- 2 -
“ครับ..ผมวีครับ” ผมตอบพี่เค้าไปงง ๆ ก็อยากจะถามเหมือนกันว่ารู้จักผมได้ไง
เพราะถึงแม้ผมจะมีชื่อติดเสื้อแต่มันชื่อกวี แต่พี่เค้าเรียกผมวีเฉย ๆ
“ไม่ต้องแปลกใจ พี่เห็นเราสองครั้งแล้ว เลยถามพนักงานในนี้เค้าบอกน้องทำพาสไทม์ช่วงปิดเทอม
ชื่อเล่นว่าวี ตอนนี้วีเรียนชั้นไหนแล้วครับ” จู่ ๆไม่สั่งอาหารกับสัมภาษณ์ผมหน้าตาเฉย
พี่สองคนที่เป็นเพื่อนก็ไม่ได้ว่าอะไร กลับยิ้ม ๆทำท่าเปิดเมนูดูไปเลย ๆ
ปล่อยให้พี่เค้าสัมภาษณ์ผมไม่รีบร้อนอะไร ตกลงพวกเค้าไม่รีบกินรีบกลับไปทำงานกันหรือไง
ผมล่ะงงจริง ๆ แต่ก็ตอบเค้าไป เพราะดูท่าทางแล้วเค้าไม่เหมือนพวกที่ประสงค์ร้ายอะไร
“ผมจบปวช.3 แล้วครับ เปิดเทอมหน้าก็เรียนมหาลัยxxxx ครับ” พอตอบไป..พี่เค้ากลับเลิกคิ้วสูง
ทำตาโต..ยักหน้างึกงักเหมือนทึ่ง ๆ ก่อนจะคุยต่อว่า
“ทีเดียวกับพี่เลย แสดงว่าเราต้องเป็นรุ่นเหลนรหัสพี่แน่ ๆ เดี๋ยวไว้เปิดเทอมจะรองไปเช็ค
พวกหลานรหัสพี่ดูว่าใช่มีเราอยู่ในสายรหัสหรือเปล่า พี่จบมหาลัยที่นั่นมาสามปีแล้ว
เอกบริหารxxx เหมือนเราแหล่ะ” ผมได้แต่ยิ้ม ๆ ตอบพี่เค้าไป เพราะไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้
หลังจากนั้นพวกพี่เค้าก็สั่งรายการอาหาร รับออร์เดอร์เสร็จผมก็ไปจัดการเรื่องอาหารให้พี่เค้า
ก่อนจะกลับเอาอาหารมาลงที่โต๊ะ..โดยมีเพื่อนนักศึกษาอีกคนช่วยมาลงอาหารด้วย
เพราะเค้าสั่งเยอะมากยังกะจะกินกันห้าหกคนซะงั้น มีทั้งเป็ด มีทั้งติมซำ ฯลฯ
จากนั้นผมก็คอยบริการเติมน้ำให้พี่เค้าด้วย ค่อยเคลียร์จานเปล่าออกจากโต๊ะ เติมน้ำจิ้มเพิ่ม
ตามหน้าที่ต้องบริการให้ลูกค้า ระหว่างทานพี่เค้าคุยกันปกติ มีบ้างที่จู่ ๆ จะวกมาถามผม
แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย..ขึ้นมาดื้อ ๆซะงั้น ไอ้ผมก็ตอบไปซื่อ ๆไม่ได้มีอะไร เพราะคำถามพี่เค้าก็ธรรมดา
ถึงจะดูส่วนตัวบ้างก็เถอะ แต่น้ำเสียงหรือวิธีการถามเหมือนไม่น่าเกลียด
จนทำให้ผมรู้สึกอคติแต่อย่างใด
“ตอนนี้วีอายุเท่าไหร่แล้วครับ”
“สิบแปดย่างสิบเก้าครับ”
“แล้วจะสิบเก้าเต็มเมื่อไหร่ล่ะนี้”
“ต้นเดือนกรกฎาคมครับ”
“พอจะบอกพี่ได้ไหม พี่อยากรู้เราเกิดราศีอะไร”
“อ๋อ!..ได้ครับ วันที่ 8 ครับ”
“งั้นก็ราศีเมถุน เค้าบอกว่าคนราศีนี้มีเสห่ห์และเป็นคนจิตใจดี มีศิลปะทางการแสดง
และเป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์จินตนาการกว่าคนปกติ”
“พี่เป็นหมอดู หรือครับ”
“ห่า..ห่า..ห่า!!!...เปล่า.พี่ไม่ได้เป็นหมอดู หน้าตาท่าทางพี่ดูเป็นแบบนั้นหรือ”
“ผมเห็นพี่บอกลักษณะผมซะละเอียด นึกว่าพี่เป็นหมอดูซะอีก”
“พี่ทำงานแบ็งค์ครับ ไม่เป็นหมอดู ที่วิเคราะห์ให้ฟัง พี่พอศึกษาจากตำรามาบ้าง”
“อ้อ!..หรือครับ”
“แล้ววี..เป็นคนที่ไหนครับ ผิวพรรณเนียนละเอียดยังกะผิวผู้หญิง คงไม่ใช่คนกรุงเทพฯ
แน่นอน จริงไหม?”
“อืมครับ..ผมไม่ใช่คนกรุงเทพฯหรอกครับ พี่ลองทายดูสิครับว่าผมเป็นคนที่ไหน”
“ถ้าให้พี่เดาอ่ะน่ะ...ไม่น่าใช่คนอิสาน เพราะจมูกโด่ง ผิวขาวเหลืองเนียนละเอียดแบบนี้
บ่งบอกเป็นคนเหนือชัวร์ หรือเปล่าใช่ไหม?”
“ใช่ครับ พี่ทายแม่นจังเลยนะครับ”
“พอจะบอกได้ไหมว่าจังหวัดอะไร พี่มีเพื่อนอยู่แถวเชียงใหม่เยอะแยะ ไปเที่ยวก็บ่อย”
“ครับ..ผมเป็นคนจังหวัดxxxxx.”
“อ๋อเหร่อ!...ใกล้ ๆ กันนะ..น่าไปเที่ยวเหมือนกัน พี่ยังไม่เคยไปเลย ว่าง ๆ
พอจะเป็นไกด์พาพี่ไปเที่ยวบ้านวีได้ไหม”
“อ๋อ!...ได้ครับ ถ้าผมไม่ติดอะไร..แล้วบังเอิญได้กลับไปเยี่ยมบ้าน
หากพี่อยากไปเที่ยวแล้วเกิดเราว่างตรงกันก็ไม่มีปัญหาครับ ดีเสียอีกอย่างน้อยได้โฆษณาบ้านเกิด
ให้คนจังหวัดอื่นได้มารู้จักบ้านเกิดผมมากขึ้น”
“งั้นดีเลย...เรามาแลกเบอร์โทรกัน เผื่อพี่จะได้โทรหาเราได้เวลาที่เรากลับบ้าน
พี่จะได้ลาพักร้อนไปเที่ยวบ้านเรา พี่ชื่อ..ชายนะครับ” จากนั้นพี่เค้าก็ให้เบอร์โทรที่ทำงาน
และที่บ้านของพี่เค้าให้ผม ส่วนผมก็เขียนเบอร์โทรที่บ้านให้พี่เค้าไป ไม่ได้คิดไรจริง ๆ ตอนนั้น
แค่รู้สึกดีที่ได้รู้จักพี่เค้า อีกอย่างเค้าก็พูดจาดี..ทำงานดี คิดแค่ว่ารู้จักไว้ก็ไม่เสียหาย
อนาคตข้างหน้า จบมาอาจได้พี่เค้าแนะนำงานดีดีให้ก็ได้..จึงไม่คิดไร
ดูไม่ออกด้วยว่าพี่เค้าเป็นเกย์..และมาจีบผม เพราะเค้าไม่ได้แสดงอะไรหรือมีอะไรแอบแฝง
ในคำพูดว่าต้องการจีบผม หรือว่าผมอ่อนประสบการณ์จึงไม่ได้คิดว่าเค้ามาจีบ
จากนั้นพี่เค้าก็ชวนผมคุยเรื่อยเปื่อย ส่วนใหญ่ก็เรื่องดินฟ้าอากาศแถวบ้านผม
สถานที่ท่องเที่ยวที่หน้าสนใจหรืออะไรประมาณนั้น ก่อนจะเช็คบิลกินกันไปร่วม ๆ
เจ็ดร้อยกว่าบาทถือว่าเยอะมากสมัยนั้นเฉพาะคนสามคน แต่ที่หน้าตกใจยิ่งกว่า
พี่เค้าจ่ายแบ็งค์ห้าร้อยมาสองใบ สมัยนั้นยังไม่มีแบ็งค์พันเลย
แต่เงินทอนที่เหลือสองร้อยห้าสิบกว่าบาท พี่เค้ากลับยัดใส่มือผมหมดเลย..ถือว่าเป็นทิปพิเศษ
ผมอ้าปากค้างตาโต ถือว่าเป็นทิปก้อนแรกที่ได้เยอะมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าให้เต็มที่ไม่เกินยี่สิบบาท
ว่ามากที่สุดแล้ว ผมตะกุกตะกักนึกว่าพี่เค้าล้อเล่นรีบถามกลับทันที
“นี่ให้ผมหมดเลยหรือครับ?”
“ใช่สิครับ ทำไมน้อยไปหรือ ต้องการเพิ่มอีกเท่าไหร่ดี?”
“ปะ..เปล่า..เปล่าครับ คือมันมากเกินไปตะหากผมว่า” พอผมพูดจบ พวกพี่เค้าก็แค่ยิ้ม ๆ
มาให้ก่อนที่เพื่อนพี่เค้าจะพูดแทรกขึ้นมาแทน รู้ตอนหลังว่าชื่อพี่โอ๊ต ชื่อเข้ากับหุ่นพี่แกเลย
เพราะพี่แกอ้วนด้วยไง ส่วนคนผอม ๆ ชื่อกรอบ นึกแล้วก็ขำพ่อแม่ช่างตั้งชื่อลูกได้เหมาะกับหุ่นจริง ๆ
เพราะพี่กรอบก็กรอบผอมแห้งสมชื่อ
“ไม่ต้องห่วงหรอกน้องวี ไอ้ชายเพื่อนพี่มันลูกเศรษฐี แค่นี้ไม่สะกิดขนหน้าแข้งมันร่วงได้หรอก
หึ..หึ.หึ” พูดจบพี่ชายก็ปล่อยหมัดตีไหล่พี่เค้าเหมือนหยอกกันเบา ๆ ก่อนจะพูดแก้ตัวขึ้นมาว่า
“อย่าไปเชื่อมัน..เศรษฐีไรกัน พี่ก็แค่รบกวนวีต้องคอยเทคแคร์ดูแลบริการพวกพี่
เลยตอบแทนให้บ้างก็แค่นั้น” แกพูดพร้อมกับหลบตาผมซะงั้น แถมหน้าแดงนิด ๆ
ผมก็ตลกท่าทางพี่แกนะ จู่ ๆดันมาเขินผมซะได้ ผมตะหากที่ต้องเป็นฝ่ายเขินแก
เพราะมันเป็นหน้าที่ ต้องบริการลูกค้าทุกคนอยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าใครต้องให้เงินพิเศษอะไรมากมาย
แบบนี้ซะทีไหน แต่ไหน ๆแกก็มีเจตนาดีให้มา ผมก็ควรรับไว้
ทิปที่ได้อาศัยเป็นค่ารถมาทำงานครึ่งเดือนเลยนะนี้ เลยยกมือไหว้ขอบคุณแกไป
“ผมขอบคุณพี่มากครับ ให้พิเศษผมตั้งมากแน่ะ...คราวหลังถ้ามาทานอีก
เรียกใช้ผมได้ตลอดเลยนะครับ” บอกแกไปตามจริง ไม่ได้จะหวังให้แกให้ทิปอะไรอีกหรอก
แต่คนเราเหมือนติดค้างที่แกมีน้ำใจให้ เลยบอกแกไปเผื่อแกมาอีกก็ไม่ต้องเกรงใจ
เลือกใช้ผมได้ตลอดประมาณนั้น แกก็ยักหน้ายิ้มรับพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
“โห!..รู้ว่าให้ทิปไปสองร้อยห้าสิบ แล้วน้องวีอาสาคอยบริการแบบนี้
รู้งี้ให้ไปตั้งแต่ครั้งแรกที่มากินแล้วล่ะเน่อะ...ว่าแต่ถ้าให้เป็นพันมีบริการนอกรอบ
ที่ไม่ต้องมากินในร้านหรือเปล่า?” พอแกพูดจบผมหน้าเหว่อทันที งงกับคำพูดแกนะครับ
ไม่เข้าใจว่าที่แกพูดหมายความว่าไง แกคงรู้สึกว่าหน้าผมเหว่อ เลยหัวเราะขำหน้าดำหน้าแดง
ก่อนจะพูดให้เข้าใจว่า
“5555!!!..คิดอะไรครับน้องวี หน้าตาตลกชะมัด พี่หมายถึงว่าเกิดพี่ให้ทิปพันหนึ่ง
น้องวีจะยอมเป็นเพื่อนเที่ยวไปดูหนัง เดินซื้อของแถวจตุจักรกับพี่หรือเปล่า วันหยุดว่าง ๆ
ไม่ค่อยมีใครเป็นเพื่อนไปด้วยเลย จะไปคนเดียวก็เหงาพิลึก”
“อ้าว!..แล้วพวกพี่ ๆ เค้าล่ะครับ ไม่ไปด้วยกันหรือ” ผมก็ถามกลับไปทันที
“พวกมันแหล่ะตัวดี...วันหยุดก็อยู่กับแฟน มีหรือจะมาสนใจเพื่อน อย่างว่าพวกคนมีคู่
มีแต่พี่อะแหล่ะโสดสนิท หาแฟนไม่ได้สักที”
“แล้วพี่ ๆน้อง ๆพี่ล่ะครับ ไม่มีใครว่างไปด้วยเลยหรือ ผมว่าไปกลับคนในครอบครัวมีความสุขดีออก
ไม่ต้องเป็นกังวลคอยดูแลเหมือนไปกับแฟน” ผมแนะนำแกไป
“โอ้ย!..พี่มีพี่น้องที่ไหนกัน พี่ลูกคนเดียว ถึงได้บอกว่าเหงาไง วียอมมาเป็นน้องชายพี่ไหมล่ะ
พี่จะได้ไม่เหงาเวลาวันหยุดจะได้ไปเป็นเพื่อนพี่ได้ รับรองไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายพี่ดูแลให้เอง
ตกลงไหม เราหยุดงานวันไหน”
“ผมหยุดวันอาทิตย์ครับ แต่จะดีหรือครับ กลายเป็นผมเป็นภาระให้พี่เปล่า ๆ
เรื่องเป็นน้องชายผมไม่มีปัญหาหรอกครับ เพราะผมก็มีพี่ชายตั้งหลายคน อยู่ต่างจังหวัดหมด
อยู่นี้ก็แค่พี่สาวคนเดียว บ้างครั้งก็เหงาเหมือนกันคือมันไม่เหมือนมีพี่ชายนะครับ
แต่ผมเกรงใจพี่มากกว่า ต้องมาคอยออกค่าใช้จ่ายให้ผมอีกนะ เสียดายตังค์แทน แห่ะ..แห่ะ..แห่ะ!..”
ผมพูดจบยิ้มแหย่ ๆให้แกไป ก็มันจริงนี่ครับ ผมก็อยากมีเวลาเดินเที่ยวดูของอะไร ๆบ้าง
หรือดูหนังบ้างเหมือนกัน แต่มันเสียดายตังค์นะ ไม่ชอบฟุ่มเฟือยเงินทองสำหรับผม
มีค่าที่จะต้องให้ใช้จ่าย กว่าจะเรียนจบอีกตั้งสี่ปี จะมามือเติบอย่างคนอื่นไม่ได้หรอก
ผมเลยงดกิจกรรมพวกนี้ซะมากกว่า
“ดีซิครับ ไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายนะ มันจะมากมายอะไรกัน..ตัวเราคงไม่ล้มทับ
ให้พี่ซื้อบ้านซื้อรถหรอกจริงป่าว?...ถ้าแค่กินข้าว ดูหนัง ซื้อของเล็ก ๆน้อย ๆ แลกกับการ
เป็นเพื่อนพี่ในวันหยุด ซำบายมากสำหรับพี่ไม่ต้องกังวลหรือเกรงอกเกรงใจไปหรอก
เอาเป็นว่าวันอาทิตย์นี้ 10 โมงเจอกันที่สนามหลวงหน้าตำหนักพระแม่ธรณี
พี่จะขับรถมารอเรา หรือสะดวกให้พี่ไปรับที่บ้านก็ได้ เดี๋ยวเราไปดูหนังสนุก ๆ ซักเรื่อง
จากนั้นค่อยไปเดินประตูน้ำดูของที่ตึกใบหยกกันดีกว่า โอเคตามนี้ ห้ามปฏิเสธ” แกเล่นพูดเอง
เอ่อเองเสร็จสรรพ ผมจะไปว่าอะไรได้ล่ะครับก็ได้แต่ยิ้มให้แกไป..พยักหน้าตกปากรับคำโดยปริยาย
แต่มีข้อแม้ว่าผมจะนั่งรถมาเจอแกที่สนามหลวงเอง ไม่ต้องเสียเวลาให้แกตีรถวนไปรับผม
ที่จอมทองไป ๆ มาๆ หรอก นัดหมายกันเรียบร้อยพวกแกก็ขอตัวกลับ
เพิ่งรู้ว่าวันนี้พวกแกเข้าทำงานสายได้ เพราะออกตรวจสาขา หาทำเลให้แบ็งค์
คือพวกแกเป็นฝ่ายเซอร์เวย์สถานที่หาทำเลเปิดสาขาไรประมาณนั้น
ผมก็ไม่เข้าใจงานพวกแกสักเท่าไหร่หรอก รู้เพียงว่าไม่ใช่พวกที่คอยบริการรับฝากเงิน
ในแบ็งค์ตามหน้าเคาเตอร์ก็เท่านั้น นี่ก็เหลืออีกสี่วันเพราะวันนี้วันพฤหัสแล้ว กว่าจะถึงวันอาทิตย์
จากวันนั้นกว่าจะถึงวันอาทิตย์ พี่ชายมักโทรหาผมชวนคุยเรื่อยเปื่อยเป็นประจำราว ๆ
ห้าทุ่มแกมักโทรมา เหมือนรู้ว่าผมกลับถึงบ้านและทำธุระเรียบร้อยแล้ว สามารถคุยโทรศัพท์กับแกได้
จนเคยชินว่าเวลานี้แกจะโทรมาคุย นอกจากไอ้โรจสองสามวันโทรมาที หรือไม่ก็คิ๋มนาน ๆ
จะโทรมาคุยเรื่องซ้อมบอลให้ฟัง สำหรับพวกน้อง ๆ รุ่นใหม่ที่เข้ามาเป็นนักกีฬาทุน
ซึ่งผมกะว่าหลังหยุดทำงาน..ผมจะเข้าไปซ้อมด้วยสักสองอาทิตย์เตรียมกำลังกับฟื้นฝีมือ
ก่อนเข้าไปเรียนมหาลัย.........
ส่วนพี่ชายก็คุยเรื่องต่าง ๆ ส่วนมากจะถามผมซะมากกว่าว่าวันนี้เป็นไง ทำงานมีปัญหาอะไรไหม
ได้ทิปเยอะป่าวเป็นแบบนี้ซะส่วนใหญ่ ใช้เวลารวม ๆ ก็ประมาณวันละไม่เกินครึ่งชั่วโมง
เหมือนแกจะเกรงใจผมไม่อยากให้ผมนอนดึก เพราะรู้ว่าผมต้องตื่นไปทำงานเช้าแปดโมงอยู่ดี
ผมถึงรู้สึกดีเหมือนมีพี่ชายคอยห่วงใยเราอีกคน จึงไม่เคยปฏิเสธหรือรู้สึกรำคาญไรแกทุกครั้ง
ที่แกโทรมาคุยด้วย กลับได้รับคำแนะนำดีดี ที่มักมีมาให้เกี่ยวกับเรื่องเรียน
เรื่องงานหรือเรื่องความรู้ทั่ว ๆไป ดูแกรู้เยอะและเป็นผู้ใหญ่ด้านความคิดมากเลยทีเดียว
แทบไม่อยากเชื่อว่าแกจะเป็นลูกคนเดียว เพราะเท่าที่รู้มาลูกคนเดียวมักเอาแต่ใจ
แถมเป็นพวกใจร้อน ยิ่งมีฐานะยิ่งไม่เห็นความสำคัญหรือคุณค่าคนอื่น
ซึ่งผิดกับพี่ชาย..แกไม่มีพฤติกรรมนิสัยด้านนี้ให้เห็นเลยสักกะนิด
ยิ่งแปลกใจเข้าไปใหญ่ทำไมแกไม่ยักมีแฟน..รูปก็ใช่ชั่ว จัดว่ารวยทั้งรูปสมบัติ
และทรัพย์สมบัติ ง่ายจะตายถ้าแกจะหาแฟนสักคน ขี้คร้านมีคนเข้าแถวลงชื่อให้แกเลือก
เป็นหางว่าว......หรือแกเลือกมากหว่า...?????????????
ส่วนเหี้ยกล หายไปจากชีวิตผมอีกหรอบ นี่ก็สิบกว่าวันเข้าไปแล้ว
ถ้านับวันอาทิตย์ที่จะถึงก็สิบสามวัน พอ ๆ กับครั้งที่แล้วหายไปครึ่งเดือน กลับมาลากผมไปปี้
เสร็จสรรพหายไปเกือบครึ่งเดือน แล้วครั้งนี้ผมกับกลเจอกันยังไง..ที่ไหน และเกิดอะไรขึ้น
รออ่านตอนหน้านะครับ..............................
ต้องบอกว่าพี่ชายคนนี้ คือจุดเปลี่ยนสำหรับทั้งวีและกล ให้เกิดความชัดเจนขึ้น
แต่จะเลวร้ายแค่ไหนตามอ่านกันต่อไปค่ะ
Luk.