ตอนที่ 13 ชีวิตผมช่วงนี้เต็มไปด้วยความเครียด ไหนจะเรื่องที่ต้องย้ายมาอยู่บ้านคุณรองประธาน
ไหนจะเพิ่งรู้ว่าบ้านทั้งหลังมีกันอยู่แค่สองคน คือผมกับคุณวีร์ (คุณรองประธานแยกบ้านกับพ่อแม่ผมก็เพิ่งรู้)
ถึงจะมีแม่บ้านสอง บอดี้การ์ดสอง แต่เข้าบ้านมาแทบไม่เห็นหน้าถ้าไม่เรียกหา
โชคดีที่คืนแรกผ่านไปได้ด้วยดี คุณวีร์ให้แม่บ้านพาผมเข้าห้องพัก เราทานข้าวเย็นด้วยกัน คุยกันนิดหน่อยแล้วแยกย้าย
ตอนเช้าผมมาทำงานพร้อมคุณรองประธาน พี่พรดูแปลกใจมาก พอผมเล่าให้ฟังกลับหัวเราะคิกคักเป็นสาวรุ่น
ไม่รู้ชอบใจอะไรนักหนา
แต่ที่บรรยายมาทั้งหมด ไม่มีอะไรทำให้ผมหนักใจเท่าผมต้องทำเป็นไม่รู้จักกับพี่สนิมกับพี่โชค
สองคนนั้นสมกับเป็นมืออาชีพ เรียกผมคุณปุ่นทุกคำ ทำเหมือนผมเป็นเจ้านาย แต่ผมนี่สิครับ
เผลอๆ ก็เรียกพี่สนิม พี่โชค เรียกตัวเองว่าน้องด้วยบางครั้ง อยากจะตบปากตัวเอง
(พี่สนิมเป็นลูกของแม่บ้านที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่คุณแม่ยังอยู่ เรียกว่าโตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนสนิทพี่ปั้นด้วย)
ผมโดนคุณรองประธานเหล่เป็นระยะ เพราะดันเผลอไปจับแขนพี่สนิมเข้า ต้องรีบแก้ตัวว่าผมสนิทกับคนง่าย
คุณวีร์ดูเหมือนจะเชื่อ แต่สั่งห้ามไม่ให้ผมทำตัวสนิทชิดเชื้อเกินขอบเขต
มาถึงปัญหาใหญ่ที่สุดของผม วันนี้เป็นวันเกิดน้องริว งานเลี้ยงถูกจัดริมสระว่ายน้ำโรงแรมในเครือบริษัท
ฟังเหมือนไม่ควรจะมีอะไรใช่ไหมครับ แต่เพราะวันนี้คนที่อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัยมารวมตัวกันทั้งหมด
รวมถึงคนที่ผมยังไม่เคยเจอ เช่น พ่อคุณจักร พ่อแม่น้องริวก็มา พี่ปั้นจึงตามมาคุมงานนี้ด้วยตัวเอง
ผมถึงกับกุมขมับ ไหนจะกลัวความลับเรื่องเป็นบอดี้การ์ดจะแตก ไหนจะต้องระวังน้องริว
พอไปปรึกษาพี่ปั้นก็โดนโวยวายว่าเป็นเพราะผมไม่ยอมลาออกมันถึงยุ่งยากแบบนี้
ผมเลยต้องสงบปากสงบคำ คิดหาทางออกด้วยตัวเอง
ผมกับคุณรองประธานมาถึงงานก่อนเวลา ผมเดินไปทักทายน้องริวที่ยืนอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่
น้องริวเห็นผมก็แยกตัวออกมาหา ผมยื่นของขวัญกล่องเล็กๆให้ ของชิ้นนี้ผมตั้งใจซื้อเอง
ไม่รวมกับของขวัญที่จัดเตรียมไว้ให้คุณวีร์
“ขอบคุณมากพี่ปุ่น มาพร้อมพี่วีร์หรือเปล่า”
“ครับ”
“ได้ข่าวว่าเดี๋ยวนี้มีบอดี้การ์ดคอยติดตาม ริวถามพ่อก็ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร พี่ปุ่นบอกริวหน่อยสิ”
“น้องริวรอถามคุณวีร์ดีกว่าครับ พี่กลัวพูดไปเดี๋ยวคุณวีร์จะไม่พอใจ”
น้องริวทำสีหน้าเหมือนคนโดนขัดใจแต่ไม่ได้เซ้าซี้
“น้องริวครับ พี่มีเรื่องจะรบกวน”
“ว่ามาเลยพี่ปุ่น”
“พี่ขออนุญาตพาเพื่อนมางานน้องริวคนนึงได้ไหมครับ พอดีพี่ไม่ค่อยรู้จักใครมันเขินๆ” ผมถามมันหน้าด้านๆ แบบนี้แหล่ะ
เหตุผลก็ดูไม่เป็นผู้ใหญ่ เป็นถึงเลขาผู้บริหารแท้ๆ แต่ช่างเถอะเอาตัวให้รอดไว้ก่อน
“ได้สิพี่ปุ่น ตามสบายเลย”
“ขอบคุณครับ น้องริวไปสนุกกับเพื่อนเถอะ สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
ผมจับมือน้องริวเขย่าก่อนเดินแยกออกมา สำเร็จคราวนี้ก็ขอแค่ให้มันตลอดรอดฝั่ง
คนจำนวนนึงรู้ว่าพี่ปั้นมาทำอะไร แต่ที่เหลือไม่รู้ ขอแค่น้องริวเห็นพี่ปั้นแล้วคิดว่ามาเพราะผมชวนก็พอ
เท่านี้ก็จะไม่เกิดคำถาม และเรื่องคงไม่ไปถึงหูคุณรองประธาน
“หายไปไหนมาปุ่น” เสียงทุ้มๆ ทักมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองเห็นคุณวีร์ยืนอยู่กับคุณวิกา
“ไปหาน้องริวมาครับ เอาของขวัญไปให้ เดี๋ยวคนเยอะจะไม่มีจังหวะ”
“เตรียมมาด้วยเหรอคราวหน้าไม่ต้องลำบาก ให้ชิ้นเดียวกันก็ได้บอกว่าของพี่กับปุ่น”
คนพูดไม่คิดอะไรมากแต่คนฟังโดยเฉพาะคนที่กอดแขนอยู่ข้างๆ ดูตกใจไม่น้อย
“วีร์เป็นกันเองกับพนักงานไปหรือเปล่าคะ ระวังจะเสียความปกครอง”
“ไม่มีใครเขาถือยศถืออย่างเหมือนวิกาหรอก” เสียงผู้หญิงที่แทรกขึ้นมาทำให้ทุกคนหันไปมอง
คุณลินเดินเข้ามาร่วมวงพร้อมคุณซัน
“สวัสดีครับ” ผมยิ้มทักทายทั้งคู่ ลืมไปว่าเมื่อสักครู่ไม่ได้สวัสดีคุณวิกา ผมไม่ได้ตั้งใจมัวแต่ตอบคำถามคุณวีร์
แต่คนที่กำลังมองผมคงไม่คิดอย่างนั้น สายตาเพิ่มระดับความไม่ชอบใจผมไปอีกคูณสิบ
“ไปที่โต๊ะเถอะ ไม่งั้นจะได้ยินเสียงแปลกๆ “ เสียงพูดปนหัวเราะของคุณรองประธานทำให้คนในกลุ่มนิ่วหน้าไม่เข้าใจ
มีแต่ผมคนเดียวที่ก้มหน้า เล่นผมอีกแล้วดูจากสายตากรุ่มกริ่มนั่นก็รู้
“เสียงอะไรคะวีร์” คุณวิกาเดินเกาะแขนไม่ยอมห่าง
“เสียงใครบางคนหิว” นั่นไงครับซื้อหวยทำไมไม่ถูกแบบนี้
(=‵′=)
“ใครหิวค่ะ วิกาไม่หิว..เอ๊ะหรือ...” คนพูดคงคิดออกแล้ว หันขวับมามองหน้าผมที่เดินตามหลังมากับคุณลิน
สีหน้าไม่พอใจเริ่มเพิ่มประกายความเกลียดชัง คุณวิกาหันกลับไปกอดแขนคุณวีร์แน่นขึ้น เอาตัวเบียดชิด พาเดินนำห่างไปที่โต๊ะ
“อย่าไปถือสา วิกาเป็นคนแบบนี้แหล่ะ” เสียงคุณลินพูดขึ้นเรียบๆ
“ครับ”
“แต่วีร์ดูเป็นกันเองกับปุ่นมากเหมือนที่วิกาพูด ไม่เคยเห็นวีร์แทนตัวเองว่าพี่กับลูกน้องคนไหน”
.ผมดูคุณลินไม่ออก ดีหรือร้าย เธอเป็นผู้หญิงที่ดูนิ่งเกินไป
“คุณวีร์เป็นเจ้านายที่ไม่ถือตัวครับ”
“ งั้นหรือ ฟังไม่เหมือนวีร์ แต่ถ้าปุ่นว่าใช่ก็คงใช่”
รอยยิ้มเย็นๆ ให้ความรู้สึกชวนอึดอัด ผมดีใจที่เราเดินมาถึงโต๊ะเสียที
“ปุ่นมานั่งนี่” ผมกำลังจะลงนั่งข้างคุณซัน เป็นอันต้องย้ายที่นั่งไปข้างๆ คุณรองประธานแทน
“บริกรเข้ามาเสิร์ฟไวน์ให้ผมแต่มีมือดีมาหยิบแก้วไป แถมกวักมือเรียกบริกรมาสั่งให้เสิร์ฟน้ำผลไม้
“ผมจะดื่มไวน์ครับ” ผมเอนตัวไปกระซิบคนเจ้ากี้เจ้าการ รู้ว่าตัวเองดื่มไม่เก่งแต่เอามาเก๊กก็ยังดี
อายคนอื่นครับ ทั้งโต๊ะเขาถือแก้วไวน์กันทั้งนั้น ให้ผมนั่งหวานถือน้ำสีๆ อยู่คนเดียว มันดูเด็กไป
“ไม่ได้”
“คุณวีร์” ผมลงเสียงหนัก มีสิทธิ์อะไรมาห้ามผม
“พี่ยังไม่อยากโดนหมูโดดทับ ห้ามดื่ม” ตอนถามผมกระซิบ แต่คนตอบดันมาแบบเสียงปกติ
สายตามาเต็ม ผมไม่อยากนับว่ากี่คู่ที่จ้องมา รู้แต่ว่าโครตอาย
“ปุ่นเคยโดดทับวีร์เหรอ” ผมนึกว่ามันจะจบๆ ไป คุณซันดันขยี้ต่อ ถามเสียงปนหัวเราะ ไม่เจาะจงว่าถามผมหรือคุณวีร์
“ไม่ใช่แค่โดดทับ กอดเป็นลูกลิงสะบัดไม่หลุด เมาแล้วแรงเยอะเป็นบ้า” คุณรองประธานคงไม่รู้จักคำว่าอาย
ไม่มีความสงสารเห็นใจผมสักนิด -︵-
“ปุ่น เกินไปหรือเปล่า ทำอะไรไม่รู้จักเจ้านายลูกน้อง” มีคนไม่ขำแสดงตัวออกมาหนึ่งคน
“เจ้านายใจดีด้วยอย่าทำเป็นได้ใจ ไม่รู้จักต่ำจักสูง”
ผมหน้าเสียอยากตอบโต้แต่ต้องคิดว่าอยู่ในหน้าที่ กดอารมณ์เอาไว้ ตอนนี้นโม พุทโธ มาหมด ท่องไว้ปุ่น ท่องไว้
“ถ้าผมไม่ห้าม แปลว่าผมอนุญาต วิกาอย่าโมโหไปเลย ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
คุณวีร์พูดเสียงทุ้ม ยิ้มให้คุณวิกา ฝ่ายหลังรีบส่งสายตาหวานหยาดเยิ้มกลับไป
“แต่เรื่องของปุ่น วิกาอย่ายุ่งอีก”
รอบตัวผมมีแต่ความเงียบ สีหน้าของคุณวิกาค่อยๆ เปลี่ยนเหมือนภาพสโลโมชั่น รอยยิ้มค่อยๆหุบก่อนเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง
“หึๆ” เสียงหัวเราะดังแทรกความเงียบขึ้นมา
“ขอโทษทีวิกา ไม่ได้ตั้งใจแต่มันอดขำไม่ได้ ปุ่นนี่น่าอิจฉานะเจ้านายรักน่าดู”
คุณลินส่งยิ้มพึงพอใจไปให้คุณวิกา ยิ่งทำให้อีกฝ่ายเดือดมากขึ้น
“พอแล้วลิน” คุนซันเอ่ยปากห้ามไม่ให้บรรยากาศมันแย่ลงไปกว่านี้อีก มีเพียงคนเดียวที่ทำตัวเหนือทุกอย่าง
แกว่งแก้วไวน์ชิวๆ ไม่ได้รับรู้เลยว่าเป็นต้นเหตุของสงครามย่อยๆ ที่กำลังก่อตัว
ผมถอนหายใจ เครียดอยู่แล้วเจอแบบนี้ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ผมมองไปรอบๆ ตาเหลือบไปเห็นพี่ปั้นเดินเข้ามาในงาน
จึงอาศัยจังหวะที่ทุกคนเบือนหน้าไปคนละทาง แว้บออกจากโต๊ะ
“พี่ปั้นๆ” ผมกวักมือเรียก
“ทักพี่ได้เหรอ” เสียงประชดแดกดันจากพี่ชายคนเดียวของผม
“พี่ปั้นอะ ไม่ร้ายกับน้องสิครับ”
“พี่ปั้นจะไปแนะนำตัวกับคุณวีร์หรือเปล่า” ผมถามเรื่องที่สงสัยที่สุด แต่ผมเตรียมการไว้แล้วเพราะฉะนั้นถ้าคุณริวเห็น
คงนึกว่าผมพาพี่ปั้นไปแนะนำตัว สิ่งที่ต้องทำคือกันคุณริวออกจากวงสนทนาให้ได้ ห้ามให้ได้ยินว่าคุยเรื่องอะไรกัน
“คงไม่หรอกพี่ให้สนิมมันออกหน้า พี่มาแบบไม่ให้รู้จะดีกว่า คนที่ทำเรื่องนี้จะได้ไม่ระวังพี่ สืบอะไรก็ง่าย”
ผมพยักหน้าเห็นด้วย อย่างนี้ก็เข้าทางผม
“พี่ปั้นมีอะไรส่งข้อความหาน้องนะครับ ไปก่อนเดี๋ยวคุณวีร์สงสัย”
“ไปเถอะ”
“ปุ่น” พี่ปั้นเรียกตามหลังมา ผมหยุดเดินหันกลับไปมอง
“ครับ”
“ระวังตัวด้วย”
“ครับผม”
ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะ มองหาคุณริวเห็นกำลังสนุกกับเพื่อนๆ ไม่ได้สนใจมองมาทางโซนที่ผู้ใหญ่นั่ง
วันนี้ผมว่าทุกอย่างต้องผ่านไปได้ด้วยดี
“ปุ่น” คุณลินเรียกผม ยื่นแก้วทรงสูงมาให้
“แชมเปญเบากว่าไวน์ ปุ่นน่าจะพอดื่มได้”
ผมเหลือบมองไปทางคุณรองประธาน เห็นพยักหน้าให้เลยยื่นมือออกไปรับมาจิบ
อืม อร่อยแหะ
“ค่อยๆ จิบ อย่าดื่มทีเดียว ปุ่นยังไม่ชิน” มาอีกแล้วครับ จู้จี้จุกจิกกับชีวิตผมจริงๆ
คิดไปถึงที่คุณรองประธานพูดไว้ว่ามากับผมเหมือนกำลังเลี้ยงลูกอยู่ สงสัยจะอินจัด
ผมทานไปจิบไปจนหมดแก้ว บริกรนำแก้วใหม่มาเปลี่ยนให้ ผมเริ่มผ่อนคลายมีแอลกอฮอล์นิดๆ ในกระแสเลือด
ทำให้หน้าเริ่มแดง
(O ^ ~ ^ O)
“อยากกินซาลาเปา” ไม่ต้องทายผมรู้ว่าทุกคนทราบว่าเสียงใคร
“พูดจริงพูดเล่นวีร์” คุณซันคงงงเพื่อน จู่ๆ ก็พูดขึ้นมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“พูดจริง”
“ให้คนไปเอาจากห้องอาหารจีนไหมคะวีร์ เดี๋ยววิกาสั่งให้”
“ไม่ต้องยุ่งยากวิกา แค่เห็นอะไรแล้วนึกถึง”
โชคดีที่ไม่มีใครเกทมุกนี้ของคุณรองประธาน ผมเกลียดสายตายิ้มๆ นั่นจริงๆ
เป็นอะไรกับซาลาเปาหรือเปล่าพูดจังคำนี้
ผมใช้จังหวะที่คุณรองประธานไม่เห็นแอบเบ้ปากให้ แต่เหมือนมีใครมองอยู่ ผมหันไปเห็นคุณลินกำลังมองมาที่ผม
สายตานิ่งๆ พอสบตาผมก็ส่งยิ้มมาให้นิดนึง ก่อนหันไปคุยกับคุณซัน
เวลาผมเจอสายตาคุณลินทีไร รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ออก ขนลุกนิดๆทุกที
มีเสียงประกาศว่าถึงเวลาตัดเค้ก ขอให้แขกไปรวมตัวกันริมสระว่ายน้ำ ผมลุกขึ้นยืนแอบเซนิดๆ
ผมดื่มไปแค่สองแก้ว แต่ทำไมรู้สึกมึนๆ ชอบกล ไม่เมาแต่กลับเวียนหัว ผมเดินตามคนอื่นๆ ไป
มองหาพี่ปั้น เห็นเดินไปรวมตัวกับเขาด้วย
เสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์จากนักร้องดังวนเป็นรอบที่สอง ก่อนที่น้องริวจะเป่าเทียน มีเสียงดึงพลุกระดาษ
เสียงอวยพร เสียงผู้คนดังอื้ออึง ผมรู้สึกเหมือนภาพมันเบลอๆ ก่อนจะได้ยินเสียงคนอุทาน
“ปุ่น!!”
ร่างกายผมกำลังจมลงไปในน้ำ ผมกลับรู้สึกเบาสบาย แต่พออากาศเริ่มหมดผมสำลักน้ำออกมาถึงเริ่มรู้ตัว
ผมต่อสู้กับความง่วงงุน รับรู้ว่าร่างกายตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงเอาเสียเลย ผมบอกตัวเองว่าต้องมีสติเอาไว้
ผมไม่ตะกุยตะกาย พยายามพยุงตัวให้ลอยขึ้น รู้ว่าต้องมีคนมาช่วย
หน้าของใครบางคนกำลังเข้ามาใกล้ มือที่เอื้อมมาจับและดึงผมขึ้น
“พี่ปั้น” ผมส่งเสียงเรียกแต่กลับไม่มีเสียงออกจากปาก
ผมขึ้นมานอนริมสระน้ำ มีพี่ปั้นโอบผมไว้ เสียงผู้คนเอะอะโวยวาย ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ถูกคลุมลงมาบนตัวผม
“พี่ปุ่นเป็นยังไงบ้าง” น้องริวมานั่งข้างๆ จับมือผม
ผมส่ายหน้า พยายามจะยิ้มแต่มันไม่มีแรงเลยสักนิด
“เรย์สั่งคนเปิดห้อง พี่จะพาปุ่นขึ้นไปพัก” เสียงคุณวีร์ ผมรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนี้
“ปุ่น” เสียงทุ้มๆ เรียกผมอยู่ใกล้ๆ
“ขอบคุณมากที่ช่วยปุ่น”
“ไม่ต้องขอบคุณ ผมไม่มีทางปล่อยให้ปุ่นเป็นอันตราย”
ผมเห็นสายตาคุณวีร์มองพี่ปั้น มันเต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบแคลง
คนตัวสูงเอื้อมมือมาจะรับตัวผม แต่คนที่กอดอยู่ก่อนกลับเบี่ยงตัวผมออก
“ปล่อยปุ่นได้แล้ว” เสียงทุ้มเมื่อสักครู่กลับเปลี่ยนเป็นเสียงเข้มขึ้น
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ปุ่นผมดูแลเองได้” พี่ปั้นตอบกลับไป
“อย่ายุ่งกับคนของผม” คุณวีร์เข้ามาจับแขนผม ต่างคนต่างไม่ยอมปล่อยมือ
“พี่วีร์” น้องริวเขยิบเข้ามาใกล้ๆ กระซิบบางอย่างแต่ผมได้ยินชัดเจน
“ปล่อยเถอะ คนนี้เขาเป็นแฟนพี่ปุ่น”
ผมเผยอปากขึ้นอยากปฏิเสธแต่ไม่มีเสียงออกมา
“ไปกันเถอะปุ่น” พี่ปั้นเตรียมจะอุ้มผมขึ้น
“เดี๋ยว”
“ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร คุณจะพาปุ่นไปไม่ได้จนกว่าปุ่นจะมีสติกว่านี้”
“สนิม ช่วยเชิญคุณคนนี้ไปพักที่ห้องรับรองก่อน” ผมเห็นพี่สนิมทำหน้าปั้นยากลำบากใจ
“วีร์คะ อย่าเข้าไปยุ่งเลยค่ะ” คุณวิกาพยายามดึงแขนคุณวีร์ให้ลุกขึ้นแต่รายนี้ไม่หันไปสนใจ
เหตุการณ์ชักไปกันใหญ่ คนที่ล้อมอยู่ไม่ใช่น้อยๆ ผมพยายามลืมตาที่ปรือเต็มทีสบตากับพี่ปั้น ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้
“ได้ พี่จะกลับก่อน ปุ่นดีขึ้นแล้วโทรหาพี่ด้วย เรามีเรื่องต้องคุยกัน” พี่ปั้นลูบหัวผมเบาๆ
ก่อนปล่อยให้คุณวีร์อุ้มผมขึ้น
ผมประคองสติได้น้อยลงเต็มที สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือสายตาดุดันของคนที่อุ้มผมอยู่ มองตรงไปข้างหน้า
คุณวีร์มองอะไรอยู่ ทำไมทำหน้าเครียดแบบนั้น ผมพยายามยกมือขึ้นอยากแตะปลอบใจ แต่ทุกอย่างค่อยๆ มืดลง
สิ่งสุดท้ายที่ผมรู้คือแขนที่กระชับตัวผมมากยิ่งขึ้น แขนของคุณวีร์
..................................................TBC..................................................
Darin ♥ FANPAGE