ตอนพิเศษ งานหนังสือแสนหรรษา
ใครหลายคนชอบบอกว่าผมขี้เกียจ ซึ่งมันไม่จริงเลยสักนิด ผมออกจะขยัน หนังสือในตู้ผมอ่านหมดทุกเล่ม แต่ละหน้าก็อ่านแล้วอ่านอีก อ่านซ้ำไปซ้ำมาจนเล่มมันเยินชนิดที่บางหน้าต้องพึ่งสก็อตเทปแปะไว้ แล้วแบบนี้จะมาหาว่าผมขี้เกียจอ่านหนังสือได้ยังไง ชอบใส่ร้ายคนดีอยู่เรื่อย กลอยประเกรียนคนนี้น้อยใจ
ด้วยความที่ผมอ่านหนังสือจนหมดตู้แล้ว วันนี้เลยอยากได้เพิ่ม เลยอ้อนวอนขอร้องให้พี่โชพามาซื้อที่งานมหกรรมหนังสือที่เพิ่งเริ่ม อาจเพราะยังเช้าแถมเป็นวันแรกๆ คนเลยไม่มากเท่าไหร่ ทำให้พอเดินสะดวก มีอากาศถ่ายเทพอให้ผมหายใจได้บ้าง
“คนเยอะ” เสียงบ่นลอยมาจากด้านหลัง ผมหันไปมองกลุ่มคนที่พ่วงมาทำหน้าบึ้งตึง “แค่กูเจอหนังสือสอบเล่มสองเล่มกูก็เครียดจนจะตายอยู่แล้ว” พี่แทมบ่นเป็นหมีกินผึ้งตั้งแต่เหยียบเข้างาน
“แล้วมึงจะเสือกมากับพวกกูทำไม” และจะเป็นใครไม่ได้ที่กล้าด่าแบบนี้ พี่จอมคนโหดนั่นเอง เห็นพี่ซันว่า เมื่อคืนรู้ว่าจะมา พี่จอมก็จดรายชื่อหนังสือที่อยากได้ และไม่รู้ด้วยว่าหนังสืออะไร เห็นขลุกอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอด
“ก็พวกมึงเล่นมาเป็นโขยง แล้วจะทิ้งกูให้โดดเดี่ยวอยู่บ้านได้ยังไง ไอ้เพื่อนชั่ว คิดจะทิ้งกู” ตีหน้าเศร้าโยนความผิดให้คนอื่น และคงจะมีแค่ผมคนเดียวที่สนใจ เพราะคนอื่นพากันเดินไปข้างหน้าหมดแล้ว “มึงเข้าใจกูใช่ไหมไอ้กลอย”
“เปล่า” ตอบพลางส่ายหน้ารัวๆ
“แล้วมึงมายืนมองหน้ากูหาผัวเหรอ” ปากคอเราะร้ายจนหมาในปากผมแทบโดดออกมา “ยังจะมองหน้ากูอีก ผัวมึงเดินไปนู้นแล้ว เดินไปสิ”
“ก็อยากจะเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน ถ้าพี่ไม่เหยียบส้นรองเท้าผม” ไม่ว่าเปล่า ยังชี้ลงไปที่รองเท้าแตะที่ถูกเหยียบส่วนปลายส้น “ดูดิ่ ตีนผมจะทะลุออกด้านหน้าแล้วเนี่ย”
“ก็ไม่บอกตั้งแต่แรก” คนเหยียบตีหน้าตายขยับเท้าออก พลางเดินตามเพื่อนตัวเองโดยไม่สนผมเลยสักนิด
ไม่เว้นช่องไฟให้พูด ใครมันจะไปพูดแทรกได้วะ ไอ้กลอยไม่เข้าใจ
ผมเดินอ้อยอิ่งมองหนังสือบูธนั้นที บูธนี้ทีโดยไม่ได้เร่งรีบตามพวกพี่โชแต่อย่างใด เพราะมั่นใจว่าจะไม่คลาดหรือหลงกันแน่ ในเมื่อกลุ่มนั้นเดินไปทางไหน ก็จะมีคนแหวกทางให้เดิน หรือแค่มองหาออร่าที่เปล่งประกายออกมา นั่นแหละ จะเจอพวกเขาที่นั่น
นี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ไม่อยากพาพวกพี่ๆ เขามาด้วย ไปที่ไหน เด่นที่นั่น
“ดูอะไร” เสียงทุ้มดังอยู่บนหัว ผมเงยหน้าขึ้นมองเห็นพี่โชจ้องหนังสือในมือผมอยู่ “การ์ตูนอีกละ วันๆ อ่านแต่การ์ตูน หัดอ่านหนังสือเรียนบ้าง”
“ผ่อนคลายไง พี่โชก็น่าจะรู้ว่ากลอยเครียด”
“เครียดเรื่องเรียน?”
“เปล่า เรื่องเกมส์”
ถูกเคาะหัวข้อหากวนตีน ผมยื่นหนังสือที่อ่านให้กับพนักงานในบูธ สาวหน้าตาจิ้มลิ้มหุ่นอวบอัดมองผมกับพี่โชสลับไปมาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ จนผมต้องขยับหนังสือว่าจะซื้อ เธอถึงรีบหยิบไปคิดเงินแล้วยื่นมาให้
“แล้วแวะมาอีกนะคะ” คำทิ้งทายจากพนักงานของบูธ ผมยิ้มกว้างส่งให้ ต่างจากอีกคนที่จ่ายเงินเสร็จก็รีบดึงแขนผมให้ออกมา
ช่างเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอาเสียเลย
สำนักพิมพ์มากมายตั้งเป็นบูธติดๆ กัน ซึ่งหนังสือก็หลากหลายแนวจนไม่รู้จะเลือกเข้าร้านไหนดี แถมไม่รู้ทางด้วย ผมเลยให้พี่โชเดินนำแทน จนคนนำทางพุ่งเข้าไปที่บูธๆ หนึ่ง เป็นร้านที่ขายหนังสือเกี่ยวข้องกับงานธุรกิจเกือบทั้งหมด
ผมคิดผิดใช่ไหมที่ไว้ใจปีศาจนำทาง
พี่โชเลือกหนังสืออย่างใจเย็น ต่างจากผมที่สอดสายตามองหาบูธหนังสือการ์ตูน จนเห็นสิ่งที่ตามหาและป้ายด้านหน้าบอกลดราคา แน่นอนว่าผมไม่พลาดอยู่แล้ว เลยสะกิดเรียกพี่โชยิกๆ
“อะไร?”
“กลอยไปร้านนู้นนะ”
“รอพี่ก่อน”
“แต่พี่โชเลือกช้า”
“ก็พี่ต้องหาเล่มที่มันได้ใช้”
“ก็นั่นแหละ มันช้า เดี๋ยวการ์ตูนลดราคาจะหมด”
คราวนี้พี่โชเหลือบสายตามองไปที่ร้านที่ผมว่า ก่อนดวงตาดุจะตวัดมาจ้องหน้าผม
“ถ้าหมด เดี๋ยวพี่ซื้อเล่มที่ไม่ลดให้”
ดั่งสวรรค์มาโปรด ผมเลยพยักหน้ารัวๆ แล้วยืนรอต่อ ได้ของแถมเงินไม่ออกกระเป๋า แบบนี้แหละ ที่ไอ้กลอยชอบนักล่ะ ระหว่างยืนหันหลังชนกับพี่โชโดยที่ไม่ได้มองหาร้านไหน เลยได้สังเกตเห็นสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา พวกเขามองผมหรือร้านหนังสือก็ไม่รู้นะ แต่บางคนผมก็พอรู้ว่ามองผมนี่แหละเพราะส่งยิ้มมาให้ แถมบางคนกระซิบคุยกันว่าผมเป็นดาราเล่นซีรี่ส์อะไรหรือเปล่า เกิดเป็นคนหน้าตาดีนี่ช่างลำบากจริง แบบนี้ต้องยืดซะหน่อย (อวยตัวเองคืองานถนัดนักล่ะ)
นานกว่าพี่โชจะเลือกหนังสือได้ หนังสือห้าเล่มที่คุณชายเลือกมีเนื้อหนาที่ดีและแน่น แถมจำนวนความหนาก็เกินหนังสือเรียนผมไปไกล
“มองอะไร” พี่โชถามพลางหรี่ตามองผม
“ดูคนขยันไง กี่วันถึงจะอ่านหมด”
“สองวันก็น่าหมดนะ” ทำตาเหลือกมอง ก่อนจะรีบเดินหนีเมื่อถูกปีศาจแขวะเข้าเต็มๆ “พี่ไม่ได้ขี้เกียจเหมือนกลอย เปิดหนังสือเรียนหน้าแรกก็หลับแล้ว”
เปิดช่องให้ตัวเองโดนด่าตอนไหน ปีศาจจะใส่ไม่ยั้งนะครับขอบอก
ผมเดินนำพี่โชมาที่ร้านหนังสือการ์ตูนลดราคา และที่นี่ก็ได้เจอกับพี่แทม พี่ตินที่หยิบการ์ตูนใส่ตะกร้าซะเต็ม ไหนบอกไม่อยากมาไงวะ
“โหพี่ ซื้อขนาดนี้เอาไปถมที่หรือไง” แกล้งแซวไป พี่แทมตวัดสายตามามองแต่ไม่ได้ตอบอะไรเพราะกำลังค้นการ์ตูนในกองลดราคา “เฮ้ยพี่ เล่มนี้ผมก็ชอบ หาซื้อโคตรยาก”
“ที่นี่มีและกูก็ซื้อยกชุดเลยเว้ย” พี่แทมว่า พลางชี้ไปโต๊ะอีกฝั่งที่ว่างเปล่า “แต่เสียใจด้วย ของกูชุดสุดท้าย”
“แล้วมึงจะพูดทำไมไอ้ห่า” เป็นพี่โชที่ด่าแทนผม คงเพราะผมหน้ามุ่ยหลังจากถูกหลอกให้อยากได้ แล้วถูกพังความหวังเดี๋ยวนั้น “ซื้อเรื่องอื่นสิ เต็มร้านเลยเนี่ย”
เงยหน้ามองคนปลอบ “พี่ออกเงินให้ใช่ไหม”
“เออ ทีงี้แม่งรีบยิ้ม”
ถูกหัวเข่ากระทุ้งเข้าที่ต้นขาเบาๆ หลังจากยิ้มกว้างเกินไป ผมรีบผละไปหยิบตะกร้ามาใส่การ์ตูนที่อยากได้ แม้จะเกรงใจคนอื่นๆ แต่ถ้าไม่เบียด ผมก็ไม่ได้
“ขอโทษครับ” เผลอไปชนมือกับคนอื่นจนต้องรีบขอโทษ
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” เด็กสาวที่น่าจะอยู่วัยมัธยมรีบส่ายหน้ารัวๆ พลางก้มหน้าเลือกของต่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจนผมตกใจ “เอ่อ”
“ครับ?”
“พี่น่ารักจังเลยค่ะ” แม้เสียงในร้านจะดังจอแจ แต่เพราะบูธไม่ใหญ่ ทำให้คำชมนี้ คนทั่วร้านก็ได้ยิน จนทุกสายตาถึงกับหันมามอง “หนูพูดจริงๆ นะคะ พี่ใช่คนที่เล่นซีรี่ส์เรื่อง...”
“จำผิดแล้วครับ พี่เป็นแค่คนธรรมดา” รีบออกตัวเพราะเกรงสายตาปีศาจที่จ้อง “ขอโทษนะครับ” ถอยทัพครับ ผมทำเป็นขยับเดินหนีมาอีกที่ ซึ่งน่าจะปลอดภัยมากกว่า...มั้ง
“โปรยเสน่ห์อีกแล้วนะมึง ระวังผัวมึงจะต่อยเอา” พี่ตินพูดลอยๆ จากด้านหลัง ผมรีบหันไปมองพี่โชก่อน แต่ท่าทางก็ดูปกติ เลยหันไปถลึงตาใส่คนพูด “กลัวเพื่อนกูนี่หว่า”
“พี่ไม่ได้แปรงฟันมาใช่ไหม ปากเหม็นเชียว” เน้นประโยคและน้ำเสียงทุกคำ จนคนถูกว่าตาเหลือก ก็นะ เล่นกับใครควรดูด้วย
นี่ใคร..นี่กลอยประเกรียนสุดหล่อแม่นเว่อร์นะครับ
เลือกการ์ตูนได้มาถุงใหญ่ ก็เริ่มอารมณ์ดี ผมเดินนำทุกคนออกมาเพื่อตามหาคนอื่นๆ แล้วก็เจอพี่เบกับไอ้ทูอยู่ที่บูธหนังสือปรัชญา คำคม แถมเพื่อนผมยังไปยืนเข้าแถวรอลายเซ็นจากนักเขียนที่มานั่งในร้านอีก เอากับมันสิ
“พวกไอ้จอมล่ะ” พี่โชถามหาคนที่ยังหาไม่เจอ พี่เบบุ้ยปากไปทางด้านข้าง ด้วยความที่พี่ซันตัวสูง แถมออร่าความขาวของพี่จอมอีก เลยมองหาตัวได้ไม่ยากหากอยู่ในระยะไม่ไกลจนสายตาจะมองเห็น
“พวกมันซื้อหนังสืออะไรวะ” พี่แทมถามขณะขยับมือคลายความปวดจากการหิ้วถุงการ์ตูน
“ไม่รู้ว่ะ กูรอไอ้ทูขอลายเซ็นนักเขียนจนไม่ได้ไปไหนเลยเนี่ย” พี่เบว่าอย่างเซ็งๆ ก่อนหยิบการ์ตูนเล่มละสิบบาทของพี่แทมมาเปิดอ่าน “ไอ้แทม มึงอ่านแบบนี้ด้วยเหรอวะ”
“แน่นอน กูรักการอ่านจะตาย”
“รักการอ่านแบบสิบแปดบวกน่ะสิมึงน่ะ”
ว่าแล้วก็อดที่จะยืดคอมองด้วยความอยากรู้ไม่ได้ การ์ตูนที่พี่เบเปิดผ่านๆ ตัวการ์ตูนเป็นผู้หญิงก้นใหญ่ นมใหญ่ ออกแนววาบหวิว ซึ่งผมก็ว่ามันปกตินะ เพราะผมก็อ่านตอนเป็นเด็ก ตอนนี้เหรอ อย่าหวัง ปีศาจเอาไปเผาทิ้งแน่ ขนาดการ์ตูนในตู้ก็เกือบถูกเอาไปซ่อนแล้ว แค่เกรดเทอมที่ผ่านมาผมลดลงนิดเดียวเอง ทำไมถึงใจร้ายกับผมแบบนี้
พวกเรายืนรอไอ้ทูจนมันหน้าบานออกมา แล้วคนหน้าบานก็ถูกหนังสือการ์ตูนฟาดเข้าหัวจนหน้างอ แต่ก็เท่านั้น เพราะมันรีบขยับเอาลายเซ็นบนหนังสือปรัชญามาอวดผมแทน ผมเลยเออออชมเพื่อนตัวเองไป
ไอ้ทู เรามันคนละแนว คงไปด้วยกันไม่ได้ว่ะ
จากนั้นพวกเราทุกคนก็พากันเดินส่องบูธนั้นนี้ ส่วนใหญ่ที่มีคนมุงเยอะๆ จะเป็นบูธเกี่ยวกับหนังสือนิยาย ซึ่งผมก็ลองเข้าไปเบียดดูบ้าง อยากรู้ว่ามันดียังไงคนถึงเยอะขนาดนี้
“เล่มไหนสนุกวะ” พึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่คนที่ยืนใกล้คงได้ยิน กลุ่มผู้หญิงกลุ่มใหญ่หันมายิ้มให้ผมพลางขายนิยายให้ผมเต็มที่ แต่ที่ทำเอาคิ้วกระตุกนิดๆ คือเล่มที่พวกเขาแนะนำหน้าปกเป็นผู้ชายกอดกัน มันเหมือนตอนที่เข็ม สาววายตัวแม่ที่เป็นเพื่อนในภาคอ่านแล้วมาพร่ำเพ้อให้ผมฟังเป็นฉากๆ
“พี่ลองเล่มนี้ไหมคะ นายเอกเหมือนพี่เลย”
“นายเอก?” หมายถึงนางเอกใช่ไหมวะ แล้วเหมือนพี่นี่คืออะไรวะ?
“ค่ะ นายเอกเล่มนี้ ตัวขาว ตาโต น่ารักเหมือนพี่เลย แถมพระเอกก็รักมาก หวงมาก” ผมมองหน้าคนแนะนำที่ทำตาเป็นประกายอย่างเพ้อฝัน “พี่ลองซื้อไปอ่านสิคะ อ่านแล้วจะติดใจ”
“ไม่ดีมั้งครับ” มองชื่อหนังสือนิยายเรื่อง Just you and I เพราะนายคือของฉันในมือของเขาแล้วก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ส่งให้ ก่อนจะถอยออกมาหาพี่โชที่ยืนขำอยู่ “ไม่ขำสักนิด” รีบคว้าถุงการ์ตูนในมือของพี่โชมาถือ แล้วเดินหนีแก้เก้อนำหน้าทุกคนมาจนถึงบูธที่พี่ซันกับพี่จอมอยู่ เห็นทั้งคู่กระซิบถามกันกระหนุงกระหนิงไม่สนสายตาคนรอบข้างที่มอง
หนังสือที่ทั้งคู่ยืนเลือก เป็นหนังสือเกี่ยวกับการประดิดประดอยและการทำอาหาร ไม่อยากจะเชื่อว่าพี่จอมจะสนใจหนังสือประเภทนี้ สงสัยจะเริ่มติดใจหลังจากมาขอให้ผมสอนทำอาหารนั่นนี่ แม้รสชาติจะยังไม่อร่อยเหาะ แต่ผมว่า พี่ซันคงจะชอบมากทีเดียว
“ไอ้เกรียน” พี่จอมที่หันมาเห็นผมรีบกวักมือเรียก “มึงช่วยกูตัดสินใจหน่อย ว่าเล่มไหนดี” มองหนังสือทำอาหารสองเล่มที่พี่จอมเลือกไว้ “ว่าไง”
“มันก็ดีทั้งสองเล่มนะ” ตอบแบบกลางๆ เลยโดนสันหนังสือเคาะหัว คนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจในการกระทำอันอุกอาจ “เจ็บนะพี่” ลูบหัวตัวเองป้อยๆ น้ำตาแทบเล็ด
“กูให้มึงเลือก ดันบอกดีทั้งสองไอ้ห่า” โดนเหวี่ยงจากคนอยากได้หนังสือ “ไอ้ซัน เดี๋ยวมึงก็โดนดีหรอก” ตีหน้างงหลังจากพี่จอมพูด ก่อนจะเข้าใจ เมื่อมือพี่ซันที่ลูบหัวผม ถูกปัดออกจากคนที่เพิ่งเดินตามมา
“เมียกู” เสียงเข้มบอกสั้นๆ แต่ได้ใจความ พี่ซันถึงกับหัวเราะออกมา
“มึงซื้อไปแล้วทำเป็นเหรอวะ” เสียงพี่แทมแทรกขึ้นมา ทำเอาหนังสือในมือพี่จอมเกือบหลุดมือ “กูพูดผิดอะไร”
“ไม่ผิด” พี่ตินว่า
“ใช่ไหม กูก็ว่า กูพูดไม่ผิด”
“ไม่ผิด แต่มึงไม่ควรเผยอริมฝีปากพูด มึงกำลังทำให้เพื่อนมึงเสียเซลฟ์เห็นไหม ไอ้จอมมันทำอาหารไม่เป็น มึงไม่ควรไปจี้จุดมัน คิดดู ไข่เจียวยังไหม้”
“เออว่ะ กูแม่งไม่น่าพูดให้เพื่อนคิดมากเลย”
“กูว่า ถ้าพวกมึงสองคนยังไม่หยุด ไอ้จอมกระทืบแน่” พี่เบรีบห้ามทัพคู่หูสุดฮา พลางส่งซิกให้ดูอาการคนใกล้สติแตก พี่จอมบีบหนังสือในมือจนยับไปหมด
ไม่รู้จะตายหรือหยอดน้ำข้าวต้มดีนะครับเนี่ย
พี่ซันคงกลัวจะเกิดเรื่องไม่ดี เลยรีบคว้าหนังสือสองเล่มที่พี่จอมลังเลไปจ่ายเงิน ก่อนจะลูบหัว ลูบไหล่พี่จอมให้อารมณ์เย็นลง จะมามีเรื่องที่นี่ไม่ได้นะครับ
“ผมว่า เล่มนี้น่าสนใจ ดูทำง่ายเหมาะกับมือใหม่” เมื่อเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดี ผมเลยรีบยัดถุงการ์ตูนให้พี่โชถือ แล้วแทรกตัวเข้าไปที่บูธพลางหยิบหนังสือทำอาหารมาให้พี่จอมดู
“ดูน่าอร่อยนะเว้ย” พี่ซันเสริม หลังจากผมขยิบตาไปมาให้ช่วย “มึงทำอะไรมา กูก็ชอบทั้งนั้นแหละ ไข่เจียวไหม้ก็กูชอบ”
อื่อฮือ แทบอยากจะมอบโล่แฟนดีเด่นให้เลย ถ้าปรบมือให้ได้ผมทำไปแล้ว
“ดูนี่สิ แกงเขียวหวานปลากรายที่พี่ซันชอบ ผมมีสูตรของแม่ด้วยนะ รับรองทำง่ายแถมอร่อย” ดูเหมือนทุกอย่างจะไปได้ดี หากไม่มีใครบางคนพูดแทรกเข้ามา
“รู้ได้ไงว่าไอ้ซันชอบกินอะไร” มาแล้วครับ เสียงและหน้าโหดๆ ขยับเข้ามาใกล้ ผมรีบกระพริบตาถี่ๆ ตีเนียนยิ้มอย่างเดียว “เดี๋ยวจะโดน” ยังดีที่พี่จอมหยิบหนังสือจากมือผมไปดูพลางยื่นไปให้พนักงานเพื่อซื้อ ผมเลยแกล้งตีเนียนเปลี่ยนเรื่อง เลยถูกพี่โชใช้ถุงหนักที่ถือฟาดเข้าก้นมาทีหนึ่งโคตรเจ็บ
เมื่อได้หนังสือที่ต้องการแล้ว พวกเราก็ยกโขยงออกจากบูธ และดูเหมือนยิ่งบ่ายแก่คนจะยิ่งเยอะ จากที่เดินสะดวก ตอนนี้ค่อนข้างแออัดพอสมควร เลยตกลงว่าจะแยกย้ายกันกลับ ผมเดินตีคู่มากับพี่จอมที่เปิดดูหนังสือแล้วถามผมทุกหน้า
“พี่โคตรจริงจัง คิดจะเปิดร้านป่ะเนี่ย” ถามด้วยความสงสัย พี่จอมพับหนังสือเสียงดังจนผมสะดุ้ง “ผมไม่ควรถามใช่ไหม”
“กูแค่อยากจะหัดไว้ทำกินเอง” นึกว่าจะโดนด่า แต่เปล่าเลย พี่จอมกลับตอบเรียบๆ พลางยิ้มมาให้ แต่ทำไมผมกลับรู้สึกสยองวะ “กูจะให้มึงสอนแล้วก็ชิมจนกว่ามันจะอร่อย”
“ขอแค่สอนได้ไหม” อยากจะหนีมาก แค่คอถูกล็อคจากแขนพี่จอมแน่น “ให้พี่ซันชิมแทนสิ ขนาดไข่ไหม้ยังกินได้เลย”
“ก็มึงสอนกู มึงก็ต้องชิม” ส่ายหัวพรืดใหญ่ ยังจำรสชาติต้มข่าไก่ใส่กะทิคราวนั้นได้ ผมถึงขั้นต้องนอนดมยาดมเพราะอ้วกหลายรอบ “กูจะปรับสูตรจนมันถูกปากกู”
“ถูกปากพี่ แต่ไม่ถูกปากคนอื่น แถมไม่ปลอดภัยต่อกระเพาะด้วย” โดนแขนงัดจนเงยหน้า มือก็กวักเรียกพี่โชให้มาช่วยแต่ก็ไม่ได้รับการสนใจแต่อย่างใด
“มึงไม่มีทางเลือกอื่นไอ้เกรียน แล้วก็ เตรียมตัวมานอนห้องกู ไม่สิ ไอ้โชมันต้องไม่ยอมแน่ งั้นเดี๋ยวกูเอาของไปห้องมึงเอง” พูดเองเออเองแบบรวบยอดโดยที่ผมไม่ได้พูดสักคำ “เจอกัน แกงเขียวหวานปลากราย”
อ้าปากพะงาบๆ จะคัดค้าน แต่ไม่ทันซะแล้ว เมื่อพี่จอมทำหน้าลั้นลาไปหาพี่ซันพลางแยกไปที่รถตัวเอง เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เดินไปหาที่จอดรถของตัวเอง ส่วนผมเดินตีคู่กับพี่โชที่หิ้วถุงหนังสือคนเดียว จะช่วยก็ไม่ยอม
“การ์ตูนพวกนี้พี่จะให้อ่านวันละเล่ม” เสียงเข้มดังขณะผมปลดล็อกรถให้ “จนกว่ารายงานเล่มที่ต้องทำจะเสร็จ ถึงจะให้อ่านทั้งวันเหมือนเดิม”
“พี่โชอ่า อย่าใจร้ายกับกลอยสิ” แกล้งบีบน้ำตาแห้งๆ แต่มักจะใช้ไม่ได้กับคนข้างๆ นี่ พี่โชวางถุงหนังสือไว้ที่เบาะหลังรถแล้วอ้อมมานั่งประจำที่ตัวเอง “พี่โช”
“ไม่มีข้อต่อรองครับน้องกลอย” ถูกมือขาวยื่นมาบีบแก้มจนปากยื่นเหมือนเป็ด “ใกล้จบแล้วขยันๆ หน่อย”
“ทำไมขี้บ่นจัง เมื่อก่อนไม่เห็นบ่นขนาดนี้” พูดเสียงอู้อี้เพราะปากจู๋จากการบีบ
“ถ้ากลอยไม่เอาแต่อ่านการ์ตูนจนไม่สนใจหนังสือเรียนพี่ก็จะไม่บ่นแบบนี้”
“บางทีมันก็ต้องคลายเครียดบ้าง”
“เครียดยังไง พี่ไม่เคยเห็นกลอยเครียดเลย”
“มีสิ เวลาขี้ไม่ออกไง มันต้องอ่านการ์ตูนเพื่อผ่อนคลาย พี่โชไม่เคยเหรอ”
“พี่ปกติ”
“กลอยก็ปกติ”
“เกินคนปกติน่ะสิ”
“หิวแล้ว”
“หิวขี้?”
“ตลกไหม ก็ไม่ กลอยหิวข้าว ไม่ได้หิวขี้” แล้วพี่โชก็หัวเราะออกมาที่แกล้งผม แม้จะแป้กแต่เจ้าตัวก็คงคิดว่ามันขำ “อยากกินชาบู”
“ไม่เอา เดี๋ยวมาปวดขี้บนรถอีก พี่ขี้เกียจดมตด”
“อย่ามาใส่ร้าย กลอยไม่เคยตดบนรถ...ก็แค่ ครั้ง สองครั้ง” ถูกสายตาดุจ้องเลยรีบแถ “นิดเดียวเอง...งั้นไปกินซูชิ” พี่โชส่ายหน้าช้าๆ “หมูกระทะ?” นี่ก็ส่ายหัว “งั้นพี่โชอยากกินอะไร”
“ของที่พี่ชอบกลอยไม่รู้เหรอ” แม้ท่าทางจะดูเป็นปกติ แต่น้ำเสียงผมว่าเริ่มจะไม่ปกติ “ทีของที่ไอ้ซันชอบ กลอยยังรู้เลย ทำไมนะ” นั่นไง คิดแล้วไม่มีผิด โดนตีรวนเข้าให้แล้ว
“มีเนื้อปูแช่ฟิตอยู่ เดี๋ยวกลอยทำไข่เจียวปูให้ เมนูโปรดของพี่โช กลอยจำแม่นมาก” ลากเสียงยาวจนคนชอบไข่เจียวปูยิ้ม “โอเคนะ”
“น่ารักจริง”
ชมอย่างเดียวคงไม่พอ ยังยื่นมือมาดึงแก้มผมอีก
“แก้มจะยานแล้วเนี่ย ออกเงินค่าดึงแก้มให้เลยนะ”
“พี่ก็ดึงได้ แป๊บเดียว ก็ตึงเหมือนเดิมแล้ว”
“มันคนละดึงไหมล่ะ”
ผมหน้ายู่มองคนหัวเราะชอบใจ จะว่าไปผมคบกับพี่โชนานเหมือนกันนะครับเนี่ย จากที่กังวลตอนแรกๆ ว่าจะถึงสามเดือนไหม แป๊บๆ จะสองปีแล้ว ตั้งแต่ผมอยู่ปีสองใช่ไหมนะ
“พี่ซื้อนิยายเรื่องนี้มาด้วยเหรอ” เอี่ยวตัวมองไปที่กองหนังสือหลังรถ เห็นหนังสือนิยายที่ผมถูกคะยั้นคะยอให้ซื้อวางอยู่ในถุงด้วย “พี่อ่านนิยายวายด้วยเหรอ”
“ก็แค่ลองซื้อมาดู เห็นเขาว่าคนที่หน้าปกเหมือนกลอย” ผมละสายตาจากหน้าพี่โชมามองหน้าปกหนังสือนิยาย รูปปกคือผู้ชายสองคนนั่งบนโซฟา คนเสื้อน้ำเงินกอดคอคนที่ตัวเล็กกว่า “แต่พี่ว่า กลอยน่ารักกว่าเยอะ”
“พูดดีต้องมีรางวัล”
ผมวางหนังสือไว้ที่เดิม ก่อนใช้จังหวะที่รถติดไฟแดงยื่นมือสองข้างดึงหน้าพี่โชมาจูบปาก คนได้รางวัลทำตาโตพลางขำเบาๆ ระหว่างที่ปากยังชิดกันอยู่
“ไข่เจียวไม่กินแล้วได้ไหม กินกลอยแทนน่าจะอิ่มกว่า”
“รอหลังกลอยทำรายงานเสร็จนะ เพราะต้องอ่านหนังสือเรียนหนัก” พูดจบก็ผมก็ผละตัวออกมาแล้วหัวเราะลั่นรถ พี่โชหน้าบึ้ง มือก็ยื่นมาขยี้หัวผมซะยุ่งหมด
“พูดแล้วก็ทำให้จริง ไม่งั้นการ์ตูนที่ซื้อจากงานหนังสือทั้งหมดนั้นพี่จะเอาไปบริจาค”
ตาละห้อยมองกองหนังสือหลังรถ ก่อนจะแอบยิ้มมุมปาก งานหนังสือไม่ได้มีวันนี้วันเดียว ผมจะแอบมาซื้ออีกกี่เล่มก็ได้
งานยังไม่จบ เงินยังไม่หมด ก็ช็อปต่อ ไม่ต้องรอนะครับผม
.......
งานฮาร์ดเซลล์ก็มา.... ขอฝากกลอยประเกรียนไว้ในอ้อมอกทุกคนด้วยนะคะ (ก้มกราบงามๆ)
แล้วพบกันวันฮาโลวีนค่า