ราตรีประดับดาว21 [มันมาแล้ว... No Children miss]
โดย:ทิวารา
พระจันทร์สวย...
แสงสีนุ่มนวลชวนมอง...จับต้องลูบไล้ผิวเนื้อนวลสร่าง
แม้เพียงได้มองก็ต้องใจหมายติดตาม...อยากเอ่ยถามถึงความรักมิหักใจ
คนตัวสูงนั่งยิ้มบาง ๆ ให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก่อนที่จะค่อย ๆ กระซิบถามเบา ๆ
“ วา...เป็นไงบ้าง หายตื่นเต้นรึยัง ? ”
คนตัวเล็กไม่ตอบ...หากแต่ยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะที่อกกว้างของคนถาม ก่อนที่สัมผัสที่สะท้อนจากอกนั้นจะทำให้เจ้าของวงหน้ามน ๆ เกิดร้อนผ่าวขึ้นมาถึงใบหู
“ มาถามวา...แต่หัวใจสนกลับเต้นซะเร็ว...เร็วมากขนาดนี้เนี่ยน่ะนะ ”
คนตัวโตหัวเราะ...พลางค่อย ๆ กระซิบสารภาพ
“ วา...สนเป็นคนเริ่มนะ แล้ว...อย่างที่สนบอกวาแหละ ว่าสนเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ดังนั้นพอคิดว่าต้องทำ...แล้วก็ไม่อยากให้วาเจ็บเท่านั้นแหละมันก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกันนะ... ”
พอสารภาพไปอย่างนั้น...คนพูดก็นึกด่าตัวเอง ที่เมื่อเวลาที่เพื่อน ๆ ชวนกันไปดูอะไรดี ๆ หลังเลิกเรียนที่บ้านเพื่อนนั้น เขากลับไม่เคยสนใจใยดีแล้วก็เอาแต่คิดแต่จะไปร่อนหาอะไรกินมากกว่า ดังนั้นก็คงมีไม่กี่ครั้งที่จะไปทำอะไรมก ๆ พิเรนทร ๆ ตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนฝูงเหมือนคนอื่นเขา
อีกอย่าง...กับผู้หญิงที่ถือว่าพอจะไปส่องวิดิโอกับเพื่อน ๆ พอได้ความรู้มามั่ง...เขาก็ยังไม่เคยเลย
แล้วนี่...วาเป็นผู้ชายนะ ถึงจะพอรู้นิดหน่อยว่ามันต้องทำยังไงแต่พอคิดสภาพว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเกิดร้องไห้ขึ้นมานั่นมันก็ทำเอาตัวเขาใจฝ่อขึ้นมาเหมือนกัน
ระหว่างที่คิดก่นด่าตัวเองอยู่เพลิน ๆ ...ทิวาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไล้นิ้วกับแก้มของคนตัวโต ก่อนที่จะเอ่ยเสียงอ่อน ๆ
“ เปียกไปหมดแล้ว...เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกสน ”
เท่านั้นเอง...สนธยาถึงพึ่งสังเกตว่ากางเกงที่สวมนั้นเปียกซ่ก...แล้วไหนยังจะกอดจนทิวาเปียกไปด้วยอีกคน ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อของคนตัวเล็กช้า ๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองดวงตากลมโตซึ่งกำลังเม้มปากน้อย ๆ พลางทำตัวเกร็งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก
“ ที่นี่มีแค่เรานะ...อย่ากังวลไปเลยคนดี สนไม่คิดมากหรอกนะวา เพราะว่า...วาน่ารักเสมอแหละนะ ก็วา...คนดีของสนนี่นา ”
ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงใช้คำพูดคำจาเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อยากใส่ใจอีกต่อไปแล้ว...เพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้ ทำแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะเขาเองก็อยากทำตัวอ่อนหวานให้วาเห็นเหมือนกัน
ดังนั้นสนธยาจึงตัดสินใจได้ว่า...จะไม่ต่อต้านความเป็นตัวเองที่อาจจะไปคลับคล้ายใครคนอื่นของทิวาอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนตัวเล็กคนนี้ก็ได้พูดออกมาแล้วว่าตัวเขาก็คือตัวเขาเองในสายตาของคนตัวเล็กน่ารักคนนี้ โดยที่เขาไม่เคยถูกทิวานำร่องรอยไปทาบทับหรือเปรียบเทียบเป็นตัวแทนของใครที่ไหน
สนธยาค่อย ๆ แตะริมฝีปากลงที่ปลายจมูกเล็ก ๆ แผ่วเบา ก่อนที่จะใช้ปลายจมูกดุนที่ข้างแก้ม...พาให้คนตัวเล็กต้องแหงนหน้า เงยขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สนธยาจะก้มละแนบริมฝีปากลงไปที่กลีบปากนุ่มนั้นเบา ๆ
แตะน้อย ๆ ราวหมู่ผีเสื้อทอดกายลงบนกลีบใบของหมู่มวลดอกไม้ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำหวาน ก่อนที่จะถอยห่างเล็กน้อย แล้วค่อยกดริมฝีปากลงอีกครั้งให้ชัดเจนถึงความรู้สึกอ่อนหวานดื่มด่ำที่ลึกล้ำในวิญญาณ
นิ้วมือ...ลูบไล้ใบหน้านวล ๆ นั้นอย่างเบามือ และโอบประคองไว้ด้วยรอยสัมผัสอบอุ่นเต็มที่
“ หวานเอยหวานใด...จะเทียบได้เท่า...ความหวานของเจ้าบัวน้อย ”
หลุดปากไปตอนใดก็ไม่รู้...แต่สนธยารู้เพียงว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิดจริง ๆ โดยไม่ใช่คำพูดของใครอื่นเลย เพราะทิวานั้นอ่อนหวาน...นุ่มนวลแลอบอุ่นราวแสงตะวันอ่อน ๆ ยามไล้อนูไปทั่วร่างของผู้คนที่ยังหลับใหลในขณะที่อาทิตยาพึ่งมาเยือนในยามรุ่ง และทั้งยังให้ความรู้สึกหอมหวานนวลเนื้อนุ่มราวกลิ่นไม้...ดอกไม้ที่หอมนุ่มนวลอ่อนหวานและไม่ฉูดฉาดรุนแรง
// เหมือนบัว...เหมือนดอกบัว //
“ สน... ”
ทิวาเอ่ยเรียกคนที่โอบประคองตนเองเอาไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่เจ้าของชื่อจะยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน พร้อม ๆ กับอาการลดใบหน้าลงซบที่ไหล่เล็ก ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระซิบอู้อี้อยู่ทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นยังซบนิ่งกับไหล่บอบบางของทิวา
“ สนธยาแปลว่า...ยามค่ำ แต่ทิวา...แปลว่ายามรุ่ง ยามอาทิตย์ฉาย ”
สนธยายิ้มบาง...พลางค่อย ๆ กระซิบแผ่วเบา
“ ยามค่ำนั้นแลสิ่งใดไม่ใคร่เจนชัดทั้งยังเย็นเรื่อย...แต่เบื่อแล้ว เย็นมากเข้าก็หนาวจับใจ มีทิวา...มีตะวันฉายเป็นของตัวเองอย่างนี้ค่อยอุ่น อบอุ่นแลอ่อนหวาน... ”
นิ้วมือของคนตัวสูงค่อย ๆ เลื่อนและไล้แผ่วเบาที่แผ่นหลังเล็ก ลูบไล้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานที่สัมผัสบางเบาพร้อมไออุ่นจากปลายนิ้ว ก่อนที่จมูกโด่งจะกดลงกับลำคอขาว ดุน...ดันน้อย ๆ จนทิวาเผลอร้องออกมาเบา ๆ
ทั้งเขิน...ทั้งอาย ไม่รู้สนคนเดิมหายไปไหน
ทิวาคิดเช่นนั้นก่อนที่ในหัวสมองจะขาวโล่งราวห้องว่างไร้รอยระลึกอันใด เพราะสัมผัสอ่อนหวานนั้นไซร้...พอให้หัวใจลอยไปตามความหอมหวาน ลอยไป...ตามสัมผัสเบาบางเนิบช้าราวปีกผึ้งไล้กลีบและใบยามหาน้ำหวาน
เสื้อนอนตัวบางถูกคนตัวสูงถอดจนพ้นไป ในขณะที่กางเกงนอนนั้นถูกเลื่อนลงหมิ่นเหม่เต็มที ...สนธยาค่อย ๆ กดริมฝีปากลงที่กลางอกของคนตัวเล็กเบา ๆ ยังจุดที่รู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนไหวรุนแรงของหัวใจเล็ก ๆ ที่โลดแรง ก่อนที่จะจุมพิตตรงนั้นย้ำลงไปอย่างอ่อนหวาน
“ สน...สนแกล้งวา ”
เจ้าตัวเล็กร้องเสียงแผ่วเมื่อการกระทำเมื่อครู่นั้นพาให้ทิวารู้สึกเขินจนใบหน้าร้อนผ่าว...ร้อนผ่าวจนไม่รู้จะทำอย่างไรได้นอกจากเอ่ยบ่นว่าคนตัวสูงแกล้ง...รังแกให้ต้องอายจนถึงขนาดนี้
น่ารัก...คิดได้เพียงนั้นสนธยาก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนที่จะเงยขึ้นไปแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของคนตัวเล็กช่างว่า ก่อนจะแกล้ง...งับกลีบปากเล็กนั้นเบา ๆ
รู้ว่ายิ่งทำ...คนตัวเล็กในอ้อมแขนก็ยิ่งเขิน แต่...ก็อยากทำ อยากให้เขิน...อยากเห็น!!
“ สน...บ้า! ”
คนตัวเล็กชักรู้ว่า ‘ถูกแกล้ง’ เจ้าตัวจึงได้ว่าคนตัวสูงเข้าให้ แต่ยิ่งดูเหมือนสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายยิ่งอมยิ้ม...ชอบใจ
“ ก็...เป็นไอ้บ้าสนปากเสียของวามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา หึ หึ หึ ”
สนธยากระซิบพลางใช้ปลายนิ้วรั้งขอบกางเกงนอนของคนตัวเล็กแล้วรูดลงไปตามท่อนขาเล็ก ๆ โดยที่ทิวาไม่ทันตั้งตัว โดยที่รอยยิ้มบนใบหน้าคมนั้นพรายด้วยรอยหยอกเย้าไม่ปิดบัง
“ สน...บ้า อึ่ก!! สนแกล้ง...ไม่เอาแล้ว...สนแกล้ง ฮึก!! ”
พอรู้ว่าถูกแกล้ง...หนัก ๆ เข้าคนตัวเล็กก็ก็อายจนอยากร้องไห้ พาให้ดวงตากลม ๆ นั้นค่อย ๆ รื้นด้วยหยดน้ำใส ๆ จนคนช่างแหย่ชักเห็นท่าไม่ดี...ใจไม่ดี
ชอบแกล้ง...อยากเห็นเวลาอีกฝ่ายเขินจนใบหน้าระเรื่อ แต่ก็ดันมาแพ้...น้ำตาของเจ้าตัวเล็กนี่แหละหวา ดังนั้นพอทิวาจะร้องไห้...คนแหย่อย่างสนธยาก็เลยต้องมาแย่เสียเอง...เพราะต้องปลอบไม่ให้อีกฝ่ายร้องไห้
เพราะน้ำตาของทิวาเหมือนยาขม...จนสนธยาทนเห็นไม่ได้เลย ตั้งแต่ครั้งแรกในห้องเรียนหรือครั้งต่อ ๆ จากนั้นมาจนวันนี้ ไม่ว่าครั้งไหน ๆ ก็ตามที่เห็นน้ำตาของทิวา...เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด ไม่รู้ว่าเจ็บแค่หัวใจหรือว่าเจ็บไปหมดทั้งร่าง...เขาไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่าเจ็บแสนเจ็บ
แล้วก็รู้แต่ว่า...ทนไม่ได้!!
“ โอ๋ ๆ...คนดี ไม่ร้องนะวานะ สนขอโทษ สนไม่แกล้งแล้วนะครับ...อย่าร้องเลย...นะ...นะ ”
คนตัวโตพยายามปลอบ...พยายามพูดช้า ๆ แต่น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นพาลสั่นน้อย ๆ จนแม้แต่ทิวาเองยังจับความรู้สึกได้ว่าคนตัวสูงรู้สึกแย่ รู้สึกแพ้น้ำตาของทิวาเข้าจริง ๆ
สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบพลางแตะปลายจมูกลงบนแก้มนิ้ม ทั้งง้อ...ทั้งขอโทษ จนคนตัวเล็กใจอ่อนก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
ทิวารู้แล้ว...รู้สึกได้แล้วด้วยทุกอย่างที่ได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู และสัมผัสได้ด้วยหัวใจ...ว่าคนที่โอบกอดตนเองไว้นั้นให้ความสำคัญกับตัวเขา ให้ความสำคัญจนถึงขนาดที่ไม่สามารถทนเห็นน้ำตาของตนเองได้เลย
ไม่ใช่มารยา...ไม่ใช่การปั้นแต่ง แต่เป็นความเป็นจริง...สำหรับน้ำเสียงงอนง้อที่สั่นไหว และใบหน้าที่หมองลงทันทีเมื่อทิวาเริ่มมีรอยชื้น ๆ รื้นที่ดวงตากลม ๆ นั้น...
“ วาไม่ร้องแล้ว...ไม่เป็นไรนะสน อย่า...ทำหน้าอย่างนั้นสิ ”
คนตัวเล็กเอ่ยเบา ๆ พลางยิ้มให้เขา...อ่อนหวาน อ่อนหวานน่ารักเสียจนสนธยาชักจะเริ่มรู้สึกทนไม่ได้
เขาค่อย ๆ ถอดกางเกงยีนส์ที่เปียกชื้น...ทั้ง ๆ ที่มันถอดยากเหลือเกิน แต่คนตัวสูงก็ถอดมันออกอย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ดันมันไปจนพ้นตัว ร่างกายเปลือยเปล่าในแสงเงาอ่อนหวานจากแสงจันทร์นั้นเน้นเค้าโครงและกล้ามเนื้อบนร่างที่สูงหนานั้นจนเห็นชัด จนตากลม ๆ ที่ปรือมองต้องค่อย ๆ เส...มองไปอีกทาง
“ เอ่อ... ”
คนตัวสูงมองใบหน้ามน ๆ ซุกหน้าลงกับหมอนงุด ๆ แล้วก็ขำจนหัวเราะเบา...
“ เขินเหรอ ? ”
สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบถาม...ในขณะที่คนตัวเล็กยิ่งเขยิบซุกหน้างุดหนักกว่าเก่า จนสนธยาต้องก้มลงดุนปลายจมูกลงที่หลังใบหูของทิวาเบา ๆ จนเจ้าตัวเล็กสะดุ้ง เขาจึงถือโอกาสนั้นค่อย ๆ ประคองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นให้หันกลับมาแล้วก้มลงจูบหวาน ๆ ...นานหลายอึดใจ นาน...จนคนตัวเล็กหายใจไม่ทัน
“ วาอย่าหลบสิ...อย่าว่าแต่วาเลย สนก็อายนะ แล้วก็...สนอยากให้วาแตะนะ แตะตรงไหนก็ได้ เวลามือนิ่ม ๆ แตะลงบนตัวสนน่ะมันทำให้สนรู้สึกอบอุ่นจังเลยนะวา... ”
คนตัวโตออดอ้อน คนตัวเล็กก็ค่อยถาม...แผ่วเบา
“ แล้ว...สนจะแตะบนตัววาไหม ? วาก็ชอบ...เพราะว่ามือของสนอุ่นจังเลย ”
น่ารัก...น่ารัก คิดได้แค่นั้นคนตัวโตก็ครางในลำคอเป็นการรับคำ ก่อนที่จะค่อย ๆ แนบสัมผัส แนบมือหนาอบอุ่นลงบนแผ่นอกเล็ก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสถึงผิวเนื้อนวลเนียนโดยการลูบไล้ไปมาอย่างเชื่องช้า...แผ่วเบา จนคนตัวเล็กต้องครางในลำคอเบา ๆ กับสัมผัสอุ่นจนร้อนนั้น
ดวงตาคม ๆ เป็นประกายพราวขณะที่มือหนึ่งค่อย ๆ ไล้ไปตามร่างเล็ก ๆ ไล้ไปตามเนื้อตัวนิ่มนวลและหอมหวาน ในขณะที่อีกมือหนึ่งไล้ที่แก้มนุ่ม ๆ
“ แตะผมสิครับ...คนดี ”
สนธยาอ้อนขอ...พลางคว้าข้อมือเล็ก ๆ นั้น ให้แตะฝ่ามือแนบลงบนแก้มของเขาเอง เจ้าตัวยิ้มหวานให้ทิวา ก่อนที่จะจูบกลางฝ่ามือเล็ก ๆ จนเจ้าของมือเขินจนแทบชักมือกลับโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว
“ แตะผมนะ...วา ผมชอบเวลามือนิ่ม ๆ ของวามาแตะจังเลย...นะ...นะวา ”
ทนแรงอ้อนไม่ไหว...จนทั้ง ๆ ที่แม้ว่าจะทั้งอายและตกประหม่า แต่มือเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ แตะไล้ไปตามใบหน้าคม ๆ นั้น ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่ไหล่หนา แล้วแตะนิ่งที่อกซ้ายของคนตัวโตช่างอ้อนคนนั้น จนทำให้ได้รู้ว่าหัวใจของคนขี้เล่นคนนี้ก็ตื่นเต้นตกประหม่าพอกัน
“ อื๊อ...สนจั๊กจี้...เอ๊ะ!!...ไม่เอานะ ตรงนั้นมัน... ”
ทิวาร้องแผ่วเบา...เมื่อสนธยาไล้ริมฝีปากลงบนไหล่เล็ ก ๆ ช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่อีกมือหนึ่งเลื่อนต่ำลงสู่เบื้องล่าง
“ ก็วาแตะสนนี่ครับ...สนเลยทนไม่ไหวแล้วละวา ”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยด้วยรอยเสียงต่ำลึก...ก่อนที่จะก้มลงแตะเบา ๆ ที่ซอกขาด้านใน...จนคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก นิ้วมือเล็ก ๆ ถูกยกขึ้นปิดริมฝีปากราวกับจะเขินอายที่ต้องหลุดเสียงร้องแปลก ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนให้อีกฝ่ายได้ยิน
สนธยาค่อย ๆ สัมผัสที่ส่วนอ่อนบางนั้นแผ่วเบาและเนิบช้า...ทั้งด้วยปลายนิ้วและปลายลิ้น ดวงตาคม ๆ เหลือบมองใบหน้าหวานเป็นพัก ๆ ในขณะที่ทิวาที่พยายามกลั้นเสียงร้องแปลก ๆ ของตัวเองนั้นกลับค่อย ๆ เผลอหลุดเสียงครือครางออกมาทีละน้อย...ทีละน้อย
“ ฮึก!!...สน...วาจะตายแล้ว...ทำไมมันรู้สึกแบบนี้ละ...ฮึก!!...วาจะตายไหมสน......สน ”
เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย...จนสนธยายังสงสาร ดวงตาคมกริบกลับไปจ้องลงไปบนดวงตากลมโตที่ทอดประกายเชื่อม...อ่อนหวานจนแทบหยาดหยดนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ ให้
“ ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอกนะคนดี...วา ทรมานหรือรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าละ ? ”
คนตัวเล็กส่ายหน้า ในขณะที่ครางเสียงสูงออกมา...เมื่อสนธยาสัมผัสด้วยปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง ให้สัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้วและความอ่อนหวานสลับหนักเบาแห่งรอยสัมผัส ขยับไหวอย่างเนิบช้าและมอบให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป...ไม่เร่งไม่ร้อน...ไม่รุนแรง
“ ฮึก!! …อื๊อ!! ”
“ อย่ากลั้นสิครับคนดี...กลั้นเสียงทำไมกัน ทำแบบนั้นก็ทรมานสิ เสียงน่ารัก ๆ ...ให้สนได้ยินหน่อยไม่ได้เหรอวาถึงได้กลั้นไว้อย่างนั้นน่ะ ”
“ อื๊อ!!...สน...วาไม่ได้...ฮ๊า!! ”
นิ้วมือเล็ก ๆ เปลี่ยนจากกุม...ปิดริมฝีปากของตนแน่นหนา กลับเปลี่ยน...ค่อย ๆ ยกขึ้นมารั้งที่ไหล่หนา ๆ แทน ทิวาค่อย ๆ หลุดเสียงครางหวานออกมาเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสช้า ๆ เนิบนาน...จนกระทั่งระยะสัมผัสค่อย ๆ กระชั้นขึ้น นั่นจึงทำให้นิ้วมือเล็ก ๆ นั้นค่อยเผลอออกแรงกด...จิกลงบนไหล่และแผ่นหลังของคนช่างแกล้งอย่างเผลอตัว
“ สนอยากกินวาแล้วน่ะ...อยากทนนะแต่ไม่ไหวแล้ว เพราะเสียงวา...น่ารักเกินไป!! ”
สนธยาก้มลงกระซิบเบา ๆ ด้วยรอยเสียงแหบพร่า...ก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนนิ้วมือลงไปจากจุดเดิม แล้วค่อยแตะแผ่วเบาลงยังอีกจุดหนึ่งทำเอาทิวาสะดุ้ง
“ สน...สนอื๊อ!!...จะทำ...จะทำอะ...ฮึก!!...ไรน่ะ ”
“ ไม่ต้องกลัวนะวา...คนดีของสน อย่าร้องไห้สิครับ สนไม่ได้แกล้งวานะครับ คือว่า...สนจะบอกว่าเราจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะสำหรับผู้ชายแบบเราสองคนน่ะ...เอ่อมันไม่ได้เหมือนกับ...เอ่อผู้ชายกับผู้หญิงไงละครับคนดี ”
สนธยาพยายามอธิบาย...รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้อธิบายให้คนตัวเล็กฟังเสียก่อน จึงตัดสินใจที่จะค่อย ๆ อธิบายไปปลอบไปด้วย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถึกกับผวาเฮือกจนน่าสงสารอย่างเมื่อครู่
“ กลัวเหรอ ?...สนขอโทษนะที่ไม่ได้อธิบายก่อนน่ะ อย่า...อย่ากลัวไปเลยนะคนดี...สนไม่ทำร้ายวาหรอกนะ วาเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ ? ”
คนตัวสูงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน...และทิวาที่หอบสะท้านก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับน้อย ๆ ทั้ง ที่ใบหน้าเรื่อสีชดเจน
“ วาจะตายไหมสน...มัน...ฮึก!! มันรู้สึกแปลกกว่าตะกี๊อีก...อื๊อ!!...สน...สน ”
ทิวาสะอื้นถาม...ในขณะที่สนธยาค่อย ๆ กด...ล้ำปลายนิ้วรุกเข้าไปในความอบอุ่นอย่างช้า ๆ
“ ไม่ตายหรอก...คนดี สนไม่ให้วาเป็นอะไรไปหรอกนะวา...ใจเย็น ๆ นะ ถ้ากลัวก็มองตาสนนะวา ถ้าวากลัวก็มองสนนะ ”
สนธยาค่อย ๆ ทาบทับบนร่างที่เล็กกว่าช้า ๆ
แต่ในขณะที่น้ำตาหยดน้อยไหลออกมาบนผิวแก้มเรื่อสีนั้นบาง ๆ ทำเอาสนธยาอยากจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลงเสียตั้งแต่วินาทีนี้...ถึงขนาดที่คิดว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น เพราะทนให้คนตัวเล็กร้องไห้ไม่ไหวจริง ๆ
“ วา...วา อย่าร้องเลยนะคนดี ไม่เอาแล้ว...สนไม่ทำแล้วก็ได้ ”
สนธยาปลอบ...ในขณะที่ทิวาค่อย ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
“ สน...วาจะทำได้ไหม? สนว่าวาจะทำได้ไหม ? ”
เพราะไม่มั่นใจ...กลัวแสนกลัว ถึงได้ถาม...เพราะรู้ว่าต่างก็อยากให้ทุกอย่างสามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะที่สุดแล้ว...ต่างคนต่างก็อยากจะได้รู้สึกถึงความรักให้มากกว่านี้ อยากได้สัมผัสความอ่อนหวานเป็นสุขมากกว่านี้
แต่สำหรับทิวาที่กลัวแสนกลัวนั้น...อย่างน้อยคนตัวเล็กก็อยากขอกำลังใจ ขอคำมั่น...ขอคำยืนยันเพื่อให้ความรู้สึกมั่นคงนั้นพัดพาความกลัวให้จางหายไป
ใบหน้าเนียนนั้นเรื่อสี ดวงตากลมโตฉ่ำหวานด้วยคลื่นอารมณ์ แต่ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายคล้ายคำร้องขอ...ขอแค่คำพูดเพียงคำเดียว
สนธยายิ้มอ่อนหวาน ก่อนที่จะก้มลงปัดริมฝีปากลงกับแก้มนิ่มบาง ๆ ...ซับรอยชื้นจากหยาดเหงื่อเบาผิวแก้มนุ่มนิ่มเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก...มั่นคง
“ ได้สิ...วาของสนต้องทำได้แน่ ๆ ไม่กลัวนะคนดี...ไม่ต้องกลัว วาทำได้... ”
เพียงเท่านั้น...ก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ่งหอบน้อย ๆ ได้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะโอบแขนเล็ก ๆ ของตนเองโอบแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น ก่อนที่จะหลับตาพริ้มด้วยรอยอบอุ่น...
“ ทำเถอะ...ทำให้วารู้สึกถึงความอบอุ่นของสนนะ…ได้ไหม? ”
“ ครับ... ”
สนธยาค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วอย่างเชื่อช้า...ในขณะที่ริมฝีปากคมนั้นแนบสัมผัสลงที่เปลือกตาบางของทิวาแผ่วเบา ก่อนที่รอยเสียงทุ้มหวานจะกระซิบบอกช้า ๆ
“ เจ็บก็ร้องนะ...สนจะค่อย ๆ ...สนสัญญา ”
คนตัวเล็กค่อยพยักหน้าเบา ๆ สนธยาจึงกดรอยจูบลงที่ปลายจมูกเล็กเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ล้ำกายเข้าหา...อย่างเชื่องช้า เสียงครางเบา ๆ ทำให้คนตัวสูงต้องหยุดสังเกตคนตัวเล็กอยู่เป็นระยะ ๆ หูของเขาได้ยินเสียงครางผสมผเสกับเสียงหอบหายใจอย่างทรมานน้อย ๆ อยู่ชั่วระยะหนึ่งจนกระทั่งถึงที่สุดแล้วน้ำตาของทิวาก็เหือดไป
“ อึ๊ก!!...สน...วาอึดอัดจังเลย ”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะกดจูบลง...แทรกปลายลิ้นล่วงล้ำอ่อนหวาน
“ ผม...ขยับ...ได้ไหม ? ”
เขาเอ่ยราวกับขออนุญาต...ด้วยรอยเสียงแหบพร่า ประหม่าและสั่นไหวไปด้วยแรงความรู้สึกลิบโลดเป็นทวีคูณ มากมาย...กว่าเมื่อแรกนักหนา
“ อือ... ”
จากสงบนิ่ง...ก็ค่อยดำเนินอย่างเชื่อช้า ราวกับผืนน้ำที่เคยสงบนิ่งนั้นถูกใครโยนก้อนหินลงไป...ผืนน้ำจึงค่อยสะท้อนไหวเบาบาง
ลมหายใจหนัก ๆ เป่ารดที่ปลายคางมนเมื่อคนตัวสูงวนเวียนอยู่กับริมฝีปากนุ่มนิ่มไปพร้อม ๆ กับ...ดวงตาคมกริบมีรอยหวานเชื่อมแลอ่อนไหวไม่ต่างกับคนตัวเล็ก
“ วา...อะ...อึ่ก!! ”
จากเบาบางเหมือนระรอกคลื่นในสระบัว กลับค่อย ๆ เร่งเร้า...รุนแรงเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนจากพายุ ทั้งหนักแน่นและอ่อนหวาน ด้วยรอยสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มนวล ด้วยเสียง...ด้วยสายตา
แสงกับเงามาบรรจบกันตรงไหน...ไม่มีใครรู้ได้
แต่สนธยาแลทิวากาลนั้น...บัดนี้มาบรรจบกันแล้วด้วยรอยสัมผัสทั้งหมดในห้วงใจ
ทุกอย่างอุ่นและร้อนแต่พร้อม ๆ กันนั้นกลับสงบและเยือกเย็นในหัวใจ...ไม่โลดโผนแต่เนิบนาบอย่างใจเย็นและค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรู้สึกผูกพันและด้วยรัก
“ สน...อื๊อ!!...อะ...สน ”
เสียงหวาน...เรียกหาคนที่กอดกระชับไว้ ดวงตาชื้นด้วยหยดน้ำรื้นช้า ๆ...แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกหมองเศร้า
“ วา... ”
รักไม่จำเป็นต้องร้อนที่สุด...และไม่จำเป็นต้องเย็นที่สุด สิ่งที่อาจเป็นความสุขที่สุดอาจจะเกิดจากการสัมผัสอบอุ่นเมื่อเวลาที่ควรอบอุ่น และสัมผัสที่เย็นฉ่ำระรื่นชื่นใจ...เมื่อเวลาที่ควรรู้สึกสงบนิ่งไม่หวั่นไหว
ไม่ร้อน...และไม่เย็น ไม่เมินเฉย...และไม่เรียกร้องมายมายให้เหนื่อยล้า เพียงแต่หลอมให้เหมาะสม...ให้รวมอยู่ในความสุขของการอยู่ร่วมกันเพียงแค่นั้นก็พอ!!
เหมือนพายุ...แล้วสุดท้ายก็สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำในสระบัวกว้างที่ระรินไหวไปตามแรงลมพัดเอื่อยให้ฉ่ำเย็น
คนตัวเล็กกระตุกกายเฮือก...ในขณะที่เจ้าของไหล่หนาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากเล็ก ๆ ก่อนจะดุนปลายจมูกลงบนผิวแก้มแล้วค่อยยิ้มให้คนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และในดวงตาคมคู่นั้น...มีประกายแห่งความฉ่ำเย็นลึกซึ้ง
“ เข้าใจแล้วละ... ”
ทิวาเอ่ยพลางยกมือขึ้นไล้แก้มคนตัวโตซึ่งยังทาบทับอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง...อ่อนหวาน
“ สนธยา...เพราะเป็นยามสนธยา ยามรักก็ยังฉ่ำ...ยังเย็น ยังอ่อนหวาน ”
พอคนตัวเล็กพูดถึงขนาดนั้น...สนธยาที่ยังหอบน้อย ๆ ก็ถึงกับฟุบตัวลงกับอกคนตัวเล็ก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าคมนั้นแดงเรื่อขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน พร้อม ๆ กับเสียงทุ้มระคนอาการเหนื่อยหอบนั้นจะเอ่ยบ่นงึมงำแผ่วเบา
“ วา...ขี้โกง วาแกล้ง...โอย แค่นี้สนก็สุข...จนจะสำลักตายอยู่แล้ว ยังจะมา...พูด...แบบนี้อีก ”
ฟังแล้วคนตัวเล็กก็หัวเราะสดใส พลางโอบท่อนแขนเล็ก ๆ นั้นกอดคนตัวสูงซึ่งซบใบหน้าคม ๆ กับอกขาวเนียนไว้ แสงจันทร์ยังทอแสงงามนวลผ่อง...ให้คนตัวเล็กแอบมองเห็นใบหน้าของคนตัวโตขี้แกล้งซึ่งซบอยู่นั้นได้ชัดเจน...ได้รู้ว่าเขิน...ว่าอายกับเขาเป็นเหมือนกัน
ดวงตาคมงาม...มองไปยังหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง มองยังดวงจันทร์ที่ทอแสงเต็มทีงดงาม แล้วเมื่ออาการหอบทุเลาหาย...เสียงทุ้มนุ่มก็ค่อย ๆ เอื้อนแผ่วเบาในลำคอช้า ๆ
// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี
หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย
ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา
หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย //
สนธยาร้อง...ไม่รู้ว่าทำไมถึงร้องได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกอยากร้องขึ้นมา...แต่รู้สึกแค่ว่า มีความสุข...ใต้ราตรีนี้ที่ประดับดาว สุขราวกับจันทร์อวยพร...สุขราวกับแสงอ่อน ๆ ...อวยพรให้รู้สึกลึกล้ำในรักของหัวใจ
“ หลับเถอะ... ”
สนธยากระชับร่างเล็ก ๆ เข้าหาก่อนจะก้มลงกระซิบแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากทิวาก่อนที่ดวงตากลมโตจะค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ
สนธยา...นอนครวญเพลงช้า...ชัด อ่อนหวานในถ้อยคำเป็นจังหวะหวานแลแผ่วไหว นาน...ช้าอยู่เช่นนั้น ก่อนที่รอยยิ้มอบอุ่นจะปรากฏในแววตาเมื่อได้ยินเสียงหายใจเปี่ยมสุขดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้รู้ถึงภาวการณ์หลับอย่างสนิทนิทราของทิวาน้อยของหัวใจ
“ รักเอยรักไหนจะได้เท่า...โอ้รักเราดั่งแสงเงาไม่พรากจากกัน ”
ปล...อย่าถามว่าทำไมมันยาว ก็เพราะอยากขอโทษคนอ่านจากการที่ลงเลทไป1ตอนนั่นแหละ (ก้มหัวปะหลก ๆ) สิริรวม...ตอนที่21นี้ ยาวถึง 9 หน้ากระดาษ (อร๊ากกกกก...ปั่นทั้งวันมา...นับนิ้ว ๆๆๆ 4วัน) <<< สถิติไม่คืบหน้า รอบนี้ก็ยังใช้เวลาเท่ากับ 4 วันเต็มเหมือนเดิม T^T