วันนี้ฉันไปเอาบรู๊ฟ ที่ฝากน้องไปช่วยตรวจคำผิดของเล่ม5มาล่ะค่ะ (รอบนี้ส่งไปอาทิตย์เดียว ฆาตกรรมน้องมาก) ที่สำคัญ ผิดบาน (เพราะตอนแก้+จัดหน้ารีบสุดๆ ฮ่าๆ) ดังนั้น ที่ลงนี่ยิ่งกว่าที่ใช้จัดหน้าอีกนะคะ วอนคนอ่านทำใจค่ะ เอิ๊กๆ
-------------------------------------------------
บทที่48 คนที่น่าหวั่นใจ
ฟ่งขยับตัวช้าๆ และค่อยๆ ยกมือบิดขี้เกียจ ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่งสัปปะหงกอยู่อีกครู่ใหญ่ ถึงจะลงจากเตียงมาได้ เขาหยิบแว่นที่วางอยู่ตรงหัวเตียงมาสวม และเดินไปบิดลูกบิดประตูห้องน้ำซึ่งเชื่อมเข้ากับห้องนอน
หลังจากล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ร่างบางก็เปิดประตูออกมาด้านนอก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นอีกสองคนนอนอยู่ด้านนอก
คนหนึ่งที่นอนขวางทางเดินอยู่คงเป็นรูฟัส ส่วนอีกคนที่นอนอยู่บนโซฟาคงเป็น........
ฟ่งคิดว่าเขาควรไปล้างหน้าอีกรอบให้รู้สึกตัวมากกว่านี้ก่อน แล้วค่อยคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้า ชายหนุ่มเดินโซเซไปเปิดประตูห้องน้ำอีกครั้ง ก่อนจะเปิดก๊อกน้ำ พลางคิดว่าเขาควรจะต้องเอาน้ำแข็งมาล้างหน้าล่ะมั้ง ถึงจะตื่นขึ้นมาได้
ชายหนุ่มยืนมึนอยู่หน้ากระจก พลางคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เมื่อวานเขาเพิ่งจะได้กลับมาที่ประเทศบ้านเกิด เดินวนเวียนอยู่ที่สนามบินกับสายลับอยู่พักใหญ่ เพื่อรอตรวจว่ามีใครแอบซุ่มดักรออยู่หรือเปล่า แล้วก็กลับมาที่ห้องนี้ จากนั้นก็ได้เจอเรื่องราวแปลกๆ
เรื่องแปลกๆ ของคนข้างห้อง!!
ฟ่งแทบหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้เพื่อนข้างห้องของเขาคนหนึ่งเป็นสายลับ ตอนนี้คนข้างห้องของเขาอีกคนก็ดันกลายเป็นคนสำคัญที่คาดไม่ถึงเสียอีก จนในที่สุดก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นตัวประกันให้กับพวกสายลับไปเสียแล้ว
ท่าทางห้องที่เขาเช่าอยู่อาจจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ นะเนี่ย
ชายหนุ่มหยิบแปรงฟันขึ้นมา บีบยาสีฟันลงไป และเดินออกมาแปรงฟันนอกห้องน้ำ พลางกวาดตามองดูผู้ชายสองคนที่นอนระเกะระกะอยู่ในห้อง และนึกดีใจว่าโชคดีที่เรียกแม่บ้านมาทำความสะอาดแล้ว ไม่งั้นสองคนนี้คงได้นอนสำลักฝุ่นแน่ๆ
ฟ่งมองไปยังวรุต เมื่อวานเด็กคนนี้บอกเขาแล้วถึงเหตุผลของการมาที่นี่ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักก็เถอะ แต่เจ้าตัวก็ดูมีความมุ่งมั่นอยางไม่ธรรมดาทีเดียว
หนุ่มสวมแว่นมองไปยังโซฟาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตามายังร่างสูงใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ตรงใกล้ๆ ประตูห้อง เขาเพิ่งเคยเห็นรูฟัสในสภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก ดูไปแล้วก็น่าสงสารอยู่เหมือนกัน ผู้ชายคนนี้คงมาเพื่อเฝ้าเขากับวรุตไม่ให้ทำอะไรแปลกๆ ล่ะมั้ง พอนึกว่าก่อนหน้านี้รูฟัสอาจจะต้องทำแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ฟ่งก็นึกอยากให้เจ้าตัวเลิกอาชีพนี้อย่างจริงๆ จังๆ เสียที เขาไม่อยากเห็นรูฟัสฝืนทรมานร่างกายแบบนี้อีก
เขามองสองคนที่นอนอยู่คนละที่สลับกันไปมาสักพัก ก็ถอนหายใจออกมา
ทุกคนก็ดูเหมือนจะมีเป้าหมายชัดเจนกันดี
แล้วเขาล่ะ?
ฟ่งชักนึกสงสัยเรื่องของตัวเอง แล้วตัวเขาสมควรจะทำอะไรต่อไปจากนี้ดีล่ะ?
เมื่อวานรูฟัสเพิ่งบอกให้เขาโทรไปโกหกกับพี่สาวอีกรอบ แล้วกำชับว่าต่อจากนี้ห้ามติดต่อกับใครอีก ห้ามให้ใครรู้ว่าเขากลับมาแล้ว เพราะกลัวว่าข่าวจะรั่วถึงหูฝ่ายตรงข้าม ใช่ว่าทางนั้นไปวุ่นอยู่กับการเตรียมงานแล้วจะล้มเลิกความตั้งใจจะเก็บเขาเสียหน่อย
แต่แบบนี้ก็หมายความว่าเขาจะต้องตัดขาดตัวเองกับโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงงั้นสิ!!??
ถึงรูฟัสจะบอกว่าทวีศักดิ์อาจจะยกเลิกความตั้งใจจะปิดปากเขาแล้ว ก็ใช่ว่าจะยอมปล่อยให้เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระได้เหมือนตอนปกติเสียหน่อย สงสัยเพราะเขาเองก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่บังเอิญรู้เบื้องหลังที่แท้จริงของพวกรูฟัสด้วยล่ะมั้ง เลยต้องถูกจับตามองแบบนี้
ฟ่งมองไปทางเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุต และอยากจะพูดว่า นายกับฉันตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันแล้ว
หลังจากนั้น ฟ่งก็ลุกขึ้นเพื่อไปบ้วนปาก เขาเคาะแปรงฟันลงกับอ่าง ใช้ผ้าขนหนูที่แม่บ้านเพิ่งเอามาเปลี่ยนเมื่อวานเช็ดหน้า แล้วเดินออกไปนั่งหน้าประตูห้องน้ำอีกรอบ
สองคนที่นอนอยู่นี่ ไม่มีทีท่าว่าจะลุกเลย
ฟ่งขมวดคิ้วหน่อยๆ บางทีรูฟัสอาจจะตื่นแล้วแต่ยังไม่ลุกก็ได้ เพราะปกติรูฟัสไม่เคยตื่นสายอยู่แล้ว ผู้ชายคนนี้ดูจะรู้สึกตัวไวเสมอๆ อย่างน้อยก็ตื่นก่อนเขาในทุกครั้งนั่นล่ะ เท่าที่จำได้ มีอยู่หนเดียวเท่านั้นที่เขาเห็นรูฟัสหลับไปจริงๆ ตอนที่บังเอิญเจอกันหน้าลิฟต์แล้วรูฟัสชวนเขาไปที่ห้องล่ะมั้ง
ฟ่งนึกสงสัยขึ้นมา ถ้าตอนนั้นรูฟัสรู้ว่าเขาเขียนแปลนพวกนี้ ผู้ชายคนนี้จะกล้านอนหลับไปบนตักเขารึเปล่านะ
ชายหนุ่มสั่นศีรษะเบาๆ และบอกว่าเรื่องแบบนั้นคิดไปก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก หลังจากนั้นเขาก็เบนความสนใจไปยังวรุตซึ่งท่าทางจะยังหลับไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน ถึงได้กล้าทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้
ฟ่งยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเรื่องที่วรุตพูด แต่การที่เด็กหนุ่มกล้าเอาตัวเองมาอยู่ในดงคนแบบราฟาแอลและรูฟัสก็สมควรจะเรียกว่าบ้าบิ่นได้แล้ว
ว่าแต่เด็กคนนี้เป็นลูกของคุณทวีศักดิ์คนนั้นจริงรึ?
ถ้าไม่มีรูฟัสมาช่วยยืนยัน ให้ตายเขาก็ไม่ยอมเชื่อแน่ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเป็นพ่อจะปล่อยให้ลูกตัวเองออกมาทำอะไรเสี่ยงๆ แบบนี้ หรือว่าทวีศักดิ์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกเท่าที่ควรเหมือนที่วรุตพูดถึงจริงๆ
พอคิดได้แบบนั้นเขาก็รู้สึกสงสารเด็กหนุ่มที่ชื่อวรุตขึ้นมาถนัด
แม่ก็เสียไปตั้งแต่เด็ก แถมพ่อก็ยังไม่ค่อยสนใจอีก ถึงฟ่งจะเป็นกำพร้าพ่อแต่เด็ก แต่ก็ยังมีแม่กับพี่สาวคอยให้ความอบอุ่นจนไม่รู้สึกว่าชีวิตขาดอะไร
วรุตล่ะ?
ฟ่งชักเริ่มมองเห็นสาเหตุที่ทำให้วรุตกลายเป็นเด็กที่มีนิสัยแปลกๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว การที่วรุตโตมาได้ขนาดนี้โดยยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ เมื่อเทียบกับว่าถูกเลี้ยงมาโดยลักษณะแบบนั้น ถือว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อจริงๆ โดยเฉพาะแววตาที่แสดงถึงความตั้งใจแบบไม่ธรรมดานั้น
บางทีนี่อาจจะทำให้เรื่องราวพลิกแพลงไปอย่างคาดไม่ถึงก็ได้
ฟ่งอยากจะเชื่อเหตุผลที่ยากจะเชื่อของวรุต เหตุผลคือเขาอยากจะเชื่อ เพราะสายตาของเด็กหนุ่มไม่ใช่สายตาของคนโกหก และมีแววของความเจ็บปวดฉายออกมาลึกๆ ทุกครั้งที่มีใครแสดงท่าทีว่าไม่เชื่อถือในสิ่งที่ตนเองพูด
ฟ่งคิดว่ามันคงเป็นเรื่องน่าเจ็บปวดใจไม่น้อย กับการที่ต้องพยายามทำให้ใครสักคนเชื่อในความคิดที่ดูไม่น่าเชื่อถือของตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอื่นจะมีความคิดดีเลิศประเสริฐศรีไปกว่าที่ตัวเองคิดได้ สรุปคือคนเราไม่ค่อยจะเชื่อในความคิดที่ดีเกินไปของคนอื่นนั่นแหละ เหมือนครั้งหนึ่งเขาเคยรับวาดรูปเหมือนราคาถูก แต่ลูกค้ากลับน้อยกว่าอีกร้านซึ่งไม่ได้มีฝีมือมากไปกว่าเขาเลย แต่คิดราคาแพงกว่า ท่าทางคนเราจะตัดสินคนอื่นจากสิ่งที่ตัวเองเชื่อเท่านั้นล่ะมั้ง
แล้วตัวเขาล่ะ ตัดสินวรุตจากอะไร?
ฟ่งเคยมีประสบการณ์มาแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยตัดสินว่ารูฟัสเป็นคนไม่ดี แค่เพียงเพราะรู้ว่ารูฟัสเป็นสายลับ โจรกรรมและฆ่าคน แต่สิ่งที่รูฟัสปฏิบัติต่อเขาไม่เคยมีสิ่งใดที่เรียกว่าเลวร้าย นอกจากเรื่องที่โกหกนี่แหละ ถึงแม้จะพอยอมรับได้ว่าจำเป็น แต่ยังไงก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยอยู่ดี
แม้อย่างนั้นเขาก็ยอมให้อภัย เพราะรูฟัสดีต่อเขา...
และเป็นคนพิเศษ...
ฟ่งไม่อยากจะยอมรับตรงนี้มากนัก จึงหันความคิดกลับไปสู่ประเด็นเดิมอย่างรวดเร็ว
วรุตเองก็ดีต่อเขา อย่างน้อยก็ยังมีคำพูดว่าอยากจะช่วยเขา มากกว่าอยากจะฆ่าเขา ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นฟ่งจึงไม่คิดว่าสิ่งที่วรุตพูดเป็นเรื่องโกหก จนกว่าเขาจะพิสูจน์คำพูดนั้นเองว่าเป็นจริงหรือไม่ เหมือนที่รูฟัสเคยพิสูจน์มาแล้ว
ถึงตอนนี้ฟ่งถอนหายใจยาว มองดูทั้งสองคนอีกรอบ และย้อนมามองตัวเอง
ตอนนี้เขาสมควรทำอะไรต่อไป?
เรื่องแปลนก็ไม่น่าจะมีปัญหาแล้ว ถึงจะมีปัญหา มันก็คงเป็นปัญหาที่เขาไม่อาจจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้อีก เพราะกว่าที่ทั้งรูฟัสและราฟาแอลจะรู้ถึงปัญหา ก็คงจะต้องเข้าไปเผชิญกับกลไกภายในห้องนั้นแล้วเท่านั้นแหละ
ฟ่งนึกสงสัยว่ายาเสพติดผ่านอากาศที่รูฟัสเคยพูดให้เขาฟังว่า ทวีศักดิ์สร้างขึ้นมาเพื่อหวังจะแพร่กระจายในหมู่มาเฟียนั้น รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ แล้วจะมีความรุนแรงขนาดไหน ทวีศักดิ์ถึงต้องสร้างห้องลับที่มีระบบป้องกันแน่นหนาเพื่อเก็บมันเอาไว้ แน่นอนว่ารวมถึงใช้เป็นห้องประชุมเพื่อกระจายยาเสพติดตัวนี้ด้วย
แค่นึกว่า เพียงสูดหายใจเข้าไปก็เสพติดได้ ฟ่งก็นึกขนลุกแล้ว หากมียาเสพติดแบบนี้อยู่จริงๆ ล่ะก็ มันคงเป็นอันตรายต่อสังคมมากแน่ๆ แล้วเขาเองก็คงมีส่วนผิดเต็มประตูในฐานะคนที่ออกแบบห้องเพื่อใช้แพร่กระจายยาเสพติดตัวนี้
ถ้าอย่างนั้นเขาควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบในเรื่องนี้ให้มากกว่านี้สิ!
แต่ปัญหาคือเขาควรจะทำอะไรเพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำลงไป?
ถึงเขากับรัสเลอร์จะช่วยกันแยกแยะแบบแปลนเพื่อให้รูฟัสกับราฟาแอลสามารถใช้เป็นแนวทางในการเข้าไปในห้องนั้นจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ฟ่งยังรู้สึกว่าแค่นี้ยังไม่สมกับสิ่งที่เขาได้ทำพลาดลงไปอยู่ดี
อีกไม่กี่วัน หรือควรจะนับเป็นชั่วโมงเลยดีกว่า รูฟัสกับราฟาแอล รวมถึงรัสเลอร์ ก็คงต้องเข้าไปในห้องนั้นแล้ว พอถึงเวลานั้นเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ
ฟ่งพยายามนึกทบทวนเรื่องนี้กับตัวเองหลายต่อหลายครั้งในช่วงเวลาสองสามวันที่ผ่านมา และคำตอบที่ได้คือ
ไม่มี...!
ฟ่งขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบคำตอบนี้เลยจริงๆ ไม่มี! ก็หมายถึงว่าหลังจากที่พวกรูฟัสไปแล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะทำอีกนอกจากนั่งๆ นอนๆ รอไปวันๆ แบบนั้นก็หมายความว่าเขาต้องใช้ชีวิตแบบหายใจทิ้งน่ะสิ แล้วชีวิตแบบนั้นมันจะไปมีประโยชน์อะไร จะแค่วันสองวันหรือนานเป็นปีๆ มันก็ให้ความรู้สึกแย่เหมือนกันนั่นแหละ
ดูจากรูปการตอนนี้แล้ว ถึงเขาอยากจะทำอะไรอีก รูฟัสคงไม่ยอมให้เขาทำแน่
ท่าทางก่อนเข้าไปในห้องลับ ผู้ชายคนนั้นคงจะพยายามทุกวิถีทางให้เขาอยู่เงียบๆ และเฉยที่สุด ฟ่งคิดว่ารูฟัสอาจจะนึกขนาดที่ว่าถ้าจับเขาผูกได้คงผูกไปแล้วล่ะมั้ง แต่ถ้ารูฟัสกล้าทำแบบนั้นกับเขานะ รับรองชาตินี้อย่าหวังว่าเขาจะญาติดีด้วยอีกเลย
ฟ่งเหลือบมองรูฟัสอีกหน และคิดว่าถ้าไม่มีใครยอมให้เขาทำอะไรล่ะก็ เขาคงต้องตะเกียกตะกายหาอะไรมาทำเสียเอง
ฟ่งนึกขำ บางทีเขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่ผู้ชายปกติธรรมดาๆ คนหนึ่ง อยากจะใช้ชีวิตปกติธรรมดา อยู่อย่างสงบ เช้าตื่นสาย บ่ายกินข้าว ค่ำทำงาน นอนตอนดึก ว่างๆ ก็ออกไปหาอะไรเจริญหูเจริญตาดูบ้าง แต่ในบางช่วงเวลา เขาก็นึกอยากจะออกไปวิ่งรอบโลก อยากจะขึ้นไปตะโกนบนภูเขา อยากที่จะทำอะไรบ้าๆ บอๆ ในแบบที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน
แต่จนใจที่พอลุกขึ้นยืนทีไร ความขี้เกียจก็ดูจะมาเกาะหลังเขาอยู่ทุกที ถึงอย่างนั้นพอมีเรื่องอะไรเข้ามากระตุ้นให้ถูกจุด ต่อมบ้าๆ ของเขาก็ทำงานโดยอัตโนมัติของมันทันที เหมือนอย่างตอนที่เขาถูกติดต่อให้ทำงานกับทวีศักดิ์ครั้งแรก หรือตอนที่ถูกพาไปยังห้องใต้ดิน พอมาย้อนคิดดูแล้วฟ่งก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเขากล้าทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้อย่างไร แถมยังรอดกลับมาได้อีกแน่ะ เขานี่คงมีฝีมืออยู่พอตัวล่ะ
ฟ่งมองไปทางวรุต ซึ่งดูเหมือนจะหลับไม่ค่อยจะสบายนักบนโซฟา
บางทีคราวนี้ อาจจะมีอะไรให้เขาทำมากกว่าที่คิดก็ได้
---------------------------------------
รูฟัสตื่นนานแล้ว หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือเขาตื่นอยู่โดยตลอด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอดตาหลับขับตานอนแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นการหลับแบบที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเสียมากกว่า
เขาจะอาศัยจังหวะหลับลึกเป็นช่วงสั้นๆ ครั้งละสิบถึงสิบห้านาทีสลับกันไป มันเป็นการฝึกที่หฤโหดพอสมควร แต่ถ้าทำได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีก
เรื่องที่ยากคือเรื่องที่ยังไม่ได้ลงมือทำ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่ผ่านประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็ก รูฟัสไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมีเรื่องยากเย็นอีก เรื่องอะไรที่ว่ายากเขาทำมาแทบจะหมดแล้ว
แต่ว่า.... ตอนนี้มีเรื่องยากหนึ่งที่เขายังไม่ได้ทำ และยังนึกไม่ออกว่าจะลงมือทำตอนไหน อย่างไร
เรื่องยากที่ว่านั้นก็คือ ทำให้แน่ใจว่าฟ่งจะอยู่นิ่งๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ อีก
รูฟัสเกือบจะแน่ใจว่าฟ่งต้องไม่ยอมอยู่เฉยแน่ๆ กับเรื่องแบบนี้ จากที่เขาได้สัมผัสและรับรู้ข้อมูลในหลายๆ ด้านของผู้ชายคนนี้ในช่วงที่ผ่านๆ มา ทำให้รูฟัสรู้ว่าฟ่งเป็นคนที่มีความคิดพิสดารอย่างที่คาดไม่ถึง แถมยังไม่ค่อยจะชอบอยู่เฉยๆ อีกต่างหาก เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวก็พอจะได้ แต่คิดอีกที ก็เหมือนความซวยวิ่งมาหา แล้วฟ่งก็รีบวิ่งเข้าไปรับมันเอาไว้มากกว่า
รูฟัสแทบจะยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก ฟ่งเป็นคนไม่ค่อยพูดมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังเดาไม่ออกอีกว่าดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นนั้นคิดอะไรอยู่กันแน่ ฟ่งเป็นคนที่มีอารมณ์ค่อนข้างจะอ่อนไหว แต่ก็ไม่ถึงขนาดแปรปรวนจนน่ารำคาญ ถึงอย่างนั้นก็กล้าทำอะไรที่บ้าบิ่นได้จนน่าเหลือเชื่อเหมือนกัน อย่างที่หนีเขาไปอยู่กับรุ่นน้องตอนที่ยังอยู่ฮังการีไงล่ะ
รูฟัสนึกไม่ออกเลยว่าฟ่งเดินทางด้วยตัวคนเดียวไปถึงที่นั่นได้อย่างไร โดยมีแค่ตั๋วรถเมล์ใบเดียวเท่านั้นเอง ภาษาก็สื่อสารไม่ได้ เรื่องนี้เป็นปริศนาพอๆ กับการที่ฟ่งเอาตัวรอดมาได้ หลังจากเขียนแปลนนรกที่ทำให้เขาปวดหัวแทบตายนั่นล่ะ
รูฟัสไม่เคยเชื่อในปฏิหาริย์ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ นอกจากคำว่าปฏิหาริย์แล้วคงไม่มีคำไหนพอจะอธิบายปรากฏการที่เกิดขึ้นกับผู้ชายสวมแว่นคนนั้นได้
แต่ปฏิหาริย์ไม่ได้มีทุกวัน ไม่ว่าจะยังไง เขาก็ต้องแน่ใจว่าฟ่งจะปลอดภัย และยอมอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรเสี่ยงๆ หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องลับนั้นแล้ว
รูฟัสหรี่ตาขึ้นเล็กน้อย เขาเห็นฟ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ ด้วยสภาพเหมือนยังไม่ตื่นดี ทั้งๆ หลังจากนั้นก็หยุดยืนมองพวกเขาอยู่ เหมือนยังงงๆ ว่าทำไมคนพวกนี้ถึงมาอยู่ในห้องได้ แต่ไม่มีท่าทางตกใจหรือระวังตัวเลยสักนิด เผลอๆ บางทีฟ่งอาจจะคิดว่าตัวเองนอนผิดห้องเลยก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะยังฝันอยู่ด้วยล่ะมั้ง
แล้วแบบนี้จะให้เขาวางใจปล่อยไว้ได้ยังไงกันล่ะ
รูฟัสแทบจะถอนหายใจออกมา เขามองดูร่างบางๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ และออกมาพร้อมกับแปรงฟันในปาก ฟ่งนั่งดูพวกเขาและแปรงฟันไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลใต้แว่นนั่นกลอกไปมา กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ
รูฟัสไม่อยากเดาความคิดของฟ่งนัก เพราะไม่กล้าจะเดา ความคิดของคนที่สร้างห้องแปลกๆ แบบนั้นออกมาได้ แลกกับเงินสองแสนบาท โดยไม่ได้พ่วงค่าประกันชีวิตไปด้วยคงไม่ได้มีความคิดแบบที่คนธรรมดาเขาคิดกันหรอก
รูฟัสคิดว่าเขาคงไม่มีทางเดาความคิดของฟ่งได้อย่างเด็ดขาด แค่ได้ฟังเรื่องเขียนแปลนนี้เขาก็แทบประสาทกินแล้ว
โดนข่มขู่ขนาดนั้นแล้วยังมีแก่ใจจะคิดราคายุติธรรมอีก เขาไม่เข้าใจคนอย่างฟ่งเลยจริงๆ!!
สิ่งที่รูฟัสคิดว่ายากและน่ากลัวที่สุดในตอนนี้คือการจำกัดความคิดและการกระทำของฟ่งนี่เอง
เขาคงต้องหาทางฝากฝังคนคนนี้ไว้กับใครสักคนที่ไว้ใจได้ และต้องแน่ใจได้ด้วยว่าจะทำให้ฟ่งสามารถอยู่นิ่งๆ ได้จนจบงาน
แต่...ใครกันล่ะ?!
--------------------------------------------