพมาใส่ก่อน ความทรงจำถึงได้กลับคืน ไม่งั้นได้เอาตูดดูดกันสมพรปากมึงแน่”
ดูท่าจะหมั่นไส้พี่อินทร์มาก ได้ทีเอาคืนเป็นการใหญ่ ผมไม่ชอบหรอกที่เขาพูดอย่างนี้ แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่ามันคือเรื่องจริง ก็ผมคลั่งพี่จิณห์เสียขนาดนั้นน่ะ มันมีความเป็นไปได้อยู่แล้วที่จะเผลอหลวมตัวถ้าหากว่าได้เจอกับเขาอีกครั้งก่อนจะสวมแหวน
ผมหันไปหาพี่อินทร์ กะว่าจะบอกให้เขาไม่ต้องคิดมาก แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแทนเมื่อเห็นเขาปล่อยให้น้ำเป๊ปซี่ที่ดูดเข้าไปเมื่อกี้ไหลออกจากปาก
“พี่อินทร์เป็นอะไรน่ะครับ”
“กระอักน้ำเป๊ปซี่...”
พูดทั้งๆ ที่น้ำยังไหลออกจากปากด้วย อะไรของมึงเนี่ย!
หันมาบอกผมด้วยสีหน้าแบบเด็กเอ๋ออีกต่างหาก ส่วนพี่วิญญูก็เอาคืนไม่เลิก
“จริงๆ น้องจิไม่น่าจำได้เร็วเลยนะ น่าจะเอาตูดไปดูดกันกับจินตะหราวาตีก่อน ไอ้อินทร์มันจะได้สำนึก อวยพรให้กูเอาตูดดูดกับบุศย์ดีนัก”
“อั่ก...”
พี่อินทร์กระอักน้ำเป๊ปซี่ที่ยังคั่งค้างอยู่ในปากออกมาอีกแล้ว น้ำเป๊ปซี่ไหลย้อยลงคอลงเสื้อหมดอะ ผมเลยต้องดุพี่วิญญูไปทีหนึ่งเพราะไม่งั้นพี่อินทร์ทำตัวเป็นเด็กเอ๋อไม่เลิกแน่
“พอแล้วพี่วิญญู อย่าแกล้งพี่อินทร์สิครับ”
พูดจบก็หันไปคว้าทิชชูมาให้เขาเช็ด แต่เขาก็ดันเบะปากทำหน้าเหมือนจะร้องไห้มาให้ผมเสียอย่างนั้น แถมยังส่งเสียงออดอ้อนด้วย
“คุณจิระอย่าไปเอาตูดดูดกับใครนะงับ”
กูจะไปเอาตูดดูดกับใครเล่า! พูดมาได้!
“จิไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”
ผมตอบไปตามตรง เท่านั้นพี่อินทร์ก็ทำปากยื่นๆ ว่ากระเง้ากระงอด
“ดีมาก เพราะคุณจิระต้องเอาตูดดูดกับอินทราคนเดียว”
กับมึง กูก็ไม่เอาตูดไปดูดด้วยเว้ย!
หายเศร้าก็บ้าเลยนะไอ้อิเหนา! ไหวไหมมึงเนี่ย!
“น่าเกลียด พี่อินทร์อย่าพูดแบบนี้อีกนะครับ”
คนอื่นๆ หัวเราะกันร่วนเลย พี่อินทร์ก็หัวเราะ คว้าผมไปกอดโยกๆ ใหญ่
“ก็เผื่อว่าจิอยากสัมผัสประสบการณ์ใหม่ไรงี้”
ประสบการณ์อุบาทว์ๆ ไม่ต้องเอามาให้กูสัมผัสเลย!
จะมีก็แต่พี่บุศย์เท่านั้นแหละที่ไม่ได้ร่วมหัวเราะอะไรมากมาย เขากอดอก ปั้นหน้าเครียดก่อนที่จะโพล่งถามออกมา
“จิ พี่สงสัยอยู่อย่างนึง”
“ครับ?”
“ตอนที่จิรู้สึกรักไอ้จิณห์ มันมีอะไรแปลกๆ หรือรู้สึกว่ามีพิรุธอะไรหรือเปล่า”
“พิรุธยังไงเหรอครับ”
“แบบว่าเห็นภาพหลอนหรือได้กลิ่นอะไรแปลกๆ”
ไม่เข้าใจนักหรอกว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ผมก็นิ่งคิดทบทวนไปครู่หนึ่ง
“ก็...มีกลิ่น”
“กลิ่น?”
“พี่จิณห์ใส่น้ำหอมค่อนข้างแรงน่ะครับ”
พูดมาถึงตรงนี้ก็กลายเป็นพี่อินทร์บ้างแล้วที่ทำหน้าเครียด
“กลิ่นน้ำหอม... ไม่ใช่น้ำหอมสังเคราะห์ เป็นกลิ่นคล้ายน้ำอบน้ำปรุง”
ผมหันไปมองเขาทันที ส่งสายตาเป็นเชิงถามว่ารู้ได้ยังไง พี่อินทร์ก็ตอบมาทันควัน
“มันมาหาพี่ก่อนที่จะเจอจิน่ะ บุกเข้าห้องมาแบบไม่ทันตั้งตัว แต่พี่ไม่ได้เป็นคนเปิดให้มันเข้านะ ไม่ได้ทำอะไรกันด้วย สาบาน”
รีบแก้ตัวเฉยเลย ยังไม่ทันจะว่าอะไรสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญแล้วเมื่อพี่บุศย์ส่งเสียงเครียด
“หรือว่าจะเป็น...ยาเสน่ห์”
เท่านั้นทุกคนก็เงียบ มีเพียงเสียงถ่านในเตาเท่านั้นที่ส่งเสียงดังเป๊ะป๊ะมาให้ได้ยิน ก่อนพี่บุศย์จะเปิดปากอธิบาย
“เมื่อชาติก่อนในหมู่นางกำนัลนางในมีความเชื่อกันอยู่ว่าน้ำอบน้ำปรุงบางอย่างสามารถใช้เป็นยาเสน่ห์ให้พวกผู้ชายมารักหลงชมชอบได้ พวกนางกำนัลมักจะปรุงให้เจ้านายของตัวเองใช้เพื่อมัดใจพระสวามี มันเป็นเรื่องของพวกวังหลังที่แข่งกันเป็นคนโปรดน่ะ”
ไม่แปลกแล้วว่าทำไมพี่บุศย์ถึงรู้ นั่นก็เพราะเมื่อชาติก่อน นางบุษบาเป็นหนึ่งในชายาวังหลังของอิเหนานั่นเอง
“แต่วังหลังของอิเหนาไม่ค่อยมีเรื่องนี้เท่าไร เพราะพวกผลหมากรากไม้วัตถุดิบที่ใช้ปรุงยาเสน่ห์ไม่ได้รับอนุญาตให้ปลูกในเมืองกุเรปัน อีกอย่าง อิเหนาก็ไม่ได้ใกล้ชิดกับชายาคนไหนเลย มีอะไรก็ให้ข้าราชบริพารไปบอกกล่าว การเข้าถึงตัวยากก็เท่ากับว่าใช้ยาเสน่ห์ด้วยยาก กูว่าไอ้จิณห์มันตั้งใจเอามาใช้กับมึงมากกว่า ไม่ใช่กับจิ แต่มันดันไม่ได้ผลกับมึง”
ตอนนี้เข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าทำไมจู่ๆ ผมก็ไปใจเต้นแรงกับพี่จิณห์ ส่วนที่เขาพูดเมื่อกี้มันก็น่าสงสัย
ทำไมใช้ไม่ได้ผลกับพี่อินทร์ล่ะ?
“หรือเพราะว่ากูเป็นหวัดเลยได้กลิ่นไม่ชัด?”
เหตุผลก็เข้าเค้าอยู่นะ ทว่าสรัลกลับสวนขึ้น
“หนูว่าไม่น่าใช่อะ น่าจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น”
“เหตุผลอื่น?”
“น่าจะเกี่ยวกับอดีตชาติ ดูอย่างจิดิ พอจำอดีตชาติขึ้นมาได้ ก็หายหลงเสน่ห์พี่จิณห์ไปซะอย่างนั้นอะ มันน่าจะมีอะไรเชื่อมโยงกัน”
ก็จริงนะ เพราะพอผมจำพี่อินทร์ จำอดีตชาติได้ ความรู้สึกที่มีต่อพี่จิณห์ก็หายวับไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบไขข้อสงสัยนี้ได้เลยแม้แต่น้อย มีแต่คำเตือนเท่านั้น
“เอาเป็นว่าจนกว่าเราจะรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ห้ามจิเข้าใกล้ไอ้จิณห์มันเด็ดขาด ดูแลตัวเองดีๆ มันไม่ยอมจบเรื่องแค่นี้แน่”
ผมพยักหน้าให้กับพี่บุศย์ ก่อนที่เขาจะหันไปบอกกับพี่อินทร์
“ดูแลน้องมันดีๆ ด้วย ได้คืนมาแล้ว อย่าปากพล่อยอีก”
“รู้แล้วน่า”
พี่อินทร์ว่าอย่างรำคาญ ผมก็หัวเราะน้อยๆ เพราะนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเหมือนกันที่ทำให้ผมความทรงจำขาดหาย ทุกคนเดากันไว้ว่าที่จริงผมอาจจะต้องตายเพราะคำสาบาน แต่เป็นเพราะพี่อินทร์ไปบนบานไว้อย่างนั้น ผมเลยความทรงจำขาดหาย ส่วนผมก็ไปอธิษฐานว่าอยากอยู่กับเขาตลอดไป เลยทำให้ไปจากเขาไม่ได้สักทีแม้ว่าจะไม่ได้รักเขาในช่วงนั้น
ก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแหละนะที่ทุกอย่างคลี่คลาย ไม่อย่างนั้นทั้งผมและเขาคงทรมานกันไปจนตายอีกชาติแน่
หลังจากกินหมูกระทะกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน แต่ผมกับพี่อินทร์แวะไปที่ห้างใกล้ๆ หอเพื่อซื้อของใช้เข้าห้อง ช่วงที่พี่อินทร์ไม่ได้อยู่หอด้วย ผมไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองรวมถึงห้องหับสักเท่าไร ของใช้เลยขาดไป พอจ่ายเงินเสร็จ พี่อินทร์ก็รีบเข้ามาแย่งถุงข้าวของในมือผมไปถือ
“ไม่ต้องพี่อินทร์ จิช่วยถือถุงนึง”
แต่เขาไม่ยอม แย่งไปจนได้ทั้งที่ในมือตัวเองก็ถือตั้งหลายถุงแล้ว
“ไม่เป็นไร จิจะได้เอามือไว้จับมือพี่”
แล้วก็ถือวิสาสะจับมือผมด้วย ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาหรอก ยิ้มให้เขาที่ยิ้มแป้นแล้นอยู่
“ถือว่าชดเชยที่จิทำตัวไม่ดีกับพี่อินทร์ไปนาน จิจะยอมตามใจก็แล้วกันครับ”
“หืม? ตามใจจริงเหรอ”
เขาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ผมก็พยักหน้า
“อืม ตามใจจริงๆ”
“ทุกเรื่องเลยปะ”
“ทุกเรื่องเลย จิจะให้พี่อินทร์ทำตามใจตัวเองทุกเรื่องเลย”
บอกไปอย่างนั้น พี่อินทร์ก็ทำสายตากะลิ้มกะเหลี่ย
“ถ้าอย่างนั้น...”
พลันสายตาของเขาก็เหลือบมองไปทางด้านหลังผม พอผมหันไปมองก็ต้องเบิกตาโพลงเมื่อเห็นว่าจุดที่เขามองไปมันคือร้านเสื้อชั้นในผู้หญิงที่มีชุดนอนไม่ได้นอนขายด้วย
ตามใจได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องนี้ไม่เอาโว้ย!
ผมส่ายหน้าพรืดเลย พี่อินทร์ก็ทำปากยู่ทันที
“ไหนว่าจะตามใจทุกเรื่องไง คนขี้ฮก”
ทุกเรื่องแต่ต้องไม่ใช่เรื่องนี้ไง!
ผมไม่พูดอะไร ได้แต่มองหน้าเขาเป็นเชิงบอกว่า ‘ให้ตายก็ไม่เอา’ พี่อินทร์ก็ปั้นหน้าเศร้าทันที แถมตัดพ้อไม่เลิก
“อืม ถ้าจิไม่อยากก็ไม่เป็นไร ตามใจกันมันก็ต้องมีขอบเขตแหละเนอะ ไม่เป็นไรหรอก ความเจ็บปวดที่จิมอบให้พี่ที่ผ่านมา พี่จะเยียวยามันเอง ถึงมันจะยาก แต่พี่จะพยายาม...”
เออๆ! ยอมแล้ว!
“เอาก็เอาพี่อินทร์ จิยอมก็ได้”
สิ้นเสียง พี่อินทร์ก็ยิ้มกว้างทันที
“งั้นจะชักช้าอยู่ไย รีบไปเลือกกันเร็ว~”
ลั้นลาระริกระรี้ต่างจากเมื่อวินาทีก่อนมาก ผมมองตามหลังเขาที่วิ่งปรู๊ดเข้าร้านนั้นไปพลางหยิบชุดมุ้งขึ้นมาทาบทับบนตัวผมอย่างเริงร่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
มีโอกาสเมื่อไร กูจะเผาทิ้งให้หมดเลยไอ้โรงงานทำชุดมุ้งเนี่ย!
-----------------------------------
ไม่ม่าแล้ว อ่านไปเต๊อะ พี่อินทร์กลับมาอ๊องเหมือนเดิมละ อีกนิดก็ขมวดปมจบแล้วค่ะ
เรื่องนี้รูปเล่มออกงานหนังสือ ต.ค.กับ สนพ.รักคุณ นะคะ
มีคนถามว่าจินดาส่าหรี เมียของจรกาในชาติที่แล้วจะโผล่มามั้ย มานะคะ แต่มาในตอนพิเศษตอนนึง ตอนพิเศษนี่จัดเต็มหลายตัวละครแน่นอน ใครอยากอ่าน รอเปย์รูปเล่มเน้อ
ฝากกำลังใจให้ด้วยค่า