ตอนที่ 11 : เดตแรกที่ไม่ใช่ของเบิ้ม...รึเปล่านะ
วันดีคืนดี จู่ๆ เด็กเวรก็ถือจดหมายสีชมพูวิ่งมาอวดเบิ้มกับคมสัน
“นี่คืออะไรเหรอครับ” เบิ้มเป็นฝ่ายรับมาถืองงๆ อาจด้วยความเห็นอกเห็นใจกับชะตากรรมที่น่าสงสารของเด็กชายตรงหน้า เขาเลยเปิดใจและสนิทสนมกันมากขึ้น คำพูดประชดประชันล้อเลียนอย่างเด็กเวรแล้วต่อท้ายด้วยเวรอื่นก็แทบไม่มีแล้ว
“ลองเปิดดูสิ” คุณหนูของพวกเขายิ้มกรุ้มกริ่ม นอกจากเบิ้มจะเปิดใจ เด็กคนนี้ก็เปิดใจให้เบิ้มเดอะฟาส หลายครั้งเริ่มมาเกาะติด เพราะกลัวพออายุครบสิบแปดแล้วจะไม่สอนวิธีดริฟให้
คมสันแย่งจดหมายสีชมพูไปเปิดเอง
แล้วพวกเขาก็เห็น...
‘ถึงเด็กชายกิจภัทร ชาติบดินทร์
ฉันตกหลุมรักคุณตั้งแต่แรกพบ แต่ไม่กล้าที่จะสารภาพต่อหน้า จึงต้องเขียนจดหมายฉบับนี้
กิจภัทร รอยยิ้มอย่างมั่นใจของคุณ ทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสวยงาม ดวงตามองเชิดของคุณ ทำให้ฉันรู้สึกอยากถูกจับจ้อง ความกล้าท้าทายนั้น ก็ทำให้ฉันอยากเป็นคนรักของคุณ
โปรดคบกับฉันเถอะค่ะ หากตกลง เย็นนี้ฉันจะรอที่ร้าน xxx เวลา 5 โมงเย็น
รอด้วยใจวาดหวัง
จากคนที่แอบรักคุณ’เอ่อ...เบิ้มควรจะออกความเห็นกับจดหมายฉบับนี้ยังไงดี เขาไม่เข้าใจรสนิยมของผู้หญิงคนนี้สักนิดเดียว และไม่เข้าใจ...ว่าเด็กอายุสิบสี่สมัยนี้ยังเขียนจดหมายสารภาพรัก!
“อย่างน้อยก็เขียนคำถูกต้องน่าชมเชย ภาษาสละสลวยดี” คมสันเปรย “คุณหนูจะตอบตกลงรึเปล่าครับ”
“ฉันเองก็ไม่แน่ใจ” เด็กเวรยักไหล่ และนั่นก็ทำให้เบิ้มตระหนักได้ว่า...เขามาถึงจุดที่ลูกชายปรึกษาปัญหาความรักแล้ว!
“ฉันไม่แน่ใจเพราะความหล่อเหลาของฉันไม่ควรถูกครอบครองด้วยคนเพียงคนเดียว หากมีผู้หญิงคนอื่นที่แอบชอบฉันแต่ไม่กล้าสารภาพอีกล่ะ ถ้าตกลงคบไปคนอื่นจะต้องเสียใจน้ำตานองแน่ๆ ฉันไม่อยากทำให้ผู้หญิงทั้งโลกต้องผิดหวัง”
ตบเด็กหัวทิ่มจะผิดมั้ยนะ
อืม...ตามกฎหมายอาจไม่ผิด แต่ผิดต่อคุณแฟนอย่างแน่นอน
“งั้นไม่ตกลงคบ แต่ลองศึกษาดูใจกันก่อนดีมั้ยครับ” คมสันให้คำแนะนำได้สมเป็นผู้ปกครองยอดเยี่ยม “คุณหนูก็อายุสิบสี่แล้ว แต่ยังไม่มีประสบการณ์ความรักเลย ลองศึกษาดูก็ไม่เสียหายนะครับ”
“งั้นเหรอ” เด็กเวรขมวดคิ้วทันที คล้ายไม่อยากหาเรื่องยุ่งยาก แต่ก็ไม่อยากขัดใจพี่เลี้ยง “แต่ผู้หญิงคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ ถ้าไม่สวย ไม่ถูกใจ แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ”
สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน อย่างอื่นเป็นเรื่องรอง หน้าตาเป็นเรื่องหลัก!
“ก็ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ ให้เกียรติเธอ แล้วค่อยปฏิเสธอย่างสุภาพ” คมสันตอบอย่างใจเย็น “คุณหนูต้องทำได้แน่นอนครับ”
เบิ้มลอบมองคมสัน เดาความคิดอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
พี่เลี้ยงคนนี้กำลังพยายามผลักดันให้คุณหนูรู้จักความรักแบบชาย-หญิง จะได้ไม่นึกอุตริมาเลียนแบบนี่เอง!
ห้าโมงตรง เบิ้มถือกล้องส่องทางไกลจากในรถยนต์คันหนึ่งซึ่งจอดเยื้องห่างออกไปจากร้าน xxx
“ไม่เห็นมีเด็กผู้หญิงคนไหนนั่งอยู่ในร้านคนเดียวเลย”
“คุณหนูล่ะ” คมสันถาม เพราะกล้องส่องทางไกลมีอันเดียว เบิ้มจึงได้รับเกียรตินั้น
“ยืนงงอยู่ในร้าน” เบิ้มตอบเสียงอ่อนใจ คุณหนูของพวกเขาก็ช่างซื่อบื้อจริงๆ หรือไม่ก็มั่นหน้ามาก พอไม่เห็นเด็กผู้หญิงนั่งอยู่ในร้านคนเดียว ก็ยืนกอดอกขวางอยู่หน้าประตู เรียกให้คนทั้งร้านหันไปมอง แล้วเจ้าตัวก็หลงนึกว่าโดนมองเพราะหน้าตาดีด้วยสิ
“หรือว่าเธอจะมากับเพื่อน?” เบิ้มสันนิษฐาน
“ไม่หรอก เด็กผู้หญิงที่ส่งจดหมายสารภาพรัก แสดงว่าเป็นคนขี้อาย คงไม่บอกเรื่องนี้กับใคร” คมสันเอ่ยขณะจับหูฟัง “มาแล้ว”
ใช่ มาแล้ว...เพราะภาพที่ปรากฏในกล้องส่องทางไกลของเบิ้ม คือเด็กหญิงถักเปียน่ารักเรียบร้อยสมเป็นกุลศตรี ที่เดินออกมาจากห้องน้ำในร้านแล้วเจอกับเด็กเวรยืนวางท่าหน้าประตูด้วยใบหน้าแดงก่ำ เธอคงจะเขินอายจนไปตั้งสติในห้องน้ำ พวกเบิ้มเลยไม่เห็นในตอนแรก
‘ขอโทษนะคะที่ให้รอ ฉันไม่คิดว่าคุณจะมาจริงๆ’
เด็กหญิงเอ่ย น้ำเสียงประหม่า ก้มหน้าต่ำงุดๆ
‘อ้าว งั้นจริงๆ แล้วไม่อยากให้มาหรอกเหรอ’
‘ไม่! ไม่ใช่ค่ะ...ฉันอยากให้มา จริงๆ นะคะ’
‘งั้นขอประกาศก่อนแล้วกัน เราจะยังไม่คบหาเป็นคนรัก แต่จะอยู่ในสถานะดูใจก่อน’
‘ค่ะ’
เบิ้มชักจะเขินๆ ขึ้นมา เพราะภาพตรงหน้าเหมือนซีรีส์เกาหลีชอบกล เบิ้มไม่ได้ชอบดูนะ แต่คุณแม่ของเบิ้มติดมาก
ก่อนจะแทบหน้าทิ่ม
‘...แล้วสถานะดูใจต้องทำยังไง’
เมื่อเด็กเวรถามซื่อๆ แบบเซ่อๆ
เบิ้มถึงกับละสายตาจากกล้องส่องทางไกลมามองคมสันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“อย่าพูด”
เสียดายที่คนรักรู้ทัน ไม่ยอมให้เบิ้มเอ่ยประโยคตัดอารมณ์เด็ดขาดเพราะมีเรื่องต้องทำที่สำคัญกว่า
นั่นคือการแอบฟังและแอบมองเดตแรกของเด็กเวร!
ก่อนออกจากบ้าน คมสันแอบใส่เครื่องดักฟังไว้ในกระเป๋าเสื้อของคุณหนูสุดที่รัก เสียงเลยฟังชัดแจ๋ว ครั้งนี้ไม่ได้ใช้หูฟังไร้สาย แต่เป็นสายยาวโยงระหว่างเบิ้มและคมสันซึ่งสวมกันคนละข้าง ทำให้ต้องเอียงตัวเข้าหากันเล็กน้อย
มองเผินๆ เหมือนพวกเขาเป็นคู่รักที่กำลังเดตกันอยู่
แต่ความจริงคือกำลังแอบสตอลเกอร์เดตแรกของเด็กเวรอยู่ต่างหาก!
‘...ไปดูหนังกันมั้ยคะ’
‘ฉันหิวแล้ว’
‘งั้นทานข้าวกันก่อนเถอะค่ะ ร้านนี้อาหารอร่อยนะคะ ฉันจะสั่งอาหารให้ลองชิม’
สงสารก็แต่เด็กหญิงผู้ถูกสั่งสอนมาอย่างเพียบพร้อมพูดจามีมารยาทน่าเอ็นดูที่ต้องมาตกหลุมรักเด็กเวรเหลือเกิน
ตัดภาพมาที่คมสันและไอ้เบิ้ม
พวกเขาเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่ด้วยภารกิจที่สำคัญยิ่ง ในมือจึงถือแซนวิซคนละชิ้นที่แวะซื้อตอนออกจากที่ทำงาน อนาถาสุดๆ
“ระวังเลอะ” เบิ้มหยิบกระดาษทิชชูที่พกติดตัวตลอดให้คมสันเช็ดมือ
“น้ำมั้ย”
“เอาครับ”
พลันคนรักส่งขวดน้ำและจับหลอดจ่อถึงปาก เพราะมือเบิ้มไม่ว่าง ข้างซ้ายถือแซนวิซ ข้างขวาถือกล้องส่องทางไกล
เป็นครั้งแรกที่ถูกป้อน แม้คนป้อนจะจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ แต่ไอ้เบิ้มเป็นปลื้ม
...การสอดส่องเด็กเวรก็มีเรื่องดีๆ อยู่เหมือนกัน
‘สปาเกตตีคาโบนาร่าสองที่ค่ะ’
กลับมาที่คู่เดตซึ่งน่าเป็นห่วง เด็กผู้หญิงหันไปกล่าวกับพนักงาน ก่อนจะหันมายิ้มให้เด็กชายในดวงใจ ‘นี่เป็นเมนูขึ้นชื่อของร้านเลยนะคะ’
‘ฉันไม่ชอบกินเส้น’
‘งั้น...สเต๊กดีมั้ยคะ’
‘เอาข้าวหมูอบมาแล้วกัน’
ความเอาแต่ใจที่ไม่ดูสถานการณ์นี้ท่านได้แต่ใดมา เบิ้มคันปากอีกแล้ว เขาหันไปมองคมสัน เห็นคนรักตั้งใจฟังจนคิ้วขมวด ไม่ควรขัดจังหวะอย่างยิ่ง
‘มีงานอดิเรกอะไรที่ชอบหรือเปล่าคะ’
‘ก็ไม่มีเป็นพิเศษนะ ฉันอยากนอนเฉยๆ มากกว่า’
‘งั้น...มีอะไรที่อยากทำมั้ยคะ’
‘ตอนนี้น่ะเหรอ อยากจะขับรถดริฟๆ’
‘...’
พัง พังไปหมดแล้ว เบิ้มกุมขมับ นึกอยากถล่มร้านยุติการดูใจบ้าๆ นี้สักที
สงสารเด็กหญิง!!
แต่ความใจกว้างของเธอนั้นช่างยิ่งใหญ่ ไม่ถือสาหาความกับเด็กเวรแม้แต่น้อย หรือนี่จะเรียกว่าความรักทำให้คนตาบอด...
เอ๊ะ ทำไมเบิ้มคุ้นๆ กับสำนวนนี้ชอบกล
“กินหมดแล้วก็ส่งมานี่” คมสันเอ่ยแทรกขึ้น เรียกสติเบิ้มที่เกือบจะกินพลาสติกห่อแซนวิซ
“ขอบคุณ”
“อิ่มรึเปล่า ยังมีอีกชิ้นนะ” คมสันรับขยะไปขยำรวมกันในถุง ก่อนจะหยิบแซนวิซชิ้นใหม่ขึ้นมา อันที่จริงเบิ้มเอียนแล้ว เพราะเขากินไปทั้งหมดสี่ชิ้นถ้วน แต่เห็นคนรักเป็นห่วงเป็นใย กลัวว่าจะไม่อิ่มท้อง เลยได้แต่ตอบออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งอ้อนนิดๆ
“แกะให้หน่อย”
คมสันเลิกคิ้ว มองมาด้วยสายตาประหลาด จ้องจนเบิ้มชักจะเขิน แต่สุดท้ายก็ก้มแกะเปลือกห่อด้านนอกแล้วส่งให้อย่างว่าง่ายเกินคาด
“ป้อนหน่อย” ไอ้เบิ้มได้คืบจะเอาศอก เมื่อกี้คนรักป้อนน้ำ เลยอยากให้ป้อนแซนวิซกันบ้าง
“เดี๋ยวเลอะปาก”
“เลอะก็เช็ดสิ ฉันมีกระดาษทิชชูอยู่”
สุดท้ายคมสันยอมลงให้ครึ่งหนึ่ง คือเอาแซนวิซยัดปากเบิ้มหนึ่งคำ ขอย้ำว่า ‘ยัด’ จนสุดท้ายเบิ้มต้องรีบคว้ามากินเองก่อนจะสำลักตาย
กลับมาที่อีกฝั่งกันบ้าง
‘เก็บเงินด้วยค่ะ’
รับประทานอาหารกันเสร็จ เด็กหญิงก็หันไปเรียกพนักงานด้วยรอยยิ้ม
ใบเสร็จมาแล้ว แต่เด็กเวรยังไม่กระดิกตัว
เด็กหญิงยังคงยิ้ม...ยิ้ม...และยิ้ม
‘เอ่อ ขอโทษนะคะ’ เธอกล่าวอย่างกระดากเล็กน้อย ‘มื้อนี้ให้ฉันจ่ายเหรอคะ’
‘ก็แน่อยู่แล้วสิ’ เด็กเวรตอบพลางเชิดหน้า ‘ตั้งแต่เกิดมาเวลากินข้าวข้างนอกฉันไม่เคยจ่ายเงินเองเลย’
เป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุด เด็กคนนี้ถูกเลี้ยงดูโดยคมสัน ประคบประหงมอย่างดี เวลาออกไปข้างนอกมีหรือจะต้องควักเงินจ่าย นั่งรอให้คมสันจัดการน่ะถูกแล้ว!
สุดท้ายก็เป็นฝ่ายเด็กหญิงที่ต้องควักบัตรเครดิตออกมาด้วยสีหน้าเจื่อนๆ
‘เราไปดูหนังกันนะคะ’
‘เอาสิ’
‘แล้วเราจะไปยังไงดี...’
‘อ้าว ไม่มีคนขับรถหรอกเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันโทรเรียกเบิ้มให้แล้วกัน’
‘เอ่อ...ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวฉันเรียกเองก็ได้’
เบิ้มนับถือความอดทนของเด็กหญิงเหลือเกิน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเธอพยายามเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโชว์ความแมน แต่ไม่เลย...ที่แสดงออกมาไม่มีความแมนใดๆ ให้ฝ่ายหญิงประทับใจเลย!
เบิ้มอดจะหันมามองคมสันอีกครั้งไม่ได้ อยากถาม...อยากถามออกไปชะมัด
“ขับรถตามไปสิ”
“ครับ”
แต่เบิ้มก็ยังไม่ได้ถาม เพราะคมสันหันมาตวัดตาดุ กลัวว่าจะคลาดสายตาจากเด็กเวรและคู่เดต(?)
สถานที่ปรับความสัมพันธ์ของทั้งคู่คือห้างกลางเมืองแห่งหนึ่ง ในเมื่อใช้กล้องส่องทางไกลไม่ได้ เบิ้มและคมสันเลยจำต้องลงจากรถ และคอยเดินตามห่างๆ โดยมีหูฟังคอยเชื่อมระหว่างเรา
“มีคนมองเต็มเลย” เบิ้มกระซิบกับคมสัน เห็นหลายคนซุบซิบกันเสียงเบา แต่สายตาที่จ้องตรงมาบ่งบอกชัดเจนว่าจุดสนใจคืออะไร คงต้องขอบคุณหนังหน้าของไอ้เบิ้ม ที่ค่อนข้างเข้มดุวางมาดบอดี้การ์ด เลยไม่มีใครกล้านินทาต่อหน้าได้แต่ทำลับหลัง
“ผู้ชายใส่สูทสองคนสวมหูฟังเดินใกล้กัน สมควรโดนมองอยู่หรอก”
“งั้นห่างกันหน่อยมั้ย”
“ห่างแล้วจะดักฟังยังไง เดินมาใกล้ๆ นี่” คมสันเร่งฝีเท้ารีบร้อนตามให้ทันเด็กน้อยทั้งสอง ไอ้เบิ้มตอนแรกที่กลัวคนรักจะอายก็ไม่ขัดศรัทธา ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องลุยให้สุด!
นั่นไง เจอเป้าหมายแล้ว ทั้งคู่ตอนนี้ยืนอยู่หน้าโปรแกรมหนัง เด็กเวรยังเชิดหน้าเหมือนเดิม รัศมีออร่าลูกคุณหนูแบบข้าแน่ ข้าเจ๋ง ข้าหล่อที่สุดในปฐพีทำให้มีหลายคนมองมาอย่างอิจฉาเด็กหญิงคนนั้นที่ก้มหน้างุดๆ อย่างเขินอาย
‘ดูหนังรักกันมั้ยคะ’
‘ไม่ละ ดูแล้วหลับแน่’
‘งั้น...หนังผี?’
‘เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนฝันร้ายกันพอดี’
‘หนังบู๊ฆาตกรรมล่ะคะ’
‘คมสันบอกว่าไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปด’
‘เอ่อ...หนังตลก โอเคมั้ยคะ’
‘ดูทีไรไม่เห็นจะตลก เอาเรื่องนี้ดีกว่า!’
เบิ้มพยายามชะโงกหน้ามองว่าสุดท้ายเด็กเวรเลือกหนังประเภทไหน
‘นะ...นี่มันการ์ตูนดิสนีย์’
‘ทำไม ดูการ์ตูนไม่ได้เหรอ’
‘ไม่หรอกค่ะ...ก็ดูได้...’ เด็กผู้หญิงรีบเอ่ยเสียงอ่อน คงอยากถามเต็มแก่ว่ามาเดตกันบ้านไหนชวนผู้หญิงมาดูการ์ตูนดิสนีย์
‘งั้นก็ไปซื้อตั๋วสิ ฉันจะรอตรงนี้แหละ’
มองเด็กหญิงที่ทำหน้าจะร้องไห้เดินไปซื้อตั่ว เบิ้มก็อดที่จะหันมามองหน้าคมสันไม่ได้
อยากจะถามออกไปเหลือเกิน...ว่า...
“มองทำไม ไปซื้อตั๋วสิ”
“...ครับ”
เบิ้มจำต้องถอดหูฟังออกชั่วคราว แล้วไปต่อคิวหลังเด็กผู้หญิงคนนั้นเพื่อดูว่าเธอเลือกที่นั่งไหนและรอบไหน จะได้ซื้อตั๋วเรื่องเดียวกันถูก ซึ่งที่นั่งที่เบิ้มเลือกนั้น...ถัดห่างจากตำแหน่งที่เด็กเวรนั่งแค่แถวเดียว
อะไรนะ ไม่ห่วงว่าจะถูกจับได้เลยเหรอ
เอ่อ...เด็กเวรคงไม่ฉลาดขึ้นมาหรอก
ไม่รู้ว่าเพราอยากกลับบ้านเต็มทนรึเปล่า รอบที่เด็กหญิงเลือกจึงพร้อมฉายทันที
เบิ้มและคมสันรีบเข้าโรงหลังเด็กเวรเดินเข้าไปแล้วห้านาที ก่อนจะนั่งอยู่ข้างหลัง แทบไม่ได้ดูหนัง แต่มองทั้งคู่เป็นระยะ
พวกเขาไม่ได้สวมหูฟังแล้ว เพราะกลัวจะตีกับหนัง อีกอย่างหนังประกบแบบนี้จะกลัวอะไร ที่ตามดูก็เพราะห่วงหรอกไม่ใช่ว่าอยากเผือกอะไรเลย
ปรากฏว่าเด็กเวรมีความสุขกับการ์ตูนมาก สนุก...จนลืมไปเลยว่ามีคนนั่งข้างๆ ด้วยคนหนึ่ง
เบิ้มละอยากสะกิดชะมัด แต่ไม่ทันจะทำ มือของเขาก็ถูกฉวยจับซะก่อน
“สัน...”
คมสันรีบยกมือจรดปาก เป็นเชิงให้เงียบเสียง ก่อนจะจดจ่อกับหนังโดยชำเลืองมองคุณหนูสุดที่รักเป็นระยะ
หนังจบ ตามคาด เด็กผู้หญิงลุกจากที่นั่งโดยไม่ลา คงหมดความอดทนกับเด็กเวรเต็มทีแล้ว
เห็นคุณหนูมองแบบงงๆ ทำหน้าอึ้ง โทรหาให้เบิ้มมารับกลับบ้านแบบไม่รู้ว่าทำอะไรผิด เบิ้มก็หมดความอดทนแล้วเหมือนกัน
“สัน...” เบิ้มถาม ตอนนี้พวกเขานั่งแอบอยู่ด้านนอก ต้องเว้นช่วงสักหน่อยค่อยไปรับเด็กเวร “นายไม่คิดว่า...คุณหนูของเรานิสัยมีปัญหารึไง”
ไหนที่สุดก็ได้ถามแล้ว โล่งอกสักที!
“คิด” คมสันตอบทันที ไม่ได้เคืองอย่างที่เบิ้มกังวล “แต่ถ้าคุณหนูไม่เป็นแบบนี้ นายคิดว่าเขาจะยิ้มและหัวเราะ เป็นตัวของตัวเองได้ขนาดนี้ทั้งที่ครอบครัวมีปัญหามั้ยล่ะ”
โดนถามสวนกลับเบิ้มก็เป็นฝ่ายอึ้งไป
ก่อนจะตระหนักได้ว่า...จุดเด่นของเด็กเวร คือความมั่นหน้า ไม่สนใจ ไม่สนโลก เมินรายละเอียดเล็กน้อย สนแต่เรื่องตัวเอง จนกลายเป็นมองข้ามความจริงบางอย่างเช่นพ่อมีภรรยาคนที่สองและเธอคนนั้นกำลังตั้งครรภ์ รวมถึงแม่แท้ๆ ไม่กลับบ้านมาเจ็ดปีแล้ว
หรือคมสันตั้งใจเลี้ยงให้เป็นเด็กมีปัญหาเรื่องอื่นโดยกลบปมด้อยเรื่องนี้กันนะ
เบิ้มรู้สึกนับถือคมสันขึ้นไปอีก แม้ในใจจะลอบตงิดว่าไม่ใช่โว้ย! มันไม่ควรจะยอมรับง่ายๆ!
“ความจริง...ผลลัทธ์วันนี้ก็เกินคาดฉันเหมือนกัน”
ค่อยยังชั่วที่คมสันยังไม่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองเพี้ยนไปคนเดียว
“ไว้กลับไปแล้วค่อยๆ ช่วยกันสอนคุณหนูของ ‘เรา’ แล้วกัน”
คำว่า ‘เรา’ ฟังกี่ครั้งก็ช่างสดชื่น
เบิ้มพยักหน้ารับ พอดีกับคมสันก้มดูนาฬิกาข้อมือ
“ได้เวลาแล้ว ไปรับคุณหนูกันเถอะ”
“ครับ”
เพราะกลัวโดนเจอตัว คมสันและเบิ้มเลยแอบอยู่ในร้านกาแฟห่างจากโรงหนังพอสมควร คมสันลุกจากที่นั่ง ก่อนจะจูงมือนำหน้าไปหาเด็กเวรที่ป่านนี้คงจะยืนกอดอกมั่นหน้าเป็นเป้าสายตาอยู่ที่ไหนสักที่
และนั่นทำให้เบิ้มเพิ่งรู้ตัวว่าพวกเขาจับมือกันตั้งแต่หนังจบจนถึงหนังเลิก
เอ๊ะ...พวกเขามาส่องเดตแรกของเด็กเวรไม่ใช่เหรอ
แต่เหมือนว่าสุดท้ายแล้ว...จะเป็นเดตที่ราบรื่นของเบิ้มและคมสันเองสินะ
------
ตอนนี้หวานๆ กันก่อนมรสุมจะตามมาค่ะ
ชีวิตประจำวันของพี่เบิ้มกับคมสันก็ได้แต่เวียนว่ายตายเกิดรอบๆ เด็กเวรที่ไม่เคยจะรู้เรื่องราวอะไรค่ะ ขนาดสามัญสำนึกยังไม่รู้จักเลย! โธ่ น้องเด็กผู้หญิงที่น่าสงสาร ไม่น่าตกระกำลำบากถึงเพียงนี้เลย...
#จอมมารคมสัน
เพจนักเขียนที่ชอบโมเม้นท์พี่เบิ้มกับคมสัน...อะไรนะ ตอนนี้มีโมเม้นท์เด็กเวรด้วยเหรอ จำไม่ได้เลย!
Twitter : MajaYnaja