“สวัสดีค่ะคุณอา ภาคิน” เมริษาเอ่ยทักทายเจ้าของบ้านก่อนที่วันชัยจะเชิญให้เมริษานั่งลงคุยกันยังโซฟารับแขกตัวกว้าง “เรียกเมมาวันนี้ มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” เมริษาถามตรงๆอย่างไม่อ้อมค้อม เพราะปกติ เธอและภาคินจะนัดเจอกันข้างนอกเสียมากกว่า แต่วันนี้แปลกเมื่อภาคินโทรไปหาเธอแล้วบอกว่าเขาและพ่อมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวโดยให้เธอมาเจอเขาที่บ้าน
“หนูก็อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่ประชุมกรรมการบริหารวันนั้นด้วยคงน่าจะรู้ว่าตอนนี้อากับภาคินหยุดพักงานที่บริษัททัดเทวาไปแล้วจนกว่าเรื่องข้อกล่าวหานั้นจะรับการตรวจสอบจนถึงที่สุด” เมริษาพยักหน้าว่าเธอรู้ดีก่อนจะพูดขึ้นบ้าง
“เมว่าคุณวิศรุตกับคุณศรารัตน์เธอก็ทำเกินไปนะคะ ทั้งๆที่คุณอากับภาคินทุ่มเทแรงกายแรงใจบริหารงานเพื่อทัดเทวามาตลอดแท้ๆ แต่พวกเขากลับมาหักหน้าคุณอากลางที่ประชุมแบบนั้นได้”
“มันคงจะคิดแหล่ะว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะฉันได้ หึ รู้จักคนอย่างวันชัย ทัดเทวาน้อยไปเสียแล้ว”
“ที่คุณอาเรียกให้เมมาหาที่บ้านแบบนี้ มีอะไรจะใช้เมงั้นเหรอคะ” วันชัยยิ้มให้กับความเฉลียวฉลาดของอีกฝ่ายก่อนจะสั่งงานที่ต้องการให้เมริษาไปทำ
“อาต้องการให้หนูเมแอบขโมยเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องยักยอกเงินบริษัทที่วินกับศรามีอยู่ทั้งหมดมาให้อา ถ้าเป็นไปได้ก็ทำลายทิ้งให้หมดอย่าให้เหลือสาวมาถึงตัวอากับภาคินได้เป็นอันขาด แค่นี้หนูทำให้อาได้ไหม” ท้ายประโยคถูกคนพูดเน้นเสียงหนักเป็นเชิงบังคับว่าถึงอย่างไรหญิงสาวก็ต้องพยายามทำมันให้สำเร็จจงได้
“ได้ค่ะ เมจะพยายามแล้วก็จะหาโอกาสทำลายข้อมูลให้เร็วที่สุดด้วย” คำตอบหนักแน่นของเมริษาทำให้ภาคินอดไม่ได้ที่จะให้รางวัลหญิงสาวด้วยการหอมแก้มเธอไปฟอดใหญ่ ในขณะที่วันชัยมองอย่างพอใจ เขาเชื่อว่าคนฉลาดและมีไหวพริบอย่างเมริษาคงจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังอย่างแน่นอน
“หลังจากให้เมจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดแล้ว พ่อจะเอาไงต่อครับ” ภาคินถามเมื่อเมริษาขอตัวกลับไปแล้ว
ส่วนเมริษาที่กำลังเดินออกจากตัวบ้านเพื่อไปยังรถที่จอดเอาไว้ก็บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมกระเป๋าถือเอาไว้ในห้องรับแขกซึ่งในนั้นก็มีกุญแจรถอยู่ด้วย หญิงสาวบ่นเบาๆอย่างหัวเสียในความขี้ลืมของตัวเองก่อนจะย้อนกลับเข้าไปเอากระเป๋าที่ลืมไว้อีกครั้ง หญิงสาวเดินเข้าไปจนใกล้จะถึงตัวห้องรับแขก แต่ว่าเสียงภาคินและวันชัยที่หลุดรอดออกมาจากด้านในทำให้เธอต้องชะงักหยุดฟังด้วยความสนใจ
“หลังจากที่เมริษาหาทางทำลายพวกหลักฐานได้หมดแล้ว แกคิดว่าฉันจะยังปล่อยไอ้หลานทรยศสองคนให้มีชีวิตอยู่ดูโลกอีกต่อไปงั้นเหรอ มันทำกับฉันขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ปล่อยมันสองคนเอาไว้แน่” คำพูดของวันชัยที่เมริษาได้ยินทำให้หญิงสาวถึงกับอึ้งไป ไม่ใช่ว่าเธอเองไม่รู้เรื่องที่วันชัยกับภาคินโกงเงินบริษัททัดเทวา เพียงแต่เธอนึกไม่ถึงว่าวันชัยจะโหดเหี้ยมถึงขนาดจะฆ่าหลานในไส้ทั้งสองของตัวเองได้ลงคอ
“ถ้าหากไอ้วินกับศรามันมาด่วนตายไปแบบมีเงื่อนงำอย่างนี้ล่ะก็ คนอื่นจะต้องสงสัยเราแน่ๆครับ ดีไม่ดีมันจะพลอยซวยมาถึงเรานะพ่อ”
“แกคิดจะทำงานใหญ่ก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก ก็แค่จัดการให้เหมือนกับเป็นอุบัติเหตุก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างนะ เส้นสายฉันก็ใหญ่พอตัว ใช้เงินปิดคดีเท่านี้ก็ไม่มีใครกล้าสงสัยเราแล้ว”
“จะให้ผมสั่งลูกน้องไปจัดการเมื่อไหร่ก็บอกแล้วกันนะครับ”
“ไม่ต้อง ลูกน้องของแกไม่เห็นเคยทำงานได้เรื่องสักครั้ง ครั้งที่แล้วใช้ให้ไปจัดการยัยศราก็พลาดทั้งสองครั้ง แกคิดว่าครั้งนี้ฉันจะไว้ใจให้งานแกไปทำอีกเหรอภาคิน” คำพูดของวันชัยทำให้เมริษาเบิกตากว้างอีกรอบกับความจริงใหม่ที่เธอเพิ่งได้รู้ ที่แท้วันชัยเคยส่งลูกน้องไปฆ่าปิดปากศรารัตน์ก่อนหน้านี้มาแล้ว แต่โชคดีที่ศรารัตน์ดวงแข็งจึงรอดตายมาได้ถึงสองครั้ง ความจริงนี้ทำให้เมริษาขนลุกซู่อย่างห้ามไม่อยู่ หญิงสาวลอบกลืนน้ำลายเมื่อรับรู้ถึงความโหดเหี้ยมของสองพ่อลูกคู่นี้ก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกเสมือนไม่เคยได้ยินได้ฟังอะไรทั้งนั้น
“ขอโทษนะคะคุณอา พอดีเมลืมกระเป๋าทิ้งไว้น่ะค่ะ” เมริษายิ้มหวานก่อนจะเดินตรงไปหยิบกระเป๋าถือแบรนด์เนมราคาแพงของตนที่วางทิ้งไว้ยังเก้าอี้โซฟาที่เธอเคยนั่งก่อนจะขอตัวกลับออกไปท่ามกลางสายตาเคลือบแคลงของทั้งภาคินและวันชัยเพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่เมริษาได้ยินในสิ่งที่ทั้งคู่คุยกันหรือเปล่าถึงเรื่องแผนการกำจัดวิศรุตและศรารัตน์
“เดี๋ยว” เสียงเรียกของวันชัยทำเอาเมริษาถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ก่อนหญิงสาวจะหันไปสบตาผู้สูงวัยกว่าด้วยแววตาที่เหมือนบริสุทธิ์ใจ
“มีอะไรเหรอคะคุณอา” ท่าทางและแววตาของเมริษาทำให้วันชัยคลายใจลง เขาคงคิดมากไปเองเท่านั้น ผู้สูงวัยกว่ายิ้มให้หญิงสาวตรงหน้าก่อนจะบอกว่าให้เธอขับรถกลับบ้านดีๆ ส่วนเมริษาก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่วันชัยและภาคินจับพิรุธของเธอไม่ได้ ไม่งั้นเหยื่อรายต่อไปคงไม่แคล้วเป็นเธออย่างแน่นอน
เสียงออดหน้าบ้านทัดเทวาดังขึ้น ศรารัตน์เงยหน้าจากนิตยสารแฟชั่นที่ตัวเองกำลังอ่านอยู่ นึกสงสัยว่าใครมากดออดที่บ้านแบบนี้
“เสียงใครที่ไหนมากดออดกันคะลุงมั่น” ศรารัตน์ถามลุงมั่นที่เดินผ่านหน้าเธอไป
“ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณหนูเล็ก ผมเองก็กำลังจะออกไปดูเหมือนกัน” หญิงสาวพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก
แขกที่ว่านั้นกลับกลายเป็นช่างซ่อมแอร์สามคน เมื่อได้รู้ว่าช่างเหล่านี้จะมาซ่อมแอร์ที่บ้านทัดเทวา ลุงมั่นก็ทำหน้างงเพราะไม่ได้ติดต่อโทรไปบอกให้ช่างมาซ่อมเสียหน่อย แต่ทั้งสามคนนั้นก็ยืนยันว่าเจ้าของบ้านเป็นคนโทรเรียกให้พวกตนมาซ่อมแอร์ที่เสียในห้องนอนให้วันนี้ พร้อมทั้งโชว์บัตรประจำตัวช่างซ่อมแอร์ของบริษัทแอร์แห่งหนึ่งให้ลุงมั่นดู เมื่อตรวจตราแน่ใจแล้วลุงมั่นจึงยอมเปิดประตูให้ช่างทั้งสามคนเข้ามาภายในรั้วบ้านทัดเทวา ลุงมั่นเดินนำช่างทั้งหมดเข้ามายังตัวบ้าน ก่อนจะบอกศรารัตน์ว่ามีช่างมาซ่อมแอร์ให้
“เอ๊ะ แอร์ห้องไหนเสียเหรอคะ ห้องของศราก็ไม่ได้เสียนี่นา” ลุงมั่นก็บอกว่าไม่ทราบเหมือนกัน แต่ช่างพวกนี้ยืนยันว่ามีคนโทรไปแจ้งว่าให้มาซ่อมแอร์ที่นี่ ศรารัตน์ไม่ได้คิดมากอะไรและคิดว่าคนที่โทรไปแจ้งคือวิศรุต ไม่แน่ห้องของวิศรุตแอร์อาจจะเสียก็ได้ หญิงสาวจึงให้ลุงมั่นพาช่างไปตรวจแอร์ห้องของวิศรุตว่าขัดข้องหรือเปล่า ถ้าขัดข้องจะได้ซ่อมให้เรียบร้อยไป โดยไม่ได้สังเกตว่าช่างแอร์ทั้งสามคนลอบสบตากันอย่างมีพิรุธ
หลังจากซ่อมแอร์ไปได้ซักพัก เหล่าช่างแอร์ก็ทำตามแผนที่วางเอาไว้ โดยการออกอุบายให้ช่างแอร์คนหนึ่งปวดท้องหนักและขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ลุงมั่นอนุญาตแบบไม่ติดใจอะไร ขณะที่ช่างแอร์อีกสองคนสบตากันอย่างพอใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้
ช่างแอร์ที่แกล้งปวดท้องรีบออกจากห้องนอนของวิศรุตทันทีแล้วตรงไปยังโรงจอดรถของบ้านทัดเทวา ระหว่างที่ลงบันไดจากชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของวิศรุตก็เกือบจะโดนศรารัตน์ที่นั่งอ่านนิตยสารอยู่ในห้องรับแขกจับพิรุธได้ แต่เขาก็แก้ตัวไปได้อย่างแนบเนียน
“เอ่อ ผมปวดท้องหนักน่ะครับ ไม่ทราบว่าห้องน้ำอยู่ทางนั้นใช่ไหมครับ ยังไงผมขอตัวก่อนนะครับคุณผู้หญิง” ช่างแอร์รีบเอ่ยพลางทำท่ากุมท้องแบบคนปวดท้องหนักจริงๆ ก่อนจะรีบขอตัวไปเข้าห้องน้ำ โดยที่ศรารัตน์มองตามอย่างงงๆเพราะ ในตัวบ้านก็มีห้องน้ำ ทำไมถึงจะต้องไปเข้าห้องน้ำที่บริเวณรอบนอกตัวบ้านด้วย สงสัยคงจะเกรงใจ หญิงสาวคิดในใจอย่างขำๆ
ช่างแอร์รีบเดินจ้ำไปยังโรงจอดรถอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงที่หมายก็หันซ้ายหันขวารอบตัว ดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นจึงล้วงเอาแผ่นกระดาษใบเล็กๆที่ระบุหมายเลขทะเบียนรถออกมาจากกระเป๋ากางเกง งานของเขาคือต้องตัดสายเบรกรถตามใบสั่งที่ได้รับมา เมื่อมองหารถเป้าหมายได้แล้ว เขาจึงเอาอุปกรณ์ตัดสายเบรคที่พกมาในกระเป๋าเสื้อออกมาก่อนจะสอดตัวไปใต้ท้องรถแล้วดำเนินการตัดสายเบรกทันที ใช้เวลาเพียงไม่นานสายเบรกของรถก็ถูกตัดอย่างเรียบร้อย เขามองผลงานของตนอย่างพอใจก่อนจะดันตัวออกมาจากใต้ท้องรถยุโรปคันหรูของศรารัตน์เพื่อจะได้ตัดสายเบรกของรถวิศรุตเป็นคันต่อไป
“เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้วเหรอคะ แล้วนั่นคุณไปยืนทำอะไรแถวรถของพี่ชายฉันคะ” ศรารัตน์ถามอย่างสงสัย เธอตั้งใจจะออกมานั่งเล่นอ่านหนังสือในสวน แต่ก็เจอช่างแอร์คนเดิมมายืนด้อมๆมองๆอยู่แถวรถคันโปรดของวิศรุต
“เอ่อ คือว่าผมเห็นว่ารถคันนี้สวยดีน่ะครับ ท่าทางคงจะแพงมาก ถ้าหากผมมีรถสวยๆแบบนี้บ้างก็คงจะดี” ศรารัตน์ยิ้มรับคำชมนั้น ก่อนจะพยักหน้าเมื่อช่างแอร์ขอตัวไปทำงานต่อ ในใจก็นึกสบถไปด้วย ถ้าศรารัตน์ไม่มาขัดจังหวะเขาไว้เมื่อครู่ ป่านนี้รถคันงามของวิศรุตได้ถูกตัดสายเบรกไปอีกคันแล้ว
นภัทรเดินเข้ามาในร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มแจ้งบริกรว่าได้จองโต๊ะเอาไว้แล้ว โดยบอกชื่อผู้จองเป็นชื่อของฝ่ายที่นัดเขาออกมา จากนั้นบริกรจึงนำชายหนุ่มไปยังโต๊ะที่อยู่ในมุมที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ซึ่งที่โต๊ะนั้นก็มีอีกคนหนึ่งนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“มาตรงเวลาดีนะ นั่งสิ” เจ้าของโต๊ะเอ่ยเชิญ ในขณะที่บริกรก็ทำหน้าที่เลื่อนเก้าอี้ให้ซึ่งนภัทรก็ยอมนั่งลงแต่โดยดี
“นัดฉันออกมาที่นี่มีเรื่องอะไร”
“ฉันก็แค่อยากจะหาโอกาสเลี้ยงขอบคุณนาย เรื่องที่นายไปช่วยศราในวันนั้น” วิศรุตยิ้มในหน้าก่อนจะเริ่มเปิดเมนูอาหารดู “อยากทานอะไรก็สั่งได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
“ฉันไม่ได้ช่วยอะไรมากเสียหน่อย นายเองต่างหากที่ไปบู๊ต่อยตีกับคนที่จับตัวคุณศราไปจนน่วมทั้งตัว ดูสิยังมีรอยแผลช้ำที่หน้าบางจุดอยู่เลย” นภัทรไม่พูดเปล่าแต่เอาปลายนิ้วเอื้อมมาไล้ใบหน้าที่ยังคงเหลือร่องรอยช้ำอยู่เล็กน้อยของวิศรุต ซึ่งการกระทำแบบนี้กลับทำให้วิศรุตรู้สึกวาบหวามในใจอย่างบอกไม่ถูกแต่ชายหนุ่มเองก็ไม่ได้ห้าม ออกจะพอใจด้วยซ้ำที่ นภัทรสัมผัสเขาแบบนี้เพราะมันให้ความรู้สึกเหมือนว่าทั้งคู่... เป็นคนรักกัน
“เอ่อ ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” นภัทรเป็นฝ่ายรู้สึกตัวก่อน คุณหมอหนุ่มกระดากใจเล็กน้อยกับท่าทางเกินเลยที่แสดงกับวิศรุตเมื่อสักครู่ เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันที่เผลอไปทำอะไรอย่างนั้นได้
“ช่างเถอะ สั่งอาหารดีกว่า” วิศรุตพูดแก้เกี้ยวก่อนหลบสายตาจากดวงตาสีถ่านที่กำลังจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าตนแล้วจึงสั่งอาหารกับบริกรที่เดินมารับออเดอร์ที่โต๊ะ
อาหารราคาแพงถูกสั่งมามากมายเต็มโต๊ะจนคุณหมอหนุ่มนึกขำ สั่งมาเยอะขนาดนี้ ทานสองคนจะไปหมดได้อย่างไรกัน
“ทำไมนายสั่งมาเยอะขนาดนี้ล่ะ ทำอย่างกับมากินสักสิบคน” นภัทรถามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะแต่อีกฝ่ายบอกว่า
“ก็ถามนายแล้วนี่นาว่าอยากจะทานอะไร นายเองก็ตอบว่ายังไงก็ได้เพราะทานได้หมด ฉันไม่ใช่คนรักของนายนะที่จะไปรู้ได้ว่านายชอบทานอะไร ไม่ชอบอะไร ก็เลยสั่งแบบมั่วๆไปหลายอย่าง คงจะดวงดีเจอของที่นายชอบทานบ้างแหล่ะ” คราวนี้นภัทรต้องหลุดขำออกมากับคำพูดของท่านประธานบริษัททัดเทวาผู้ยิ่งใหญ่ ชายหนุ่มมองอาหารตรงหน้า จริงอยู่ว่าอาหารที่วิศรุตสั่งมาจะมีทั้งของที่เขาชอบและไม่ชอบ บางอย่างเขาเองก็ไม่เคยกินเสียด้วยซ้ำ คุณหมอหนุ่มมองหน้าวิศรุตนิ่งแล้วจึงแกล้งพูด
“ที่นายสั่งมาเนี่ย ฉันดันไม่ชอบสักอย่างเลยน่ะสิ” คำพูดนั้นทำให้วิศรุตหน้าตึงขึ้นมาทันทีก่อนขยับมือจะเรียกบริกรที่ยืนอยู่ใกล้ๆนั้นให้เอาอาหารไปเปลี่ยน แต่นภัทรยึดมือเอาไว้เสียก่อน “นายจะทำอะไรน่ะ”
“ก็จะให้เปลี่ยนอาหารใหม่ให้นายน่ะสิ คราวนี้นายก็สั่งเองได้เลยนะ จะได้เลือกสั่งแต่ของที่ชอบ”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันทนกินได้ เรื่องแค่นี้สบายมาก” คุณหมอหนุ่มยังไม่วายตีหน้าตายหลอกต่อไป
“ก็ฉันบอกแล้วนี่นาว่าฉันไม่ใช่คนรักของนายซะหน่อย จะไปตรัสรู้ได้ไงว่านายชอบทานอะไรบ้าง”
“แล้วอยากจะรู้หรือเปล่าล่ะ” คำพูดสองแง่สองง่ามของนภัทรทำให้วิศรุตเผลอวางช้อนจนเสียงดัง ชายหนุ่มหลบสายตาอีกครั้งก่อนบอกว่าใครจะไปอยากรู้ นภัทรจะชอบหรือไม่ชอบอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย “นึกว่านายอยากจะรู้เสียอีก จะได้บอก” ยิ้มทะเล้นของนภัทรทำให้วิศรุตต้องลอบยิ้มในหน้าก่อนจะตัดบทบอกให้นภัทรทานได้แล้วเดี๋ยวอาหารจะเย็นชืดเสียก่อน “เอ้อ เห็นไอ้พงษ์บอกว่าช่วงนี้นายกับคุณศราเครียดๆเรื่องงานที่บริษัทเหรอ” นภัทรถามขึ้นมาระหว่างที่ทานอาหารเพราะไม่อยากให้บรรยากาศในการดินเนอร์คืนนี้ระหว่างเขากับวิศรุตเงียบเชียบไปนักจึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด แต่ดูท่าเขาคงยกมาพูดผิดเรื่องเพราะสังเกตได้จากสีหน้าของวิศรุตที่เริ่มเปลี่ยนเป็นเครียดขรึมขึ้นมาทันที
“ใช่ ช่วงนี้ที่บริษัทมีเรื่องยุ่งๆน่ะ” วิศรุตมองหน้านภัทรก่อนตัดสินใจเล่าให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟัง “มีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเกี่ยวพันกับการยักยอกเงินจำนวนหลายร้อยล้าน ตอนนี้ฉันกับศรากำลังช่วยกันรวบรวมหลักฐานเพื่อที่จะเอาผิดอยู่” คู่สนทนาพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขารู้แล้วก่อนจะถามต่อว่า
“แล้วผู้บริหารที่ยักยอกเงินคนนั้นก็เป็นญาติของนายสินะ ถ้าฉันเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นไอ้หมอนั่นที่เคยจะทำร้ายคุณศราใช่ไหม” วิศรุตถอนหายใจ นภัทรคงจะรู้เรื่องนี้มาจากพงศธรเพราะเขาเป็นคนเล่าให้พงศธรฟังเองด้วยความที่ไว้ใจฝ่ายนั้น อีกอย่างคือเขาต้องการให้พงศธรเป็นหูเป็นตาในเรื่องของการดำเนินโครงการใหม่ของทัดเทวาด้วย หากมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับงบก่อสร้างทั้งหมดก็ให้พงศธรมารายงานเขาได้ทันทีเพราะเขาไม่ไว้ใจคนอื่น กลัวว่าคนเหล่านั้นจะถูกวันชัยกับภาคินซื้อตัวเอาไว้ใช้งาน
“ไอ้ภาคินกับพ่อของมันร่วมมือกันโกงบริษัทฉัน พอศรารู้เรื่องเข้า ไอ้ภาคินก็จะจับศราไปข่มขืนเพื่อแบ็กเมล์แต่โชคดีที่พวกเราตามไปช่วยไว้ได้ทัน”
“ตอนนี้หมอนั่นกับพ่อคงจะแค้นนายกับคุณศรามากที่ไปเปิดโปงเรื่องยักยอกเงินกลางที่ประชุมผู้บริหารแบบนั้น ฉันว่าพวกนั้นคงต้องวางแผนเอาคืนแน่ นายกับคุณศราก็ระวังตัวเองไว้หน่อยแล้วกัน” ประโยคสุดท้ายทำให้วิศรุตอุ่นซ่านในใจอีกครั้ง นภัทรบอกกลายๆว่าเป็นห่วงเขา แม้ว่าบางทีชายหนุ่มอาจจะไม่ได้รู้สึกจริงๆแบบที่พูดออกมาก็ตาม
“ขอบคุณนะ ฉันจะระวังตัวให้มาก” นภัทรยิ้มให้วิศรุตอย่างจริงใจก่อนที่ความรู้สึกลึกๆบางอย่างจะเกาะกุมจิตใจของเขา มันเป็นความรู้สึกสังหรณ์ในใจพิกลเหมือนกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน คุณหมอหนุ่มลอบมองวิศรุตอีกครั้งด้วยความกังวลใจที่ฉายชัดในแววตาสีถ่าน
วิศรุตเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนส่วนตัวอย่างอารมณ์ดี การได้ทานข้าวสองต่อสองกับนภัทรโดยไม่มีคนรบกวนมันทำให้เขาช่างมีความสุขเหลือเกิน เหมือนกับได้ไปอยู่ท่ามกลางความฝัน และมันก็เป็นฝันที่ตัวเขาไม่อยากจะตื่นขึ้นมาพบกับความจริงเลยสักนิด ชายหนุ่มคิดในใจก่อนจะล้วงโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้วโยนเอาไว้บนเตียง จากนั้นจึงแกะเนคไทผ้าไหมราคาแพงออก แต่เสียงที่เคาะประตูห้องทำให้เขาต้องชะงักมือแล้วเอ่ยอนุญาตให้อีกฝ่ายเข้ามาได้
“มีอะไรเหรอ” วิศรุตถามเมื่อเห็นว่าเป็นศรารัตน์
“ลุงมั่นบอกว่านายกลับมาแล้ว ฉันก็เลยแวะมาหา กะว่าจะมาคุยเรื่องเอกสารงบการเงินที่จะใช้เป็นหลักฐานเอาผิดสองพ่อลูกนั่นน่ะ” หญิงสาววางแฟ้มที่ถือมาด้วยไว้บนเตียงของชายหนุ่ม
“ขอฉันอาบน้ำก่อนนะ เหนียวตัวไปหมดเลย เธอนั่งรอไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพอฉันอาบน้ำเสร็จเราจะได้มาคุยเรื่องนั้น กันต่อเลย” ศรารัตน์พยักหน้าแล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆกองเอกสารที่เธอวางเอาไว้ ส่วนชายหนุ่มเจ้าของห้องเดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปจัดการกับตัวเองเป็นอันดับแรก
เมื่อวิศรุตเข้าห้องน้ำไปได้ไม่นานนัก เสียงโทรศัพท์มือถือของชายหนุ่มก็ดังขึ้น ศรารัตน์มองไปทางห้องน้ำ หญิงสาวได้ ยินเสียงของน้ำไหลจากฝักบัวทำให้รู้ว่าวิศรุตคงกำลังอาบน้ำอยู่แน่ๆและก็คงจะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์อย่างแน่นอน หญิงสาวจึงหยิบเจ้าเครื่องมือสื่อสารของวิศรุตขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าคนที่โทรเข้ามาคือพงศธรนั่นเอง ในที่สุดศรารัตน์ก็ตัดสินใจกดรับแต่ยังไม่ทันได้บอกว่าวิศรุตอยู่ในห้องน้ำ ปลายสายก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ฮัลโหลวิน ฉันจะมาชวนนายไปงานเลี้ยงรุ่นม.ปลายน่ะ งานนี้เพื่อนเก่าๆไปกันเต็มเลยนะเว้ย ฉันกับไอ้กานต์ก็จะไป นายจะไปด้วยกันไหม จะได้ถือโอกาสนี้คุยกับไอ้กานต์ให้มากๆหน่อย ฉันรู้หรอกนะว่าต่อหน้าคุณศราน่ะ นายกับไอ้กานต์ต้องแกล้งทำเป็นคนไม่รู้จักกันใช่ไหมล่ะ” สิ่งที่ได้ยินจากปากพงศธรทำให้ศรารัตน์กำโทรศัพท์มือถือแน่น เป็นอย่างที่เธอเคยคิดเอาไว้จริงๆ พี่ชายของเธอกับคุณหมอกานต์เคยรู้จักกันมาก่อน แถมยังเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายร่วมชั้นเรียนเดียวกันอีกด้วย แต่เพราะเหตุผลอะไรกันที่วิศรุตถึงเลือกที่จะปิดบังเธอไว้ ทำไมต่อหน้าเธอจึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกับหมอกานต์ด้วย
“ฮัลโหลวิน นายฟังอยู่หรือเปล่า ฮัลโหลๆ” ปลายสายเรียกซ้ำเพราะแปลกใจที่อีกฝ่ายไม่พูดตอบกลับมา ศรารัตน์จึง ได้สติหลุดออกจากภวังค์ จากนั้นหญิงสาวจึงกดตัดสายไปท่ามกลางความแปลกใจของพงศธร
เสียงโทรศัพท์มือถือของวิศรุตดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง คนที่โทรมาก็คือพงศธรเช่นเดิม คราวนี้ศรารัตน์เลือกที่จะปิดเครื่องเลยเพราะกลัวว่าวิศรุตที่อาบน้ำอยู่จะได้ยินเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือตัวเองแล้วจะสงสัยเอาได้ หญิงสาวมองสิ่งที่อยู่ในมืออย่างหมายมาดก่อนจะวางมันเอาไว้ที่เดิม จากนั้นจึงค่อยๆเปิดประตูห้องนอนของวิศรุตออกไปอย่างเงียบเชียบ วันนี้เธอจะต้องรู้ให้ได้ว่าวิศรุตกำลังปิดบังอะไรเธออยู่กันแน่
ศรารัตน์ถือโอกาสตอนที่วิศรุตกำลังอาบน้ำอยู่แอบเข้ามาในห้องทำงานของฝ่ายนั้น หญิงสาวตรงไปยังตู้กระจกไม้สัก ขนาดใหญ่หลังโต๊ะทำงานของชายหนุ่มเพราะนึกขึ้นได้ว่าวิศรุตมักจะเก็บของสำคัญหรือของที่ระลึกเกี่ยวกับสมัยที่ยังเป็นนักเรียนมัธยมเอาไว้ที่ตู้นี้ อย่างน้อยมันก็น่าจะมีอะไรมายืนยันความเข้าใจของเธอในตอนนี้ได้บ้าง
เมื่อลองขยับเปิดตู้ดูก็พบว่ามันถูกล๊อกกุญแจเอาไว้ หญิงสาวส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจก่อนจะเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงานเพื่อหากุญแจที่วิศรุตอาจจะซ่อนเอาไว้ที่ไหนซักแห่ง แต่ในที่สุดกุญแจก็ไม่ได้อยู่ในนั้น ศรารัตน์มองไปรอบตัวอย่างเริ่มหัวเสีย ความอยากรู้ที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจทำให้หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เธอหากุญแจต่อไปเรื่อยๆ ในใจก็ลุ้นให้วิศรุตอาบน้ำนานๆเพื่อที่ว่าเธอจะได้มีเวลาในการหามากกว่านี้
ด้วยความกลัวว่าวิศรุตอาจจะมาเห็นว่าเธอแอบเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน หญิงสาวจึงร้อนรนจนมือบางเผลอไปปัดไดอารี่เล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะหล่นลงมาที่พื้น โชคดีที่พื้นห้องปูด้วยพรมเปอร์เซียผืนหนา ดังนั้นเมื่อของตกจึงไม่เกิดเสียงดังมากนัก ศรารัตน์รีบก้มตัวลงไปเก็บสมุดไดอารี่เล่มนั้นขึ้นมาทันทีก่อนจะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างถูกซ่อนเอาไว้ในไดอารี่เล่มหนานั้นด้วย และมันก็หลุดกระเด็นออกมาเมื่อตอนที่เธอทำไดอารี่ตกพื้นนั่นเอง... บางสิ่งที่ว่ามันก็คือกุญแจดอกหนึ่ง
ศรารัตน์มองกุญแจในมือก่อนตัดสินใจลองเสียบเข้าไปในรูกุญแจของตู้หลังโต๊ะทำงานนั้น ปรากฏว่ามันเปิดออกได้จริงๆ หญิงสาวยิ้มในหน้าก่อนค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบของในตู้นั้นออกมา ซึ่งภายในนั้นก็มีรูปถ่ายเก่าๆสมัยเรียนของวิศรุต สมุดไดอารี่และของสะสมตามกระแสนิยมมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงความสนใจของหญิงเอาไว้ก็คือหนังสือรุ่นสมัยมัธยมต้นของวิศรุต หนังสือนั้นมีหน้าที่ถูกคั่นเอาไว้ด้วย ศรารัตน์จึงเปิดไปตามหน้านั้นเพราะคิดว่าหน้าที่วิศรุตคั่นเอาไว้มันคงจะเป็นหน้าที่พิเศษกว่าหน้าอื่นๆอย่างแน่นอน
ในหน้านั้นเป็นภาพถ่ายหมู่ของกลุ่มเพื่อนนักเรียนทั่วไป ภาพนั้นมีวิศรุตกับเพื่อนๆ และที่สำคัญยังมีนภัทรรวมอยู่ด้วย แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วหลายปี แต่หญิงสาวมั่นใจว่าเด็กหนุ่มในรูปคือนภัทรแน่ๆ เพราะนภัทรในอดีตกับคุณหมอนภัทรในวันนี้ไม่ได้แตกต่างกันเลยซักนิด ส่วนวิศรุตในตอนวัยรุ่นนั้นเธอจำหน้าได้แม่นอยู่แล้ว เท่านี้ก็เป็นการยืนยันคำตอบในใจของเธอ... สองคนนั้นรู้จักกันมาก่อนจริงๆ เมื่อก่อนศรารัตน์เคยสงสัยมาตลอดว่าทำไมวิศรุตถึงต้องคอยพยายามกีดกันไม่ให้เธอชอบกับนภัทรด้วย แต่ในที่สุดวันนี้เธอก็รู้จนได้...
ศรารัตน์มองจ้องไปที่หนังสือรุ่นในมืออีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ได้มองที่รูป แต่กลับมองข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของวิศรุตข้างๆรูปแทน พลันน้ำตาหยดหนึ่งก็ไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลคู่สวยของศรารัตน์ ทำไมต้องเป็นแบบนี้...
‘เป็นครั้งแรกที่ได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิดกับคนที่ตัวเองแอบรักมานาน... นภัทร อิสรีย์’
“นี่มันห้องทำงานส่วนตัวของฉันนะ เธอจะเข้ามาทำไมไม่ขออนุญาตฉันก่อน” เสียงวิศรุตที่เจือกระแสความไม่พอใจอย่างชัดเจนดังขึ้นหน้าประตูห้องทำงาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ศรารัตน์รู้สึกตกใจอย่างที่ควรจะเป็น ความจริงตรงหน้าต่างหากที่ทำให้เธอรู้สึกตกใจมากกว่า “ฉันอาบน้ำเสร็จออกมาก็ไม่เห็นเธอแล้ว เห็นห้องนี้เปิดไฟอยู่ฉันก็เลยเข้ามาดู ว่าแต่เธอเข้ามาทำอะไร ฉันไม่ชอบให้ใครเข้ามายุ่งวุ่นวายในห้องนี้ถ้าฉันไม่ได้อนุญาต เธอเองก็รู้ดีนี่นา” วิศรุตตำหนิน้องสาวด้วยน้ำเสียงรัวเร็วโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นสีหน้าที่แปลกไปของศรารัตน์
“ถ้าฉันไม่เข้ามา ฉันก็คงจะเป็นน้องสาวหน้าโง่ที่ถูกนายปิดบังความลับเอาไว้ตลอดชีวิตสินะ” ตอนแรกวิศรุตมีสีหน้าไม่เข้าใจกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่เมื่อศรารัตน์หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับตน ชายหนุ่มก็ได้เห็นสิ่งที่ศรารัตน์กำลังถืออยู่ชนิดเต็มสองตา เธอกำลังถือหนังสือรุ่นสมัยม.ต้นของเขาอยู่ เท่านี้ก็ทำให้วิศรุตปะติดปะต่อเรื่องทุกอย่างได้ไม่ยาก และตอนนี้ศรารัตน์เองก็คงจะรู้เรื่องที่เขาปิดบังเธอไว้หมดแล้วเช่นกัน ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับนภัทรแล้วก็ความลับส่วนตัวของเขา
Aislin: เอาล่ะสิ ศราดันมารู้ความลับที่วินพยายามปิดบังเข้าให้แล้ว เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป และวินจะทำยังไง ติดตามต่อกันเอาเองนะคะ ไม่อยากสปอยด์ให้เสียอรรถรส และเดี๋ยวพบกันอีกไม่ช้าไม่นานนี้ค่ะ แต่ขออนุญาตแจ้งนิดนึงนะคะ เนื่องจากว่ารูปเล่มนิยายเรื่องนี้ใกล้จะเสร็จออกจากโรงพิมพ์แล้ว หลังจากรูปเล่มออก เกดจะขออัพในเว็บสัปดาห์ละ 1 บทแล้วกันเน้อ เพราะอยากให้สิทธิ์คนที่ซื้อรูปเล่มได้อ่านจนจบก่อนค่ะ (ในรูปเล่มมีตอนพิเศษแถมให้แบบจุใจอีก 3 ตอนเต็มๆ จะช่วยให้เรื่องสมบูรณ์และเข้าใจอดีตของแต่ละคนมากขึ้น) ยังไงใครรักใครชอบ ฝากอุดหนุนกันด้วยนะคะ แต่ถ้าหากใครไม่สะดวกสามารถตามอ่านในเว็บได้เลยค่ะ อัพให้อ่านจบแน่นอน (แต่ไม่มีตอนพิเศษเน้อ)
ปล. ตอนนี้นิยายยังสามารถสั่งซื้อเข้ามาได้นะคะ เกดพิมพ์เผื่อนิดหน่อย ใครสนใจติดต่อด่วนเลยค่ะ ผ่านช่องทางแฟนเพจ www.facebook.com/aislin.napoon หรือไม่ก็อีเมล์ Aislinnovelsอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com จ้ะ ^0^