บทที่ 46
ช่วงนี้ผมมาคณะนิติบ่อย ไม่ถูก ต้องเรียกว่าบ่อยมาก
จากคนไม่รู้จักก็กลายเป็นคุ้นหน้า จากคนรู้จักก็กลายเป็นสนิทสนม เดี๋ยวนี้ผมไปไหนมาไหนกับพวกนิติบ่อยกว่าเพื่อนคณะตัวเองซะอีก
ความเปลี่ยนแปลงนี้มันเริ่มต้นเมื่อไหร่ไม่รู้ อาจจะตอนที่ผมรู้สึกอึดอัดเนื่องจากคุยหัวข้อเดียวกันกับเพื่อนไม่ได้ พอเข้าไปใกล้ก็รีบพากันเปลี่ยนหัวข้อคุย ไม่ก็เงียบ เสมือนถูกกั้นเป็นคนนอก หลังจากทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่หลายครั้ง นอกจากทำให้ตัวเองอึดอัดใจแล้ว เพื่อนๆ ก็เริ่มอึดอัดใจเหมือนกัน ผมเลยยอมถอยห่าง ย้ายสำมโนครัวอย่างที่พี่นันต้องการ แรกๆ ก็ซึมพอสมควร แต่หลังๆ ผมชักปลง เลยหันมาเฮฮากับเพื่อนใหม่ อารมณ์ก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับจนหายเครียด
คนที่ได้กำไรจากเรื่องนี้มากสุดคงเป็นพาร์ ก็นะ เล่นได้เจอหน้าผมทุกวัน วันละหลายครั้ง หลังๆ ถ้ามันว่างก็ชอบโผล่หน้ามารอรับผมถึงหน้าห้องเรียนให้เพื่อนแซวเล่นอยู่เรื่อย
…ก็ไม่รู้ว่าหลังจบกิจกรรมนี้ ผมจะห่างเหินกับเพื่อนในคณะหรือเปล่า เอาเถอะ อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ยังไงผมต้องอยู่กับพวกมันอีกสามปีค่อยทำความสนิทสนมกันใหม่ก็ได้
ถ้าถามถึงว่าผมไปขลุกอยู่ที่ไหนในคณะนิติมากสุดก็คงเป็นห้องสโมฯ ได้ตำแหน่งเด็กฝึกงานมาแบบงงๆ โดนแซวกระจายว่าผมกำลังจะได้นั่งตำแหน่งประธานคณะต่อจากพี่ดิน ประหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอด แถมยิ่งสนิทกันก็ยิ่งโดนพี่ดินใช้งาน ทั้งเหนื่อยทั้งยุ่งจนผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้ตัวเองกำลังซึมเศร้า บางครั้งก็คิดว่าพี่ดินอาจจงใจก็ได้ นอกจากได้แรงงานฟรีอย่างผม บางครั้งก็ได้พาร์มาช่วยงานด้วย (ถ้าพาร์แวะมาหาผมถึงห้องสโมฯ)
“ที”
“แปบนะพี่ จะเสร็จแล้ว” ผมคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอม เลยตอบโดยไม่หันไปมองหน้าคนเรียก
“ไม่ใช่เรื่องงาน”
ผมละสายตาจากจอคอม หันมองพี่ดินงงๆ ไม่ใช่งาน แล้วเรื่องอะไร?
“เสาร์นี้สะใภ้คณะมีนัด อย่าลืมไปล่ะ”
“ว่าแต่นัดกี่โมงครับ ไม่เห็นมีใครบอกผมเลย”
“ทั้งวันตั้งแต่แปดโมงถึงสามทุ่มมั้ง ใครจะไปเวลาไหนก็ได้”
เหมือนเมื่อกี้หูฟาด “พี่พูดว่าอะไรนะ”
พี่ดินเลิกคิ้ว “แปดโมงถึงสามทุ่ม”
“ไม่ใช่ ประโยคหลังอ่ะ”
“ใครจะไปเวลาไหนก็ได้?”
“นั่นแหละ…หมายถึงอะไร?”
“อ้าว ตรงตัวไง ใครว่างตอนไหนค่อยไป พี่แนะนำให้ไปช่วงเช้า คนน้อยดี แปบเดียวก็เสร็จ”
ผมกระพริบตาปริบๆ “แปบเดียว?”
“ก็แค่ไปถ่ายรูป ถ้าไม่ต้องยืนรอคิว แปบเดียวก็เสร็จไง”
“อ้าว” ผมลากเสียงยาวแบบมึนๆ “เอ่อ ผมนึกว่ารวมพลสะใภ้คณะซะอีก”
“หมายถึงเจอหน้ากันทุกคนน่ะเหรอ ไม่ใช่หรอก คนมีค่าหัวที่ไหนจะแสดงตัว”
“อ้าว แล้วอย่างผมล่ะ รู้จักทั้งมหาลัยแล้วมั้ง”
“นั่นสินะ งั้นชดเชยด้วยการขยันฝึกในนัดครั้งต่อไปของสะใภ้คณะแล้วกัน”
“ฮะ? มีนัดอีกเหรอ?”
“มี หลายครั้งด้วย” พี่ดินหรี่ตาลง “นี่คงไม่คิดว่านัดครั้งเดียวจบหรอกนะ”
ผมหัวเราะแห้งๆ พี่ดินถอนหายใจ มองมาด้วยแววตาจริงจัง
“ว่ากันว่าไม่มีใครรู้จักมหาลัยดีเท่าสะใภ้คณะ เพราะงั้นการจับตัวสะใภ้คณะจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสาเหตุนี้สะใภ้คณะถึงต้องมีฝึกฝนหลบหนี”
จะว่าไปก่อนหน้านี้พี่ดินก็พูดเรื่องฝึกนี่หว่า “ฝึกที่ว่าไม่ใช่การจดจำแผนที่ในมหาลัยเหรอครับ”
“พี่ก็ไม่รู้ว่าสะใภ้คณะฝึกยังเหมือนกัน”
“อ้าว”
“มาอ้าวอะไร พี่ไม่เคยเป็นสะใภ้คณะนี่ ไม่เคยต้องจับคู่กับสะใภ้คณะด้วย”
“ไม่เคยถามคนอื่นเหรอพี่”
“เคย แต่ไม่มีใครยอมบอก”
“เดี๋ยวก่อน เทอมที่แล้วพี่นันบอกว่านิติต้องปกป้องผมนี่น่า”
“ใช่ แต่บางเวลาก็ปกป้องไม่ได้ บางครั้งส่งออกนอกพื้นที่ปกป้องยังดีกว่าด้วยซ้ำ ดังนั้นสะใภ้คณะจำเป็นต้องหัดเอาตัวรอดให้ได้ แต่ถ้าไปเร่ร่อนข้างนอกแล้วเหนื่อยก็ค่อยกลับมาพัก จริงสิ พี่ยังไม่ได้บอกใช่ไหมว่ามีกฏห้ามสะใภ้คณะซ่อนตัวที่เดิมนานเกินไป”
“ยังไงครับ?”
“ก็ถ้าไม่เคลื่อนไหวภายในหนึ่งชั่วโมง จะมีประกาศออกลำโพงว่าสะใภ้คณะซ่อนอยู่ตรงไหนน่ะสิ อันนี้กรณีเราอยู่พื้นที่ข้างนอก แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่ของนิติจะอยู่ได้ที่เดิมได้ถึงสามชั่วโมง ก่อนโดนประกาศบอกที่ซ่อน”
ผมทำหน้ายุ่ง “แบบว่าบอกเลยเหรอว่าซ่อนอยู่จุดไหน?”
“ไม่ๆ เขาจะบอกกว้างๆ เช่น อยู่แถวอาคารนี้ หรืออยู่ใกล้เต็นท์พื้นที่คณะไหน อะไรแบบเนี่ย ใครจะจับสะใภ้คณะก็ต้องไปตามหาเอาเองอีกที”
“อ้อ”
“เรื่องพาร์” พี่ดินพูดต่อ “นัดสะใภ้คณะเมื่อไหร่ก็พกพาร์ไปด้วย”
“ทำไมครับ?”
“เพราะบทบาทของทีเป็นแบบคู่ไง ไม่เชื่อพี่เดี๋ยวรอดูวันเสาร์นี้สิ อ้อ อย่าลืมเอาปีนฉีดน้ำไปด้วย”
“ปืนฉีดน้ำ?”
“ของจากคลังนิติ พี่ให้ยืมชั่วคราว เดี๋ยววันศุกร์พี่จะวางไว้ให้ที่ห้องนี้ วันจันทร์ก็เอามาคืนด้วย”
“แล้วต้องพกไปทำไมล่ะ?”
“เอาไปถ่ายรูปไง” พี่ดินว่า ก่อนทำหน้านึกอะไรบางอย่างออกก็รีบบอก “เวลาถ่ายอย่าถือปืนผิดกระบอกล่ะ ไม่งั้นจะซวยเอา”
“ซวย?”
“ใช่ ซวยหนักต้องใช้ประเภทปืนที่ถ่ายผิดไปตลอดจนกิจกรรมจบ ปืนที่สั่งซื้อมาใช้ก็ไม่ได้ มีทางเดียวต้องไปขอแลกเปลี่ยนกับคนอื่น แล้วใครจะยอมแลกด้วยล่ะ”
ผมกลืนน้ำลาย จริงที่สุด ใครๆ ก็อยากเล่นกับปืนฉีดน้ำที่ซื้อหรือจองเอาไว้ทั้งนั้น ยิ่งปืนของผมเป็นแบบเน้นความคล่องตัวมากกว่าระยะโจมตีซะด้วยสิ
“อีกเรื่องหลังจากนัดครั้งแรก ครั้งต่อไปจะได้เป็นใบนัดหมายมา พยายามอ่านรายละเอียดให้ดี ถ้าเตรียมตัวมาก่อนได้ก็ทำเอาไว้…พี่แค่แนะนำ ทีจะทำตามที่พี่บอกหรือไม่ก็ได้ เข้าใจไหม”
ผมพยักหน้า
และแล้วก็ถึงวันเสาร์ ผมเลือกไปตอนเช้าอย่างที่พี่ดินบอก หลังอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนักศึกษาลงมาก็เจอเจ้าตัวเล็กกำลังดูทีวีไป พลางตักอาหารเช้าเข้าปาก กินช้าพอๆ กับเต่าคลานแบบนั้นไม่รู้เมื่อไหร่จะหมด ผมยืนมองน้องคนเล็กปลงๆ ครู่หนึ่งก็เดินไปห้องครัวเจอแม่กำลังยุ่งอยู่หน้าเตา
“ให้ทีช่วยไหม?”
“ไม่ต้องจ๊ะ ของทีแม่วางให้บนโต๊ะแล้ว”
“ขอบคุณครับ” ผมเลื่อนเก้าอี้ตัวประจำ แล้วนั่งลง หยิบช้อนมาถือ
“วันนี้ลูกต้องไปมหาลัย?”
“ครับ” ผมตอบสั้นๆ ก่อนตักอาหารเช้าปาก เคี้ยวจนกลืนลงคอก็พูดเสริม “หลังจากนี้ทีอาจต้องไปมหาลัยช่วงเสาร์อาทิตย์บ้างเป็นบางครั้ง”
“จะมีกิจกรรมเหรอลูก?”
“ครับ เป็นกิจกรรมใหญ่ด้วย”
“งั้นเหรอ พยายามเข้านะ ว่าแต่วันนี้พาร์ไปมหาลัยไหม?”
“ไปครับ ทำไมเหรอ?”
“ฝากบอกพาร์ด้วยนะว่าแม่คิดถึง ไม่ได้มาให้แม่เห็นหน้าเดือนกว่าแล้ว”
นึกดูแล้วก็จริงแฮะ
“เอางี้ดีกว่า วันนี้ลูกพาพาร์มากินข้าวเย็นที่นี่เลยแล้วกัน”
ผมเกือบสำลักข้าว คว้าน้ำเปล่ามาดื่มไปครึ่งแก้วก็พยายามพูดหาข้ออ้าง “เอ่อ คือว่า…”
“วันนี้เบอร์จะมาเล่นที่นี่ด้วย ให้กลับกับพาร์ก็ดีนะ”
“คือพาร์…”
“ชวนมาให้ได้นะลูก แม่จะทำอาหารรอ”
ผมปิดปากฉับ ดูเหมือนว่างานนี้ท่านแม่ที่เคารพจะไม่ยอมฟังข้ออ้างใดๆ ทั้งสิ้น
เสียงริงโทนมือถือของผมดังขึ้นกะทันหัน เห็นชื่อกับรูปคนโทรเข้าผมก็กดตัดสาย รีบกวาดอาหารที่เหลือในจานลงท้อง ตบท้ายด้วยน้ำเปล่าอีกครึ่งแก้ว บอกลาแม่กับน้องชายเสร็จก็เดินเร็วๆ ออกไปยืนรอหน้ารั้วบ้าน พอรถมาจอดผมก็เปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปคาดเข็มขัด เงยหน้าขึ้นมาอีกทีทิวทัศน์ก็เปลี่ยนไปแล้ว
“เป็นไรถึงทำหน้ายุ่งแต่เช้า”
ผมถอนหายใจให้คำถาม “แม่ให้มาชวนมึงไปกินข้าวเย็นนี้”
“แล้ว?”
“เราจะอธิบายเรื่องกำไลยังไง”
“ถ้ายุ่งยากนักก็ไม่ต้องบอก”
“ไม่บอกก็โดนเข้าใจผิดน่ะสิ”
“ไม่เห็นเป็นไร”
“เป็น ประเด็นคือถ้าพ่อแม่กูเข้าใจแบบผิดๆ เรื่องอาจไปถึงหูลุงนิกทั้งอย่างนั้น ลากยาวไปถึงทากะซัง เผลอๆ อาจไปถึงหูปู่ย่าด้วยซ้ำ แค่คิดกูก็เครียดแล้ว”
“แล้วไง? จะช้าจะเร็ว ถ้าเราคบกันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี”
“…มึงพูดถูก” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “พูดตามตรงนะ กูกลัววะ”
“กลัวอะไร?”
“กลัวโดนระเบิดถล่มใส่น่ะสิ แค่คิดกูก็หนาวไปถึงไขสันหลัง” ผมพูดเสียงเครียด “อีกอย่างสถานะของเรายังก่ำกึ่งอยู่เลย กูว่ายังไม่สมควรบอกให้ผู้ใหญ่รู้วะ”
“…ถ้าแน่นอนแล้วบอกได้?”
ผมเม้มปาก ก่อนผงกหัว “ได้”
กลายเป็นพาร์ถอนหายใจบ้าง “ก็ได้ แต่บอกก่อน จะไม่มีใครถอดกำไลออกเด็ดขาด”
ผมนิ่วหน้า “แล้วมึงจะซ่อนกำไลยังไง?”
“เดี๋ยวกูหาอะไรมาพันปิดกำไลเอง”
“…ขอบคุณ”
“ถือว่ามึงติดหนี้กูแล้วกัน”
ผมแยกเขี้ยวใส่คนข้างๆ อารมณ์กำลังซึ้งที่มันยอมเข้าใจแตกสลายหายวับไปในอากาศ
“ถ้าเป็นเรื่องที่กูทำไม่ได้ หรือไม่เต็มใจทำ มึงจะเสียสิทธิ์นั่นไปทันที”
“เคี่ยววะ”
“กับมึงต้องแบบนี้แหละ” ผมหันมองนอกหน้าต่าง สักพักก็หันไปถาม “สรุปจะไปกินข้าวบ้านกู?”
“ขืนกูไม่ไป คะแนนจากว่าที่พ่อตาแม่ยายได้ตกหมดพอดี”
อารมณ์นี้ผมบอกไม่ถูกว่าจะเขินหรือหมั่นไส้ดี…รู้สึกอย่างหลังจะมีมากกว่านะ
รถบนถนนน้อยกว่าวันธรรมดา ใช้เวลาไม่นานเราก็มาถึงมหาลัย ผมบอกพิกัดให้พาร์ จุดหมายของเราคือตึกของคณะนิเทศครับ คณะนี้เป็นคณะเดียวที่ไม่ร่วมเล่นสงครามแบบถือปืนชิงเมือง แต่จะเป็นแนวๆ ผู้สนับสนุนและเป็นกลาง ทำหน้าที่หลายอย่างมาก เป็นผู้ประกาศแจ้งต่างๆ ในช่วงกิจกรรม รวมถึงตามเก็บภาพบรรยากาศทั่วงาน
นอกจากนี้ยังสามารถว่าจ้างให้ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของคณะตัวเอง (เพราะคนในคณะที่เข้าสงครามคงไม่มีใครว่างทำ) เปิดบูทขายของ ตั้งแต่ซื้อขายของที่จำเป็น เช่น เสบียง แม็กกาซีน เสื้อผ้า (ชุดธรรมดาไว้สำหรับเปลี่ยนสำหรับคนที่ลืมพกมา) ผ้าขนหนู และสารพัด รวมไปถึงข่าวสารเล็กๆ น้อยๆ
สรุปคือขอแค่มีเงินก็ไร้ปัญหา
พูดถึงเรื่องเงิน เราไม่ได้ใช้เงินจริงนะครับ เป็นเงินจำลองที่มีตราสัญลักษณ์สงครามสายน้ำกัน ได้ยินว่าเป็นเหรียญ (เพราะถ้าเป็นแบงค์คงเปียกน้ำก่อน) มีตั้งแต่เหรียญบาทยันเหรียญพัน (แบ่งเป็น 1 5 10 50 100 500 1,000) แต่เจ้าเหรียญ1,000 เอาไว้ใช้สำหรับซื้อของจำนวนเงินเยอะๆ ครับ คนทั่วไปพกแค่ถึงเหรียญร้อยกัน เพราะยิ่งจำนวนค่ามาก เหรียญยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นตามลำดับ
เนื่องจากผมอยู่กับพวกพี่ดินเลยได้รู้เยอะกว่าชาวบ้าน เห็นเล่าว่าใกล้ถึงเวลากิจกรรม จะมีประกาศให้ไปแลกได้ที่ธนาคารในมหาลัย ใครไม่ไปแลกเงิน ในวันงานกิจกรรมจะซื้อของไม่ได้ (นอกจากจะเอาของที่มีอยู่ไปขายก่อน) และก่อนจะแลกเหรียญต้องดูให้ดี เพราะแต่ละวันเรท (อัตราแลกเปลี่ยน) ไม่เท่ากัน แลกถูกวันก็ได้กำไร แลกผิดก็ถือว่าเสียค่าโง่ พอผมอุทานถึงความยุ่งยาก พี่ดินก็หัวเราะบอกว่า พี่ว่าดีนะ ฝึกเอาไว้ อนาคตจะได้รู้ แล้วไม่พลาดอีก
“ที”
ผมออกจากความคิด หันไปมองคนเรียก “อะไร?”
“วันนี้แค่ไปถ่ายรูปใช่ไหม?”
“เออ”
“งั้นไม่น่านาน ถึงนานก็ไม่น่าจะเกินสามชั่วโมง นี่พึ่งจะแปดโมงเอง”
“แล้ว?”
“ไปเดินห้างกันต่อ…ได้ไหม”
น้ำเสียงอ้อนมาเลยครับ ผมพ่นลมหายใจ “มึงจะชวนเดตก็บอกมาเหอะ”
“แล้วได้ไหมล่ะ”
“...แล้วแต่มึงสิ”
“งั้นตกลงเราไปเดตกัน” มันพูดรวบรัดจบในประโยคนี้ก็เอาแต่ยิ้ม อารมณ์ดีเหลือหลาย จนมันขับเลยตึกคณะนิเทศซะงั้น
“พาร์! เลยแล้วเว้ย!”
“เฮ้ย!”
“ไปวนรถข้างหน้านู้น! ตรงนี้เขาห้ามย้อนศร!”
กว่าจะมาถึงตึกคณะนิเทศ พวกผมก็เสียเวลาพอสมควร ขึ้นไปชั้นสี่ตามที่พี่ดินบอก เดินไปตามทางฝั่งขวาก็เจอห้องที่ว่า แต่ด้านหน้ากลับมีโต๊ะตั้งขวางทางเดิน เหลือพื้นที่ให้เข้าออกประมาณสองคนเดินคู่กัน
“มาทำอะไรคะ?” ผู้หญิงที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเอ่ยถาม
“ถ่ายรูปครับ” ผมบอกตามจริง
“งั้นเซ็นชื่อได้เลยค่ะ” ผายมือไปทางแฟ้มที่วางอยู่บนโต๊ะ “ถ้าอยู่ปีสี่แฟ้มสีดำ ปีสามแฟ้มเขียว ปีสองแฟ้มฟ้า ถ้าพึ่งเป็นสะใภ้คณะ แฟ้มแดงค่ะ”
ผมกระพริบตาปริบๆ ขยับไปเปิดแฟ้มห่วงสีแดง เจอเอกสารขนาดเอสี่ที่เป็นช่องตาราง แนวนอนมีสามช่อง ส่วนแนวตั้งก็ไล่ลงมาจนขึ้นหน้าใหม่ ช่องแรกยาวที่สุดบอกว่าคณะไหนคู่กัน ท้ายชื่อคณะมีตัวเลขด้วยครับ (ผมเดาว่าน่าจะหมายถึงชั้นปี) ช่องสองกับช่องสามมีชื่อเล่นพิมพ์ไว้ติดขอบซ้าย ที่เหลือเหมือนเว้นไว้ให้เซ็นชื่อ
กวาดตาไล่มองหาจนเจอ นิติศาสตร์1 x เศรษฐศาสตร์1 อยู่ที่กระดาษแผ่นสอง แล้วเซ็นชื่อลงไปช่องว่างที่สามที่มีชื่อเล่นของผม ก่อนส่งปากกาให้พาร์เซ็นชื่อลงช่องกลางที่มีชื่อเล่นของมัน
“ห้องสตูดิโออยู่ในสุด ส่วนห้องแรกที่เปิดประตูทิ้งไว้เป็นห้องพักผ่อน มีน้ำกับขนมด้วยนะ พวกพี่เตรียมไว้ให้กับคนรอคิวนาน แต่พวกน้องเป็นรายแรกที่มาถึง เข้าห้องสตูฯ ได้เลย เสร็จแล้วจะออกมาทานน้ำทานขนมก็ได้นะ แล้วถ้าอยากได้รูปวันนี้เก็บไว้เป็นที่ระลึก มาลงชื่อจองรูปได้ที่แฟ้มสีขาวตรงนี้ค่ะ ทางเราจะอัดรูปเผื่อไว้ให้ แต่ไม่ฟรีนะคะ ถ้าสั่งแบบเซตจะได้ราคาเหมาจ่าย ขอแนะนำแบบนี้ค่ะ เพราะมันคุ้มกว่า”
ผมกับพาร์มองหน้ากัน เป็นพาร์ที่ขยับตัวไปหยิบแฟ้มขาว ลงชื่อสั่งจองรูปจำนวนสองชุด ผมหยิบกระเป๋าตังค์มาจ่ายเงิน พาร์กระซิบบอกว่าเดี๋ยวคืนให้ พี่ผู้หญิงรับแฟ้มขาวไปเซ็นชื่อพร้อมเขียนระบุว่าจ่ายเงินแล้ว
“และนี่กำหนดการนัดหมายครั้งหน้าค่ะ”
มาเป็นซองจดหมายเลยครับ ผมพูดขอบคุณอีกทีแล้วผละจากมา หลังพากันเดินสักระยะ ผมก็เอียงหน้ากระซิบคนเดินข้างๆ
“มึงรีบจองรูปไปทำไม ถ่ายเสร็จแล้วค่อยออกมาจองก็ได้”
“กูไม่แน่ใจว่าหลังจากเราออกมา คนจะเยอะหรือเปล่าน่ะสิ ตอนนี้ว่างๆ ก็เขียนจองไปก่อนดีกว่า ดีหรือไม่ดียังไง กูก็อยากได้อยู่ดี”
ผมพ่นลมออกจากปาก ผลักประตูห้องในสุด มันไม่ขยับเลยลองเลื่อนดู เป็นประตูแบบเลื่อนครับ พอมองเข้าไปในห้องทั้งผมทั้งพาร์ก็ยืนอึ้งกับบรรดาอุปกรณ์ทั้งหลาย ผู้คนจำนวนหนึ่งที่วุ่นวายกับการตรวจเช็คอุปกรณ์ต่างๆ ให้พร้อมใช้งาน
“อ๊ะ คู่แรกมาแล้ว ไปนั่งรอที่โซฟาก่อนนะ” ใครคนหนึ่งตะโกนออกมาจากในห้อง ก่อนร้องเรียกคนเป็นช่างแต่งหน้ากับทำผมให้ออกมาดูแลแขก
พวกผมมองโซฟาที่ว่า มันเป็นพื้นที่พักผ่อนเล็กๆ ที่อยู่มุมห้องใกล้ประตู มีพวกอุปกรณ์แต่งหน้าทำผมอยู่บนชั้นใกล้โซฟา ยังไม่ทันได้นั่งรุ่นพี่ชายหญิงสองคนเดินเข้ามาหา
“วางปืนฉีดน้ำไว้บนโต๊ะก่อนเลยจ๊ะ”
ผมกับพาร์วางถุงที่ใส่ปืนฉีดน้ำมาลงโต๊ะเตี้ยใกล้ๆ พอก้นสัมผัสโซฟาพวกผมก็โดนรุ่นพี่จัดการสภาพหนังหน้าและเส้นผม เสร็จแล้วรุ่นพี่ก็เดินสลับกันจัดการอีกคน แค่สิบนาทีนิดๆ พวกผมก็โดนส่งไปยืนหน้าฉากกำแพงอิฐโทรมๆ เสมือนพึ่งผ่านสงครามมาหมาดๆ ตรงกลางกำแพงมีสัญลักษณ์ของสงครามสายน้ำกำลังกระแทกอิฐออกมา
สวยครับ จนเผลอมือบอนไปสัมผัสถึงรู้ว่าเป็นภาพวาด ได้กลิ่นน้ำมันสนด้วย น่าจะเป็นภาพสีน้ำมัน
“อย่าไปแตะภาพ! ขยับมาตรงนี้คนหนึ่ง ตรงนั้นคนหนึ่ง เราจะเริ่มถ่ายภาพคู่ก่อน” พี่ที่ยืนหลังกล้องถ่ายรูปวางอยู่ในขาตั้งตะโกนขึ้นมาให้สะดุ้ง ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนถือปืนฉีดน้ำขยับไปจุดที่ว่า
“เอ่อ แล้วท่าทางล่ะครับ” ผมถามอย่างประหม่านิดๆ
“รูปแรกขอฟรีสไตล์ ท่าไหนก็ได้ที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องอย่าเกร็ง ปล่อยตัวตามสบาย”
และแล้วการถ่ายรูปก็เริ่มต้นขึ้น ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที พวกผมก็โดนปล่อยตัวออกมา ช่างภาพถามว่าอยากดูภาพก่อนไหม แต่พวกผมเห็นคนมานั่งรอคิวอยู่ตรงโซฟาก็ส่ายหน้า ไหนๆ เราก็สั่งภาพไปแล้วยังไงก็ได้เห็นอยู่ดี
ออกมาถึงทางเดินก็ผงะเล็กน้อย มีคนยืนเป็นคู่ๆ พิงกำแพง รอคิวเข้าห้องอยู่ มีทั้งคู่ชายหญิง ชายชาย หญิงหญิงก็มี
“แวะห้องขนมก่อนไหม?”
ผมตอบพาร์ทันที “ไป”
ตอนนี้คอแห้งมาก อีกอย่างในห้องนั้นมีทิชชู่เปียกสำหรับเช็ดเครื่องสำอางเตรียมไว้ให้ด้วย
ในห้องพักผ่อนมีคนพอสมควร ตั้งแต่สามีกับสะใภ้คณะหลายคู่ตั้งแต่หน้าห้องสตูฯ จนถึงห้องนี้ไม่คุ้นหน้าสักคน สงสัยเป็นพวกรุ่นพี่มั้ง หลังจากเติมพลังงานกับเช็ดเครื่องสำอางออก พวกผมก็ออกจากห้อง เตรียมตัวกลับ เดินไปจนถึงโต๊ะวางแฟ้มก็ได้ยินเสียงสนทนา
“เธอมาคนเดียว?”
“ค่ะ”
“ปีหนึ่งสินะ แล้วสามีคณะไปไหน ทำไมไม่มาด้วยกัน”
ผมเหลือบมองต้นเสียงระหว่างเดินผ่านโต๊ะ ปีหนึ่งที่ว่าเป็นผู้หญิงใส่แว่นยืนอยู่ตัวคนเดียว
“กะ ก็เขาเรียกแต่สะใภ้คณะมา…”
“ใช่ค่ะ เราบอกนัดแต่สะใภ้คณะก็จริง แต่มองข้างหลังพี่สิ มีใครมาคนเดียวบ้าง? ขนาดคู่นี้ปีหนึ่งเหมือนเธอ ยังมาด้วยกันเลย”
ผมสะดุ้งนิดๆ ที่จู่ๆ ก็โดนพี่ที่ดูแลแฟ้มชี้นิ้วใส่
“ตะ แต่…ถ่ายรูป…”
“ถึงจะเน้นถ่ายรูปสะใภ้คณะเป็นหลัก แต่เราก็อยากได้รูปคู่ด้วยค่ะ”
…มิน่าล่ะ ของพาร์โดนถ่ายรูปเดี่ยวไปแค่สามแชะ นอกนั้นเป็นรูปคู่กับรูปเดี่ยวของผมทั้งนั้น
สาวแว่นทำหน้าเจือน เลยโดนพี่ดูแลแฟ้มดุอีกรอบ
“ยืนเฉยทำไม ไปโทรเรียกคู่ของเธอมาสิค่ะ”
“ค…ค่ะๆ”
รุ่นพี่ส่ายหัวให้คนที่หมุนตัวเดินหามุมโทรศัพท์ ผมกับพาร์มองหน้ากัน ก่อนเดินผ่านผู้หญิงสวมแว่น แล้วเดินลงบันได แว่วเสียงเธองึมงำ
“เราไม่รู้เบอร์เขาสักหน่อย จะโทรหายังไงเล่า”
ผมรู้สึกแปลกใจ แต่ก็ปล่อยผ่าน บางทีถ้าคู่ของผมไม่ใช่พาร์ ผมอาจเจอเรื่องยุ่งยากเหมือนกันก็ได้ ลงมาถึงชั้นล่างก็เจอผู้หญิงฉายเดี่ยวเดินสวนพวกผมขึ้นบันไดไปอีกคน
“…ดูเหมือนสะใภ้ปีหนึ่งไม่ค่อยสนิทกับฝ่ายสามีเท่าไหร่”
พอผมพูดเปรยแบบนั้น พาร์ก็หัวเราะเบาๆ “ที่เป็นแบบนี้เพราะไม่ค่อยเจอกันล่ะมั้ง เดี๋ยวได้เจอกันบ่อยๆ ได้ทำกิจกรรมร่วมกันก็สนิทกันเองนั่นแหละ”
“นั่นสิ”
“ตอนเที่ยงอยากกินอะไร” จู่ๆ พาร์ก็เปลี่ยนเรื่อง
“ถามแบบนี้คือจะเลี้ยง?”
“ถ้าใครบางคนยอมให้เลี้ยงล่ะก็…ยินดีรับเลี้ยงตลอดชีวิตครับ”
ผมส่งเสียงหึในคออย่างหมั่นใส่คนพูดสุดๆ “มาถามหลังจับลูกชาวบ้านใส่ปลอกคอเนี่ยนะ?”
“จิ้งจอกน้อยมีปลอกคอยังพยศอยู่เลยนี่น่า” แววตาพาร์พราวระยับ “เมื่อไหร่จะเชื่อง?”
ผมเตะขาพาร์อย่างทนหมั่นไส้ไม่ไหว แกล้งพูดลากเสียงใส่ “อีกนานนนน”
คนฟังไม่ทุกข์ร้อน หลบขาผมทันแล้ว ยังยิ้มไม่น่าไว้ใจอีกต่างหาก ผมมองอย่างระแวงอยู่สักพัก ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลยวางใจ หันไปมองทางด้านหน้า ไม่ถึงสามก้าวก็ต้องสะดุ้งโหยงกับสัมผัสแขนโอบรอบคอ แถมยังมีลมหายใจกับเสียงกระซิบข้างหู
“ถ้าให้รอนานเกินไป ระวังถูกหมาป่าจับกินนะครับ”
ผมพยายามผลักพาร์ออกห่าง ประกาศลั่น “ไม่ยอมหรอกโว้ย!”
สัมผัสเปียกชื้นตรงใบหูทำผมสะดุ้งอีกหน แถมยังรู้สึกร้อนๆ ที่หน้า แม้ว่าพาร์จะปล่อยตัวผมแล้วก็ตาม
…ถึงไม่เห็นก็รู้ตัวว่าโดนหมาป่างับหูเข้าให้แล้ว
“หึๆๆ”
“หัวเราะบ้าอะไร เดินไปนู้น ห้ามมาใกล้นะโว้ย”
นอกจากไม่ทำตามแล้ว ผมยังโดนดึงแก้มอีกต่างหาก
“ช่วยน่ารักให้น้อยลงหน่อยได้ไหม เดี๋ยวกูทนไม่ไหวขึ้นมา คนที่เดือดร้อนก็มึงนั่นแหละ”
ผมปัดมือพาร์ออก “มึงมัน…” แต่หัวกลับว่างเปล่า หาคำมาด่าไม่ได้
พาร์ยิ้มขำ คล้องแขนรอบคอผมอีกครั้ง ดึงตัวให้ออกเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน
“ห้ามไปทำแบบนี้กับคนอื่นนะที”
“เหอะ”
“กูพูดจริง” น้ำเสียงพาร์ค่อนข้างจริงจัง “ไม่งั้นกูอาจเผลอต่อยคนเข้าก็ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่มึง”
“ขี้หึงวะ!”
พาร์หัวเราะร่วน ยอมรับหน้าเป็น “กูทั้งขี้หึงทั้งขี้หวงเลยล่ะ แล้วถ้ามึงทำให้กูโมโหขึ้นมาอีกรอบ กูไม่รับรองความปลอดภัย ถือเป็นคำเตือนจากกู”
ผมกัดฟัน ทั้งที่อยากสะบัดหน้าไล่ความทรงจำตอนมันโมโหเมื่อคราวก่อนทิ้งเป็นบ้า
“ขอบคุณที่ยังเตือนกัน แต่เป็นไปได้ ช่วยหึงหวงให้น้อยลงหน่อยเถอะ ไม่งั้นเพื่อนกูได้หนีหายหมดแน่”
“ดีสิ มึงจะได้เป็นของกูคนเดียว”
ผมตวัดสายตามองคนพูด แววตาพาร์กึ่งจริงจังกึ่งขบขัน ไม่รู้ว่าพูดล้อเล่นหรือพูดจริง
“…มึงมันบ้า”
พาร์ตอบรับหน้าตาย “ขอบคุณที่ชม”
กูไม่ได้ชมโว้ย!
-------------
“มองอะไร?”
ผมละสายตาจากร้านหนังสือ ไม่คิดตอบ แถมลากพาร์ให้เดินไปอีกทาง ลืมไปเลยว่าห้างใกล้มหาลัยคือสถานที่ได้พบมัน และเหมือนคนโดนลากจะรู้ตัว ถึงได้ยิ้มกริ่ม
“ถ้าน้องน้ำมาถามอีก กูคิดว่ามีคำตอบให้แล้วล่ะ”
“ดีที่ช่วงนี้ยัยน้ำเลิกบ้าจับคู่เราแล้ว”
พาร์เลิกคิ้ว “แน่ใจ?”
“ก็ไม่เห็นสนใจเรื่องของเราเท่าเมื่อก่อน”
“เสียดาย?”
ผมตอบทันที “ไม่เลย ที่จริงกูก็คิดอยู่แล้ว เด็กอายุแค่นี้ไม่น่าจะสนใจเรื่องนี้จริงจังหรอก”
“งั้นทดสอบดูไหม”
ผมเลิกคิ้ว มองพาร์หยิบมือถือลากผมไปม้านั่งใกล้ แถมยังมากอดคอ หัวชนกัน กดถ่ายภาพคู่ดังแชะ เสร็จแล้วก็ส่งเข้าไลน์กรุ๊ป River x Golf แปบเดียวก็มีข้อความจากสองสาวน้อยกระหน่ำเข้ามา น้ำกับเบอร์ส่งสติกเกอร์แมวหลับตาส่ายหัว ทำหน้าเขินอายสุดขีดมาให้
Nam: พวกพี่อยู่ไหนกันอ่ะ
PAR: ห้างใกล้มหาลัย
Birdie: ไหนพี่ทีบอกว่าพวกพี่ไปมหาลัยไง
PAR: ไปมาแล้ว นี่มาเดต
Birdie: อะไรนะ!
Nam: จริงอ่ะ!! พวกพี่คบกันแล้วเหรอ!!
TEE: ยัง 555
เมินสายตาคนข้างๆ ที่เหล่มองมา
Nam: พี่อ่ะ!
Nam: สติกเกอร์แพนด้าแก้มพองลม
TEE: เห็นทั้งสองคนไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว พวกพี่เลยแหย่เล่น
Nam: ใครบอกว่าน้ำไม่สน
Birdie: เบอร์ก็ยังสนอยู่นะ แต่ช่วงนี้เบอร์เป็นเด็กติดพี่ค่ะ
Nam: ช่ายๆ น้ำก็ยังติดพี่อยู่นะ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งทำคะแนนแซงหน้าแน่
คู่แข่งที่ว่าหมายถึงเจ้าตัวเล็กแหงๆ
Birdie: เพราะงั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเนอะ
ยัยน้ำส่งสติกเกอร์สนับสนุนเบอร์ดี้มาทันที
สองสาวอยู่ในโหมดติดพี่นี่เอง ถึงว่าช่วงนี้เบอร์ไม่ได้มาเล่นบ้านผม ยัยน้ำก็ไม่ได้ไปบ้านเพื่อน
Nam: พี่อยู่ห้างใช่ปะ น้องฝากซื้อของหน่อย นะๆ
ตามมาด้วยสติกเกอร์ออดอ้อนจากน้ำ
TEE: โอเค ฝากซื้อ อย่าลืมคืนเงินพี่ด้วยล่ะ
Nam: พี่อ่ะ แค่ซื้อของมาฝากน้องเอง!
ดูน้องสาวผม จากฝากซื้อเปลี่ยนเป็นของฝากแล้วครับ
TEE: ถ้าของฝากล่ะก็อด
Nam: พี่งก น้ำฝากซื้อก็ได้ แต่พี่ต้องออกให้ครึ่งหนึ่งนะ
PAR: จะเอาอะไร
น้องส่งรายการมายาวเหยียด ส่วนใหญ่ที่ขอมาเป็นของกินทั้งนั้น
TEE: เยอะขนาดนี้ ได้กลมเป็นหมูแน่
Birdie: พี่ที!!
Nam: พี่อ่ะ!
TEE: ซื้อไปฝากก็ได้ แต่ของหวานต้องกินหลังข้าวเย็น
TEE: และบอกแม่ด้วยว่าไม่ต้องทำกับข้าวเยอะ
Nam: รับทราบ
ผมมองรายการของคาวกับของหวาน แล้วเงยหน้าถามพาร์ “มึงทำของหวานที่น้องอยากกินได้ปะ?”
“ได้”
“ดีเลย งั้นไปซื้อวัตถุดิบที่ซุปเปอร์กัน ยังไงทำเองก็ถูกกว่าซื้อที่นี่”
“แล้วมึงจะไปทำที่ไหน?”
ผมตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด “บ้านมึงไง ไม่มีใครอยู่ไม่ใช่เหรอ”
พาร์หรี่ตาลง ก่อนยกยิ้ม “เอาตามนั่นก็ได้ ถ้ามึงกล้าอยู่กับกูสองต่อสองในที่รโหฐาน”
ผมชะงักกึก ค่อยๆ หันไปสบตากับพาร์ เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆ กลับคำตอนนี้น่าจะยังทัน
“ปะ ไปซื้อ…”
“กูคิดว่ามึงกล้า ถูกไหม?”
โอ๊ย! จะพูดดักคอทำไม!!
ผมเม้มปาก ลุกขึ้นจากม้านั่ง ก้าวขาออกเดินไม่ถึงสามก้าวก็โดนดึงแขน
“กูล้อเล่น” แววตาคนพูดดูร้อนรน
ผมเลิกคิ้ว ถามกลับ “แล้ว?”
“โกรธหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนลงเหมือนจะง้อ
“ไม่” ผมตอบสั้นๆ ดึงพาร์ให้เดินไปด้วยกัน
“จะไปไหน”
“ซุปเปอร์” ตอบเสียงเรียบ
พาร์นิ่งงันทันที จนผมต้องหยุดเท้าตาม “จะไปบ้านกูจริงดิ?”
“เออ ดูจากรายการอาหารที่ต้องทำ ทั้งกูทั้งมึงไม่ว่างทำอย่างอื่นหรอก อยู่แต่ในครัวชัวร์!”
ความร้อนรนหายไปจากแววตา แทนที่รอยยิ้มมีความสุข “ครับๆ อยู่แต่ในครัวก็ได้ ปะ ไปซื้อของกัน”
ผมมองคนเนียนจับมือผมเดินด้วยความไม่แน่ใจ เลยเอ่ยบอกระหว่างลงบันไดเลื่อน
“กูว่าเราทำเพิ่มอีกสักสองหรือสามรายการดีกว่า”
พาร์หันมองผมอย่างรู้ทัน “ไม่ต้องก็ได้ กูไม่ทำอะไรมึงหรอก เมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าแค่ล้อเล่น”
“…ไว้ใจไม่ได้วะ”
“สัญญาเลย ไม่ทำอะไรแน่ๆ”
“มึงพูดแล้วนะ”
“อือ!”
“แล้วถ้าผิดสัญญา?”
“ลงโทษกูตามใจมึงเลยครับ”
############